ยอดนักรบจอมราชัน 141 หลินโรโร่ว VS ฉินหยู

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 141 หลินโรโร่ว VS ฉินหยู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เย่เชียนผงะไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดว่า  คราวหน้านะ… คราวหน้าพี่ชายจะซื้อเจ้าแพะน้อยให้ 

เบ็งเบ็งอุ้มตุ๊กตาเอาไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับยิ้มหวาน  ขอบคุณค่ะพี่ชาย! 

เวลานี้จีเมิงฉิงได้นำอาหารออกมาวางไว้ที่โต๊ะจนหมดแล้ว เธอยิ้มออกมาอย่างพอใจแล้วพูดว่า  มากินกันเถอะ! 

 คุณแม่คะ… พี่ชายบอกว่าคราวหน้าพี่เขาจะซื้อแพะน้อยมาให้หนูด้วยล่ะ  เบ็งเบ็งพูดพลางวิ่งไปที่ด้านข้างของจีเมิงฉิงอย่างมีความสุข

จีเมิงฉิงมองเธออย่างอ่อนโยนและพูดว่า  แล้วหนูขอบคุณพี่ชายเขารึยังจ๊ะ ? 

 แน่นอนสิคะ… หนูขอบคุณพี่ชายไปแล้ว… เบ็งเบ็งเป็นเด็กดีนะ  เบ็งเบ็งทำปากเล็ก ๆ และพูดอย่างน่ารัก

เย่เชียนยิ้มกว้าง หลังจากนั่งลงแล้วเขาก็ลูบหัวของเบ็งเบ็งอย่างอ่อนโยนแล้วพูดว่า  เบ็งเบ็งจ๋า… วันนี้เป็นวันเกิดของหนู หนูอธิษฐานอะไรเหรอ ? 

เบ็งเบ็งเอียงหัวไปมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พูดขึ้นมาว่า  หนูอธิษฐานไปแค่อย่างเดียวเองค่ะพี่ชาย… หนูขอให้คุณแม่หาพ่อใหม่ให้หนูน่ะ… เพราะเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน เขาก็มีพ่อกันทุกคนเลย มีแต่หนูคนเดียวที่ไม่มีพ่อ… หนูเองก็อยากมีพ่อเหมือนกับเพื่อน ๆ บ้าง 

จีเมิงฉิงและจางเจี้ยนหย่าร้างกันหลังจากที่เบ็งเบ็งเกิดมาได้ไม่นาน และจางเจี้ยนเองก็ไม่เคยดูแลแยแสเบ็งเบ็งเลย ดังนั้นเบ็งเบ็งจึงไม่มีความรู้สึกผูกพันกับจางเจี้ยนเลยแม้แต่น้อย ทุก ๆ ครั้งที่เบ็งเบ็งเห็นจางเจี้ยน เธอก็ไม่เคยเรียกเขาว่าพ่อเลยแม้แต่ครั้งเดียว

จีเมิงฉิงจ้องมองอย่างหมดหนทางและพูดว่า  ลูกพูดอะไรของลูกน่ะ  จากนั้นเธอก็หันหน้าไปทางเย่เชียนโดยไม่ได้ตั้งใจ แววตาของเธอเผยให้เห็นความหมายอันลึกซึ้งอย่างชัดเจน มันทำให้เย่เชียนตกตะลึงอย่างมากและรีบหันหน้าไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว

 คุณแม่เร็ว ๆ สิคะ หนูหิวแล้ว  จีเมิงฉิงได้ยินลูกสาวพูดดังนั้น เธอจึงรีบอุ้มเบ็งเบ็งไปนั่ง จากนั้นเธอก็นั่งลงตรงกันข้ามกับเย่เชียนและสบตากับเย่เชียนด้วยความขอบคุณ  ขอบคุณสำหรับคืนนี้นะคะ… มากินอาหารเถอะ 

เย่เชียนยิ้มอย่างซุกซนและพูดว่า  ผมต่างหากที่ควรจะเป็นคนขอบคุณ… เพราะไม่งั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืนนี้ผมจะไปหาข้าวกินที่ไหน ฮ่า ๆ ๆ  

 ถ้างั้น… ว่าง ๆ คุณก็แวะมาที่นี่สิ… บางครั้งเราสองคนแม่ลูกกินข้าวด้วยกันมันก็จะเหงาหน่อย ๆ น่ะ… ถ้าคุณมากินข้าวกับเราบ่อย ๆ บ้านจะได้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง  จีเมิงฉิงพูด

เมื่อเห็นการจ้องมองที่ร้อนแรงของจีเมิงฉิงแล้ว เย่เชียนก็ยิ้มกลับอย่างโง่เขลาและไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไรดี เขาเพียงตอบแค่ว่า  อือฮึ…  ซ้ำกันหลาย ๆ ครั้งเพื่อเป็นการตอบกลับ

ส่วนเบ็งเบ็งนั้นกำลังหยิบช้อนขึ้นมาและค่อย ๆ ตักอาหารเข้าปากตัวเอง ขณะเดียวกันเธอก็จ้องมองไปที่จีเมิงฉิงและเย่เชียนด้วยรอยยิ้มที่อิ่มเอมบนใบหน้า  คุณแม่คะ! คุณแม่ชอบพี่ชายเหรอ ? ถ้างั้นทำไมคุณแม่ไม่ให้พี่ชายเขามาเป็นพ่อของเบ็งเบ็งซะเลยล่ะ 

เมื่อเย่เชียนได้ยินเช่นนี้ เขาก็ตกตะลึงอย่างมากและสูญเสียความเป็นตัวเองไปอย่างสมบูรณ์ ส่วนจีเมิงฉิงก็จ้องมองเบ็งเบ็งด้วยสายตาตำหนิและพูดว่า  หนูเป็นเด็กจะไปรู้อะไร… เอ้า! กินเยอะ ๆ จะได้โตไว ๆ นะลูก  จากนั้นเธอก็หันไปหาเย่เชียนพร้อมกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังอย่างลึกซึ้ง

เย่เชียนรีบก้มหน้าลงและแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เขารู้สึกได้ถึงความหมายภายในดวงตาของจีเมิงฉิง แต่เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอ หรืออย่างน้อย ๆ ก็ยังไม่ใช่ตอนนี้

หลังจากที่รับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว จีเมิงฉิงก็นำเค้กขึ้นมาและจุดเทียน จากนั้นก็เดินไปปิดไฟทั้งหมด ณ เวลานี้มีเพียงแสงเทียนจาง ๆ เท่านั้นที่ยังคงส่องสว่างอย่างแผ่วเบาไปทั่วทั้งห้อง

 คุณแม่… พี่ชาย… มาเป่าเทียนด้วยกันนะ  เบ็งเบ็งพูดพร้อมกับดึงจีเมิงฉิงและเย่เชียนเข้ามาใกล้

จังหวะนั้นจีเมิงฉิงและเย่เชียนต่างก็บังเอิญสบตากันอย่างช่วยไม่ได้ จีเมิงฉิงหน้าแดงเรื่อด้วยความเขินอาย ขณะเดียวกันเย่เชียนเห็นภาพลวงตาปรากฏขึ้นมาราวกับว่าตัวของเขานั้นเป็นหัวหน้าครอบครัวจริง ๆ และพวกเขาทั้งหมดนั้นเป็นครอบครัวที่อบอุ่นและอยู่กันอย่างมีความสุขด้วยกันสามคน

เมื่อเป่าเทียนทั้งหมดจนดับไปแล้ว เบ็งเบ็งก็จูบไปที่แก้มของจีเมิงฉิงและเย่เชียน…

……

หลังจากที่หลินโรโร่วเลิกงาน เธอก็ตรงไปที่ร้านกาแฟสตาร์บัคส์ที่นัดหมายกับฉินหยูเอาไว้ล่วงหน้า เมื่อหลินโรโร่วมาถึงเธอก็เห็นฉินหยูนั่งรอเธออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่ฉินหยูเห็นหลินโรโร่วเดินเข้ามาหา เธอก็ยืนขึ้นและยิ้มให้เล็กน้อย

หลินโรโร่วยิ้มอย่างรู้สึกผิดและพูดว่า  ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้คุณต้องมารอ 

ฉินหยูยิ้มจาง ๆ และพูดว่า  ฉันก็เพิ่งจะมาถึงเหมือนกันค่ะ… คุณจะดื่มอะไรดี ? 

 กาแฟค่ะ!  หลินโรโร่วตอบ

ฉินหยูกวักมือเรียกพนักงานเสิร์ฟมาแล้วสั่งว่า  กาแฟบลูเมาท์เทนหนึ่งแก้ว  จากนั้นเธอก็เหลือบไปมองหลินโรโร่ว  ทำไมเย่เชียนไม่มากับคุณด้วยล่ะ ? 

 เราแยกกันหลังจากที่ทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้วน่ะ… อันที่จริง… ที่ฉันนัดคุณมาวันนี้น่ะ เขาไม่รู้หรอก  หลินโรโร่วตอบ

ถึงแม้ว่าฉินหยูจะไม่รู้ว่าจุดประสงค์และความตั้งใจที่แท้จริงของหลินโรโร่วนั้นคืออะไร แต่เธอก็พอจะเดาได้คร่าว ๆ และเมื่อเธอเห็นความกระวนกระวายใจของหลินโรโร่วที่อยากจะพูดมันออกมานั้น ฉินหยูจึงพูดขึ้นมาว่า  ถ้าคุณมีอะไรจะพูด คุณก็พูดออกมาเถอะค่ะ 

 คือ… ฉัน… ฉัน  หลินโรโร่วหยุดไปชั่วขณะและเงยหน้าขึ้นมองฉินหยู จากนั้นเธอก็พูดว่า  คุณฉินคะ! คุณชอบเย่เชียนใช่มั้ยคะ ? 

ฉินหยูผงะไปครู่หนึ่งแล้วเธอก็พยักหน้า  ใช่…! ฉันชอบเย่เชียน… เพราะถ้าฉันบอกว่าฉันไม่ได้ชอบผู้ชายที่ดีอย่างเขา มันก็คงจะเป็นเรื่องที่โกหก แต่พอมาวันนี้ วันที่ฉันได้รู้ว่าเขามีแฟนแล้ว… และคุณหลินก็ดูเป็นผู้หญิงที่ดีมาก ๆ ฉันก็เลยรู้สึกเศร้าและเสียใจนิดหน่อย ฉันต้องขอโทษด้วยค่ะ… 

 คุณฉินคะ! คุณเข้าใจผิดแล้ว… ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น  หลินโรโร่วรีบพูดต่อ  ที่ฉันขอให้คุณมาที่นี่ในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพราะว่าฉันต้องการที่จะถามคำถามพวกนั้น… ฉันแค่อยากจะคุยดี ๆ กับคุณก็เท่านั้นเองค่ะ ฉันรู้ดีค่ะว่าผู้ชายที่ดีอย่างเย่เชียนจะต้องมีผู้หญิงดี ๆ มากมายหลายคนมาอยู่รอบ ๆ ตัวเขา เย่เชียนน่ะเคยเล่าเรื่องของคุณให้ฉันฟังนิดหน่อย… พอได้ฟังแล้วฉันก็คิดว่าคุณน่ะเหมาะกับเขามากกว่าฉันเสียอีก… อย่างน้อย ๆ ก็ในเรื่องอาชีพการงานล่ะนะ ที่คุณจะสามารถสนับสนุนเขาได้ดีกว่าฉัน… เอาจริง… ฉันว่าฉันนี่เป็นภาระของเขามากกว่าจะเป็นคนรักซะอีกนะ เฮ้อ! ฉันนี่มัวพูดอะไรก็ไม่รู้อยู่ได้ คือว่า… สิ่งที่ฉันอยากจะบอกกับคุณจริง ๆ ก็คือ ถ้าคุณรักเขา ฉันก็พร้อมที่จะถอยให้… 

ฉินหยูตกตะลึงและแน่นิ่งไปชั่วครู่หลังจากที่ฟังคำพูดเหล่านั้นจากปากของหลินโรโร่ว เธอมองไปที่ผู้หญิงตรงหน้าด้วยความประหลาดใจและเห็นว่าภายในดวงตาของเธอนั้นมันเต็มไปด้วยความจริงใจโดยไม่มีแม้แต่ความเสแสร้งใด ๆ แฝงอยู่เลย ฉินหยูไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองทำผิดอะไร เพราะมันเป็นสิทธิของคนทุกคนที่จะต่อสู้เพื่อความรัก ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเย่เชียนถึงรักหลินโรโร่วมาก นั่นก็เป็นเพราะว่าผู้หญิงคนนี้มีข้อดีที่ไม่เหมือนผู้หญิงคนไหนที่จะมีได้

หลังจากที่เงียบไปสักพัก ฉินหยูก็พูดขึ้นว่า  คุณหลิน… คุณอยู่กับเย่เชียนมานานแล้ว ฉันเชื่อว่าคุณน่าจะรู้จักเขาดีกว่าใครนะคะ ถ้าหากว่าฉันคนนี้เป็นคนทำให้เกิดปัญหาในความสัมพันธ์ระหว่างคุณทั้งสองคน ฉันรู้ว่าเย่เชียนจะไม่มีวันให้อภัยฉันอย่างแน่นอน ฉันรู้ว่าคุณนั้นจริงใจและไม่มีอุบายใด ๆ แต่การที่คุณทำแบบนี้ คุณรู้มั้ยว่าคุณน่ะไม่เพียงแค่ทำร้ายความรู้สึกของตัวคุณเองที่มีต่อเย่เชียนเพียงเท่านั้นนะคะ แต่คุณกำลังทำร้ายความรู้สึกของเย่เชียนที่มีต่อคุณอีกด้วย 

หลินโรโร่วจ้องมองไปที่ฉินหยูด้วยความประหลาดใจ เธอคิดว่าฉินหยูเองก็เป็นผู้หญิง และผู้หญิงทุกคนก็จะต้องมีความหึงหวงและอิจฉาริษยาเป็นธรรมดา แต่ฉินหยูกลับไม่ใช่คนแบบนั้น จากสิ่งที่ฉินหยูพูดออกมา มันก็ทำให้เธอก็คิดได้อย่างจริงใจและมั่นใจว่า ฉินหยูนั้นเป็นคู่ครองที่เหมาะสมที่สุดของเย่เชียนแล้ว เพราะการที่จะรักใครสักคน เราก็ไม่ควรที่จะหวังดีกับอีกฝ่ายที่รักเขาเช่นกันหรอกหรือ ? เธอนั้นไม่ได้คาดหวังว่าฉินหยูจะพูดแบบนี้ในตอนนี้ แต่เมื่อฉินหยูได้พูดแบบนี้ออกมาแล้ว หลินโรโร่วก็ต้องยอมรับเลยว่าสิ่งที่ฉินหยูพูดมานั้นมันฟังดูสมเหตุสมผลมาก

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดนักรบจอมราชัน 141 หลินโรโร่ว VS ฉินหยู

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 141 หลินโรโร่ว VS ฉินหยู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เย่เชียนผงะไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดว่า  คราวหน้านะ… คราวหน้าพี่ชายจะซื้อเจ้าแพะน้อยให้ 

เบ็งเบ็งอุ้มตุ๊กตาเอาไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับยิ้มหวาน  ขอบคุณค่ะพี่ชาย! 

เวลานี้จีเมิงฉิงได้นำอาหารออกมาวางไว้ที่โต๊ะจนหมดแล้ว เธอยิ้มออกมาอย่างพอใจแล้วพูดว่า  มากินกันเถอะ! 

 คุณแม่คะ… พี่ชายบอกว่าคราวหน้าพี่เขาจะซื้อแพะน้อยมาให้หนูด้วยล่ะ  เบ็งเบ็งพูดพลางวิ่งไปที่ด้านข้างของจีเมิงฉิงอย่างมีความสุข

จีเมิงฉิงมองเธออย่างอ่อนโยนและพูดว่า  แล้วหนูขอบคุณพี่ชายเขารึยังจ๊ะ ? 

 แน่นอนสิคะ… หนูขอบคุณพี่ชายไปแล้ว… เบ็งเบ็งเป็นเด็กดีนะ  เบ็งเบ็งทำปากเล็ก ๆ และพูดอย่างน่ารัก

เย่เชียนยิ้มกว้าง หลังจากนั่งลงแล้วเขาก็ลูบหัวของเบ็งเบ็งอย่างอ่อนโยนแล้วพูดว่า  เบ็งเบ็งจ๋า… วันนี้เป็นวันเกิดของหนู หนูอธิษฐานอะไรเหรอ ? 

เบ็งเบ็งเอียงหัวไปมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พูดขึ้นมาว่า  หนูอธิษฐานไปแค่อย่างเดียวเองค่ะพี่ชาย… หนูขอให้คุณแม่หาพ่อใหม่ให้หนูน่ะ… เพราะเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน เขาก็มีพ่อกันทุกคนเลย มีแต่หนูคนเดียวที่ไม่มีพ่อ… หนูเองก็อยากมีพ่อเหมือนกับเพื่อน ๆ บ้าง 

จีเมิงฉิงและจางเจี้ยนหย่าร้างกันหลังจากที่เบ็งเบ็งเกิดมาได้ไม่นาน และจางเจี้ยนเองก็ไม่เคยดูแลแยแสเบ็งเบ็งเลย ดังนั้นเบ็งเบ็งจึงไม่มีความรู้สึกผูกพันกับจางเจี้ยนเลยแม้แต่น้อย ทุก ๆ ครั้งที่เบ็งเบ็งเห็นจางเจี้ยน เธอก็ไม่เคยเรียกเขาว่าพ่อเลยแม้แต่ครั้งเดียว

จีเมิงฉิงจ้องมองอย่างหมดหนทางและพูดว่า  ลูกพูดอะไรของลูกน่ะ  จากนั้นเธอก็หันหน้าไปทางเย่เชียนโดยไม่ได้ตั้งใจ แววตาของเธอเผยให้เห็นความหมายอันลึกซึ้งอย่างชัดเจน มันทำให้เย่เชียนตกตะลึงอย่างมากและรีบหันหน้าไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว

 คุณแม่เร็ว ๆ สิคะ หนูหิวแล้ว  จีเมิงฉิงได้ยินลูกสาวพูดดังนั้น เธอจึงรีบอุ้มเบ็งเบ็งไปนั่ง จากนั้นเธอก็นั่งลงตรงกันข้ามกับเย่เชียนและสบตากับเย่เชียนด้วยความขอบคุณ  ขอบคุณสำหรับคืนนี้นะคะ… มากินอาหารเถอะ 

เย่เชียนยิ้มอย่างซุกซนและพูดว่า  ผมต่างหากที่ควรจะเป็นคนขอบคุณ… เพราะไม่งั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืนนี้ผมจะไปหาข้าวกินที่ไหน ฮ่า ๆ ๆ  

 ถ้างั้น… ว่าง ๆ คุณก็แวะมาที่นี่สิ… บางครั้งเราสองคนแม่ลูกกินข้าวด้วยกันมันก็จะเหงาหน่อย ๆ น่ะ… ถ้าคุณมากินข้าวกับเราบ่อย ๆ บ้านจะได้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง  จีเมิงฉิงพูด

เมื่อเห็นการจ้องมองที่ร้อนแรงของจีเมิงฉิงแล้ว เย่เชียนก็ยิ้มกลับอย่างโง่เขลาและไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไรดี เขาเพียงตอบแค่ว่า  อือฮึ…  ซ้ำกันหลาย ๆ ครั้งเพื่อเป็นการตอบกลับ

ส่วนเบ็งเบ็งนั้นกำลังหยิบช้อนขึ้นมาและค่อย ๆ ตักอาหารเข้าปากตัวเอง ขณะเดียวกันเธอก็จ้องมองไปที่จีเมิงฉิงและเย่เชียนด้วยรอยยิ้มที่อิ่มเอมบนใบหน้า  คุณแม่คะ! คุณแม่ชอบพี่ชายเหรอ ? ถ้างั้นทำไมคุณแม่ไม่ให้พี่ชายเขามาเป็นพ่อของเบ็งเบ็งซะเลยล่ะ 

เมื่อเย่เชียนได้ยินเช่นนี้ เขาก็ตกตะลึงอย่างมากและสูญเสียความเป็นตัวเองไปอย่างสมบูรณ์ ส่วนจีเมิงฉิงก็จ้องมองเบ็งเบ็งด้วยสายตาตำหนิและพูดว่า  หนูเป็นเด็กจะไปรู้อะไร… เอ้า! กินเยอะ ๆ จะได้โตไว ๆ นะลูก  จากนั้นเธอก็หันไปหาเย่เชียนพร้อมกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังอย่างลึกซึ้ง

เย่เชียนรีบก้มหน้าลงและแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เขารู้สึกได้ถึงความหมายภายในดวงตาของจีเมิงฉิง แต่เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอ หรืออย่างน้อย ๆ ก็ยังไม่ใช่ตอนนี้

หลังจากที่รับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว จีเมิงฉิงก็นำเค้กขึ้นมาและจุดเทียน จากนั้นก็เดินไปปิดไฟทั้งหมด ณ เวลานี้มีเพียงแสงเทียนจาง ๆ เท่านั้นที่ยังคงส่องสว่างอย่างแผ่วเบาไปทั่วทั้งห้อง

 คุณแม่… พี่ชาย… มาเป่าเทียนด้วยกันนะ  เบ็งเบ็งพูดพร้อมกับดึงจีเมิงฉิงและเย่เชียนเข้ามาใกล้

จังหวะนั้นจีเมิงฉิงและเย่เชียนต่างก็บังเอิญสบตากันอย่างช่วยไม่ได้ จีเมิงฉิงหน้าแดงเรื่อด้วยความเขินอาย ขณะเดียวกันเย่เชียนเห็นภาพลวงตาปรากฏขึ้นมาราวกับว่าตัวของเขานั้นเป็นหัวหน้าครอบครัวจริง ๆ และพวกเขาทั้งหมดนั้นเป็นครอบครัวที่อบอุ่นและอยู่กันอย่างมีความสุขด้วยกันสามคน

เมื่อเป่าเทียนทั้งหมดจนดับไปแล้ว เบ็งเบ็งก็จูบไปที่แก้มของจีเมิงฉิงและเย่เชียน…

……

หลังจากที่หลินโรโร่วเลิกงาน เธอก็ตรงไปที่ร้านกาแฟสตาร์บัคส์ที่นัดหมายกับฉินหยูเอาไว้ล่วงหน้า เมื่อหลินโรโร่วมาถึงเธอก็เห็นฉินหยูนั่งรอเธออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่ฉินหยูเห็นหลินโรโร่วเดินเข้ามาหา เธอก็ยืนขึ้นและยิ้มให้เล็กน้อย

หลินโรโร่วยิ้มอย่างรู้สึกผิดและพูดว่า  ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้คุณต้องมารอ 

ฉินหยูยิ้มจาง ๆ และพูดว่า  ฉันก็เพิ่งจะมาถึงเหมือนกันค่ะ… คุณจะดื่มอะไรดี ? 

 กาแฟค่ะ!  หลินโรโร่วตอบ

ฉินหยูกวักมือเรียกพนักงานเสิร์ฟมาแล้วสั่งว่า  กาแฟบลูเมาท์เทนหนึ่งแก้ว  จากนั้นเธอก็เหลือบไปมองหลินโรโร่ว  ทำไมเย่เชียนไม่มากับคุณด้วยล่ะ ? 

 เราแยกกันหลังจากที่ทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้วน่ะ… อันที่จริง… ที่ฉันนัดคุณมาวันนี้น่ะ เขาไม่รู้หรอก  หลินโรโร่วตอบ

ถึงแม้ว่าฉินหยูจะไม่รู้ว่าจุดประสงค์และความตั้งใจที่แท้จริงของหลินโรโร่วนั้นคืออะไร แต่เธอก็พอจะเดาได้คร่าว ๆ และเมื่อเธอเห็นความกระวนกระวายใจของหลินโรโร่วที่อยากจะพูดมันออกมานั้น ฉินหยูจึงพูดขึ้นมาว่า  ถ้าคุณมีอะไรจะพูด คุณก็พูดออกมาเถอะค่ะ 

 คือ… ฉัน… ฉัน  หลินโรโร่วหยุดไปชั่วขณะและเงยหน้าขึ้นมองฉินหยู จากนั้นเธอก็พูดว่า  คุณฉินคะ! คุณชอบเย่เชียนใช่มั้ยคะ ? 

ฉินหยูผงะไปครู่หนึ่งแล้วเธอก็พยักหน้า  ใช่…! ฉันชอบเย่เชียน… เพราะถ้าฉันบอกว่าฉันไม่ได้ชอบผู้ชายที่ดีอย่างเขา มันก็คงจะเป็นเรื่องที่โกหก แต่พอมาวันนี้ วันที่ฉันได้รู้ว่าเขามีแฟนแล้ว… และคุณหลินก็ดูเป็นผู้หญิงที่ดีมาก ๆ ฉันก็เลยรู้สึกเศร้าและเสียใจนิดหน่อย ฉันต้องขอโทษด้วยค่ะ… 

 คุณฉินคะ! คุณเข้าใจผิดแล้ว… ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น  หลินโรโร่วรีบพูดต่อ  ที่ฉันขอให้คุณมาที่นี่ในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพราะว่าฉันต้องการที่จะถามคำถามพวกนั้น… ฉันแค่อยากจะคุยดี ๆ กับคุณก็เท่านั้นเองค่ะ ฉันรู้ดีค่ะว่าผู้ชายที่ดีอย่างเย่เชียนจะต้องมีผู้หญิงดี ๆ มากมายหลายคนมาอยู่รอบ ๆ ตัวเขา เย่เชียนน่ะเคยเล่าเรื่องของคุณให้ฉันฟังนิดหน่อย… พอได้ฟังแล้วฉันก็คิดว่าคุณน่ะเหมาะกับเขามากกว่าฉันเสียอีก… อย่างน้อย ๆ ก็ในเรื่องอาชีพการงานล่ะนะ ที่คุณจะสามารถสนับสนุนเขาได้ดีกว่าฉัน… เอาจริง… ฉันว่าฉันนี่เป็นภาระของเขามากกว่าจะเป็นคนรักซะอีกนะ เฮ้อ! ฉันนี่มัวพูดอะไรก็ไม่รู้อยู่ได้ คือว่า… สิ่งที่ฉันอยากจะบอกกับคุณจริง ๆ ก็คือ ถ้าคุณรักเขา ฉันก็พร้อมที่จะถอยให้… 

ฉินหยูตกตะลึงและแน่นิ่งไปชั่วครู่หลังจากที่ฟังคำพูดเหล่านั้นจากปากของหลินโรโร่ว เธอมองไปที่ผู้หญิงตรงหน้าด้วยความประหลาดใจและเห็นว่าภายในดวงตาของเธอนั้นมันเต็มไปด้วยความจริงใจโดยไม่มีแม้แต่ความเสแสร้งใด ๆ แฝงอยู่เลย ฉินหยูไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองทำผิดอะไร เพราะมันเป็นสิทธิของคนทุกคนที่จะต่อสู้เพื่อความรัก ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเย่เชียนถึงรักหลินโรโร่วมาก นั่นก็เป็นเพราะว่าผู้หญิงคนนี้มีข้อดีที่ไม่เหมือนผู้หญิงคนไหนที่จะมีได้

หลังจากที่เงียบไปสักพัก ฉินหยูก็พูดขึ้นว่า  คุณหลิน… คุณอยู่กับเย่เชียนมานานแล้ว ฉันเชื่อว่าคุณน่าจะรู้จักเขาดีกว่าใครนะคะ ถ้าหากว่าฉันคนนี้เป็นคนทำให้เกิดปัญหาในความสัมพันธ์ระหว่างคุณทั้งสองคน ฉันรู้ว่าเย่เชียนจะไม่มีวันให้อภัยฉันอย่างแน่นอน ฉันรู้ว่าคุณนั้นจริงใจและไม่มีอุบายใด ๆ แต่การที่คุณทำแบบนี้ คุณรู้มั้ยว่าคุณน่ะไม่เพียงแค่ทำร้ายความรู้สึกของตัวคุณเองที่มีต่อเย่เชียนเพียงเท่านั้นนะคะ แต่คุณกำลังทำร้ายความรู้สึกของเย่เชียนที่มีต่อคุณอีกด้วย 

หลินโรโร่วจ้องมองไปที่ฉินหยูด้วยความประหลาดใจ เธอคิดว่าฉินหยูเองก็เป็นผู้หญิง และผู้หญิงทุกคนก็จะต้องมีความหึงหวงและอิจฉาริษยาเป็นธรรมดา แต่ฉินหยูกลับไม่ใช่คนแบบนั้น จากสิ่งที่ฉินหยูพูดออกมา มันก็ทำให้เธอก็คิดได้อย่างจริงใจและมั่นใจว่า ฉินหยูนั้นเป็นคู่ครองที่เหมาะสมที่สุดของเย่เชียนแล้ว เพราะการที่จะรักใครสักคน เราก็ไม่ควรที่จะหวังดีกับอีกฝ่ายที่รักเขาเช่นกันหรอกหรือ ? เธอนั้นไม่ได้คาดหวังว่าฉินหยูจะพูดแบบนี้ในตอนนี้ แต่เมื่อฉินหยูได้พูดแบบนี้ออกมาแล้ว หลินโรโร่วก็ต้องยอมรับเลยว่าสิ่งที่ฉินหยูพูดมานั้นมันฟังดูสมเหตุสมผลมาก

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+