ยอดคุณหมอสกุลเฉิน 153 ประลองรอบสอง(1)

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter 153 ประลองรอบสอง(1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่153 ประลองรอบสอง(1)

ฉีเล่ยเคยโค่นตระกูลเป่ยได้แล้วครั้งหนึ่ง และเป่ยฉวนเทียนเองก็ยังเต็มใจมอบป้ายประจำตระกูลเป่ยให้กับเขาอีกด้วย ซึ่งฉีเล่ยก็ปฏิเสธที่จะรับมา แต่กลับถูกอีกฝ่ายรบเร้าไม่หยุดจนต้องนำกลับมาบ้านด้วยจนได้ ส่วนเหตุผลที่ไม่อยากรับเอามานั้น ก็เพราะไม่ต้องการสร้างปัญหาให้อีกฝ่ายนั่นเอง

แต่เมื่อฉีเล่ยกลับมาที่คลินิกตระกูลเป่ยอีกครั้งกลับผิดคาด เขาได้พบว่า ธุรกิจของตระกูลเป่ยไม่เพียงจะไม่ได้รับผลกระทบหลังจากถูกปลดป้ายตระกูลออกไป แต่กลับยิ่งทำให้มีคนไข้มากขึ้นกว่าก่อนหน้าอย่างน้อยสองถึงสามเท่าเลยทีเดียว!

อันที่จริงแล้ว หากลองใคร่ครวญดูคิดให้ดี ตระกูลเป่ยนั้นก่อตั้งคลีนิกอยู่ในเมืองปักกิ่งมาก็นานแล้ว และเสาหลักที่ทำให้คลีนิคแห่งนี้ยังคงได้รับความนิยมจวบจนถึงปัจจุบัน ก็คือชื่อเสียงของเป่ยฉวนเทียนที่สั่งสมมานานนับหลายสิบปีนั่นเอง ด้วยจุดแข็งดังกล่าวทำให้ที่นี่ยังคงเป็นตัวเลือกแรกเสมอสำหรับผู้คนที่เจ็บไข้ได้ป่วย และต้องการรักษาด้วยการแพทย์แผนจีน

คนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใด พวกเขาก็ย่อมผงาดอยู่ได้

ฉีเล่ยเพิ่งจะย่างเท้าก้าวเข้าไปเหยียบในโถงคลินิกได้ไม่นาน จู่ๆก็มีหญิงสาวคนหนึ่งตรงเข้ามาทักทายทันที

เธอคนนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากหญิงสาวในชุดกี่เพ้าที่เขาได้พบเมื่อครั้งก่อน เธอจำฉีเล่ยได้ทันทีที่เห็นหน้า แต่สีหน้าการแสดงออกของเธอกลับดูไม่ค่อยพอใจเขาเท่าไหร่นัก พร้อมเอ่ยถามว่า

“คุณมาทำอะไรที่นี่อีก?”

ฉีเล่ยยิ้มและกล่าวว่า

“ผมมาเยี่ยมอาวุโสเป่ยน่ะครับ”

หญิงสาวในชุดกี่เพ้ากล่าวตอบทันทีเจือสีหน้าประหลาดใจว่า

“หรือจะมาโค่นสำนักของเราอีกคะ?”

ครั้งล่าสุดที่ฉีเล่ยมานั้น จุดประสงค์ของเขาก็มาเพื่อโค่นสำนัก และช่วงชิงป้ายประจำตระกูลเป่ยอันทรงเกียรติไป แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้จำนวนคนไข้เพิ่มมากขึ้นก็ตาม แต่ในอีกด้านมันก็ทำให้คลินิกตระกูลเป่ยเกิดข่าวเด่นประเด็นร้อนบนโลกอินเตอร์เน็ตเช่นกัน และในเวลานี้เขาก็กลับมาที่นี่อีกครั้งโดยยังไม่ทราบจุดประสงค์ที่แท้จริง หรือบางทีพายุแห่งหายนะระลอกที่สองกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

ฉีเล่ยคลี่ยิ้มอ่อนโบกไม้โบกมือไปมาพร้อมตอบกลับไปว่า

“ผมแค่นัดมาคุยกับอาวุโสเป่ยเฉยๆครับ ไม่ได้มาโค่นสำนักอะไรแบบนั้นอีกแล้ว”

ในตอนแรก เป่ยฉวนเทียนได้ประกาศไว้ว่า ภายในสามวันให้หลังตนจะไปท้าประลองกับฉีเล่ยอีกครั้งถึงหน้าบ้าน แต่วันนี้จู่ๆเป่ยจ้าวหยวนก็โทรมามาหาฉีเล่ยแจ้งให้เขารีบมาที่บ้านตระกูลเป่ยโดยเร็ว เพราะเวลานี้มีผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรักษาด้วยวิชาฝังเข็มที่ฉีเล่ยชำนาญ

ฉีเล่ยที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีเจตนาร้ายอะไร จึงไม่ได้ตอบปฏิเสธและรีบเดินทางมาที่นี่โดยเร็ว นอกจากนี้แล้ว เป่ยฉวนเทียนเองก็ยังเป็นปรมาจารย์แพทย์อาวุโสที่เขาเคารพอย่างมากคนหนึ่งด้วย ผนวกกับเหตุผลข้อนี้แล้ว หากเขาไม่มา ก็ดูจะเป็นคนไร้เหตุผลไปหน่อย

หญิงสาวในชุดกี่เพ้านำทางฉีเล่ยเข้ามาด้านในตัวเรือนและปล่อยให้เขานั่งรอในห้องรับรอง หลังจากนั้นสักพักใหญ่ ก็มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเดินลงมา แน่นอนว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากเป่ยจ้าวหยวน เขารีบเดินตรงมาหาฉีเล่ยพร้อมกับทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ฉีเล่ย โทษทีที่ให้รอนาน คุณปู่กำลังรอนายอยู่ชั้นบน”

ฉีเล่ยยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ช่วยนำทางไปทีครับ พอดีผมยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่”

เป่ยจ้าวหยวนดูตื่นเต้นดีใจอย่างมาก เขารีบผายมือเชื้อเชิญฉีเล่ยให้ตามไปทันที ปากก็ร้องบอกไปว่า

“ได้สิ! เชิญทางนี้เลย”

ดูเหมือนว่าหลังจากการประลองครั้งล่าสุดได้จบลง ทัศนคติของเป่ยจ้าวหยวนที่มีต่อฉีเล่ยนั้นจะเปลี่ยนไปมาก เขาไม่มีท่าทางที่ดูหยิ่งยโสอย่างแต่ก่อนแล้ว ในทางตรงข้าม เขายังปฏิบัติตัวต่อฉีเล่ยราวกับเป็นเพื่อนคนหนึ่งอีกด้วย

เป่ยจ้าวหยวนเดินนำทางไป โดยมีฉีเล่ยเดินตามอีกฝ่ายไปติดๆ จนกระทั่งเข้าไปในห้องโถงชั้นสองซึ่งตกแต่งในแบบจีนโบราณ

ภายในห้องมีชายชราอยู่สี่คนกำลังนั่งดื่มชาพลางพูดคุยสนทนากันอยู่ แต่เมื่อเห็นฉีเล่ยเดินเข้ามา ทุกคนต่างก็พากันหันขวับมา และสายตาทุกคู่ก็จับจ้องอยู่ที่ร่างของฉีเล่ย

เป่ยฉวนเทียนลุกขึ้นยืนทันที พร้อมกับคลี่ยิ้มกว้าง สีหน้าผ่องใส กล่าวขึ้นอย่างจริงใจว่า

“มาแล้ว มาแล้ว เตรียมตัวพร้อมรึยังล่ะ?”

“ขอบคุณอาวุโสเป่ยมากเลยครับที่ให้เกียรติเชื้อเชิญผมแบบนี้ ผมพร้อมแล้วครับ”

“ฮ่าๆ ตอนนี้ที่คลินิกของเรามีคนไข้ที่อยากจะให้เธอช่วยทำการรักษาให้ แต่ถ้ารักษาอย่างเดียวคงจะน่าเบื่อไปหน่อย ฉันก็เลยขอเสนอให้แข่งกันรักษาดีไหม? พูดตามตรงนะ ฉันตื่นเต้นมากจนนอนหลับไม่เต็มอื่นมาหลายวันแล้ว ขอบอกตามตรง ฉันเองก็ไม่รู้ว่าชั่วชีวิตนี้จะมีโอกาสได้ประลองฝีมือกับคนเก่งๆอย่างเธออีกไหม ยังไงก็อย่าถือสากันเลยนะ”

“อาวุโสเป่ยกล่าวเกินไปแล้วครับ ด้วยความยินดีอย่างยิ่งครับ ไม่มีปัญหา”

เป่ยฉวนเทียนตบไหล่ฉีเล่ยเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นยิ้มๆ

“ไม่มากเกินไปหรอก ฉันชอบหนุ่มสาวแบบเธอจริงๆนะ ไม่หยิ่งผยองอวดดี รู้จักวางตัว แต่ก่อนแข่งขันฉันอยากจะขอร้องเธอเรื่องหนึ่ง ห้ามเธอออมมือให้ฉันเด็ดขาด ฉันอยากจะใช้โอกาสนี้ได้เปิดหูเปิดตาสักครั้งเผื่อฝีมือจะพัฒนาขึ้นบ้าง ฮ่าฮ่า…”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบไปอย่างสุภาพว่า

“ผมจะทำอย่างเต็มที่ครับ”

เป่ยฉวนเทียนหัวเราะ

“มาเถอะ ฉันจะแนะนำทุกคนให้เธอรู้จัก”

ในขณะที่เอ่ยบอกฉีเล่ยนั้น เขาก็ได้ชี้ไปที่ชายชราแก้มตอบใบหน้าเคร่งขรึม ดูเอาจริงเอาจังอยู่ตลอดเวลา

“คนนั้นชื่อว่าหลัวไป่ซิ่ว เป็นปรมาจารย์ด้านกระดูกที่โด่งดังที่สุดในปักกิ่ง ฝีมือด้านการรักษากระดูกของเขานับว่ายอดเยี่ยมมาก และรักษาผู้ป่วยมาแล้วนับไม่ถ้วน”

ฉีเล่ยโค้งศีรษะให้อย่างสุภาพและกล่าวทักทายว่า

“อาวุโสหลัว ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

หลัวไป่ซิ่วพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวทักทายตอบ สีหน้าการแสดงออกดูแข็งกระด้างไร้มนุษย์สัมพันธ์ใดๆ

เป่ยฉวนเทียนเห็นสีหน้าท่าทางของหลัวไป๋ซิ่วที่มีต่อฉีเล่ยแบบนั้น ก็เกรงว่าฉีเล่ยจะคิดมาก จึงรีบพูดปลอบประโลมไปว่า

“อาวุโสหลัวเป็นพวกหน้าตายแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ต้องคิดมากนะ”

ฉีเล่ยกล่าวตอบโดยไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไร

“ผมเข้าใจครับ”

เขาทราบดีว่าเหล่าอัจฉริยะแต่ละคนล้วนมีความหวาดระแวงและมีศักดิ์ศรีของตัวเอง ได้พบเจอกันครั้งแรกจึงไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะรักษาระยะห่างไว้แบบนี้

เมื่อเห็นว่าฉีเล่ยไม่ได้เก็บไปคิดเล็กคิดน้อยอะไร เป่ยฉวนเทียนก็อดที่จะแอบชื่นชมอีกฝ่ายอยู่ในใจเงียบๆไม่ได้ จากนั้นจึงได้ผายมือไปทางขวาซึ่งมีชายร่างอ้วนคนหนึ่งนั่งอยู่

“ส่วนคนนั้นเป็นปรมาจารย์ด้านการปรุงยาจีน ทำความรู้จักเขาไว้ เผื่อว่าในอนาคตเธอต้องการวัตถุดิบอะไรจะได้ติดต่อหาเขาได้”

ชายอ้วนหัวเราะร่วนและหันมาพูดกับฉีเล่ยว่า

“ฉีเล่ยใช่ไหม? ฉันได้ยินตาแก่เป่ยบอกว่า เธอเป็นลูกเขยของเฉินฉางเชิง?”

ฉีเล่ยพยักหน่าตอบ

“ใช่ครับ”

“โอ้? ดีใจที่ได้พบนะ แต่จะว่าไปก็น่าเสียดายแทน ไม่รู้เหมือนกันว่าเสี่ยวเฉินป่วยเป็นโรคอะไรถึงได้เสียชีวิต เห้ออ…คงจะเป็นโรคร้ายแรงที่แม้แต่ตัวเขายังไม่สามารถรักษาให้หายได้ อนิจจา…ทำไมแพทย์มากฝีมือถึงต้องมีชะตากรรมแบบนี้ด้วยนะ”

“…”

ฉีเล่ยเป็นคนเดียวที่ทราบข้อเท็จจริงการตายของเฉินฉางเชิง และเขาไม่อยากจะอธิบายให้คนนอกฟังเท่าไหร่นัก

ชายร่างอ้วนกล่าวต่อว่า

“ในสมัยที่เสี่ยวเฉินยังมีชีวิตอยู่ ฉันเองก็ค่อนข้างชื่นชมทักษะฝีมือของเขามากเลยนะ ถ้ามีโอกาสฉันจะขอไปไหว้หลุมศพของเขาหน่อยนะ”

อาวุโสเหวิน เขาเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงยาสมุนไพรจีนมากที่สุดคนหนึ่งในปักกิ่ง คนไข้ของเขาแต่ละคนล้วนเป็นบุคคลสำคัญและมีอำนาจอิทธิพลอย่างมากในประเทศนี้ รวมไปถึงบรรดามหาเศรษฐีอีกมากมาย ทั้งนี้ปัจจุบันเขายังดำรงตำแหน่งประธานสภาการแพทย์แผนจีนแห่งชาติอีกด้วย

แม้ว่าเขาคนนี้จะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพ่อตาของฉีเล่ยเลย และไม่แม้แต่จะเคยพบเจอหน้ากันด้วยซ้ำ แต่ว่าเฉินฉางเชิงมีความเชี่ยวชาญในสายปรุงยาสมุนไพรจีนเช่นกัน และในฐานะที่เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องในสายงานเดียวกัน อีกทั้งยังมีฝีมือที่เก่งกาจ อาวุโสเหวินจึงรู้สึกนับถืออีกฝ่ายเรื่อยมา ใครพูดถึงเฉินฉางเชิงให้ฟังเขาก็มักจะกล่าวชื่นชมอีกฝ่ายอยู่เสมอ

แรกพบกับอาวุโสเหวิน ฉีเล่ยค่อนข้างประทับใจอย่างมาก เขาเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ไว้อาวุโสเหวินเดินทางไปหนานหยางเมื่อไหร่ ผมจะขอทำตัวเป็นเจ้าบ้านต้อนรับขับสู้เองครับ”

เป่ยฉวนเทียนผายมือไปทางชายชราคนสุดท้ายที่ผิวพรรณค่อนข้างคล้ำ เบ้าตาจมลึกและกล่าวแนะนำ

“ส่วนคนสุดท้ายนี้เป็นปรมาจารย์ด้านการครอบแก้ว ปิงโหย่วหลิน สมัยนี้การครอบแก้วกับการฝังเข็มนับเป็นของคู่กัน หากคลินิกตระกูลเป่ยคือที่สุดแห่งศาสตร์การฝังเข็ม คลินิกตระกูลปิงก็คือที่สุดแห่งศาสตร์การครอบแก้ว”

“อาวุโสปิงยินดีที่ได้รู้จักครับ”

ฉีเล่ยส่งยิ่มให้ปิงโหย่วหลิน อาศัยองค์ความรู้ที่มี เขาย่อมเข้าใจศาสตร์แห่งการครอบแก้วได้ไม่ยาก หากว่าการฝังเข็มคือการปรับสมดุลจากภายใน การครอบแก้วก็คือการเน้น ‘ระบายของเสียออกจากร่างกาย’ แต่หากจะให้พูดตามตรง การรักษาด้วยการครอบแก้วนั้นค่อนข้างจำกัดเฉพาะบางโรค

ปิงโหย่วหลินจับจ้องฉีเล่ยด้วยสายตานุ่มลึก แววตาเปล่งประกายนั้นเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น

“ฉันหวังว่าเธอจะแสดงวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ให้ฉันได้เห็นกับตานะ”

จุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ก็ค่อนข้างชัดเจน ทั้งหมดก็เพื่อมาดูการใช้วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ให้เป็นบุญตา

หลังจากแนะนำทั้งสามคนให้ฉีเล่ยรู้จักเรียบร้อยแล้ว เป่ยฉวนเทียนก็พูดกับฉีเล่ยเจือสีหน้ารู้สึกผิดเล็กน้อย

“ฉันขอโทษนะฉีเล่ย ความจริงฉันเองก็ไม่อยากทำให้เรื่องนี้ใหญ่โตหรอก แต่ตาเฒ่าพวกนี้ดันไปได้ยินเรื่องของเธอเข้า ก็เลยอยากแวะเข้ามาชื่นชมวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ด้วยตาตัวเองสักครั้ง อนิจจา…ไหนใครบอกว่ายิ่งแก่ยิ่งหูตึง ทำไมตาเฒ่าสามคนนี้ถึงหูไวตาไวแบบนี้”

“ไม่มีปัญหาเลยครับ”

ฉีเล่ยโบกมือไปมาพร้อมกับเอ่ยตอบ

“ผมไม่ติดอะไรเลยครับ”

ชายร่างอ้วนหัวเราะและพูดขึ้นบ้าง

“ตาเฒ่าเป่ย ฉีเล่ยเขาไม่ได้คิดมากอะไรสักหน่อย แกนั่นแหละที่ชอบตีโพยตีพายไปเอง แต่จะว่าไป เธอจะเริ่มได้รึยังล่ะ? ฉันเองก็อยากเห็นใจจะขาดแล้วเหมือนกัน!”

“อืม งั้นมาเริ่มกันเลยดีกว่า”

เป่ยฉวนเทียนกล่าวต่อว่า

“ฉีเล่ย ก่อนหน้านี้ฉันบอกว่าจะประลองกับเธอใช่ไหม? แต่ขอเปลี่ยนอะไรข้อตกลงเล็กน้อย คือตาเฒ่าพวกนี้ก็ร้อนวิชาอยากจะประลองกับเธอเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็เอาเป็นว่า เราจะประลองกันทั้งหมดสามรอบ สองรอบแรกเป็นการวินิจฉัยกับการจัดสูตรยา ส่วนรอบที่สามเป็นการแข่งฝังเข็ม เธอมีความเห็นยังไงบ้างล่ะ?”

“ไม่มีปัญหาเลยครับ”

ฉีเล่ยยิ้มพร้อมพยักหน้าตอบด้วยความเต็มใจทันที เขาทราบดีอยู่แล้วว่า ชายชราทั้งสามคนนี้เองก็อยากที่จะทดสอบศักยภาพของเขาด้วยทักษะทั้งหมดที่มีเช่นกัน

…..

เป่ยจ้าวหยวนยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ทันใดนั้นก็มีชายในชุดสูทสีดำตรงเข้าพูดอะไรสักอย่างกับเขาก่อนจะเดินออกไป

เป่ยจ้าวหยวนได้ยินแบบนั้นก็ตรงเข้ามามากลางวงสนทนา พร้อมกับร้องถามออกไปว่า

“คุณปู่ครับ ทุกอย่างพร้อมแล้ว จะเริ่มกันเลยดีไหมครับ?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน 153 ประลองรอบสอง(1)

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter 153 ประลองรอบสอง(1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่153 ประลองรอบสอง(1)

ฉีเล่ยเคยโค่นตระกูลเป่ยได้แล้วครั้งหนึ่ง และเป่ยฉวนเทียนเองก็ยังเต็มใจมอบป้ายประจำตระกูลเป่ยให้กับเขาอีกด้วย ซึ่งฉีเล่ยก็ปฏิเสธที่จะรับมา แต่กลับถูกอีกฝ่ายรบเร้าไม่หยุดจนต้องนำกลับมาบ้านด้วยจนได้ ส่วนเหตุผลที่ไม่อยากรับเอามานั้น ก็เพราะไม่ต้องการสร้างปัญหาให้อีกฝ่ายนั่นเอง

แต่เมื่อฉีเล่ยกลับมาที่คลินิกตระกูลเป่ยอีกครั้งกลับผิดคาด เขาได้พบว่า ธุรกิจของตระกูลเป่ยไม่เพียงจะไม่ได้รับผลกระทบหลังจากถูกปลดป้ายตระกูลออกไป แต่กลับยิ่งทำให้มีคนไข้มากขึ้นกว่าก่อนหน้าอย่างน้อยสองถึงสามเท่าเลยทีเดียว!

อันที่จริงแล้ว หากลองใคร่ครวญดูคิดให้ดี ตระกูลเป่ยนั้นก่อตั้งคลีนิกอยู่ในเมืองปักกิ่งมาก็นานแล้ว และเสาหลักที่ทำให้คลีนิคแห่งนี้ยังคงได้รับความนิยมจวบจนถึงปัจจุบัน ก็คือชื่อเสียงของเป่ยฉวนเทียนที่สั่งสมมานานนับหลายสิบปีนั่นเอง ด้วยจุดแข็งดังกล่าวทำให้ที่นี่ยังคงเป็นตัวเลือกแรกเสมอสำหรับผู้คนที่เจ็บไข้ได้ป่วย และต้องการรักษาด้วยการแพทย์แผนจีน

คนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใด พวกเขาก็ย่อมผงาดอยู่ได้

ฉีเล่ยเพิ่งจะย่างเท้าก้าวเข้าไปเหยียบในโถงคลินิกได้ไม่นาน จู่ๆก็มีหญิงสาวคนหนึ่งตรงเข้ามาทักทายทันที

เธอคนนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากหญิงสาวในชุดกี่เพ้าที่เขาได้พบเมื่อครั้งก่อน เธอจำฉีเล่ยได้ทันทีที่เห็นหน้า แต่สีหน้าการแสดงออกของเธอกลับดูไม่ค่อยพอใจเขาเท่าไหร่นัก พร้อมเอ่ยถามว่า

“คุณมาทำอะไรที่นี่อีก?”

ฉีเล่ยยิ้มและกล่าวว่า

“ผมมาเยี่ยมอาวุโสเป่ยน่ะครับ”

หญิงสาวในชุดกี่เพ้ากล่าวตอบทันทีเจือสีหน้าประหลาดใจว่า

“หรือจะมาโค่นสำนักของเราอีกคะ?”

ครั้งล่าสุดที่ฉีเล่ยมานั้น จุดประสงค์ของเขาก็มาเพื่อโค่นสำนัก และช่วงชิงป้ายประจำตระกูลเป่ยอันทรงเกียรติไป แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้จำนวนคนไข้เพิ่มมากขึ้นก็ตาม แต่ในอีกด้านมันก็ทำให้คลินิกตระกูลเป่ยเกิดข่าวเด่นประเด็นร้อนบนโลกอินเตอร์เน็ตเช่นกัน และในเวลานี้เขาก็กลับมาที่นี่อีกครั้งโดยยังไม่ทราบจุดประสงค์ที่แท้จริง หรือบางทีพายุแห่งหายนะระลอกที่สองกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

ฉีเล่ยคลี่ยิ้มอ่อนโบกไม้โบกมือไปมาพร้อมตอบกลับไปว่า

“ผมแค่นัดมาคุยกับอาวุโสเป่ยเฉยๆครับ ไม่ได้มาโค่นสำนักอะไรแบบนั้นอีกแล้ว”

ในตอนแรก เป่ยฉวนเทียนได้ประกาศไว้ว่า ภายในสามวันให้หลังตนจะไปท้าประลองกับฉีเล่ยอีกครั้งถึงหน้าบ้าน แต่วันนี้จู่ๆเป่ยจ้าวหยวนก็โทรมามาหาฉีเล่ยแจ้งให้เขารีบมาที่บ้านตระกูลเป่ยโดยเร็ว เพราะเวลานี้มีผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรักษาด้วยวิชาฝังเข็มที่ฉีเล่ยชำนาญ

ฉีเล่ยที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีเจตนาร้ายอะไร จึงไม่ได้ตอบปฏิเสธและรีบเดินทางมาที่นี่โดยเร็ว นอกจากนี้แล้ว เป่ยฉวนเทียนเองก็ยังเป็นปรมาจารย์แพทย์อาวุโสที่เขาเคารพอย่างมากคนหนึ่งด้วย ผนวกกับเหตุผลข้อนี้แล้ว หากเขาไม่มา ก็ดูจะเป็นคนไร้เหตุผลไปหน่อย

หญิงสาวในชุดกี่เพ้านำทางฉีเล่ยเข้ามาด้านในตัวเรือนและปล่อยให้เขานั่งรอในห้องรับรอง หลังจากนั้นสักพักใหญ่ ก็มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเดินลงมา แน่นอนว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากเป่ยจ้าวหยวน เขารีบเดินตรงมาหาฉีเล่ยพร้อมกับทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ฉีเล่ย โทษทีที่ให้รอนาน คุณปู่กำลังรอนายอยู่ชั้นบน”

ฉีเล่ยยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ช่วยนำทางไปทีครับ พอดีผมยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่”

เป่ยจ้าวหยวนดูตื่นเต้นดีใจอย่างมาก เขารีบผายมือเชื้อเชิญฉีเล่ยให้ตามไปทันที ปากก็ร้องบอกไปว่า

“ได้สิ! เชิญทางนี้เลย”

ดูเหมือนว่าหลังจากการประลองครั้งล่าสุดได้จบลง ทัศนคติของเป่ยจ้าวหยวนที่มีต่อฉีเล่ยนั้นจะเปลี่ยนไปมาก เขาไม่มีท่าทางที่ดูหยิ่งยโสอย่างแต่ก่อนแล้ว ในทางตรงข้าม เขายังปฏิบัติตัวต่อฉีเล่ยราวกับเป็นเพื่อนคนหนึ่งอีกด้วย

เป่ยจ้าวหยวนเดินนำทางไป โดยมีฉีเล่ยเดินตามอีกฝ่ายไปติดๆ จนกระทั่งเข้าไปในห้องโถงชั้นสองซึ่งตกแต่งในแบบจีนโบราณ

ภายในห้องมีชายชราอยู่สี่คนกำลังนั่งดื่มชาพลางพูดคุยสนทนากันอยู่ แต่เมื่อเห็นฉีเล่ยเดินเข้ามา ทุกคนต่างก็พากันหันขวับมา และสายตาทุกคู่ก็จับจ้องอยู่ที่ร่างของฉีเล่ย

เป่ยฉวนเทียนลุกขึ้นยืนทันที พร้อมกับคลี่ยิ้มกว้าง สีหน้าผ่องใส กล่าวขึ้นอย่างจริงใจว่า

“มาแล้ว มาแล้ว เตรียมตัวพร้อมรึยังล่ะ?”

“ขอบคุณอาวุโสเป่ยมากเลยครับที่ให้เกียรติเชื้อเชิญผมแบบนี้ ผมพร้อมแล้วครับ”

“ฮ่าๆ ตอนนี้ที่คลินิกของเรามีคนไข้ที่อยากจะให้เธอช่วยทำการรักษาให้ แต่ถ้ารักษาอย่างเดียวคงจะน่าเบื่อไปหน่อย ฉันก็เลยขอเสนอให้แข่งกันรักษาดีไหม? พูดตามตรงนะ ฉันตื่นเต้นมากจนนอนหลับไม่เต็มอื่นมาหลายวันแล้ว ขอบอกตามตรง ฉันเองก็ไม่รู้ว่าชั่วชีวิตนี้จะมีโอกาสได้ประลองฝีมือกับคนเก่งๆอย่างเธออีกไหม ยังไงก็อย่าถือสากันเลยนะ”

“อาวุโสเป่ยกล่าวเกินไปแล้วครับ ด้วยความยินดีอย่างยิ่งครับ ไม่มีปัญหา”

เป่ยฉวนเทียนตบไหล่ฉีเล่ยเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นยิ้มๆ

“ไม่มากเกินไปหรอก ฉันชอบหนุ่มสาวแบบเธอจริงๆนะ ไม่หยิ่งผยองอวดดี รู้จักวางตัว แต่ก่อนแข่งขันฉันอยากจะขอร้องเธอเรื่องหนึ่ง ห้ามเธอออมมือให้ฉันเด็ดขาด ฉันอยากจะใช้โอกาสนี้ได้เปิดหูเปิดตาสักครั้งเผื่อฝีมือจะพัฒนาขึ้นบ้าง ฮ่าฮ่า…”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบไปอย่างสุภาพว่า

“ผมจะทำอย่างเต็มที่ครับ”

เป่ยฉวนเทียนหัวเราะ

“มาเถอะ ฉันจะแนะนำทุกคนให้เธอรู้จัก”

ในขณะที่เอ่ยบอกฉีเล่ยนั้น เขาก็ได้ชี้ไปที่ชายชราแก้มตอบใบหน้าเคร่งขรึม ดูเอาจริงเอาจังอยู่ตลอดเวลา

“คนนั้นชื่อว่าหลัวไป่ซิ่ว เป็นปรมาจารย์ด้านกระดูกที่โด่งดังที่สุดในปักกิ่ง ฝีมือด้านการรักษากระดูกของเขานับว่ายอดเยี่ยมมาก และรักษาผู้ป่วยมาแล้วนับไม่ถ้วน”

ฉีเล่ยโค้งศีรษะให้อย่างสุภาพและกล่าวทักทายว่า

“อาวุโสหลัว ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

หลัวไป่ซิ่วพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวทักทายตอบ สีหน้าการแสดงออกดูแข็งกระด้างไร้มนุษย์สัมพันธ์ใดๆ

เป่ยฉวนเทียนเห็นสีหน้าท่าทางของหลัวไป๋ซิ่วที่มีต่อฉีเล่ยแบบนั้น ก็เกรงว่าฉีเล่ยจะคิดมาก จึงรีบพูดปลอบประโลมไปว่า

“อาวุโสหลัวเป็นพวกหน้าตายแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ต้องคิดมากนะ”

ฉีเล่ยกล่าวตอบโดยไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไร

“ผมเข้าใจครับ”

เขาทราบดีว่าเหล่าอัจฉริยะแต่ละคนล้วนมีความหวาดระแวงและมีศักดิ์ศรีของตัวเอง ได้พบเจอกันครั้งแรกจึงไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะรักษาระยะห่างไว้แบบนี้

เมื่อเห็นว่าฉีเล่ยไม่ได้เก็บไปคิดเล็กคิดน้อยอะไร เป่ยฉวนเทียนก็อดที่จะแอบชื่นชมอีกฝ่ายอยู่ในใจเงียบๆไม่ได้ จากนั้นจึงได้ผายมือไปทางขวาซึ่งมีชายร่างอ้วนคนหนึ่งนั่งอยู่

“ส่วนคนนั้นเป็นปรมาจารย์ด้านการปรุงยาจีน ทำความรู้จักเขาไว้ เผื่อว่าในอนาคตเธอต้องการวัตถุดิบอะไรจะได้ติดต่อหาเขาได้”

ชายอ้วนหัวเราะร่วนและหันมาพูดกับฉีเล่ยว่า

“ฉีเล่ยใช่ไหม? ฉันได้ยินตาแก่เป่ยบอกว่า เธอเป็นลูกเขยของเฉินฉางเชิง?”

ฉีเล่ยพยักหน่าตอบ

“ใช่ครับ”

“โอ้? ดีใจที่ได้พบนะ แต่จะว่าไปก็น่าเสียดายแทน ไม่รู้เหมือนกันว่าเสี่ยวเฉินป่วยเป็นโรคอะไรถึงได้เสียชีวิต เห้ออ…คงจะเป็นโรคร้ายแรงที่แม้แต่ตัวเขายังไม่สามารถรักษาให้หายได้ อนิจจา…ทำไมแพทย์มากฝีมือถึงต้องมีชะตากรรมแบบนี้ด้วยนะ”

“…”

ฉีเล่ยเป็นคนเดียวที่ทราบข้อเท็จจริงการตายของเฉินฉางเชิง และเขาไม่อยากจะอธิบายให้คนนอกฟังเท่าไหร่นัก

ชายร่างอ้วนกล่าวต่อว่า

“ในสมัยที่เสี่ยวเฉินยังมีชีวิตอยู่ ฉันเองก็ค่อนข้างชื่นชมทักษะฝีมือของเขามากเลยนะ ถ้ามีโอกาสฉันจะขอไปไหว้หลุมศพของเขาหน่อยนะ”

อาวุโสเหวิน เขาเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงยาสมุนไพรจีนมากที่สุดคนหนึ่งในปักกิ่ง คนไข้ของเขาแต่ละคนล้วนเป็นบุคคลสำคัญและมีอำนาจอิทธิพลอย่างมากในประเทศนี้ รวมไปถึงบรรดามหาเศรษฐีอีกมากมาย ทั้งนี้ปัจจุบันเขายังดำรงตำแหน่งประธานสภาการแพทย์แผนจีนแห่งชาติอีกด้วย

แม้ว่าเขาคนนี้จะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพ่อตาของฉีเล่ยเลย และไม่แม้แต่จะเคยพบเจอหน้ากันด้วยซ้ำ แต่ว่าเฉินฉางเชิงมีความเชี่ยวชาญในสายปรุงยาสมุนไพรจีนเช่นกัน และในฐานะที่เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องในสายงานเดียวกัน อีกทั้งยังมีฝีมือที่เก่งกาจ อาวุโสเหวินจึงรู้สึกนับถืออีกฝ่ายเรื่อยมา ใครพูดถึงเฉินฉางเชิงให้ฟังเขาก็มักจะกล่าวชื่นชมอีกฝ่ายอยู่เสมอ

แรกพบกับอาวุโสเหวิน ฉีเล่ยค่อนข้างประทับใจอย่างมาก เขาเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ไว้อาวุโสเหวินเดินทางไปหนานหยางเมื่อไหร่ ผมจะขอทำตัวเป็นเจ้าบ้านต้อนรับขับสู้เองครับ”

เป่ยฉวนเทียนผายมือไปทางชายชราคนสุดท้ายที่ผิวพรรณค่อนข้างคล้ำ เบ้าตาจมลึกและกล่าวแนะนำ

“ส่วนคนสุดท้ายนี้เป็นปรมาจารย์ด้านการครอบแก้ว ปิงโหย่วหลิน สมัยนี้การครอบแก้วกับการฝังเข็มนับเป็นของคู่กัน หากคลินิกตระกูลเป่ยคือที่สุดแห่งศาสตร์การฝังเข็ม คลินิกตระกูลปิงก็คือที่สุดแห่งศาสตร์การครอบแก้ว”

“อาวุโสปิงยินดีที่ได้รู้จักครับ”

ฉีเล่ยส่งยิ่มให้ปิงโหย่วหลิน อาศัยองค์ความรู้ที่มี เขาย่อมเข้าใจศาสตร์แห่งการครอบแก้วได้ไม่ยาก หากว่าการฝังเข็มคือการปรับสมดุลจากภายใน การครอบแก้วก็คือการเน้น ‘ระบายของเสียออกจากร่างกาย’ แต่หากจะให้พูดตามตรง การรักษาด้วยการครอบแก้วนั้นค่อนข้างจำกัดเฉพาะบางโรค

ปิงโหย่วหลินจับจ้องฉีเล่ยด้วยสายตานุ่มลึก แววตาเปล่งประกายนั้นเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น

“ฉันหวังว่าเธอจะแสดงวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ให้ฉันได้เห็นกับตานะ”

จุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ก็ค่อนข้างชัดเจน ทั้งหมดก็เพื่อมาดูการใช้วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ให้เป็นบุญตา

หลังจากแนะนำทั้งสามคนให้ฉีเล่ยรู้จักเรียบร้อยแล้ว เป่ยฉวนเทียนก็พูดกับฉีเล่ยเจือสีหน้ารู้สึกผิดเล็กน้อย

“ฉันขอโทษนะฉีเล่ย ความจริงฉันเองก็ไม่อยากทำให้เรื่องนี้ใหญ่โตหรอก แต่ตาเฒ่าพวกนี้ดันไปได้ยินเรื่องของเธอเข้า ก็เลยอยากแวะเข้ามาชื่นชมวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ด้วยตาตัวเองสักครั้ง อนิจจา…ไหนใครบอกว่ายิ่งแก่ยิ่งหูตึง ทำไมตาเฒ่าสามคนนี้ถึงหูไวตาไวแบบนี้”

“ไม่มีปัญหาเลยครับ”

ฉีเล่ยโบกมือไปมาพร้อมกับเอ่ยตอบ

“ผมไม่ติดอะไรเลยครับ”

ชายร่างอ้วนหัวเราะและพูดขึ้นบ้าง

“ตาเฒ่าเป่ย ฉีเล่ยเขาไม่ได้คิดมากอะไรสักหน่อย แกนั่นแหละที่ชอบตีโพยตีพายไปเอง แต่จะว่าไป เธอจะเริ่มได้รึยังล่ะ? ฉันเองก็อยากเห็นใจจะขาดแล้วเหมือนกัน!”

“อืม งั้นมาเริ่มกันเลยดีกว่า”

เป่ยฉวนเทียนกล่าวต่อว่า

“ฉีเล่ย ก่อนหน้านี้ฉันบอกว่าจะประลองกับเธอใช่ไหม? แต่ขอเปลี่ยนอะไรข้อตกลงเล็กน้อย คือตาเฒ่าพวกนี้ก็ร้อนวิชาอยากจะประลองกับเธอเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็เอาเป็นว่า เราจะประลองกันทั้งหมดสามรอบ สองรอบแรกเป็นการวินิจฉัยกับการจัดสูตรยา ส่วนรอบที่สามเป็นการแข่งฝังเข็ม เธอมีความเห็นยังไงบ้างล่ะ?”

“ไม่มีปัญหาเลยครับ”

ฉีเล่ยยิ้มพร้อมพยักหน้าตอบด้วยความเต็มใจทันที เขาทราบดีอยู่แล้วว่า ชายชราทั้งสามคนนี้เองก็อยากที่จะทดสอบศักยภาพของเขาด้วยทักษะทั้งหมดที่มีเช่นกัน

…..

เป่ยจ้าวหยวนยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ทันใดนั้นก็มีชายในชุดสูทสีดำตรงเข้าพูดอะไรสักอย่างกับเขาก่อนจะเดินออกไป

เป่ยจ้าวหยวนได้ยินแบบนั้นก็ตรงเข้ามามากลางวงสนทนา พร้อมกับร้องถามออกไปว่า

“คุณปู่ครับ ทุกอย่างพร้อมแล้ว จะเริ่มกันเลยดีไหมครับ?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน 153 ประลองรอบสอง(1)

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter 153 ประลองรอบสอง(1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่153 ประลองรอบสอง(1)

ฉีเล่ยเคยโค่นตระกูลเป่ยได้แล้วครั้งหนึ่ง และเป่ยฉวนเทียนเองก็ยังเต็มใจมอบป้ายประจำตระกูลเป่ยให้กับเขาอีกด้วย ซึ่งฉีเล่ยก็ปฏิเสธที่จะรับมา แต่กลับถูกอีกฝ่ายรบเร้าไม่หยุดจนต้องนำกลับมาบ้านด้วยจนได้ ส่วนเหตุผลที่ไม่อยากรับเอามานั้น ก็เพราะไม่ต้องการสร้างปัญหาให้อีกฝ่ายนั่นเอง

แต่เมื่อฉีเล่ยกลับมาที่คลินิกตระกูลเป่ยอีกครั้งกลับผิดคาด เขาได้พบว่า ธุรกิจของตระกูลเป่ยไม่เพียงจะไม่ได้รับผลกระทบหลังจากถูกปลดป้ายตระกูลออกไป แต่กลับยิ่งทำให้มีคนไข้มากขึ้นกว่าก่อนหน้าอย่างน้อยสองถึงสามเท่าเลยทีเดียว!

อันที่จริงแล้ว หากลองใคร่ครวญดูคิดให้ดี ตระกูลเป่ยนั้นก่อตั้งคลีนิกอยู่ในเมืองปักกิ่งมาก็นานแล้ว และเสาหลักที่ทำให้คลีนิคแห่งนี้ยังคงได้รับความนิยมจวบจนถึงปัจจุบัน ก็คือชื่อเสียงของเป่ยฉวนเทียนที่สั่งสมมานานนับหลายสิบปีนั่นเอง ด้วยจุดแข็งดังกล่าวทำให้ที่นี่ยังคงเป็นตัวเลือกแรกเสมอสำหรับผู้คนที่เจ็บไข้ได้ป่วย และต้องการรักษาด้วยการแพทย์แผนจีน

คนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใด พวกเขาก็ย่อมผงาดอยู่ได้

ฉีเล่ยเพิ่งจะย่างเท้าก้าวเข้าไปเหยียบในโถงคลินิกได้ไม่นาน จู่ๆก็มีหญิงสาวคนหนึ่งตรงเข้ามาทักทายทันที

เธอคนนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากหญิงสาวในชุดกี่เพ้าที่เขาได้พบเมื่อครั้งก่อน เธอจำฉีเล่ยได้ทันทีที่เห็นหน้า แต่สีหน้าการแสดงออกของเธอกลับดูไม่ค่อยพอใจเขาเท่าไหร่นัก พร้อมเอ่ยถามว่า

“คุณมาทำอะไรที่นี่อีก?”

ฉีเล่ยยิ้มและกล่าวว่า

“ผมมาเยี่ยมอาวุโสเป่ยน่ะครับ”

หญิงสาวในชุดกี่เพ้ากล่าวตอบทันทีเจือสีหน้าประหลาดใจว่า

“หรือจะมาโค่นสำนักของเราอีกคะ?”

ครั้งล่าสุดที่ฉีเล่ยมานั้น จุดประสงค์ของเขาก็มาเพื่อโค่นสำนัก และช่วงชิงป้ายประจำตระกูลเป่ยอันทรงเกียรติไป แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้จำนวนคนไข้เพิ่มมากขึ้นก็ตาม แต่ในอีกด้านมันก็ทำให้คลินิกตระกูลเป่ยเกิดข่าวเด่นประเด็นร้อนบนโลกอินเตอร์เน็ตเช่นกัน และในเวลานี้เขาก็กลับมาที่นี่อีกครั้งโดยยังไม่ทราบจุดประสงค์ที่แท้จริง หรือบางทีพายุแห่งหายนะระลอกที่สองกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

ฉีเล่ยคลี่ยิ้มอ่อนโบกไม้โบกมือไปมาพร้อมตอบกลับไปว่า

“ผมแค่นัดมาคุยกับอาวุโสเป่ยเฉยๆครับ ไม่ได้มาโค่นสำนักอะไรแบบนั้นอีกแล้ว”

ในตอนแรก เป่ยฉวนเทียนได้ประกาศไว้ว่า ภายในสามวันให้หลังตนจะไปท้าประลองกับฉีเล่ยอีกครั้งถึงหน้าบ้าน แต่วันนี้จู่ๆเป่ยจ้าวหยวนก็โทรมามาหาฉีเล่ยแจ้งให้เขารีบมาที่บ้านตระกูลเป่ยโดยเร็ว เพราะเวลานี้มีผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรักษาด้วยวิชาฝังเข็มที่ฉีเล่ยชำนาญ

ฉีเล่ยที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีเจตนาร้ายอะไร จึงไม่ได้ตอบปฏิเสธและรีบเดินทางมาที่นี่โดยเร็ว นอกจากนี้แล้ว เป่ยฉวนเทียนเองก็ยังเป็นปรมาจารย์แพทย์อาวุโสที่เขาเคารพอย่างมากคนหนึ่งด้วย ผนวกกับเหตุผลข้อนี้แล้ว หากเขาไม่มา ก็ดูจะเป็นคนไร้เหตุผลไปหน่อย

หญิงสาวในชุดกี่เพ้านำทางฉีเล่ยเข้ามาด้านในตัวเรือนและปล่อยให้เขานั่งรอในห้องรับรอง หลังจากนั้นสักพักใหญ่ ก็มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเดินลงมา แน่นอนว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากเป่ยจ้าวหยวน เขารีบเดินตรงมาหาฉีเล่ยพร้อมกับทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ฉีเล่ย โทษทีที่ให้รอนาน คุณปู่กำลังรอนายอยู่ชั้นบน”

ฉีเล่ยยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ช่วยนำทางไปทีครับ พอดีผมยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่”

เป่ยจ้าวหยวนดูตื่นเต้นดีใจอย่างมาก เขารีบผายมือเชื้อเชิญฉีเล่ยให้ตามไปทันที ปากก็ร้องบอกไปว่า

“ได้สิ! เชิญทางนี้เลย”

ดูเหมือนว่าหลังจากการประลองครั้งล่าสุดได้จบลง ทัศนคติของเป่ยจ้าวหยวนที่มีต่อฉีเล่ยนั้นจะเปลี่ยนไปมาก เขาไม่มีท่าทางที่ดูหยิ่งยโสอย่างแต่ก่อนแล้ว ในทางตรงข้าม เขายังปฏิบัติตัวต่อฉีเล่ยราวกับเป็นเพื่อนคนหนึ่งอีกด้วย

เป่ยจ้าวหยวนเดินนำทางไป โดยมีฉีเล่ยเดินตามอีกฝ่ายไปติดๆ จนกระทั่งเข้าไปในห้องโถงชั้นสองซึ่งตกแต่งในแบบจีนโบราณ

ภายในห้องมีชายชราอยู่สี่คนกำลังนั่งดื่มชาพลางพูดคุยสนทนากันอยู่ แต่เมื่อเห็นฉีเล่ยเดินเข้ามา ทุกคนต่างก็พากันหันขวับมา และสายตาทุกคู่ก็จับจ้องอยู่ที่ร่างของฉีเล่ย

เป่ยฉวนเทียนลุกขึ้นยืนทันที พร้อมกับคลี่ยิ้มกว้าง สีหน้าผ่องใส กล่าวขึ้นอย่างจริงใจว่า

“มาแล้ว มาแล้ว เตรียมตัวพร้อมรึยังล่ะ?”

“ขอบคุณอาวุโสเป่ยมากเลยครับที่ให้เกียรติเชื้อเชิญผมแบบนี้ ผมพร้อมแล้วครับ”

“ฮ่าๆ ตอนนี้ที่คลินิกของเรามีคนไข้ที่อยากจะให้เธอช่วยทำการรักษาให้ แต่ถ้ารักษาอย่างเดียวคงจะน่าเบื่อไปหน่อย ฉันก็เลยขอเสนอให้แข่งกันรักษาดีไหม? พูดตามตรงนะ ฉันตื่นเต้นมากจนนอนหลับไม่เต็มอื่นมาหลายวันแล้ว ขอบอกตามตรง ฉันเองก็ไม่รู้ว่าชั่วชีวิตนี้จะมีโอกาสได้ประลองฝีมือกับคนเก่งๆอย่างเธออีกไหม ยังไงก็อย่าถือสากันเลยนะ”

“อาวุโสเป่ยกล่าวเกินไปแล้วครับ ด้วยความยินดีอย่างยิ่งครับ ไม่มีปัญหา”

เป่ยฉวนเทียนตบไหล่ฉีเล่ยเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นยิ้มๆ

“ไม่มากเกินไปหรอก ฉันชอบหนุ่มสาวแบบเธอจริงๆนะ ไม่หยิ่งผยองอวดดี รู้จักวางตัว แต่ก่อนแข่งขันฉันอยากจะขอร้องเธอเรื่องหนึ่ง ห้ามเธอออมมือให้ฉันเด็ดขาด ฉันอยากจะใช้โอกาสนี้ได้เปิดหูเปิดตาสักครั้งเผื่อฝีมือจะพัฒนาขึ้นบ้าง ฮ่าฮ่า…”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบไปอย่างสุภาพว่า

“ผมจะทำอย่างเต็มที่ครับ”

เป่ยฉวนเทียนหัวเราะ

“มาเถอะ ฉันจะแนะนำทุกคนให้เธอรู้จัก”

ในขณะที่เอ่ยบอกฉีเล่ยนั้น เขาก็ได้ชี้ไปที่ชายชราแก้มตอบใบหน้าเคร่งขรึม ดูเอาจริงเอาจังอยู่ตลอดเวลา

“คนนั้นชื่อว่าหลัวไป่ซิ่ว เป็นปรมาจารย์ด้านกระดูกที่โด่งดังที่สุดในปักกิ่ง ฝีมือด้านการรักษากระดูกของเขานับว่ายอดเยี่ยมมาก และรักษาผู้ป่วยมาแล้วนับไม่ถ้วน”

ฉีเล่ยโค้งศีรษะให้อย่างสุภาพและกล่าวทักทายว่า

“อาวุโสหลัว ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

หลัวไป่ซิ่วพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวทักทายตอบ สีหน้าการแสดงออกดูแข็งกระด้างไร้มนุษย์สัมพันธ์ใดๆ

เป่ยฉวนเทียนเห็นสีหน้าท่าทางของหลัวไป๋ซิ่วที่มีต่อฉีเล่ยแบบนั้น ก็เกรงว่าฉีเล่ยจะคิดมาก จึงรีบพูดปลอบประโลมไปว่า

“อาวุโสหลัวเป็นพวกหน้าตายแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ต้องคิดมากนะ”

ฉีเล่ยกล่าวตอบโดยไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไร

“ผมเข้าใจครับ”

เขาทราบดีว่าเหล่าอัจฉริยะแต่ละคนล้วนมีความหวาดระแวงและมีศักดิ์ศรีของตัวเอง ได้พบเจอกันครั้งแรกจึงไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะรักษาระยะห่างไว้แบบนี้

เมื่อเห็นว่าฉีเล่ยไม่ได้เก็บไปคิดเล็กคิดน้อยอะไร เป่ยฉวนเทียนก็อดที่จะแอบชื่นชมอีกฝ่ายอยู่ในใจเงียบๆไม่ได้ จากนั้นจึงได้ผายมือไปทางขวาซึ่งมีชายร่างอ้วนคนหนึ่งนั่งอยู่

“ส่วนคนนั้นเป็นปรมาจารย์ด้านการปรุงยาจีน ทำความรู้จักเขาไว้ เผื่อว่าในอนาคตเธอต้องการวัตถุดิบอะไรจะได้ติดต่อหาเขาได้”

ชายอ้วนหัวเราะร่วนและหันมาพูดกับฉีเล่ยว่า

“ฉีเล่ยใช่ไหม? ฉันได้ยินตาแก่เป่ยบอกว่า เธอเป็นลูกเขยของเฉินฉางเชิง?”

ฉีเล่ยพยักหน่าตอบ

“ใช่ครับ”

“โอ้? ดีใจที่ได้พบนะ แต่จะว่าไปก็น่าเสียดายแทน ไม่รู้เหมือนกันว่าเสี่ยวเฉินป่วยเป็นโรคอะไรถึงได้เสียชีวิต เห้ออ…คงจะเป็นโรคร้ายแรงที่แม้แต่ตัวเขายังไม่สามารถรักษาให้หายได้ อนิจจา…ทำไมแพทย์มากฝีมือถึงต้องมีชะตากรรมแบบนี้ด้วยนะ”

“…”

ฉีเล่ยเป็นคนเดียวที่ทราบข้อเท็จจริงการตายของเฉินฉางเชิง และเขาไม่อยากจะอธิบายให้คนนอกฟังเท่าไหร่นัก

ชายร่างอ้วนกล่าวต่อว่า

“ในสมัยที่เสี่ยวเฉินยังมีชีวิตอยู่ ฉันเองก็ค่อนข้างชื่นชมทักษะฝีมือของเขามากเลยนะ ถ้ามีโอกาสฉันจะขอไปไหว้หลุมศพของเขาหน่อยนะ”

อาวุโสเหวิน เขาเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงยาสมุนไพรจีนมากที่สุดคนหนึ่งในปักกิ่ง คนไข้ของเขาแต่ละคนล้วนเป็นบุคคลสำคัญและมีอำนาจอิทธิพลอย่างมากในประเทศนี้ รวมไปถึงบรรดามหาเศรษฐีอีกมากมาย ทั้งนี้ปัจจุบันเขายังดำรงตำแหน่งประธานสภาการแพทย์แผนจีนแห่งชาติอีกด้วย

แม้ว่าเขาคนนี้จะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพ่อตาของฉีเล่ยเลย และไม่แม้แต่จะเคยพบเจอหน้ากันด้วยซ้ำ แต่ว่าเฉินฉางเชิงมีความเชี่ยวชาญในสายปรุงยาสมุนไพรจีนเช่นกัน และในฐานะที่เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องในสายงานเดียวกัน อีกทั้งยังมีฝีมือที่เก่งกาจ อาวุโสเหวินจึงรู้สึกนับถืออีกฝ่ายเรื่อยมา ใครพูดถึงเฉินฉางเชิงให้ฟังเขาก็มักจะกล่าวชื่นชมอีกฝ่ายอยู่เสมอ

แรกพบกับอาวุโสเหวิน ฉีเล่ยค่อนข้างประทับใจอย่างมาก เขาเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ไว้อาวุโสเหวินเดินทางไปหนานหยางเมื่อไหร่ ผมจะขอทำตัวเป็นเจ้าบ้านต้อนรับขับสู้เองครับ”

เป่ยฉวนเทียนผายมือไปทางชายชราคนสุดท้ายที่ผิวพรรณค่อนข้างคล้ำ เบ้าตาจมลึกและกล่าวแนะนำ

“ส่วนคนสุดท้ายนี้เป็นปรมาจารย์ด้านการครอบแก้ว ปิงโหย่วหลิน สมัยนี้การครอบแก้วกับการฝังเข็มนับเป็นของคู่กัน หากคลินิกตระกูลเป่ยคือที่สุดแห่งศาสตร์การฝังเข็ม คลินิกตระกูลปิงก็คือที่สุดแห่งศาสตร์การครอบแก้ว”

“อาวุโสปิงยินดีที่ได้รู้จักครับ”

ฉีเล่ยส่งยิ่มให้ปิงโหย่วหลิน อาศัยองค์ความรู้ที่มี เขาย่อมเข้าใจศาสตร์แห่งการครอบแก้วได้ไม่ยาก หากว่าการฝังเข็มคือการปรับสมดุลจากภายใน การครอบแก้วก็คือการเน้น ‘ระบายของเสียออกจากร่างกาย’ แต่หากจะให้พูดตามตรง การรักษาด้วยการครอบแก้วนั้นค่อนข้างจำกัดเฉพาะบางโรค

ปิงโหย่วหลินจับจ้องฉีเล่ยด้วยสายตานุ่มลึก แววตาเปล่งประกายนั้นเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น

“ฉันหวังว่าเธอจะแสดงวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ให้ฉันได้เห็นกับตานะ”

จุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ก็ค่อนข้างชัดเจน ทั้งหมดก็เพื่อมาดูการใช้วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ให้เป็นบุญตา

หลังจากแนะนำทั้งสามคนให้ฉีเล่ยรู้จักเรียบร้อยแล้ว เป่ยฉวนเทียนก็พูดกับฉีเล่ยเจือสีหน้ารู้สึกผิดเล็กน้อย

“ฉันขอโทษนะฉีเล่ย ความจริงฉันเองก็ไม่อยากทำให้เรื่องนี้ใหญ่โตหรอก แต่ตาเฒ่าพวกนี้ดันไปได้ยินเรื่องของเธอเข้า ก็เลยอยากแวะเข้ามาชื่นชมวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ด้วยตาตัวเองสักครั้ง อนิจจา…ไหนใครบอกว่ายิ่งแก่ยิ่งหูตึง ทำไมตาเฒ่าสามคนนี้ถึงหูไวตาไวแบบนี้”

“ไม่มีปัญหาเลยครับ”

ฉีเล่ยโบกมือไปมาพร้อมกับเอ่ยตอบ

“ผมไม่ติดอะไรเลยครับ”

ชายร่างอ้วนหัวเราะและพูดขึ้นบ้าง

“ตาเฒ่าเป่ย ฉีเล่ยเขาไม่ได้คิดมากอะไรสักหน่อย แกนั่นแหละที่ชอบตีโพยตีพายไปเอง แต่จะว่าไป เธอจะเริ่มได้รึยังล่ะ? ฉันเองก็อยากเห็นใจจะขาดแล้วเหมือนกัน!”

“อืม งั้นมาเริ่มกันเลยดีกว่า”

เป่ยฉวนเทียนกล่าวต่อว่า

“ฉีเล่ย ก่อนหน้านี้ฉันบอกว่าจะประลองกับเธอใช่ไหม? แต่ขอเปลี่ยนอะไรข้อตกลงเล็กน้อย คือตาเฒ่าพวกนี้ก็ร้อนวิชาอยากจะประลองกับเธอเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็เอาเป็นว่า เราจะประลองกันทั้งหมดสามรอบ สองรอบแรกเป็นการวินิจฉัยกับการจัดสูตรยา ส่วนรอบที่สามเป็นการแข่งฝังเข็ม เธอมีความเห็นยังไงบ้างล่ะ?”

“ไม่มีปัญหาเลยครับ”

ฉีเล่ยยิ้มพร้อมพยักหน้าตอบด้วยความเต็มใจทันที เขาทราบดีอยู่แล้วว่า ชายชราทั้งสามคนนี้เองก็อยากที่จะทดสอบศักยภาพของเขาด้วยทักษะทั้งหมดที่มีเช่นกัน

…..

เป่ยจ้าวหยวนยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ทันใดนั้นก็มีชายในชุดสูทสีดำตรงเข้าพูดอะไรสักอย่างกับเขาก่อนจะเดินออกไป

เป่ยจ้าวหยวนได้ยินแบบนั้นก็ตรงเข้ามามากลางวงสนทนา พร้อมกับร้องถามออกไปว่า

“คุณปู่ครับ ทุกอย่างพร้อมแล้ว จะเริ่มกันเลยดีไหมครับ?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน 153 ประลองรอบสอง(1)

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter 153 ประลองรอบสอง(1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่153 ประลองรอบสอง(1)

ฉีเล่ยเคยโค่นตระกูลเป่ยได้แล้วครั้งหนึ่ง และเป่ยฉวนเทียนเองก็ยังเต็มใจมอบป้ายประจำตระกูลเป่ยให้กับเขาอีกด้วย ซึ่งฉีเล่ยก็ปฏิเสธที่จะรับมา แต่กลับถูกอีกฝ่ายรบเร้าไม่หยุดจนต้องนำกลับมาบ้านด้วยจนได้ ส่วนเหตุผลที่ไม่อยากรับเอามานั้น ก็เพราะไม่ต้องการสร้างปัญหาให้อีกฝ่ายนั่นเอง

แต่เมื่อฉีเล่ยกลับมาที่คลินิกตระกูลเป่ยอีกครั้งกลับผิดคาด เขาได้พบว่า ธุรกิจของตระกูลเป่ยไม่เพียงจะไม่ได้รับผลกระทบหลังจากถูกปลดป้ายตระกูลออกไป แต่กลับยิ่งทำให้มีคนไข้มากขึ้นกว่าก่อนหน้าอย่างน้อยสองถึงสามเท่าเลยทีเดียว!

อันที่จริงแล้ว หากลองใคร่ครวญดูคิดให้ดี ตระกูลเป่ยนั้นก่อตั้งคลีนิกอยู่ในเมืองปักกิ่งมาก็นานแล้ว และเสาหลักที่ทำให้คลีนิคแห่งนี้ยังคงได้รับความนิยมจวบจนถึงปัจจุบัน ก็คือชื่อเสียงของเป่ยฉวนเทียนที่สั่งสมมานานนับหลายสิบปีนั่นเอง ด้วยจุดแข็งดังกล่าวทำให้ที่นี่ยังคงเป็นตัวเลือกแรกเสมอสำหรับผู้คนที่เจ็บไข้ได้ป่วย และต้องการรักษาด้วยการแพทย์แผนจีน

คนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใด พวกเขาก็ย่อมผงาดอยู่ได้

ฉีเล่ยเพิ่งจะย่างเท้าก้าวเข้าไปเหยียบในโถงคลินิกได้ไม่นาน จู่ๆก็มีหญิงสาวคนหนึ่งตรงเข้ามาทักทายทันที

เธอคนนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากหญิงสาวในชุดกี่เพ้าที่เขาได้พบเมื่อครั้งก่อน เธอจำฉีเล่ยได้ทันทีที่เห็นหน้า แต่สีหน้าการแสดงออกของเธอกลับดูไม่ค่อยพอใจเขาเท่าไหร่นัก พร้อมเอ่ยถามว่า

“คุณมาทำอะไรที่นี่อีก?”

ฉีเล่ยยิ้มและกล่าวว่า

“ผมมาเยี่ยมอาวุโสเป่ยน่ะครับ”

หญิงสาวในชุดกี่เพ้ากล่าวตอบทันทีเจือสีหน้าประหลาดใจว่า

“หรือจะมาโค่นสำนักของเราอีกคะ?”

ครั้งล่าสุดที่ฉีเล่ยมานั้น จุดประสงค์ของเขาก็มาเพื่อโค่นสำนัก และช่วงชิงป้ายประจำตระกูลเป่ยอันทรงเกียรติไป แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้จำนวนคนไข้เพิ่มมากขึ้นก็ตาม แต่ในอีกด้านมันก็ทำให้คลินิกตระกูลเป่ยเกิดข่าวเด่นประเด็นร้อนบนโลกอินเตอร์เน็ตเช่นกัน และในเวลานี้เขาก็กลับมาที่นี่อีกครั้งโดยยังไม่ทราบจุดประสงค์ที่แท้จริง หรือบางทีพายุแห่งหายนะระลอกที่สองกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

ฉีเล่ยคลี่ยิ้มอ่อนโบกไม้โบกมือไปมาพร้อมตอบกลับไปว่า

“ผมแค่นัดมาคุยกับอาวุโสเป่ยเฉยๆครับ ไม่ได้มาโค่นสำนักอะไรแบบนั้นอีกแล้ว”

ในตอนแรก เป่ยฉวนเทียนได้ประกาศไว้ว่า ภายในสามวันให้หลังตนจะไปท้าประลองกับฉีเล่ยอีกครั้งถึงหน้าบ้าน แต่วันนี้จู่ๆเป่ยจ้าวหยวนก็โทรมามาหาฉีเล่ยแจ้งให้เขารีบมาที่บ้านตระกูลเป่ยโดยเร็ว เพราะเวลานี้มีผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรักษาด้วยวิชาฝังเข็มที่ฉีเล่ยชำนาญ

ฉีเล่ยที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีเจตนาร้ายอะไร จึงไม่ได้ตอบปฏิเสธและรีบเดินทางมาที่นี่โดยเร็ว นอกจากนี้แล้ว เป่ยฉวนเทียนเองก็ยังเป็นปรมาจารย์แพทย์อาวุโสที่เขาเคารพอย่างมากคนหนึ่งด้วย ผนวกกับเหตุผลข้อนี้แล้ว หากเขาไม่มา ก็ดูจะเป็นคนไร้เหตุผลไปหน่อย

หญิงสาวในชุดกี่เพ้านำทางฉีเล่ยเข้ามาด้านในตัวเรือนและปล่อยให้เขานั่งรอในห้องรับรอง หลังจากนั้นสักพักใหญ่ ก็มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเดินลงมา แน่นอนว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากเป่ยจ้าวหยวน เขารีบเดินตรงมาหาฉีเล่ยพร้อมกับทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ฉีเล่ย โทษทีที่ให้รอนาน คุณปู่กำลังรอนายอยู่ชั้นบน”

ฉีเล่ยยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ช่วยนำทางไปทีครับ พอดีผมยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่”

เป่ยจ้าวหยวนดูตื่นเต้นดีใจอย่างมาก เขารีบผายมือเชื้อเชิญฉีเล่ยให้ตามไปทันที ปากก็ร้องบอกไปว่า

“ได้สิ! เชิญทางนี้เลย”

ดูเหมือนว่าหลังจากการประลองครั้งล่าสุดได้จบลง ทัศนคติของเป่ยจ้าวหยวนที่มีต่อฉีเล่ยนั้นจะเปลี่ยนไปมาก เขาไม่มีท่าทางที่ดูหยิ่งยโสอย่างแต่ก่อนแล้ว ในทางตรงข้าม เขายังปฏิบัติตัวต่อฉีเล่ยราวกับเป็นเพื่อนคนหนึ่งอีกด้วย

เป่ยจ้าวหยวนเดินนำทางไป โดยมีฉีเล่ยเดินตามอีกฝ่ายไปติดๆ จนกระทั่งเข้าไปในห้องโถงชั้นสองซึ่งตกแต่งในแบบจีนโบราณ

ภายในห้องมีชายชราอยู่สี่คนกำลังนั่งดื่มชาพลางพูดคุยสนทนากันอยู่ แต่เมื่อเห็นฉีเล่ยเดินเข้ามา ทุกคนต่างก็พากันหันขวับมา และสายตาทุกคู่ก็จับจ้องอยู่ที่ร่างของฉีเล่ย

เป่ยฉวนเทียนลุกขึ้นยืนทันที พร้อมกับคลี่ยิ้มกว้าง สีหน้าผ่องใส กล่าวขึ้นอย่างจริงใจว่า

“มาแล้ว มาแล้ว เตรียมตัวพร้อมรึยังล่ะ?”

“ขอบคุณอาวุโสเป่ยมากเลยครับที่ให้เกียรติเชื้อเชิญผมแบบนี้ ผมพร้อมแล้วครับ”

“ฮ่าๆ ตอนนี้ที่คลินิกของเรามีคนไข้ที่อยากจะให้เธอช่วยทำการรักษาให้ แต่ถ้ารักษาอย่างเดียวคงจะน่าเบื่อไปหน่อย ฉันก็เลยขอเสนอให้แข่งกันรักษาดีไหม? พูดตามตรงนะ ฉันตื่นเต้นมากจนนอนหลับไม่เต็มอื่นมาหลายวันแล้ว ขอบอกตามตรง ฉันเองก็ไม่รู้ว่าชั่วชีวิตนี้จะมีโอกาสได้ประลองฝีมือกับคนเก่งๆอย่างเธออีกไหม ยังไงก็อย่าถือสากันเลยนะ”

“อาวุโสเป่ยกล่าวเกินไปแล้วครับ ด้วยความยินดีอย่างยิ่งครับ ไม่มีปัญหา”

เป่ยฉวนเทียนตบไหล่ฉีเล่ยเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นยิ้มๆ

“ไม่มากเกินไปหรอก ฉันชอบหนุ่มสาวแบบเธอจริงๆนะ ไม่หยิ่งผยองอวดดี รู้จักวางตัว แต่ก่อนแข่งขันฉันอยากจะขอร้องเธอเรื่องหนึ่ง ห้ามเธอออมมือให้ฉันเด็ดขาด ฉันอยากจะใช้โอกาสนี้ได้เปิดหูเปิดตาสักครั้งเผื่อฝีมือจะพัฒนาขึ้นบ้าง ฮ่าฮ่า…”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบไปอย่างสุภาพว่า

“ผมจะทำอย่างเต็มที่ครับ”

เป่ยฉวนเทียนหัวเราะ

“มาเถอะ ฉันจะแนะนำทุกคนให้เธอรู้จัก”

ในขณะที่เอ่ยบอกฉีเล่ยนั้น เขาก็ได้ชี้ไปที่ชายชราแก้มตอบใบหน้าเคร่งขรึม ดูเอาจริงเอาจังอยู่ตลอดเวลา

“คนนั้นชื่อว่าหลัวไป่ซิ่ว เป็นปรมาจารย์ด้านกระดูกที่โด่งดังที่สุดในปักกิ่ง ฝีมือด้านการรักษากระดูกของเขานับว่ายอดเยี่ยมมาก และรักษาผู้ป่วยมาแล้วนับไม่ถ้วน”

ฉีเล่ยโค้งศีรษะให้อย่างสุภาพและกล่าวทักทายว่า

“อาวุโสหลัว ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

หลัวไป่ซิ่วพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวทักทายตอบ สีหน้าการแสดงออกดูแข็งกระด้างไร้มนุษย์สัมพันธ์ใดๆ

เป่ยฉวนเทียนเห็นสีหน้าท่าทางของหลัวไป๋ซิ่วที่มีต่อฉีเล่ยแบบนั้น ก็เกรงว่าฉีเล่ยจะคิดมาก จึงรีบพูดปลอบประโลมไปว่า

“อาวุโสหลัวเป็นพวกหน้าตายแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ต้องคิดมากนะ”

ฉีเล่ยกล่าวตอบโดยไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไร

“ผมเข้าใจครับ”

เขาทราบดีว่าเหล่าอัจฉริยะแต่ละคนล้วนมีความหวาดระแวงและมีศักดิ์ศรีของตัวเอง ได้พบเจอกันครั้งแรกจึงไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะรักษาระยะห่างไว้แบบนี้

เมื่อเห็นว่าฉีเล่ยไม่ได้เก็บไปคิดเล็กคิดน้อยอะไร เป่ยฉวนเทียนก็อดที่จะแอบชื่นชมอีกฝ่ายอยู่ในใจเงียบๆไม่ได้ จากนั้นจึงได้ผายมือไปทางขวาซึ่งมีชายร่างอ้วนคนหนึ่งนั่งอยู่

“ส่วนคนนั้นเป็นปรมาจารย์ด้านการปรุงยาจีน ทำความรู้จักเขาไว้ เผื่อว่าในอนาคตเธอต้องการวัตถุดิบอะไรจะได้ติดต่อหาเขาได้”

ชายอ้วนหัวเราะร่วนและหันมาพูดกับฉีเล่ยว่า

“ฉีเล่ยใช่ไหม? ฉันได้ยินตาแก่เป่ยบอกว่า เธอเป็นลูกเขยของเฉินฉางเชิง?”

ฉีเล่ยพยักหน่าตอบ

“ใช่ครับ”

“โอ้? ดีใจที่ได้พบนะ แต่จะว่าไปก็น่าเสียดายแทน ไม่รู้เหมือนกันว่าเสี่ยวเฉินป่วยเป็นโรคอะไรถึงได้เสียชีวิต เห้ออ…คงจะเป็นโรคร้ายแรงที่แม้แต่ตัวเขายังไม่สามารถรักษาให้หายได้ อนิจจา…ทำไมแพทย์มากฝีมือถึงต้องมีชะตากรรมแบบนี้ด้วยนะ”

“…”

ฉีเล่ยเป็นคนเดียวที่ทราบข้อเท็จจริงการตายของเฉินฉางเชิง และเขาไม่อยากจะอธิบายให้คนนอกฟังเท่าไหร่นัก

ชายร่างอ้วนกล่าวต่อว่า

“ในสมัยที่เสี่ยวเฉินยังมีชีวิตอยู่ ฉันเองก็ค่อนข้างชื่นชมทักษะฝีมือของเขามากเลยนะ ถ้ามีโอกาสฉันจะขอไปไหว้หลุมศพของเขาหน่อยนะ”

อาวุโสเหวิน เขาเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงยาสมุนไพรจีนมากที่สุดคนหนึ่งในปักกิ่ง คนไข้ของเขาแต่ละคนล้วนเป็นบุคคลสำคัญและมีอำนาจอิทธิพลอย่างมากในประเทศนี้ รวมไปถึงบรรดามหาเศรษฐีอีกมากมาย ทั้งนี้ปัจจุบันเขายังดำรงตำแหน่งประธานสภาการแพทย์แผนจีนแห่งชาติอีกด้วย

แม้ว่าเขาคนนี้จะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพ่อตาของฉีเล่ยเลย และไม่แม้แต่จะเคยพบเจอหน้ากันด้วยซ้ำ แต่ว่าเฉินฉางเชิงมีความเชี่ยวชาญในสายปรุงยาสมุนไพรจีนเช่นกัน และในฐานะที่เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องในสายงานเดียวกัน อีกทั้งยังมีฝีมือที่เก่งกาจ อาวุโสเหวินจึงรู้สึกนับถืออีกฝ่ายเรื่อยมา ใครพูดถึงเฉินฉางเชิงให้ฟังเขาก็มักจะกล่าวชื่นชมอีกฝ่ายอยู่เสมอ

แรกพบกับอาวุโสเหวิน ฉีเล่ยค่อนข้างประทับใจอย่างมาก เขาเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ไว้อาวุโสเหวินเดินทางไปหนานหยางเมื่อไหร่ ผมจะขอทำตัวเป็นเจ้าบ้านต้อนรับขับสู้เองครับ”

เป่ยฉวนเทียนผายมือไปทางชายชราคนสุดท้ายที่ผิวพรรณค่อนข้างคล้ำ เบ้าตาจมลึกและกล่าวแนะนำ

“ส่วนคนสุดท้ายนี้เป็นปรมาจารย์ด้านการครอบแก้ว ปิงโหย่วหลิน สมัยนี้การครอบแก้วกับการฝังเข็มนับเป็นของคู่กัน หากคลินิกตระกูลเป่ยคือที่สุดแห่งศาสตร์การฝังเข็ม คลินิกตระกูลปิงก็คือที่สุดแห่งศาสตร์การครอบแก้ว”

“อาวุโสปิงยินดีที่ได้รู้จักครับ”

ฉีเล่ยส่งยิ่มให้ปิงโหย่วหลิน อาศัยองค์ความรู้ที่มี เขาย่อมเข้าใจศาสตร์แห่งการครอบแก้วได้ไม่ยาก หากว่าการฝังเข็มคือการปรับสมดุลจากภายใน การครอบแก้วก็คือการเน้น ‘ระบายของเสียออกจากร่างกาย’ แต่หากจะให้พูดตามตรง การรักษาด้วยการครอบแก้วนั้นค่อนข้างจำกัดเฉพาะบางโรค

ปิงโหย่วหลินจับจ้องฉีเล่ยด้วยสายตานุ่มลึก แววตาเปล่งประกายนั้นเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น

“ฉันหวังว่าเธอจะแสดงวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ให้ฉันได้เห็นกับตานะ”

จุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ก็ค่อนข้างชัดเจน ทั้งหมดก็เพื่อมาดูการใช้วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ให้เป็นบุญตา

หลังจากแนะนำทั้งสามคนให้ฉีเล่ยรู้จักเรียบร้อยแล้ว เป่ยฉวนเทียนก็พูดกับฉีเล่ยเจือสีหน้ารู้สึกผิดเล็กน้อย

“ฉันขอโทษนะฉีเล่ย ความจริงฉันเองก็ไม่อยากทำให้เรื่องนี้ใหญ่โตหรอก แต่ตาเฒ่าพวกนี้ดันไปได้ยินเรื่องของเธอเข้า ก็เลยอยากแวะเข้ามาชื่นชมวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ด้วยตาตัวเองสักครั้ง อนิจจา…ไหนใครบอกว่ายิ่งแก่ยิ่งหูตึง ทำไมตาเฒ่าสามคนนี้ถึงหูไวตาไวแบบนี้”

“ไม่มีปัญหาเลยครับ”

ฉีเล่ยโบกมือไปมาพร้อมกับเอ่ยตอบ

“ผมไม่ติดอะไรเลยครับ”

ชายร่างอ้วนหัวเราะและพูดขึ้นบ้าง

“ตาเฒ่าเป่ย ฉีเล่ยเขาไม่ได้คิดมากอะไรสักหน่อย แกนั่นแหละที่ชอบตีโพยตีพายไปเอง แต่จะว่าไป เธอจะเริ่มได้รึยังล่ะ? ฉันเองก็อยากเห็นใจจะขาดแล้วเหมือนกัน!”

“อืม งั้นมาเริ่มกันเลยดีกว่า”

เป่ยฉวนเทียนกล่าวต่อว่า

“ฉีเล่ย ก่อนหน้านี้ฉันบอกว่าจะประลองกับเธอใช่ไหม? แต่ขอเปลี่ยนอะไรข้อตกลงเล็กน้อย คือตาเฒ่าพวกนี้ก็ร้อนวิชาอยากจะประลองกับเธอเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็เอาเป็นว่า เราจะประลองกันทั้งหมดสามรอบ สองรอบแรกเป็นการวินิจฉัยกับการจัดสูตรยา ส่วนรอบที่สามเป็นการแข่งฝังเข็ม เธอมีความเห็นยังไงบ้างล่ะ?”

“ไม่มีปัญหาเลยครับ”

ฉีเล่ยยิ้มพร้อมพยักหน้าตอบด้วยความเต็มใจทันที เขาทราบดีอยู่แล้วว่า ชายชราทั้งสามคนนี้เองก็อยากที่จะทดสอบศักยภาพของเขาด้วยทักษะทั้งหมดที่มีเช่นกัน

…..

เป่ยจ้าวหยวนยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ทันใดนั้นก็มีชายในชุดสูทสีดำตรงเข้าพูดอะไรสักอย่างกับเขาก่อนจะเดินออกไป

เป่ยจ้าวหยวนได้ยินแบบนั้นก็ตรงเข้ามามากลางวงสนทนา พร้อมกับร้องถามออกไปว่า

“คุณปู่ครับ ทุกอย่างพร้อมแล้ว จะเริ่มกันเลยดีไหมครับ?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+