ยอดคุณหมอสกุลเฉิน 163 เพื่อนก็ไม่ใช่ คนรู้จักก็ไม่เชิง

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter 163 เพื่อนก็ไม่ใช่ คนรู้จักก็ไม่เชิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่163 เพื่อนก็ไม่ใช่ คนรู้จักก็ไม่เชิง

สาวน้อยสองคนกำลังยืนกอดอกตัวสั่นอยู่หน้าภัตตาคารอาหารฝรั่งไวโอเลต

ซินซินยืนคอตกมือไม้สั่นด้วยความเหน็บหนาว เธอร้องบอกออกไปอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก

“ฉันบอกเขาไปแล้วว่าพวกเรานัดกันที่นี่! ปล่อยให้คอยอยู่ตั้งนาน แล้วนี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วทำไมยังไม่มาอีก? เสี่ยวเซียว หรือว่าเขาจะแอบไปเดทกับสาวสวยกันสองต่อสอง!?”

ปักกิ่งในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้ อากาศจะค่อนข้างเย็น มิหนำซ้ำบนเรือนร่างของพวกเธอทั้งคู่ ก็ยังมีเสื้อผ้าอยู่น้อยชิ้นอีกด้วย

หนิงเสี่ยวเซียวได้แต่ยิ้มและตอบกลับไปว่า

“เดี๋ยวนะ ทำไมถึงต้องทำตัวเป็นคุณหนูใหญ่กลัวขายไม่ออกขนาดนี้ด้วย? หรือแกจะกลัวว่าชาตินี้จะขึ้นคานจริงๆ?”

ซินซินเชิดหน้าขึ้นทันทีพร้อมกับยืดอกตอบด้วยสีหน้าหยิ่งจองหอง

“คนอย่างฉันนี่นะต้องกลัวขึ้นคาน? ขอโทษ มีผู้ชายไม่รู้กี่คนต่อกี่คนที่หลงไหลในตัวฉัน แต่ฉันต้องการแต่งงานกับพี่คังฟานคนเดียวเท่านั้นต่างหาก!”

หนิงเสี่ยวเซียวถึงกับหันไปส่งสายตาค้อนให้ ก่อนจะแกล้งทำสีหน้าล้อเลียนเพื่อนสาวไปว่า

“จ้ะ จ้ะ แม่คนสวยเลือกได้! ว่าแต่ทำไมถึงต้องบังคับให้ฉันใส่ชุดแบบนี้มาด้วย? คิดว่านี่มันหน้าร้อนรึไง ถึงได้ให้ฉันใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นแบบนี้มาห๊ะ? ก่อนจะเจอพี่คังฟานของแก มีหวังพวกเราคงต้องแข็งตายก่อนพอดี… ฟู่วว…”

“โถ่ ก็ฉันอยากจะอวดหุ่นสวยๆให้พี่คังฟานดูนี่นา? ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี ฉันก็อยากจะให้เขาชมบ้างว่า ‘ซินซินเธอโตเป็นสาวแล้วสินะ? สวยจัง! อะไรแบบนี้ไง ไม่งั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันจะพยายามสควอชแทบตายให้หน้าอกกับก้นใหญ่ไปเพื่ออะไร? ยังดีที่เธอใส่ชุดนี้มา ไม่อย่างนั้นคงบดบังออร่าของฉันหมดแน่นอน”

“เดี๋ยวสักวันเธอจะเข้าใจเองแหละ ผู้หญิงอย่างเราทำได้ทุกอย่างเพื่อผู้ชายที่ตัวเองชอบ”

หนิงเสี่ยวเซียวถอนหายใจให้กับความคลั่งรักของเพื่อนสาวคนนี้ เธอยกมือขึ้นมาถูกันไปมาให้เกิดความร้อน พร้อมกับร้องถามออกไปว่า

“หนาวจัง ทำไมเราไม่เข้าไปรอข้างในก่อนล่ะ?”

ซินซินเหลือบมองโทรศัพท์ในมือพร้อมตอบกลับไปว่า

“อีกแป๊บนึง ดูจากเวลาตอนนี้พวกเขาน่าจะใกล้ถึงแล้วล่ะ แกเองก็น่าจะรู้นี่ พวกผู้ชายนี่แหละเป็นเจ้าแห่งความไม่ตรงเวลา อีกอย่าง ขืนเข้าไปรอข้างในที่มีแสงเทียนสลัวแบบนั้น พี่คังฟานจะสามารถยลโฉมเรือนร่างของฉันได้ยังไงล่ะ?”

หนิงเสี่ยวเซี่ยวถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยตอบไปอย่างช่วยไม่ได้ว่า

“เฮ้ออ…ทำไมฉันถึงต้องมีเพื่อนสาวแบบแกด้วยนะ? โชคชะตาของแต่ละคนมันไม่ยุติธรรมจริงๆแฮะ”

ขณะที่หญิงสาวทั้งสองสองคนกำลังขยับร่างกายไปมาเพื่อให้รู้สึกอุ่นขึ้นนั้น จู่ๆก็มีรถmercedes benzสีเงินแล่นเข้าไปจอดภายในลานจอดรถของภัตตาคาร และเป็นคังฟานที่เปิดประตูก้าวลงมาจากรถเป็นคนแรก ตามมาด้วยเหวินเจียนซึ่งเป็นพี่ชายของซินซิน และท้ายสุดคือหลู่หยานที่ก้าวลงมาเป็นคนสุดท้าย

ซินซินที่เห็นพี่ชายตัวดีก็ถึงกับขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“น่าโมโหชะมัด อย่าบอกนะว่าสองคนนั่นจะมานั่งกินกับพวกเราด้วย?”

หนิงเสี่ยวเซียวระเบิดหัวเราะลั่นออกมาทันทีที่เห็นแบบนั้น

“ดูท่าแผนเดทใต้แสงเทียนของแกคงจะพังพินาศลงแล้วล่ะ”

คังฟานยังคงดูเปล่งประกายมีสง่าราศรีเช่นเคย แม้เขาจะเดินเคียงคู่ไปกับชายหนุ่มอีกสองคนที่หล่อไม่แพ้กันอย่างเหวินเจียนและหลู่หยาน แต่ถึงยังไงเขาก็ยังดูโดดเด่นสะดุดตาที่สุดอยู่ดี

คนบางคนเกิดมาเพื่อเป็นจุดสนใจของผู้คนจริงๆ ต่อให้มีฝูงชนนับหมื่นยืนประกบอยู่ แต่สายตาของคนนอกที่มองเข้าไป ก็จะยังคงเห็นคนๆนั้นก่อนผู้ใดเสมอ

คังฟานที่เห็นซินซินกับหนิงเสี่ยวเซียวยืนรออยู่หน้าภัตตาคารแบบนั้น ก็รีบเดินจ้ำเข้าไปหาโดยเร็วพร้อมกับร้องทักทายขึ้นทันที

“ซินซิน เสี่ยวเซียว! มายืนรอกันนานรึยัง?”

แต่เมื่อได้เห็นการแต่งกายของสองสาว คังฟานก็ถึงกับขมวดคิ้วพร้อมกับถามออกไปว่า

“ทำไมนุ่มน้อยห่มน้อยกันจัง? ไม่กลัวเป็นหวัดกันรึไง? เร็วเข้า รีบเข้าไปในร้านกันดีกว่า สาวน้อยอย่างพวกเธอไม่ควรมายืนท้าทายความหนาวอยู่แบบนี้ ไม่ใช่ผู้ชายร่างกายบึกบึนเหมือนพวกเราสักหน่อย ได้ข่าวว่าเพิ่งจะเปิดเรียนไม่ใช่เหรอ? เดี๋ยวไม่สบายขึ้นมาคงแย่”

พูดจบเขาก็ถอดเสื้อสูทตัวนอกให้ซินซินสวมทับ

“ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่ได้หนาวสักหน่อย”

แม้ว่าซินซินจะตอบกลับไปแบบนั้น แต่เธอก็รับเสื้อสูทของคังฟานมาคลุมไว้ไม่ห่างตัว เธอรู้สึกมีความสุขอย่างมากที่เห็นอีกฝ่ายเป็นห่วงเป็นใยตัวเองแบบนี้

“หลู่หยาน แกก็ถอดแจ็คเก็ตให้เสี่ยวเซียวด้วยสิ”

คังฟานหันมาขยิบตาให้หลู่หยาน

“ได้เลย! ด้วยความยินดี”

หลู่หยานรีบถอดแจ็คเก็ตออกมาทันที เขาแอบชอบหนิงเสี่ยวเซียวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทว่าเขายังไม่มีโอกาสที่จะได้พัฒนาความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายเสียที คังฟานที่รู้ใจเพื่อนจึงได้พยายามสร้างโอกาสให้กับเพื่อนรักของตน

แต่ทว่า หนิงเสี่ยวเซียวกลับย่นจมูกใส่พร้อมกับปฏิเสธทันที

“หนูไม่ชอบใส่เสื้อผ้าผู้ชาย”

แม้เธอจะตอบกลับไปแบบนั้น แต่ทว่าด้วยใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักน่าชังของเธอนั้น ไม่ว่าใครก็คงจะโกรธเธอไม่ลงทั้งนั้น

เมื่อเห็นเพื่อนต้องใส่เสื้อแจ็คเก็ตกลับไปด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย คังฟานก็เผยสีหน้าแสดงความเสียใจให้เล็กน้อย ก่อนจะหันไปถามเหวินเจียงว่า

“นายจองโต๊ะเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”

“เรียบร้อยแล้ว โต๊ะหมายเลข165”

“งั้นพวกเราก็เข้าไปกันเลยดีกว่า”

….

สเต็กเนื้อที่ฉีเล่ยสั่งไปเป็นสเต็กโทมาฮอก ซึ่งทีแรกเขาเองก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงชื่อว่าสเต็กโทมาฮอก แต่เมื่อบริกรยกเข้ามาเสิร์ฟก็เข้าใจได้ในทันที เพราะรูปร่างของตัวสเต็กมันดูคล้ายกับขวานนี่เอง

ฉีเล่ยปรายตามองไปทางมีดและส้อมสีเงินแวววับมากมาย ที่ถูกจัดวางเรียงอยู่ตรงหน้าไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เขาก็ได้แต่งุนงงเลือกไม่ถูกว่าควรต้องใช้มีดและส้อมแบบไหนดี

บริกรคนที่กำลังรินไวน์แดงให้อยู่ถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นท่าทีเงอะๆงะๆของฉีเล่ย จนไม่ทันสังเกตว่าตนได้รินไวน์จนล้นแก้วออกมาแล้ว

“เอ่อ…ไวน์ล้นออกมาแล้วนะครับ”

ฉีเล่ยที่กำลังจ้องมองสเต็กชิ้นโตอยู่ก็ได้หันไปเตือนบริกรที่กำลังเหม่อลอย

“อ๊ะ! ขออภัยครับ! ขออภัยครับคุณลูกค้า!”

บริกรคนนั้นปฏิกิริยาว่องไวไม่ใช่น้อย เขารีบหยิบผ้าสีขาวสะอาดสะอ้านขึ้นมาเช็ดไวน์ที่หกเลอะบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว

ฉีเล่ยโบกมือไปมาพร้อมกับบอกไปว่า

“ไปบริการโต๊ะอื่นก็ได้ครับ พวกเราจัดการรินกันเองได้”

“ต้องขออภัยอีกครั้งนะครับ เชิญรับประทานอาหารให้อร่อยครับผม”

บริกรคนนั้นโค้งคำนับให้เล็กน้อย ขณะเดียวกันก็อดที่จะเหลือบมองไปทางฉีเล่ยอีกครั้ง และพบว่าอีกฝ่ายกำลังใช้มือแทะสเต็กโทมาฮอกอย่างบ้าคลั่ง

บริกรถึงกับร้องอุทานกับตัวเองในใจ

‘ลูกค้าคนนี้กินดุเดือดชะมัด!’

หลี่ถงซีที่เพิ่งเดินกลับมาจากห้องน้ำ เมื่อเห็นฉีเล่ยที่กำลังใช้มือแทะสเต็กแทนที่จะใช้มีดกับส้อม เธอก็ถึงกับยกมือปิดปากหลุดหัวเราะออกมาทันที

เธอกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามฉีเล่ย ก่อนจะบอกกับเขาไปว่า

“สเต็กเขาไม่ได้กินกันแบบนั้นสักหน่อย”

ฉีเล่ยเงยหน้าขึ้นมอง

“ผมรู้ๆ ยุ่งยากชะมัด”

“….”

หลี่ถงซีจึงได้อาสาหั่นสเต็กโทมาฮอกในจานให้ฉีเล่ย เพื่อที่จะสามารถหยิบกินได้พอดีคำ พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า

“ไม่เคยกินสเต็กมาก่อนเลยเหรอ?”

“เปล่าหรอก แค่คิดว่าเกิดเป็นคนจีนแท้ๆ แต่จะให้มากินอาหารต่างชาติบ่อยๆ ก็คงรู้สึกไม่ค่อยดีดีเท่าไหร่น่ะ”

หลี่ถงซียิ้มและกล่าวตอบไปว่า

“นิสัยของนายคล้ายกับคุณปู่ของฉันเลยนะ ปู่เองก็ไม่ค่อยชอบอาหารตะวันตกสักเท่าไหร่ ถึงแม้จะเคยไปอยู่ต่างประเทศมานานหลายปีก็เถอะ”

เธอเองก็ไม่คิดที่จะบังคับให้ฉีเล่ยต้องเปลี่ยนวิธีการกินเช่นกัน และที่มาช่วยหั่นสเต็กให้อีกฝ่ายนั้น ก็ไม่ใช่เพราะอับอายกลัวว่าคนรอบข้างจะสังเกตเห็น แต่ไม่อยากให้มือของเขาเลอะเทอะเท่านั้น

หลี่ถงซีมีความสามารถพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ เธอสามารถเมินเฉยต่อทุกสายตาที่จ้องมองมาได้อย่างรู้สึกสะทกสะท้าน

ทันทีที่เข้ามาในภัตตาคาร ซินซินก็จงใชชะลอฝีเท้าลง เธอยกมือขึ้นมาบิดเข้าบริเวณเนื้อที่เอวของเหวินเจียนที่เดินรั้งท้ายไปหนึ่งที พร้อมกับพูดรอดไรฟันว่า

“ฉันอยากจะมาเดทกับพี่คังฟานกันสองต่อสอง แล้วพวกนายสองคนจะตามมาหาสวรรค์วิมานอะไร?”

เหวินเจียนหันไปมองน้องสาวตัวดีของตนเองพร้อมเผยสีหน้าลำบากใจออกมา เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งพร้อมตอบกลับไปว่า

“คังฟานมันชวนพวกเรามาเองต่างหาก”

“ถึงพี่คังฟานจะชวนมาเองแล้วไง? ปฏิเสธกันไม่เป็นหรือไง?”

“ซินซิน นี่แกควรตื่นได้แล้วนะ”

เหวินเจียนกล่าวเตือนสติน้องสาวอย่างเหลืออดเหลือทนทันที

“นี่แกไม่เข้าใจเลยรึไงว่า การที่คังฟานมันทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”

“ฉันไม่สน แล้วก็ไม่อยากจะเข้าใจด้วย!”

ซินซินหันไปจ้องเหวินเจียนตาเขม็ง ก่อนจะวิ่งไล่ตามคังฟานที่เดินนำหน้าไปอย่างรวดเร็ว

เหวินเจียนคลี่ยิ้มสุดแสนจะขมขื่น พลางส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ

เขารู้ดีว่า น้องสาวคนนี้ทราบทุกอย่างดี เพียงแต่ว่า…กำลังหลอกตัวเองอยู่เท่านั้น

ขณะที่กำลังรีบสับเท้าเดินไปหาคังฟานนั้น ซินซินก็บังเอิญเหลือบไปเห็นฉีเล่ยที่กำลังหยิบกระดูกชิ้นโตขึ้นมาดู

“ไอ้หมอนั่นที่เพิ่งเจอไม่ใช่เหรอ?”

“ใจเย็นก่อนแก! อยู่ต่อหน้าผู้ชายนะ!”

หนิงเสี่ยวเซียวที่สังเกตเห็นอากัปกิริยาของเพื่อน จึงรีบเดินเข้าไปจับมือซินซินไว้พร้อมกับร้องเตือนไม่ให้ทำอะไรบุ่มบ่าม

ถ้าดินเนอร์มื้อนี้ยังคงดำเนินต่อไปภายใต้อารมณ์หงุดงหงิดแบบนี้คงจะไม่ดีแน่

แต่จู่ๆคังฟานก็พลันไปได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่เข้าพอดี เขาชะงักฝีเท้าพร้อมกับหันมองไปตามสายตาของซินซิน และทันใดนั้นเอง จู่ๆแววตาของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นอย่างฉับพลัน

เขายกมือขึ้นชี้ไปที่โต๊ะดังกล่าว พร้อมกับเอ่ยถามซินซินว่า

“รู้จักกันเหรอ?”

ซินซินหันขวับไปตอบคังฟานแบบติดตลก

“ฮ่าฮ่า จะว่าเพื่อนก็ไม่ใช่ คนรู้จักก็ไม่เชิงนะคะ”

บังเอิญพบเจอศัตรูในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ ทางที่ดีที่สุดคือไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว นี่คือสิ่งที่ซินซินคิด ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่าเดิมได้

คังฟานยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ในเมื่อพอจะคุ้นหน้าคุ้นตากันมาบ้าง ไม่คิดที่จะไปทักทายเพื่อนเก่ากันหน่อยเหรอ?”

“คะ?”

ซินซินร้องอุทานออกมาด้วยสีหน้างุนงง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน 163 เพื่อนก็ไม่ใช่ คนรู้จักก็ไม่เชิง

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter 163 เพื่อนก็ไม่ใช่ คนรู้จักก็ไม่เชิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่163 เพื่อนก็ไม่ใช่ คนรู้จักก็ไม่เชิง

สาวน้อยสองคนกำลังยืนกอดอกตัวสั่นอยู่หน้าภัตตาคารอาหารฝรั่งไวโอเลต

ซินซินยืนคอตกมือไม้สั่นด้วยความเหน็บหนาว เธอร้องบอกออกไปอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก

“ฉันบอกเขาไปแล้วว่าพวกเรานัดกันที่นี่! ปล่อยให้คอยอยู่ตั้งนาน แล้วนี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วทำไมยังไม่มาอีก? เสี่ยวเซียว หรือว่าเขาจะแอบไปเดทกับสาวสวยกันสองต่อสอง!?”

ปักกิ่งในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้ อากาศจะค่อนข้างเย็น มิหนำซ้ำบนเรือนร่างของพวกเธอทั้งคู่ ก็ยังมีเสื้อผ้าอยู่น้อยชิ้นอีกด้วย

หนิงเสี่ยวเซียวได้แต่ยิ้มและตอบกลับไปว่า

“เดี๋ยวนะ ทำไมถึงต้องทำตัวเป็นคุณหนูใหญ่กลัวขายไม่ออกขนาดนี้ด้วย? หรือแกจะกลัวว่าชาตินี้จะขึ้นคานจริงๆ?”

ซินซินเชิดหน้าขึ้นทันทีพร้อมกับยืดอกตอบด้วยสีหน้าหยิ่งจองหอง

“คนอย่างฉันนี่นะต้องกลัวขึ้นคาน? ขอโทษ มีผู้ชายไม่รู้กี่คนต่อกี่คนที่หลงไหลในตัวฉัน แต่ฉันต้องการแต่งงานกับพี่คังฟานคนเดียวเท่านั้นต่างหาก!”

หนิงเสี่ยวเซียวถึงกับหันไปส่งสายตาค้อนให้ ก่อนจะแกล้งทำสีหน้าล้อเลียนเพื่อนสาวไปว่า

“จ้ะ จ้ะ แม่คนสวยเลือกได้! ว่าแต่ทำไมถึงต้องบังคับให้ฉันใส่ชุดแบบนี้มาด้วย? คิดว่านี่มันหน้าร้อนรึไง ถึงได้ให้ฉันใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นแบบนี้มาห๊ะ? ก่อนจะเจอพี่คังฟานของแก มีหวังพวกเราคงต้องแข็งตายก่อนพอดี… ฟู่วว…”

“โถ่ ก็ฉันอยากจะอวดหุ่นสวยๆให้พี่คังฟานดูนี่นา? ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี ฉันก็อยากจะให้เขาชมบ้างว่า ‘ซินซินเธอโตเป็นสาวแล้วสินะ? สวยจัง! อะไรแบบนี้ไง ไม่งั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันจะพยายามสควอชแทบตายให้หน้าอกกับก้นใหญ่ไปเพื่ออะไร? ยังดีที่เธอใส่ชุดนี้มา ไม่อย่างนั้นคงบดบังออร่าของฉันหมดแน่นอน”

“เดี๋ยวสักวันเธอจะเข้าใจเองแหละ ผู้หญิงอย่างเราทำได้ทุกอย่างเพื่อผู้ชายที่ตัวเองชอบ”

หนิงเสี่ยวเซียวถอนหายใจให้กับความคลั่งรักของเพื่อนสาวคนนี้ เธอยกมือขึ้นมาถูกันไปมาให้เกิดความร้อน พร้อมกับร้องถามออกไปว่า

“หนาวจัง ทำไมเราไม่เข้าไปรอข้างในก่อนล่ะ?”

ซินซินเหลือบมองโทรศัพท์ในมือพร้อมตอบกลับไปว่า

“อีกแป๊บนึง ดูจากเวลาตอนนี้พวกเขาน่าจะใกล้ถึงแล้วล่ะ แกเองก็น่าจะรู้นี่ พวกผู้ชายนี่แหละเป็นเจ้าแห่งความไม่ตรงเวลา อีกอย่าง ขืนเข้าไปรอข้างในที่มีแสงเทียนสลัวแบบนั้น พี่คังฟานจะสามารถยลโฉมเรือนร่างของฉันได้ยังไงล่ะ?”

หนิงเสี่ยวเซี่ยวถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยตอบไปอย่างช่วยไม่ได้ว่า

“เฮ้ออ…ทำไมฉันถึงต้องมีเพื่อนสาวแบบแกด้วยนะ? โชคชะตาของแต่ละคนมันไม่ยุติธรรมจริงๆแฮะ”

ขณะที่หญิงสาวทั้งสองสองคนกำลังขยับร่างกายไปมาเพื่อให้รู้สึกอุ่นขึ้นนั้น จู่ๆก็มีรถmercedes benzสีเงินแล่นเข้าไปจอดภายในลานจอดรถของภัตตาคาร และเป็นคังฟานที่เปิดประตูก้าวลงมาจากรถเป็นคนแรก ตามมาด้วยเหวินเจียนซึ่งเป็นพี่ชายของซินซิน และท้ายสุดคือหลู่หยานที่ก้าวลงมาเป็นคนสุดท้าย

ซินซินที่เห็นพี่ชายตัวดีก็ถึงกับขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“น่าโมโหชะมัด อย่าบอกนะว่าสองคนนั่นจะมานั่งกินกับพวกเราด้วย?”

หนิงเสี่ยวเซียวระเบิดหัวเราะลั่นออกมาทันทีที่เห็นแบบนั้น

“ดูท่าแผนเดทใต้แสงเทียนของแกคงจะพังพินาศลงแล้วล่ะ”

คังฟานยังคงดูเปล่งประกายมีสง่าราศรีเช่นเคย แม้เขาจะเดินเคียงคู่ไปกับชายหนุ่มอีกสองคนที่หล่อไม่แพ้กันอย่างเหวินเจียนและหลู่หยาน แต่ถึงยังไงเขาก็ยังดูโดดเด่นสะดุดตาที่สุดอยู่ดี

คนบางคนเกิดมาเพื่อเป็นจุดสนใจของผู้คนจริงๆ ต่อให้มีฝูงชนนับหมื่นยืนประกบอยู่ แต่สายตาของคนนอกที่มองเข้าไป ก็จะยังคงเห็นคนๆนั้นก่อนผู้ใดเสมอ

คังฟานที่เห็นซินซินกับหนิงเสี่ยวเซียวยืนรออยู่หน้าภัตตาคารแบบนั้น ก็รีบเดินจ้ำเข้าไปหาโดยเร็วพร้อมกับร้องทักทายขึ้นทันที

“ซินซิน เสี่ยวเซียว! มายืนรอกันนานรึยัง?”

แต่เมื่อได้เห็นการแต่งกายของสองสาว คังฟานก็ถึงกับขมวดคิ้วพร้อมกับถามออกไปว่า

“ทำไมนุ่มน้อยห่มน้อยกันจัง? ไม่กลัวเป็นหวัดกันรึไง? เร็วเข้า รีบเข้าไปในร้านกันดีกว่า สาวน้อยอย่างพวกเธอไม่ควรมายืนท้าทายความหนาวอยู่แบบนี้ ไม่ใช่ผู้ชายร่างกายบึกบึนเหมือนพวกเราสักหน่อย ได้ข่าวว่าเพิ่งจะเปิดเรียนไม่ใช่เหรอ? เดี๋ยวไม่สบายขึ้นมาคงแย่”

พูดจบเขาก็ถอดเสื้อสูทตัวนอกให้ซินซินสวมทับ

“ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่ได้หนาวสักหน่อย”

แม้ว่าซินซินจะตอบกลับไปแบบนั้น แต่เธอก็รับเสื้อสูทของคังฟานมาคลุมไว้ไม่ห่างตัว เธอรู้สึกมีความสุขอย่างมากที่เห็นอีกฝ่ายเป็นห่วงเป็นใยตัวเองแบบนี้

“หลู่หยาน แกก็ถอดแจ็คเก็ตให้เสี่ยวเซียวด้วยสิ”

คังฟานหันมาขยิบตาให้หลู่หยาน

“ได้เลย! ด้วยความยินดี”

หลู่หยานรีบถอดแจ็คเก็ตออกมาทันที เขาแอบชอบหนิงเสี่ยวเซียวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทว่าเขายังไม่มีโอกาสที่จะได้พัฒนาความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายเสียที คังฟานที่รู้ใจเพื่อนจึงได้พยายามสร้างโอกาสให้กับเพื่อนรักของตน

แต่ทว่า หนิงเสี่ยวเซียวกลับย่นจมูกใส่พร้อมกับปฏิเสธทันที

“หนูไม่ชอบใส่เสื้อผ้าผู้ชาย”

แม้เธอจะตอบกลับไปแบบนั้น แต่ทว่าด้วยใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักน่าชังของเธอนั้น ไม่ว่าใครก็คงจะโกรธเธอไม่ลงทั้งนั้น

เมื่อเห็นเพื่อนต้องใส่เสื้อแจ็คเก็ตกลับไปด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย คังฟานก็เผยสีหน้าแสดงความเสียใจให้เล็กน้อย ก่อนจะหันไปถามเหวินเจียงว่า

“นายจองโต๊ะเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”

“เรียบร้อยแล้ว โต๊ะหมายเลข165”

“งั้นพวกเราก็เข้าไปกันเลยดีกว่า”

….

สเต็กเนื้อที่ฉีเล่ยสั่งไปเป็นสเต็กโทมาฮอก ซึ่งทีแรกเขาเองก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงชื่อว่าสเต็กโทมาฮอก แต่เมื่อบริกรยกเข้ามาเสิร์ฟก็เข้าใจได้ในทันที เพราะรูปร่างของตัวสเต็กมันดูคล้ายกับขวานนี่เอง

ฉีเล่ยปรายตามองไปทางมีดและส้อมสีเงินแวววับมากมาย ที่ถูกจัดวางเรียงอยู่ตรงหน้าไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เขาก็ได้แต่งุนงงเลือกไม่ถูกว่าควรต้องใช้มีดและส้อมแบบไหนดี

บริกรคนที่กำลังรินไวน์แดงให้อยู่ถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นท่าทีเงอะๆงะๆของฉีเล่ย จนไม่ทันสังเกตว่าตนได้รินไวน์จนล้นแก้วออกมาแล้ว

“เอ่อ…ไวน์ล้นออกมาแล้วนะครับ”

ฉีเล่ยที่กำลังจ้องมองสเต็กชิ้นโตอยู่ก็ได้หันไปเตือนบริกรที่กำลังเหม่อลอย

“อ๊ะ! ขออภัยครับ! ขออภัยครับคุณลูกค้า!”

บริกรคนนั้นปฏิกิริยาว่องไวไม่ใช่น้อย เขารีบหยิบผ้าสีขาวสะอาดสะอ้านขึ้นมาเช็ดไวน์ที่หกเลอะบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว

ฉีเล่ยโบกมือไปมาพร้อมกับบอกไปว่า

“ไปบริการโต๊ะอื่นก็ได้ครับ พวกเราจัดการรินกันเองได้”

“ต้องขออภัยอีกครั้งนะครับ เชิญรับประทานอาหารให้อร่อยครับผม”

บริกรคนนั้นโค้งคำนับให้เล็กน้อย ขณะเดียวกันก็อดที่จะเหลือบมองไปทางฉีเล่ยอีกครั้ง และพบว่าอีกฝ่ายกำลังใช้มือแทะสเต็กโทมาฮอกอย่างบ้าคลั่ง

บริกรถึงกับร้องอุทานกับตัวเองในใจ

‘ลูกค้าคนนี้กินดุเดือดชะมัด!’

หลี่ถงซีที่เพิ่งเดินกลับมาจากห้องน้ำ เมื่อเห็นฉีเล่ยที่กำลังใช้มือแทะสเต็กแทนที่จะใช้มีดกับส้อม เธอก็ถึงกับยกมือปิดปากหลุดหัวเราะออกมาทันที

เธอกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามฉีเล่ย ก่อนจะบอกกับเขาไปว่า

“สเต็กเขาไม่ได้กินกันแบบนั้นสักหน่อย”

ฉีเล่ยเงยหน้าขึ้นมอง

“ผมรู้ๆ ยุ่งยากชะมัด”

“….”

หลี่ถงซีจึงได้อาสาหั่นสเต็กโทมาฮอกในจานให้ฉีเล่ย เพื่อที่จะสามารถหยิบกินได้พอดีคำ พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า

“ไม่เคยกินสเต็กมาก่อนเลยเหรอ?”

“เปล่าหรอก แค่คิดว่าเกิดเป็นคนจีนแท้ๆ แต่จะให้มากินอาหารต่างชาติบ่อยๆ ก็คงรู้สึกไม่ค่อยดีดีเท่าไหร่น่ะ”

หลี่ถงซียิ้มและกล่าวตอบไปว่า

“นิสัยของนายคล้ายกับคุณปู่ของฉันเลยนะ ปู่เองก็ไม่ค่อยชอบอาหารตะวันตกสักเท่าไหร่ ถึงแม้จะเคยไปอยู่ต่างประเทศมานานหลายปีก็เถอะ”

เธอเองก็ไม่คิดที่จะบังคับให้ฉีเล่ยต้องเปลี่ยนวิธีการกินเช่นกัน และที่มาช่วยหั่นสเต็กให้อีกฝ่ายนั้น ก็ไม่ใช่เพราะอับอายกลัวว่าคนรอบข้างจะสังเกตเห็น แต่ไม่อยากให้มือของเขาเลอะเทอะเท่านั้น

หลี่ถงซีมีความสามารถพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ เธอสามารถเมินเฉยต่อทุกสายตาที่จ้องมองมาได้อย่างรู้สึกสะทกสะท้าน

ทันทีที่เข้ามาในภัตตาคาร ซินซินก็จงใชชะลอฝีเท้าลง เธอยกมือขึ้นมาบิดเข้าบริเวณเนื้อที่เอวของเหวินเจียนที่เดินรั้งท้ายไปหนึ่งที พร้อมกับพูดรอดไรฟันว่า

“ฉันอยากจะมาเดทกับพี่คังฟานกันสองต่อสอง แล้วพวกนายสองคนจะตามมาหาสวรรค์วิมานอะไร?”

เหวินเจียนหันไปมองน้องสาวตัวดีของตนเองพร้อมเผยสีหน้าลำบากใจออกมา เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งพร้อมตอบกลับไปว่า

“คังฟานมันชวนพวกเรามาเองต่างหาก”

“ถึงพี่คังฟานจะชวนมาเองแล้วไง? ปฏิเสธกันไม่เป็นหรือไง?”

“ซินซิน นี่แกควรตื่นได้แล้วนะ”

เหวินเจียนกล่าวเตือนสติน้องสาวอย่างเหลืออดเหลือทนทันที

“นี่แกไม่เข้าใจเลยรึไงว่า การที่คังฟานมันทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”

“ฉันไม่สน แล้วก็ไม่อยากจะเข้าใจด้วย!”

ซินซินหันไปจ้องเหวินเจียนตาเขม็ง ก่อนจะวิ่งไล่ตามคังฟานที่เดินนำหน้าไปอย่างรวดเร็ว

เหวินเจียนคลี่ยิ้มสุดแสนจะขมขื่น พลางส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ

เขารู้ดีว่า น้องสาวคนนี้ทราบทุกอย่างดี เพียงแต่ว่า…กำลังหลอกตัวเองอยู่เท่านั้น

ขณะที่กำลังรีบสับเท้าเดินไปหาคังฟานนั้น ซินซินก็บังเอิญเหลือบไปเห็นฉีเล่ยที่กำลังหยิบกระดูกชิ้นโตขึ้นมาดู

“ไอ้หมอนั่นที่เพิ่งเจอไม่ใช่เหรอ?”

“ใจเย็นก่อนแก! อยู่ต่อหน้าผู้ชายนะ!”

หนิงเสี่ยวเซียวที่สังเกตเห็นอากัปกิริยาของเพื่อน จึงรีบเดินเข้าไปจับมือซินซินไว้พร้อมกับร้องเตือนไม่ให้ทำอะไรบุ่มบ่าม

ถ้าดินเนอร์มื้อนี้ยังคงดำเนินต่อไปภายใต้อารมณ์หงุดงหงิดแบบนี้คงจะไม่ดีแน่

แต่จู่ๆคังฟานก็พลันไปได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่เข้าพอดี เขาชะงักฝีเท้าพร้อมกับหันมองไปตามสายตาของซินซิน และทันใดนั้นเอง จู่ๆแววตาของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นอย่างฉับพลัน

เขายกมือขึ้นชี้ไปที่โต๊ะดังกล่าว พร้อมกับเอ่ยถามซินซินว่า

“รู้จักกันเหรอ?”

ซินซินหันขวับไปตอบคังฟานแบบติดตลก

“ฮ่าฮ่า จะว่าเพื่อนก็ไม่ใช่ คนรู้จักก็ไม่เชิงนะคะ”

บังเอิญพบเจอศัตรูในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ ทางที่ดีที่สุดคือไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว นี่คือสิ่งที่ซินซินคิด ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่าเดิมได้

คังฟานยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ในเมื่อพอจะคุ้นหน้าคุ้นตากันมาบ้าง ไม่คิดที่จะไปทักทายเพื่อนเก่ากันหน่อยเหรอ?”

“คะ?”

ซินซินร้องอุทานออกมาด้วยสีหน้างุนงง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน 163 เพื่อนก็ไม่ใช่ คนรู้จักก็ไม่เชิง

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter 163 เพื่อนก็ไม่ใช่ คนรู้จักก็ไม่เชิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่163 เพื่อนก็ไม่ใช่ คนรู้จักก็ไม่เชิง

สาวน้อยสองคนกำลังยืนกอดอกตัวสั่นอยู่หน้าภัตตาคารอาหารฝรั่งไวโอเลต

ซินซินยืนคอตกมือไม้สั่นด้วยความเหน็บหนาว เธอร้องบอกออกไปอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก

“ฉันบอกเขาไปแล้วว่าพวกเรานัดกันที่นี่! ปล่อยให้คอยอยู่ตั้งนาน แล้วนี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วทำไมยังไม่มาอีก? เสี่ยวเซียว หรือว่าเขาจะแอบไปเดทกับสาวสวยกันสองต่อสอง!?”

ปักกิ่งในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้ อากาศจะค่อนข้างเย็น มิหนำซ้ำบนเรือนร่างของพวกเธอทั้งคู่ ก็ยังมีเสื้อผ้าอยู่น้อยชิ้นอีกด้วย

หนิงเสี่ยวเซียวได้แต่ยิ้มและตอบกลับไปว่า

“เดี๋ยวนะ ทำไมถึงต้องทำตัวเป็นคุณหนูใหญ่กลัวขายไม่ออกขนาดนี้ด้วย? หรือแกจะกลัวว่าชาตินี้จะขึ้นคานจริงๆ?”

ซินซินเชิดหน้าขึ้นทันทีพร้อมกับยืดอกตอบด้วยสีหน้าหยิ่งจองหอง

“คนอย่างฉันนี่นะต้องกลัวขึ้นคาน? ขอโทษ มีผู้ชายไม่รู้กี่คนต่อกี่คนที่หลงไหลในตัวฉัน แต่ฉันต้องการแต่งงานกับพี่คังฟานคนเดียวเท่านั้นต่างหาก!”

หนิงเสี่ยวเซียวถึงกับหันไปส่งสายตาค้อนให้ ก่อนจะแกล้งทำสีหน้าล้อเลียนเพื่อนสาวไปว่า

“จ้ะ จ้ะ แม่คนสวยเลือกได้! ว่าแต่ทำไมถึงต้องบังคับให้ฉันใส่ชุดแบบนี้มาด้วย? คิดว่านี่มันหน้าร้อนรึไง ถึงได้ให้ฉันใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นแบบนี้มาห๊ะ? ก่อนจะเจอพี่คังฟานของแก มีหวังพวกเราคงต้องแข็งตายก่อนพอดี… ฟู่วว…”

“โถ่ ก็ฉันอยากจะอวดหุ่นสวยๆให้พี่คังฟานดูนี่นา? ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี ฉันก็อยากจะให้เขาชมบ้างว่า ‘ซินซินเธอโตเป็นสาวแล้วสินะ? สวยจัง! อะไรแบบนี้ไง ไม่งั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันจะพยายามสควอชแทบตายให้หน้าอกกับก้นใหญ่ไปเพื่ออะไร? ยังดีที่เธอใส่ชุดนี้มา ไม่อย่างนั้นคงบดบังออร่าของฉันหมดแน่นอน”

“เดี๋ยวสักวันเธอจะเข้าใจเองแหละ ผู้หญิงอย่างเราทำได้ทุกอย่างเพื่อผู้ชายที่ตัวเองชอบ”

หนิงเสี่ยวเซียวถอนหายใจให้กับความคลั่งรักของเพื่อนสาวคนนี้ เธอยกมือขึ้นมาถูกันไปมาให้เกิดความร้อน พร้อมกับร้องถามออกไปว่า

“หนาวจัง ทำไมเราไม่เข้าไปรอข้างในก่อนล่ะ?”

ซินซินเหลือบมองโทรศัพท์ในมือพร้อมตอบกลับไปว่า

“อีกแป๊บนึง ดูจากเวลาตอนนี้พวกเขาน่าจะใกล้ถึงแล้วล่ะ แกเองก็น่าจะรู้นี่ พวกผู้ชายนี่แหละเป็นเจ้าแห่งความไม่ตรงเวลา อีกอย่าง ขืนเข้าไปรอข้างในที่มีแสงเทียนสลัวแบบนั้น พี่คังฟานจะสามารถยลโฉมเรือนร่างของฉันได้ยังไงล่ะ?”

หนิงเสี่ยวเซี่ยวถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยตอบไปอย่างช่วยไม่ได้ว่า

“เฮ้ออ…ทำไมฉันถึงต้องมีเพื่อนสาวแบบแกด้วยนะ? โชคชะตาของแต่ละคนมันไม่ยุติธรรมจริงๆแฮะ”

ขณะที่หญิงสาวทั้งสองสองคนกำลังขยับร่างกายไปมาเพื่อให้รู้สึกอุ่นขึ้นนั้น จู่ๆก็มีรถmercedes benzสีเงินแล่นเข้าไปจอดภายในลานจอดรถของภัตตาคาร และเป็นคังฟานที่เปิดประตูก้าวลงมาจากรถเป็นคนแรก ตามมาด้วยเหวินเจียนซึ่งเป็นพี่ชายของซินซิน และท้ายสุดคือหลู่หยานที่ก้าวลงมาเป็นคนสุดท้าย

ซินซินที่เห็นพี่ชายตัวดีก็ถึงกับขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“น่าโมโหชะมัด อย่าบอกนะว่าสองคนนั่นจะมานั่งกินกับพวกเราด้วย?”

หนิงเสี่ยวเซียวระเบิดหัวเราะลั่นออกมาทันทีที่เห็นแบบนั้น

“ดูท่าแผนเดทใต้แสงเทียนของแกคงจะพังพินาศลงแล้วล่ะ”

คังฟานยังคงดูเปล่งประกายมีสง่าราศรีเช่นเคย แม้เขาจะเดินเคียงคู่ไปกับชายหนุ่มอีกสองคนที่หล่อไม่แพ้กันอย่างเหวินเจียนและหลู่หยาน แต่ถึงยังไงเขาก็ยังดูโดดเด่นสะดุดตาที่สุดอยู่ดี

คนบางคนเกิดมาเพื่อเป็นจุดสนใจของผู้คนจริงๆ ต่อให้มีฝูงชนนับหมื่นยืนประกบอยู่ แต่สายตาของคนนอกที่มองเข้าไป ก็จะยังคงเห็นคนๆนั้นก่อนผู้ใดเสมอ

คังฟานที่เห็นซินซินกับหนิงเสี่ยวเซียวยืนรออยู่หน้าภัตตาคารแบบนั้น ก็รีบเดินจ้ำเข้าไปหาโดยเร็วพร้อมกับร้องทักทายขึ้นทันที

“ซินซิน เสี่ยวเซียว! มายืนรอกันนานรึยัง?”

แต่เมื่อได้เห็นการแต่งกายของสองสาว คังฟานก็ถึงกับขมวดคิ้วพร้อมกับถามออกไปว่า

“ทำไมนุ่มน้อยห่มน้อยกันจัง? ไม่กลัวเป็นหวัดกันรึไง? เร็วเข้า รีบเข้าไปในร้านกันดีกว่า สาวน้อยอย่างพวกเธอไม่ควรมายืนท้าทายความหนาวอยู่แบบนี้ ไม่ใช่ผู้ชายร่างกายบึกบึนเหมือนพวกเราสักหน่อย ได้ข่าวว่าเพิ่งจะเปิดเรียนไม่ใช่เหรอ? เดี๋ยวไม่สบายขึ้นมาคงแย่”

พูดจบเขาก็ถอดเสื้อสูทตัวนอกให้ซินซินสวมทับ

“ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่ได้หนาวสักหน่อย”

แม้ว่าซินซินจะตอบกลับไปแบบนั้น แต่เธอก็รับเสื้อสูทของคังฟานมาคลุมไว้ไม่ห่างตัว เธอรู้สึกมีความสุขอย่างมากที่เห็นอีกฝ่ายเป็นห่วงเป็นใยตัวเองแบบนี้

“หลู่หยาน แกก็ถอดแจ็คเก็ตให้เสี่ยวเซียวด้วยสิ”

คังฟานหันมาขยิบตาให้หลู่หยาน

“ได้เลย! ด้วยความยินดี”

หลู่หยานรีบถอดแจ็คเก็ตออกมาทันที เขาแอบชอบหนิงเสี่ยวเซียวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทว่าเขายังไม่มีโอกาสที่จะได้พัฒนาความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายเสียที คังฟานที่รู้ใจเพื่อนจึงได้พยายามสร้างโอกาสให้กับเพื่อนรักของตน

แต่ทว่า หนิงเสี่ยวเซียวกลับย่นจมูกใส่พร้อมกับปฏิเสธทันที

“หนูไม่ชอบใส่เสื้อผ้าผู้ชาย”

แม้เธอจะตอบกลับไปแบบนั้น แต่ทว่าด้วยใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักน่าชังของเธอนั้น ไม่ว่าใครก็คงจะโกรธเธอไม่ลงทั้งนั้น

เมื่อเห็นเพื่อนต้องใส่เสื้อแจ็คเก็ตกลับไปด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย คังฟานก็เผยสีหน้าแสดงความเสียใจให้เล็กน้อย ก่อนจะหันไปถามเหวินเจียงว่า

“นายจองโต๊ะเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”

“เรียบร้อยแล้ว โต๊ะหมายเลข165”

“งั้นพวกเราก็เข้าไปกันเลยดีกว่า”

….

สเต็กเนื้อที่ฉีเล่ยสั่งไปเป็นสเต็กโทมาฮอก ซึ่งทีแรกเขาเองก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงชื่อว่าสเต็กโทมาฮอก แต่เมื่อบริกรยกเข้ามาเสิร์ฟก็เข้าใจได้ในทันที เพราะรูปร่างของตัวสเต็กมันดูคล้ายกับขวานนี่เอง

ฉีเล่ยปรายตามองไปทางมีดและส้อมสีเงินแวววับมากมาย ที่ถูกจัดวางเรียงอยู่ตรงหน้าไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เขาก็ได้แต่งุนงงเลือกไม่ถูกว่าควรต้องใช้มีดและส้อมแบบไหนดี

บริกรคนที่กำลังรินไวน์แดงให้อยู่ถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นท่าทีเงอะๆงะๆของฉีเล่ย จนไม่ทันสังเกตว่าตนได้รินไวน์จนล้นแก้วออกมาแล้ว

“เอ่อ…ไวน์ล้นออกมาแล้วนะครับ”

ฉีเล่ยที่กำลังจ้องมองสเต็กชิ้นโตอยู่ก็ได้หันไปเตือนบริกรที่กำลังเหม่อลอย

“อ๊ะ! ขออภัยครับ! ขออภัยครับคุณลูกค้า!”

บริกรคนนั้นปฏิกิริยาว่องไวไม่ใช่น้อย เขารีบหยิบผ้าสีขาวสะอาดสะอ้านขึ้นมาเช็ดไวน์ที่หกเลอะบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว

ฉีเล่ยโบกมือไปมาพร้อมกับบอกไปว่า

“ไปบริการโต๊ะอื่นก็ได้ครับ พวกเราจัดการรินกันเองได้”

“ต้องขออภัยอีกครั้งนะครับ เชิญรับประทานอาหารให้อร่อยครับผม”

บริกรคนนั้นโค้งคำนับให้เล็กน้อย ขณะเดียวกันก็อดที่จะเหลือบมองไปทางฉีเล่ยอีกครั้ง และพบว่าอีกฝ่ายกำลังใช้มือแทะสเต็กโทมาฮอกอย่างบ้าคลั่ง

บริกรถึงกับร้องอุทานกับตัวเองในใจ

‘ลูกค้าคนนี้กินดุเดือดชะมัด!’

หลี่ถงซีที่เพิ่งเดินกลับมาจากห้องน้ำ เมื่อเห็นฉีเล่ยที่กำลังใช้มือแทะสเต็กแทนที่จะใช้มีดกับส้อม เธอก็ถึงกับยกมือปิดปากหลุดหัวเราะออกมาทันที

เธอกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามฉีเล่ย ก่อนจะบอกกับเขาไปว่า

“สเต็กเขาไม่ได้กินกันแบบนั้นสักหน่อย”

ฉีเล่ยเงยหน้าขึ้นมอง

“ผมรู้ๆ ยุ่งยากชะมัด”

“….”

หลี่ถงซีจึงได้อาสาหั่นสเต็กโทมาฮอกในจานให้ฉีเล่ย เพื่อที่จะสามารถหยิบกินได้พอดีคำ พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า

“ไม่เคยกินสเต็กมาก่อนเลยเหรอ?”

“เปล่าหรอก แค่คิดว่าเกิดเป็นคนจีนแท้ๆ แต่จะให้มากินอาหารต่างชาติบ่อยๆ ก็คงรู้สึกไม่ค่อยดีดีเท่าไหร่น่ะ”

หลี่ถงซียิ้มและกล่าวตอบไปว่า

“นิสัยของนายคล้ายกับคุณปู่ของฉันเลยนะ ปู่เองก็ไม่ค่อยชอบอาหารตะวันตกสักเท่าไหร่ ถึงแม้จะเคยไปอยู่ต่างประเทศมานานหลายปีก็เถอะ”

เธอเองก็ไม่คิดที่จะบังคับให้ฉีเล่ยต้องเปลี่ยนวิธีการกินเช่นกัน และที่มาช่วยหั่นสเต็กให้อีกฝ่ายนั้น ก็ไม่ใช่เพราะอับอายกลัวว่าคนรอบข้างจะสังเกตเห็น แต่ไม่อยากให้มือของเขาเลอะเทอะเท่านั้น

หลี่ถงซีมีความสามารถพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ เธอสามารถเมินเฉยต่อทุกสายตาที่จ้องมองมาได้อย่างรู้สึกสะทกสะท้าน

ทันทีที่เข้ามาในภัตตาคาร ซินซินก็จงใชชะลอฝีเท้าลง เธอยกมือขึ้นมาบิดเข้าบริเวณเนื้อที่เอวของเหวินเจียนที่เดินรั้งท้ายไปหนึ่งที พร้อมกับพูดรอดไรฟันว่า

“ฉันอยากจะมาเดทกับพี่คังฟานกันสองต่อสอง แล้วพวกนายสองคนจะตามมาหาสวรรค์วิมานอะไร?”

เหวินเจียนหันไปมองน้องสาวตัวดีของตนเองพร้อมเผยสีหน้าลำบากใจออกมา เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งพร้อมตอบกลับไปว่า

“คังฟานมันชวนพวกเรามาเองต่างหาก”

“ถึงพี่คังฟานจะชวนมาเองแล้วไง? ปฏิเสธกันไม่เป็นหรือไง?”

“ซินซิน นี่แกควรตื่นได้แล้วนะ”

เหวินเจียนกล่าวเตือนสติน้องสาวอย่างเหลืออดเหลือทนทันที

“นี่แกไม่เข้าใจเลยรึไงว่า การที่คังฟานมันทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”

“ฉันไม่สน แล้วก็ไม่อยากจะเข้าใจด้วย!”

ซินซินหันไปจ้องเหวินเจียนตาเขม็ง ก่อนจะวิ่งไล่ตามคังฟานที่เดินนำหน้าไปอย่างรวดเร็ว

เหวินเจียนคลี่ยิ้มสุดแสนจะขมขื่น พลางส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ

เขารู้ดีว่า น้องสาวคนนี้ทราบทุกอย่างดี เพียงแต่ว่า…กำลังหลอกตัวเองอยู่เท่านั้น

ขณะที่กำลังรีบสับเท้าเดินไปหาคังฟานนั้น ซินซินก็บังเอิญเหลือบไปเห็นฉีเล่ยที่กำลังหยิบกระดูกชิ้นโตขึ้นมาดู

“ไอ้หมอนั่นที่เพิ่งเจอไม่ใช่เหรอ?”

“ใจเย็นก่อนแก! อยู่ต่อหน้าผู้ชายนะ!”

หนิงเสี่ยวเซียวที่สังเกตเห็นอากัปกิริยาของเพื่อน จึงรีบเดินเข้าไปจับมือซินซินไว้พร้อมกับร้องเตือนไม่ให้ทำอะไรบุ่มบ่าม

ถ้าดินเนอร์มื้อนี้ยังคงดำเนินต่อไปภายใต้อารมณ์หงุดงหงิดแบบนี้คงจะไม่ดีแน่

แต่จู่ๆคังฟานก็พลันไปได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่เข้าพอดี เขาชะงักฝีเท้าพร้อมกับหันมองไปตามสายตาของซินซิน และทันใดนั้นเอง จู่ๆแววตาของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นอย่างฉับพลัน

เขายกมือขึ้นชี้ไปที่โต๊ะดังกล่าว พร้อมกับเอ่ยถามซินซินว่า

“รู้จักกันเหรอ?”

ซินซินหันขวับไปตอบคังฟานแบบติดตลก

“ฮ่าฮ่า จะว่าเพื่อนก็ไม่ใช่ คนรู้จักก็ไม่เชิงนะคะ”

บังเอิญพบเจอศัตรูในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ ทางที่ดีที่สุดคือไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว นี่คือสิ่งที่ซินซินคิด ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่าเดิมได้

คังฟานยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ในเมื่อพอจะคุ้นหน้าคุ้นตากันมาบ้าง ไม่คิดที่จะไปทักทายเพื่อนเก่ากันหน่อยเหรอ?”

“คะ?”

ซินซินร้องอุทานออกมาด้วยสีหน้างุนงง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+