ยอดคุณหมอสกุลเฉินตอนที่271 ก้าวสำคัญ
ตอนที่271 ก้าวสำคัญ
ฉีเล่ยมั่นใจว่าตนเองไม่ได้สั่งให้ใครมารับตัวซือไถไปแน่ๆ และทันทีที่เขาได้ยินคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจอย่างมาก
ฉีเล่ยจ้องมองเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแน่นิ่ง ก่อนจะถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“คุณแน่ใจนะ?”
“แน่ใจสิครับประธานฉี! วันนั้นมีผู้ชายกับผู้หญิงคนหนึ่งเดินลงมาจากห้องพร้อมกับคุณตาท่านนั้น ผมยังเดินเข้าไปขวางไว้เลย แต่ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าเป็นเพื่อนกับประธานฉี แล้วยังบอกว่าคุณเป็นคนให้เธอมาพาคุณตาท่านนั้นไปพบด้วย อีกอย่าง คุณตาท่านนั้นก็ไม่มีท่าทีดิ้นรนขัดขืน ผมก็เลยมั่นใจว่าเป็นคนรู้จักกันทั้งหมดจริงๆ”
จากนั้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็รีบพูดต่อเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง “ถ้าคุณตามีท่าทางดิ้นรนขัดขืน ผมไม่มีทางที่จะปล่อยให้เขาออกไปกับสองคนนั่นแน่ครับ!”
หลังจากที่ได้ฟังคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ฉีเล่ยก็ได้แต่รู้สึกสิ้นหวัง
เขาแทบไม่จำเป็นต้องออกไปค้นหาซือไถอีก เพราะซือไถก็ได้หายตัวไปหลายวันแล้ว และด้วยนิสัยใจคอของซิ่วเอ๋อกับอี้ชา ฉีเล่ยจึงพอที่จะคาดเดาชะตากรรมของชายชราได้ไม่ยากว่า สองคนนั่นไม่มีทางที่จะปล่อยเขาไปง่ายๆอย่างแน่นอน
ฉีเล่ยได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าไปมา เวลานี้ เขาทำได้เพียงแค่เตรียมการบุกบ้านของซือไถ ซึ่งชายหญิงเผ่าเหมี่ยวใช้เป็นรังสำหรับเลี้ยงหนอนกู่ เขาต้องขัดขวางแผนการของชายหญิงคู่นี้ให้ได้
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเห็นสีหน้าท่าทางของฉีเล่ย ก็รู้ได้ทันทีว่าตนเองคงต้องทำพลาดไปแล้วอย่างแน่นอน จึงรีบระล่ำระลักพูดออกไปว่า
“ประธานฉีครับ ผมไม่รู้จริงๆครับ ผมคิดว่าพวกเขาสองคนเป็นเพื่อนของประธานฉีจริงๆ!”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้นได้แต่นึกเสียใจว่า ถ้าเขาสามารถทำภารกิจที่ฉีเล่ยมอบหมายให้สำเร็จได้แล้วล่ะก็ นอกเหนือจากค่าจ้างที่เขาได้รับก่อนหน้าแล้ว เขาก็น่าจะได้ค่าตอบแทนพิเศษเพิ่ม แต่ตอนนี้…
ความหวังทั้งหมดของเขาได้พังทลายครืนลงในพริบตา
ฉีเล่ยรีบยกมือขึ้นโบกไปมาเพื่อบอกว่า ไม่เป็นไร! เพราะเรื่องราวก็ได้เกิดขึ้นไปแล้ว จากนั้น เขาก็คร้านที่จะสนใจเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนายนี้อีก และรีบเดินออกจากโรงแรมนั่งรถไปที่บ้านของซือไถต่อทันที
เมื่อครั้งที่ซือไถยังมีชีวิตอยู่นั้น นอกเหนือจากที่ฉีเล่ยได้เคยช่วยชีวิตของเขาไว้ถึงสองครั้งสองครา ซือไถก็ยังได้บอกข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับชายหญิงเผ่าเหมี่ยวคู่นี้ให้เขารู้ด้วย ซึ่งนับว่าชายชราผู้นี้ก็มีส่วนช่วยเขามากเช่นกัน เขาจึงไม่ต้องการที่จะเห็นซือไถถูกคนเผ่าเหมี่ยวฆ่าตายอย่างเวทนา
แต่ตอนนี้ สิ่งนั้นกลับได้เกิดขึ้นแล้ว เขาจึงไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้
ในเช้าเวลาตีสามเช่นนี้ บนถนนก็เริ่มมีรถราวิ่งไปมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่มีผู้คนเดินเท้าปรากฏไม่มากมายนัก เว้นแต่ช่วงที่รถวิ่งผ่านบริเวณที่เป็นบาร์และร้านดื่ม ก็จะเห็นชายหญิงเดินเมาขาดสติอยู่ตามท้องถนนแถวนั้นบ้าง
หากเป็นเมื่อก่อน ฉีเล่ยคงจะนั่งมองภาพชีวิตของผู้คนด้วยความสนอกสนใจ แต่ตอนนี้ จิตใจของเขามีแต่เรื่องของหนอนกู่เท่านั้น
และเมื่อรถขับมาจนสามารถมองเห็นบ้านของซือไถอยู่ไกลๆ ฉีเล่ยจึงไม่กล้าที่จะให้คนขับรถขับเข้าไปต่อ เพราะนี่เป็นคนขับรถที่หลินชูวโม่จัดแจงมา เขาจึงน่าจะเป็นคนของเธอ อีกอย่าง ฉีเล่ยเองก็ไม่ต้องการให้คนบริสุทธิ์ต้องมาเสี่ยงกับเรื่องที่เขาทำอยู่ในตอนนี้ด้วย
“เอาล่ะ ส่งผมลงตรงนี้ก็พอ เดี๋ยวผมจะเดินต่อไปเอง”
“ไม่ได้นะครับประธานฉี! เจ้านายสั่งไว้ว่า ต้องให้ผมดูแลความปลอดภัยของประธานฉีให้ดี!”
คนขับรถรีบตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ฉีเล่ยฟังแล้วก็ไม่รู้ว่าจะต้องหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี และได้แต่แอบคิดในใจว่า ตัวเขาเองต่างหากที่จะต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของคนขับรถ แต่ก็ร้องตอบกลับไปว่า
“อย่าดีกว่า! เพราะถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณ ผมต่างหากที่จะต้องรู้สึกเสียใจ เอาเป็นว่าคุณกลับไปได้แล้ว เดี๋ยวผมจะเป็นคนอธิบายเรื่องนี้ให้เจ้านายของคุณฟังเอง”
หลังจากได้ยินคำพูดของฉีเล่ย คนขับรถยังคงมีท่าทีลังเล จนกระทั่งฉีเล่ยต้องหันไปย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เอาเถอะน่า! ไม่ต้องห่วง ไม่มีเรื่องอะไรหรอก”
คนขับรถได้แต่จำใจหักพวงมาลัยรถเข้าไปจอดไหล่ทาง และเมื่อฉีเล่ยก้าวลงจากรถไปแล้ว เขาก็รีบร้องตะโกนบอกว่า
“ประธานฉีครับ ผมจะจอดรถรออยู่ตรงนี้ก็แล้วกันนะครับ คุณเสร็จธุระเมื่อไหร่ ก็โทรเรียกผมได้เลย”
ฉีเล่ยหันไปยิ้มให้พร้อมกับพยักหน้าแทนคำตอบ
บริเวณที่จอดรถนั้นอยู่ห่างจากบ้านของซือไถไปราวสองสามร้อยเมตร และในระหว่างที่ฉีเล่ยกำลังเดินไปตามทางอย่างเงียบๆนั้น จู่ๆเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
บ้านหลังนี้จะต้องมีคนคอยเฝ้าระวังอยู่อย่างมากมายแน่นอน ต่อให้จะเป็นช่วงเวลากลางค่ำกลางคืนก็เถอะ ฉีเล่ยเชื่อว่าจะต้องมีผู้คนคอยลาดตระเวณอยู่ตลอดเวลา
ฉีเล่ยใช้ฝ่ามือลูบคลำหญ้าท้ออย่างทะนุถนอม นี่เป็นสมุนไพรที่เขาแลกมาด้วยชีวิตก็ว่าได้ และนี่ก็เป็นความหวังเดียวของเขาในเวลานี้
เมื่อครั้งที่ฉีเล่ยมาที่บ้านซือไถครั้งแรกนั้น เขารู้ดีว่าจะต้องมีวันนี้ จึงได้แอบทำการสำรวจเส้นทางรอบๆ และทางหนีที่ไล่ไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว
และเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนของซิ่วเอ๋อกับอี้ชาพบเห็นเข้า ฉีเล่ยจึงไม่เลือกที่จะแอบเข้าทางประตูด้านหน้า แต่เลี่ยงไปใช้เส้นทางเล็กๆที่สามารถเชื่อมถึงกับสวนด้านหลังของบ้านแทน และเมื่อไปถึง ฉีเล่ยก็จะแอบปีนเข้าไปด้านใน จากนั้นจึงค่อยปีนขึ้นไปที่ชั้นสองต่อ
ฉีเล่ยเลือกที่จะไม่ปะทะกับซิ่วเอ๋อและอี้ชาซึ่งหน้า เพราะถึงอย่างไร สองมือก็ไม่สามารถเอาชนะสี่มือได้แน่ อีกทั้งเวลานี้ ทั่วทั้งบ้านยังเต็มไปด้วยลูกน้องของชายหญิงเผ่าเหมี่ยวทั้งสองคนอีก จึงแทบไม่ต้องพูดถึง หากเขาต้องรับมือกับคนอีกมากมายตรงหน้านี้
ฉีเล่ยอาศัยประโยชน์จากความมืดในยามค่ำคืน และอาศัยความทรงจำของตัวเอง ค่อยๆเดินไปตามทางเล็กๆ และเมื่อหันมองสำรวจไปรอบๆก็พบว่า ตัวเขาเองอยู่ห่างจากสวนด้านหลังบ้านไม่ไกลมากแล้ว
แต่ในเวลานั้นเอง จู่ๆ ฉีเล่ยก็รู้สึกคล้ายถูกใครบางคนล็อคบริเวณลำคอไว้ พร้อมกับลากร่างของเขาไปอีกฟากหนึ่ง
‘แย่แล้ว! นี่ฉันถูกพวกมันพบเห็นเข้าแล้วสินะ!’
ฉีเล่ยถึงกับตกใจอย่างมาก ความจริงแล้ว การมาของเขาครั้งนี้นับว่าเป็นความลับสุดยอด เป็นไปไม่ได้ที่ซิ่วเอ๋อกับอี้ชาจะรู้ล่วงหน้า จนสามารถมาดักรอเขาแบบนี้ได้
‘ชิงลงมือก่อนย่อมเป็นฝ่ายได้เปรียบ!’
ฉีเล่ยรู้ว่าเขาไม่สามารถปล่อยให้ความพยายามที่ผ่านมาสูญเปล่าได้ เมื่อคิดได้แบบนั้น เขาจึงได้เตรียมจับร่างของคนที่ล็อคคอเขาอยู่นั้น ทุ่มลงกับพื้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่แล้ว น้ำเสียงที่ดังขึ้นข้างหูของเขา กลับกลายเป็นน้ำเสียงของใครบางคนที่เขาคุ้นเคยยิ่งนัก!
“นี่ฉันเอง!”
‘หลี่ถงซี! นี่มันเสียงของหลี่ถงซี’
ฉีเล่ยทั้งประหลาดใจและดีใจไปพร้อมๆกัน เขาพยายามตามหาตัวเธอมาตลอด นับตั้งแต่เธอขึ้นรถตู้สีทองคันนั้นไป แต่ก็ไม่สามารถหาพบแม้แต่ร่องรอย
“ถงซี หลายวันนี้คุณหายไปไหนมา?”
หลังจากที่ได้พบหลี่ถงซีเข้า ฉีเล่ยก็หลงลืมจุดประสงค์ในการมาที่นี่ของเตนเองไปทันที
“ครั้งสุดท้ายที่ผมพบคุณ คุณขึ้นรถตู้สีทองคันนั้น คุณไปอยู่ที่ไหนมากันแน่?”
ฉีเล่ยมีคำถามมากมายในใจ และทันทีที่พบหน้าหญิงสาว เขาก็ยิงคำถามออกไปทันที
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งถามเรื่องพวกนี้ ไว้กลับไปฉันจะเล่าให้นายฟังเอง”
น้ำเสียงของหลี่ถงซียังคงเย็นชาห่างเหินเช่นเคย แต่ครั้งนี้ ดูเหมือนจะมีความสนิทสนมเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
“ได้! แต่กลับไปเมื่อไหร่ คุณต้องเล่าให้ผมฟังให้หมดเลยนะ!”
อย่างน้อยตอนนี้หลี่ถงซีก็ดูปลอดภัยดี
ก่อนหน้านี้ ฉีเล่ยเองก็เคยคาดเดาว่า หลี่ถงซีอาจจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกในองค์กรของซิ่วเอ๋อกับอี้ชา และคงต้องมีสภาพเหมือนกับคนมากมายที่เขาเห็นในบ้านเมื่อครั้งก่อน ที่แววตาดูเย็นชาไร้ชีวิตไม่ต่างจากหุ่นยนต์
แต่ดูเหมือนว่า ตอนนี้ทุกอย่างจะไม่ได้เป็นอย่างที่เขากังวล หลี่ถงซียังคงดูเป็นปกติดี!
“เห็นคุณไม่เป็นเหมือนคนพวกนั้นก็ดีแล้ว! บอกมา คุณแฝงตัวเข้าไปอยู่ในองค์กรของซิ่วเอ๋อกับอี้ชาใช่มั๊ย? ถ้างั้นคุณคงจะรู้สินะว่า ข้างในบ้านมีการป้องกันแน่นหนาขนาดไหน?”
หลี่ถงซีตอบกลับไปทันที “ก็ที่ฉันมาดักรอนายก็เพราะเรื่องนี้นี่ล่ะ! ในบ้านหลังนั้นมีคนของพวกมันเฝ้าอยู่เต็มไปหมด ถ้านายแอบเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้ามีหวังพวกมันจะต้องเห็นแน่ๆ ตอนนี้ในบ้านหลังนั้นมีคนเฝ้าอยู่มากกว่าร้อยคน!”
“หู้ว! ทำไมถึงได้มากมายขนาดนั้นล่ะ?”
ฉีเล่ยมั่นใจว่าจะต้องมีคนคอยคุ้มกันบ้านหลังนั้นอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่คิดว่าจะมากมายขนาดนี้!
“ก็ใช่น่ะสิ! แต่ฉันแอบวาดผังการเดินเวรยามภายในบ้านหลังนั้นมาให้นายแล้ว นายค่อยๆศึกษาดูให้ละเอียดก่อนเข้าไปล่ะ”
ดูเหมือนว่า หลายวันนี้หลี่ถงซีคงถูกส่งมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ด้วย และดูเหมือนจะมีเวลามากพอที่จะทำอะไรแบบนี้ได้
“อ่อ.. ยังมีอีกเรื่อง! อีกไม่กี่ชั่วโมงฟ้าก็จะสว่างแล้ว ฉันรู้ว่านายมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไร เพราะฉะนั้น จะทำอะไรก็รีบทำซะ ไม่อย่างนั้น ถ้าให้พวกมันกลับมาพบเข้าซะก่อน ทุกอย่างก็จะสายเกินแก้!”
ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังสนทนากันอยู่นั้น ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากไกลๆ
สีหน้าของหลี่ถงซีเปลี่ยนไปทันที และคล้ายกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอรีบเอื้อมมือออกไปจับมือของฉีเล่ยไว้ ก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว
เวลานั้น จิตใจของฉีเล่ยวุ่นวายสับสนอย่างบอกไม่ถูก
และเมื่อหลี่ถงซีจากไปแล้ว ฉีเล่ยก็หลบเข้าไปหามุมมิดชิด และอาศัยแสงไฟจากโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ ที่เขาเพิ่งแวะซื้อหลังออกจากสนามบิน จากนั้น จึงรีบคลี่กระดาษโน้ตที่หลี่ถงซียัดให้ในมือออกดู
และก้าวต่อไปนั้น นับเป็นก้าวที่สำคัญยิ่ง!
Comments