ยอดคุณหมอสกุลเฉินตอนที่246 ชนเผ่าเหมี่ยว

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter ตอนที่246 ชนเผ่าเหมี่ยว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่246 ชนเผ่าเหมี่ยว

ในฐานะนักธุรกิจ แน่นอนว่าหลินชูวโม่ย่อมเข้าใจความหมายของฉีเล่ยดี หลังจากวางสายไปแล้ว เธอก็ได้วางแผนเตรียมการขั้นต่อไปในทันที

และในเวลานี้ ภาพความสามารถของฉีเล่ยที่ปรากฏอยู่ในทีวี ก็ยิ่งทำให้ถงเซียวเซียวรู้สึกชื่นชมฉีเล่ยมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

หลังจากยืนฟังถงเซียวเซียวพร่ำพรรณนาชื่นชมตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดฉีเล่ยก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ และรีบหันไปถามชายชราที่นั่งอยู่บนเตียงว่า

“คุณตารู้สึกยังไงบ้างครับตอนนี้?”

แมลงตัวเล็กๆที่ฉีเล่ยนำออกมาจากร่างของชายชรานั้น ได้ถูกเก็บไว้ในขวดอย่างมิดชิด และเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นอีก ฉีเล่ยถึงกับทำการปิดผนึกไว้อย่างแน่นหนาอีกด้วย

และตอนนี้ ชายชราก็รู้สึกตัวแล้ว จึงได้เวลาที่เขาจะต้องสืบสวนหาความจริงเสียที!

“ตอนนี้ฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้วล่ะ ขอบคุณมากจริงๆที่ช่วยชีวิตของฉันไว้”

หลังจากพูดจบ ชายชราก็รีบลุกขึ้นจากเตียง และกำลังเตรียมที่จะคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อขอบคุณฉีเล่ย แต่เขาเห็นเข้าเสียก่อน จึงรีบพุ่งเข้าไปพยุงร่างของชายชราไว้พร้อมกับพูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“คุณตาครับ อย่าทำแบบนี้เลยนะครับ ขืนคุณตาคุกเข่าให้ผม ผมคงต้องอายุสั้นแน่ๆ ผมอายุยังน้อย จะให้คุณตามาคุกเข่าให้แบบนี้ได้ยังไงกันล่ะครับ นี่เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง!”

ชายชราได้แต่ยอมเชื่อฟังฉีเล่ยเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องลำบากใจ และได้แต่เดินกลับไปนั่งที่เตียงนอนตามเดิมอีกครั้ง ปากก็เอ่ยตอบไปว่า

“คุณฉีครับ หากไม่ได้คุณช่วยไว้ ป่านนี้ฉันคงจะตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะ!”

“ว่าแต่คุณตาไปอยู่ที่นั่นได้ยังไงกันครับ? แล้วใครกันที่เป็นคนเอาหนอนกู่เข้าร่างของคุณตา? ไม่ทราบคุณตาพอจะจำเหตุการณ์ทั้งหมดได้ไหมครับ?”

ฉีเล่ยรีบเอ่ยถามชายชราในเรื่องที่ตนเองอยากจะรู้ทันที แต่ชายชรากลับส่ายหน้าไปมาพร้อมตอบเขากลับไปว่า

“ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ขึ้น ฉันจำได้ว่าฉันได้พบชายหญิงคู่หนึ่งบนท้องถนน พวกเขาสองคนแต่งตัวค่อนข้างแปลกประหลาด ฉันจึงได้เหลือบมองพวกเขาเล็กน้อย แต่จะว่าไป เดี๋ยวนี้เด็กหนุ่มสาววัยรุ่นก็ชอบแต่งตัวประหลาดๆไม่น้อยเหมือนกัน”

ชายชราหัวเราะเล็กน้อย เพราะในสังคมสมัยนี้ เด็กหนุ่มสาวก็นิยมแต่งตัวเลียนแบบที่เรียกว่าคอสเพลย์กันไม่น้อย เพียงแต่ สองคนที่เขาพบนั้นไม่ใช่เด็กหนุ่มสาว ดังนั้น การแต่งกายที่ออกจะประหลาดไม่เหมือนคนทั่วไปของคนทั้งคู่ จึงทำให้พวกเขากลายเป็นจุดดึงดูดสายตาของผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา

“พวกเขาสองคนแต่งตัวคล้ายกับชนเผ่าเหมี่ยว และเมื่อพวกเขาทั้งสองคนเห็นฉันเหลือบมอง พวกเขาก็หันมายิ้มให้ฉัน พร้อมกับเดินตรงเข้ามาถามว่า จะไปศูนย์แสดงนิทรรศการใกล้ๆนี่ได้ยังไง? ฉันก็เลยบอกทางให้กับพวกเขาทั้งสองคนไป”

จากนั้น ชายชราก็เล่าให้ฉีเล่ยฟังต่อด้วยสีหน้าลังเลสงสัย “แต่ตอนนั้นฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกผิดปกติอะไรเลยนะ แต่ในระหว่างที่กำลังเดินเล่นอยู่ในห้างนั้น ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองมีความผิดปกติเกิดขึ้น แล้วตัวฉันเองก็เริ่มวิ่งไปทั่ว จนกระทั่งไปล้มลงหมดสติจนกระทั่งคุณมาพบเห็น แล้วก็ได้ช่วยเหลือไว้..”

เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ ชายชราก็ถึงกับใจสั่นสะท้าน หากฉีเล่ยมาไม่ทันเวลา เขาคงต้องเสียชีวิตไปแล้วอย่างแน่นอน!

แม้ว่าฉีเล่ยจะได้ยินชายชราเล่าเพียงแค่นั้น และดูเหมือนจะไม่มีอะไรสลักสำคัญ แต่ฉีเล่ยกลับสะดุดกับคำพูดอยู่สองสามประโยค

จากรูปลักษณ์ของชายหญิงทั้งสองคนที่ชายชราเล่าให้ฟังนั้น ดูเหมือนจะเป็นชนเผ่าเหมี่ยวที่เชี่ยวชาญเรื่องการเลี้ยงหนอนกู่ แต่ก็ยังไม่ได้รับการยืนวันว่าทั้งสองคนที่ชายชราพบเจอเป็นผู้กระทำ

แต่ยิ่งฉีเล่ยครุ่นคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ คิ้วทั้งคู่ของเขาก็ยิ่งขมวดเข้าหากันแน่น นั่นเพราะดูเหมือนสถานการณ์จะตึงเครียดมากกว่าที่เขาคิดไว้มาก

แต่สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ ต้องส่งชายชรากลับบ้านไปอย่างปลอดภัยนั่นเอง แต่ในขณะที่ฉีเล่ยกำลังจะเอ่ยปากถามถึงที่อยู่ของชายชรา จู่ๆ ประตูห้องพักของเขาก็เปิดผางออก และเมื่อรู้ตัวอีกที ร่างของชายชราก็ค่อยๆเดินจากไปอย่างช้าๆ

ท่าทางของชายชราดูแปลกประหลาดอย่างมาก จนถงเซียวเซียวถึงกับวิ่งตรงเข้าไปหาฉีเล่ย ปากก็ร้องตะโกนถามออกไปด้วยความตกใจ

“นี่คุณตาออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วเขาจะไปไหน?”

“อืมม.. จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นเดินออกไปตอนที่ผมกำลังคิดอะไรอยู่พอดี”

“นี่! แล้วหนอนกู่ของชนเผ่าเหมี่ยวอะไรที่นายกับคุณตาคุยกันเมื่อครู่น่ะ อย่าบอกนะว่ามันเหมือนกับที่ฉันเคยอ่านเจอในนิยายน่ะ”

ถงเซียวเซียวหันไปถามฉีเล่ยยิ้มๆ พร้อมกับขยิบตาให้

“นี่เซียวเซียว ผมจะบอกอะไรให้ ในโลกใบนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่คุณยังไม่เคยได้รู้ได้ฟัง บางเรื่องอาจฟังดูเหลือเชื่อไม่น่าจะเป็นจริง แต่กลับเป็นเรื่องที่มีอยู่จริง เพราะฉะนั้น คุณจะต้องตระหนักไว้ให้ดี เข้าใจที่ผมพูดไหม?”

จู่ๆ ฉีเล่ยก็หันมาเตือนถงเซียวเซียวให้เชื่อในเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างไร้เหตุผล

“อืมม ฉันเข้าใจ! แล้วนายจะเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังไหม?”

ฉีเล่ยเดินออกไปยืนตรงหน้าต่าง พร้อมกับจ้องมองภาพภายนอกในยามค่ำคืนด้วยจิตใจที่สับสนว้าวุ่น

ถ้าเรื่องที่ชายชราเล่าให้เขาฟังนั้นเป็นความจริง นั่นหมายความว่าสถานการณ์จะต้องร้ายแรงกว่าที่เขาคิดไว้มาก แต่ถ้าสิ่งที่ชายชราเล่ามาไม่เป็นความจริง การที่เขาบอกเล่าออกไป อาจจะสร้างความตื่นตระหนกที่ไม่จำเป็นให้กับสังคมได้

อีกอย่าง ฉีเล่ยก็รู้สึกว่า เรื่องนี้ยังมีอีกหลายจุดที่เขาจะต้องสืบหาความจริงให้กระจ่างเสียก่อน เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงดีเท่านั้นเอง

ฉีเล่ยรู้สึกว่า คำบอกเล่าของชายชรานั้นยังมีช่องโหว่อยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เขาบังเอิญไปพบหญิงชายเผ่าเหมี่ยวสองคนเข้า หรือช่วงที่เขาเล่าหลังจากที่ได้รับหนอนกู่เข้าไปในร่างแล้ว ทุกอย่างมันดูง่ายดายจนเกินไป

เขารู้สึกว่าชายชราคนนี้น่าจะมีฐานะที่ไม่ธรรมดา เพราะหากเป็นคนทั่วไป คงจะไม่ไปเดินเล่นในห้างระดับอินเตอร์ท้อปๆของเมืองแบบนั้นแน่

มันฟังดูไม่เป็นเหตุเป็นผลเอาเสียเลย!

เมื่อเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของฉีเล่ยเข้า ถงเซียวเซียวจึงรู้ว่าไม่ควรกดดันอะไรชายหนุ่มมากนักในเวลานี้ เธอจึงได้เดินเข้าไปดึงมือฉีเล่ยพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ไปกันเถอะ! หลังจากถ่ายรายการเสร็จแล้ว นายยังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่เหรอ? เพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จให้กับนาย คืนนี้ฉันจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารมื้อค่ำนายเอง ไหนๆนายก็ลืมซื้ออะไรติดไม้ติดมือมาให้ฉันกินแล้วนี่ พวกเราออกไปหาอะไรอร่อยๆกินกันดีกว่า!”

ตอนนี้ ก็เป็นเวลาตีสองเข้าไปแล้ว แต่ถึงแม้จะเป็นเวลาค่ำคืนดึกดื่นสักเพียงใด ในเมืองเจียงหลิงก็ยังคงเป็นเมืองที่ครึกครื้นอยู่ตลอดทั้งคืน

หลังจากเดินออกมาจากโรงแรม และได้กั้งเสียบไม้ที่อยู่ด้านล่างกินเข้าไป รสชาติอาหารอันโอชะก็ได้ทำให้ฉีเล่ยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างมาก

ถงเซียวเซียวหันไปมองฉีเล่ยพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยอยากรู้

“นี่ฉีเล่ย วิชากู่ของชนเผ่าเหมี่ยวอะไรนี่ มันเป็นเรื่องซีเรียสมากเลยงั้นเหรอ?”

ฉีเล่ยไม่รู้ว่าเขาควรจะหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดีที่ได้ยินคำถามนี้ของถงเซียวเซียว จึงได้แต่ร้องตอบกลับไปว่า

“นี่เซียวเซียว คุณบอกว่าเคยอ่านเจอเรื่องหนอนกู่ในนิยายไม่ใช่เหรอ? ถ้างั้นคุณก็คงจะเคยได้อ่านเจอในนิยายมาบ้างแล้วว่า คนที่โดนหนอนกู่เข้าไปนั้น ส่วนใหญ่จะไม่มียาแก้ แล้วที่ชนเผ่าเหมี่ยวเลี้ยงหนอนกู่ไว้ก็เพื่อจุดประสงค์นี้ไม่ใช่เหรอ.. คือใช้มันสังหารศัตรู!”

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของฉีเล่ย ถงเซียวเซียวก็ได้หลับตาและจินตนาการภาพตามไปด้วย กระทั่งสองสามวินาทีผ่านไป ดวงตาของเธอก็เบิกกว้าง ปากอ้าหวอ กั้งเสียบไม้ในมือของเธอก็ร่วงหล่นลงไปกับพื้น

“นี่ถ้าวันนั้นผมไม่ไปพบคุณตาเข้าล่ะก็ และถ้าวันนั้นผมไม่มีเข็มเงินและยาติดตัวไปด้วย รับรองได้ว่า แม้แต่ผมเองก็คงไม่สามารถช่วยอะไรได้ และแน่นอนว่าคุณตาจะต้อง…”

ฉีเล่ยไม่พูดต่อ และปล่อยให้ถงเซียวเซียวไปนึกจินตนาการภาพต่อเอาเอง

หลังจากทั้งสองคนเดินหาอะไรกินกันจนอิ่มแล้ว ก็ปาเข้าไปเกือบตีสี่พอดี..

ทั้งฉีเล่ยและถงเซียวเซียวต่างก็กำลังจะเดินกลับไปห้องพักของตนเอง เพื่ออาบน้ำและนอนหลับพักผ่อน และเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะได้เริ่มสืบเรื่องหญิงชายเผ่าเหมี่ยวกับหนอนกู่นั่นต่อ

อีกทั้งในตอนนี้ เขาก็มีหลินชูวโม่เป็นผู้ช่วยที่จะสามารถคอยเป็นหูเป็นตา และสอดส่องดูแลการตกแต่งสำนักงานแทนให้แล้ว มิหนำซ้ำ ช่วงนี้ยังคงอยู่ในช่วงระยะเวลาเตรียมการก่อตั้งองค์กร เขาจึงพอมีเวลาที่จะสืบเรื่องนี้ต่ออย่างไม่มีอะไรต้องกังวล

“นี่ฉีเล่ย นายดูสิว่านั่นใคร?”

จู่ๆ ถงเซียวเซียวก็ร้องตะโกนถามออกมาด้วยสีหน้าตกอกตกใจ พร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปในทิศทางที่อยู่ไม่ไกลจากที่ทั้งคู่ยืนอยู่นัก

ตอนแรก ฉีเล่ยยังคิดว่าหญิงสาวกำลังจะหลอกอะไรตัวเองอีก แต่เมื่อเขามองตามไปในทิศทางนั้น เขาก็พบใครบางคนที่คุ้นตาอย่างมากยืนอยู่

หลี่ถงซี!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด