ยอดนักรบจอมราชัน 364 บริษัททะเลสี่ทิศกรุ๊ป

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 364 บริษัททะเลสี่ทิศกรุ๊ป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 364 บริษัททะเลสี่ทิศกรุ๊ป

ในแง่ของรูปลักษณ์นั้นเย่เชียนก็ไม่ใช่ผู้ชายในแบบที่ผู้บริการที่เพียบพร้อมอย่างเธอต้องการและในแง่ของความมั่งคั่งและภูมิหลังนั้นซูเหว๋ยก็รู้ว่าเย่เชียนนั้นเป็นแค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่กำลังตกงาน ซึ่งเย่เชียนนั้นไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จหรือสามารถดึงดูดความสนใจของเธอได้เลยกลับกันเย่เชียนนั้นเหมือนกับพวกอันธพาลเสียมากกว่า และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมคนประเภทนี้ไม่สมควรและไม่คู่ควรที่คนอย่างซูเหม๋ยจะมาสนใจได้เลย

เย่เชียนเองก็ไม่เข้าใจอยู่ดีและเขาก็คิดเพียงแค่ว่าบางทีซูเหว๋ยอาจจะเหงาเกินไปเพราะเธอไม่มีเพื่อนเลยและเธอก็น่าสงสารอย่างมาก

เมื่อไปที่ห้างสรรพสินค้าแล้วซูเหว๋ยก็ซื้อชุดสูทให้เย่เชียนแต่เมื่อเย่เชียนเห็นซูเหว๋ยเลือกเสื้อผ้าให้ตัวเองอย่างใจจดใจจ่อและประณีตแล้วจู่ๆ ก็มีภาพลวงตาโผล่ขึ้นมาราวกับว่าซูเหว๋ยที่อยู่ตรงหน้าของเขาไม่ใช่หญิงสาวที่น่ารักและซุกซนอีกต่อไปแต่เธอเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมและงดงามอย่างมากและในทางตรงกันข้ามมันเผยให้เห็นถึงนิสัยใจคอที่แสนดีของเธอราวกับว่าเธอกำลังเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเลือกซื้อชุดให้กับแฟนของเธออย่างตั้งใจ

การเลือกซื้อเสื้อผ้าของเธอเองนั้นซูเหว๋ยก็ดูสบายๆ อย่างมากแต่เมื่อเธอเลือกเสื้อผ้าให้กับเย่เชียนเธอกลับดูจริงจังขึ้นมาในทันทีและเธอก็บอกให้เย่เชียนไปลองทีละชุดซึ่งเย่เชียนก็ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่แต่เธอก็ไม่รู้สึกรำคาญเขาเลย เธอกลับดูอย่างละเอียดทุกครั้งที่เย่เชียนสวมพวกมัน ซึ่งหลังจากที่เย่เชียนลองใส่ดูแล้วเธอก็เห็นว่าไม่เหมาะเธอถึงให้เย่เชียนลองอีกชุดไปเรื่อยๆ

หลังจากที่เลือกกันมานานกว่าครึ่งชั่วโมงในที่สุดซูเหว๋ยก็เลือกซื้อชุดที่เธอพอใจได้มาสองชุดหลังจากนั้นเธอก็รูดบัตรเพื่อจ่ายบิล ซึ่งพนักงานแคชเชียร์ก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนด้วยท่าทางแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะเธอเคยเห็นผู้คนมามากมายแต่เธอกลับไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนเลยที่คบกับหญิงสาวที่ร่ำรวยและสวยงามเช่นนี้มาก่อน

เมื่อเย่เชียนเห็นแววตาแบบนั้นเขาก็ไม่รู้สึกละอายใจใดๆ กับการจ้องมองของพนักงานแคชเชียร์แต่กลับจ้องมองกลับไปที่พนักงานแคชเชียร์ด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายจนหนักแคชเชียร์สูญเสียอาการไปเล็กน้อย

แน่นอนว่าฉากเหล่านี้ทั้งหมดนั้นไม่สามารถพ้นไปจากสายตาของซูเหว๋ยได้ดังนั้นเธอจึงจ้องเขม็งไปที่เย่เชียนและเธอก็รีบเดินออกจากร้านไป เมื่อเป็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ยิ้มให้กับพนักงานแคชเชียร์อีกครั้งและหยิบชุดเสื้อผ้าและชุดที่เขาเพิ่งเปลี่ยนแล้วรีบตามซูเหว๋ยไป

ระหว่างทางนั้นซูเหว๋ยก็ไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดทางซึ่งเย่เชียนเองก็ไม่ได้คิดที่จะไปรบกวนเธอเพราะใบหน้าของซูเหว่ยนั้นดูไม่สบอารมณ์อย่างมากเขาจึงไม่อยากไปรบกวนเธอ ซึ่งในตอนนี้เย่เชียนก็รู้สึกเพียงว่าซูเหว๋ยนั้นเป็นคนประเภทตีสองหน้าเพราะถ้าเธอถอดชุดสูทผู้บริหารของเธอออกเธอก็จะเป็นเหมือนสาวน้อยน่ารักและซุกซนแต่เมื่อเธอสวมชุดสูทผู้บริหารของเธอนั้นเธอก็จะเป็นผู้หญิงที่ดูแข็งแกร่งและสง่างามอย่างมาก

หลังจากนั้นไม่นานรถก็หยุดที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของอาคารสำนักงานแห่งหนึ่งและหลังจากลงจากรถแล้วซูเหว๋ยก็เดินตรงไปที่ลิฟต์ทันทีแต่เธอเห็นเย่เชียนกำลังจะขนถุงเสื้อผ้าของเธอที่เธอซื้อมาเธอก็พูดอย่างเย็นชาว่า “วางเอาไว้ตรงนั้นแหละ..รีบเข้ามา!”

เย่เชียนก็ผงะไปเล็กน้อยและรู้สึกราวกับว่าเขานั้นได้กลายเป็นคนรับใช้ของเธอไปจริงๆ เสียแล้วหลังจากนั้นเขาก็รีบเกินเข้าไปในลิฟต์และเมื่อมองไปที่ซูเหว๋ยก็ดูเหมือนว่าเธอนั้นจะไม่ต้องการกดลิฟต์เอง ซึ่งเมื่อซูเหว๋ยเห็นเย่เชียนมองเธออย่างงุนงงเธอก็พูดว่า “ชั้นที่สิบแปด!” หลังจากนั้นเย่เชียนก็เอื้อมมือออกและกดหมายเลขชั้นให้เธอ

ทันทีที่พวกเขาเดินออกจากลิฟต์เย่เชียนก็เห็นตัวอักษรสีทองสี่ตัวก็ปรากฏขึ้น “บริษัททะเลที่ทิศกรุ๊ป” และข้างหน้าของลิฟต์ก็คือแผนกต้อนรับ ซึ่งในขณะนี้ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งที่แผนกต้อนรับที่กำลังถือกระจกพกพาและกำลังแต่งหน้าอยู่แต่เมื่อเธอเห็นซูเหว๋ยเดินเข้ามาเธอก็รีบเก็บกระจกใส่ในกระเป๋าเสื้ออย่างร้อนรนทันที

ซูเหว๋ยก็เดินตรงเข้ามาและเมื่อเธอไปถึงแผนกต้อนรับเธอก็หยุดเดินแต่ทว่าเธอก็ไม่ได้แม้แต่จะหันไปมองที่พนักงานต้อนรับเลยแต่เธอกลับพูดอย่างเย็นชาว่า “ไปที่แผนกการเงินซะ..ไปรับเงินเดือนสุดท้ายของเธอ..เธอถูกไล่ออก!”

เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปชั่วขณะและเขาก็แอบถอนหายใจอย่างลับๆ เพราะเรื่องแบบนี้ค่อนข้างที่จะรุนแรงไปหน่อย ส่วนหญิงสาวแผนกต้อนรับก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธเกรี้ยวและพูดอย่างเดือดดาลว่า “หึ! ..คิดว่าฉันอยากอยู่นักเหรอไง!”

ซูเหว๋ยดูเหมือนจะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กับคำพูดของหญิงสาวแผนกต้อนรับเลยเธอเพียงเดินต่อไปโดยไม่แยแสสิ่งใดจนเย่เชียนที่เห้นเช่นนั้นก็ถึงกับอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและรีบตามเธอไป ฉากนี้ทำให้เห็นได้ชัดเลยว่าซูเหว๋ยนั้นเป็นคนจริงจังมากในหน้าที่การงาน ดังนั้นเมื่อเธอเดินเข้ามาในบริษัทเธอก็ต้องเพียบพร้อมและจริงจังไปกับทุกอย่าง ซึ่งสายตาของพนักงานคนอื่นๆ ต่างก็จับจ้องไปที่เย่เชียนที่กำลังเดินตามซูเหว๋ยไปอย่างเงียบๆ และสุขุมอย่างมาก ซึ่งพวกเธอต่างก็งุนงงและสับสนไปกับการปรากฏตัวของเย่เชียนกันอย่างมาก

ซูเหว๋ยก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งต่างๆ มากนักเธอเพียงเดินตรงไปที่ห้องทำงานออฟฟิศของเธอและเธอก็พูดขณะที่เธอเดินว่า “หัวหน้าแผนกเซียวนำแผนธุรกิจของคุณมาให้ฉันที..ฉันต้องการข้อมูลไปประชุม” หลังจากนั้นเธอก็มองไปที่เลขาผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้างและพูดว่า “คณะกรรมการมาถึงแล้วหรือยัง?”

“ยังเลยค่ะ..ฉันเพิ่งโทรไปพวกเขาบอกว่าอาจจะมาหลังประธานซูน่ะค่ะ..คุณต้องการให้ฉันโทรหาพวกเขาเลยไหมคะ?” เลขาถามอย่างระมัดระวัง

“หึ!” ซูเหว๋ยอุทานด้วยความไม่สบอารมณ์และพูดว่า “คนพวกนี้นับวันยิ่งได้ใจมากขึ้นเรื่อยๆ ..โทรไปบอกพวกเขาว่าถ้าไม่เข้ามาภายใน 20 นาทีก็อย่าโทษว่าฉันหยาบคายกับพวกเขาก็แล้วกัน..และหลังจากนี้พวกเขาก็ถูกลดตำแหน่งไปอยู่ในฐานะผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป!”

เลขาก็ตอบครั้งแล้วครั้งเล่าและหลังจากนั้นเธอก็มองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจซึ่งเย่เชียนก็ยิ้มให้เธออย่างสุภาพเช่นกัน “เดี๋ยวมานั่งข้างๆ ฉันนะ..และก็จำเอาไว้ด้วยนะว่าถ้าพวกคณะกรรมการมาก็อย่าพูดอะไร” ซูเหว๋ยเหลือบมองไปที่เย่เชียนและหลังจากนั้นเธอก็หันไปและเดินเข้าไปในห้องทำงานของเธอ

เย่เชียนก็พยักหน้าเบาๆ อย่างเชื่อฟังและหลังจากนั้นเขาก็หันมองไปที่เลขาแล้วถามว่า “เอ่อคุณซูมักจะจริงจังกับบริษัทแบบนี้น่ะหรอ?”

“เอ่อคือ..ประธานซูก็แค่จริงจังกับงานของเธอน่ะ..แต่เธอเป็นคนดีมากเลยนะ” เลขากระซิบเบาๆ “อาจเป็นเพราะหลายๆ อย่างในบริษัทเมื่อเร็วๆ ที่ทำให้ประธานซูเครียดน่ะค่ะ..เธอจึงไม่สบอารมณ์แบบนี้”

“แล้วเธออารมณ์ไม่ดีแบบนี้ทุกวันเลยหรือเปล่าที่บริษัท..แล้วแบบนี้การทำงานของพวกคุณจะไม่ตึงเครียดกันหรอ?” เย่เชียนถามอย่างตรงประเด็น

“ไม่นะคะ..เพราะช่วงนี้บริษัทเราทำธุรกิจกับมัวร์กรุ๊ปเมื่อเร็วๆ นี้..มันจึงเป็นเรื่องที่ลำบากมากประธานซูก็เลยเครียดน่ะค่ะ” เลขาพูดขณะที่เธอช่วยเรียงเอกสารต่างๆ ให้เย่เชียน

“เดอะมัวร์กรุ๊ปน่ะหรอ..เดอะมัวร์ที่ติดอันดับ 1 ใน 20 ของโลกและเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์อะนะ?” เย่เชียนถามด้วยความประหลาดใจเพราะเขาไม่ได้คาดหวังว่าบริษัททะเลสี่ทิศที่ไม่ใช่บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกแต่สามารถมีธุรกิจร่วมกับเดอะมัวร์กรุ๊ปได้ ซึ่งเมื่อคิดเช่นนั้นซูเหว๋ยคงจะไม่ธรรมดาจริงๆ ซึ่งเธอก็คู่ควรกับการเป็นนักธุรกิจหญิงที่สง่างามอย่างมาก

“ใช่ค่ะ..เพราะCEOของเดอะมัวร์กรุ๊ปเพิ่งจะมาที่ไต้หวันเมื่อเร็วๆ นี้..ดังนั้นบริษัทของเราจึงเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา..แต่ทว่ากรรมการของบริษัทและลูกทีมทั้งหมดกลับล่าช้าและคาดว่าจะไม่สามารถทำซอฟต์แวร์เสร็จได้ตามกำหนดค่ะ..ดังนั้นเหล่ากรรมการจึงรวมหัวกันใช้ข้ออ้างนี้เพื่อปลดประธานซูลงจากตำแหน่งน่ะค่ะ” เลขากวาดสายตามองไปรอบๆ ขณะที่เธอพูดเพราะเธอกลัวว่าจะมีคนจะได้ยินคำพูดเหล่านี้ เพราะถึงแม้ว่าเรื่องนี้อาจไม่เป็นความลับในบริษัทก็ตามแต่ถึงยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่สามารถจะหยิบมาพูดคุยกันได้เลย

“อืม!” เย่เชียนก็พยักหน้าเพราะไม่น่าแปลกใจเลยที่ซูเหว๋ยจะอารมณ์ไม่ดีและไม่แยแสเฉายู่เหลียง ซึ่งเมื่อคิดๆ ดูแล้วเธอน่าสงสารมากเพราะสำหรับซูเหว๋ยผู้หญิงคนนี้นั้นสิ่งต่างๆ ที่เธอต้องเผชิญมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ต้องมาต่อสู้กับเหล่าเครือญาติที่จ้องจะทำลายเธอ

ในขณะที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่จู่ๆ ก็มีกลุ่มคนเดินเข้ามาจากข้างนอกและมีเฉายู่เหลียงอยู่ท่ามกลางพวกเขาด้วยซึ่งด้านหน้าของเขามีผู้ชายและผู้หญิงวัยกลางคนสองสามคนซึ่งดูเหมือนพวกเขาทั้งหมดเป็นประธษนกรรมการของบริษัททะเลสี่ทิศ อย่างไรก็ตามเฉายู่เหลียงก็ไม่เห็นเย่เชียนเลยแม้แต่น้อยและพวกเขาเพียงเดินตรงไปที่ห้องประชุมเท่านั้น หลังจากจัดเอกสารเสร็จเย่เชียนกับเลขาก็เดินไปหาซูเหว๋ยที่ห้องทำงานส่วนตัวของเธอ

ในขณะที่เย่เชียนกำลังจะผลักประตูเข้าไปจู่ๆ ซูเหว๋ยก็เปิดออกมาจากข้างในก่อนและจ้องมองไปที่เย่เชียนและพูดอย่างเย็นชาว่า “หลังจากนี้เป็นต้นไปถ้าหากว่านายจะเข้ามาในห้องทำงานของฉันล่ะก็..กรุณาเคาะประตูก่อนทุกครั้งด้วย” เห็นได้ชัดเลยว่าที่ซูเหว๋ยพูดแบบนี้นั้นก็เป็นเพราะว่าเธอเห็นเย่เชียนเข้าไปในห้องน้ำหญิงเมื่อครั้งที่แล้วนั่นเอง เย่เชียนก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟังและไม่โต้เถียงใดๆ เพราะเขาได้รู้จากเลขามาเมื่อเร็วๆ นี้ว่าเธอนั้นกำลังอารมณ์ไม่ดีและเครียดอยู่ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ต้องการไปยั่วยุหรือกระตุ้นความโกรธของเธอ ซึ่งเย่เชียนก็รู้สึกได้ว่าทำไมซูเหว๋ยถึงทำตัวซุกซนแบบนั้นเมื่อวานนี้ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าเธอเหงาและเครียดมากเกินไปและเธอก็ไม่มีใครให้ระบายสิ่งเหล่านี้ได้เลย

“ไปประชุมกับฉันด้วย” ซูเหว๋ยเหลือบมองไปที่เย่เชียนและเดินตรงไปที่ห้องประชุมโดยไม่เปิดโอกาสให้เย่เชียนได้สักถามใดๆ

เลขาก็รีบส่งเอกสารที่เตรียมเอาไว้ให้เย่เชียนและพูดว่า “นี่คือเอกสารที่จำเป็นสำหรับการประชุมในวันนี้ค่ะ..คุณต้องระวังให้ดีนะคะแล้วก็อย่าพูดอะไรนอกเรื่องด้วยล่ะ” ตามปกติซูเหว๋ยนั้นจะพาเธอไปเข้าร่วมประชุมแต่ทว่าวันนี้ซูเหว๋ยไม่ได้พูดซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าวันนี้ซูเหว๋ยไม่ได้ให้เธอไปดังนั้นเธอจึงส่งเอกสารให้เย่เชียน

เย่เชียนก็รับเอกสารเอาไว้แล้วก็พยักหน้าจากนั้นก็รีบตามซูเหว๋ยไป

ห้องประชุมนั้นมีขนาดใหญ่มากและสามารถได้ยินเสียงสนทนาได้จากระยะไกลโดยเครื่องขยายเสียง ซูเหว๋ยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและเมื่อเธอเดินไปถึงหน้าประตูเย่เชียนก็เปิดประตูให้เธออย่างสุภาพ เพราะเย่เชียนนั้นรู้สึกได้ว่าเขาคงจะต้องเข้าสู่บทบาทนี้อย่างจริงจังแล้ว ซึ่งหลังจากที่ซูเหว๋ยเข้าไปเย่เชียนก็เดินตามไปอย่างเป็นธรรมชาติ

ทันทีที่ซูเหว๋ยเดินเข้ามายังประตูทุกคนในห้องประชุมก็หยุดพูดคุยกันและหันมองไปทางเธอ ซึ่งเฉายู่เหลียงก็มองมาเช่นกันและเมื่อเขาเห็นเย่เชียนเขาก็อดไม่ได้ที่จะแน่นิ่งไปชั่วครู่และหลังจากนั้นเขาก็ตะโกนว่า “ทำไมแกถึงมาที่นี่?”

สายตาของทุกคนในห้องก็อดไม่ได้ที่จะจับจ้องไปที่เย่เชียน และเมื่อเย่เชียนกำลังจะอ้าปากพูดแต่ทว่าซูเหว๋ยก็ชิงพูดก่อนด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เขาเป็นผู้ช่วยคนใหม่ของฉัน..เพราะงั้นตอนนี้เรามาประชุมกันเถอะ!” ซูเหว๋ยนั่งลงขณะที่เธอพูดและเห็นได้ชัดเลยว่าเธอนั้นไม่ต้องการให้เย่เชียนพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น

เย่เชียนก็เดินตามซูเหว๋ยไปและนั่งลงข้างๆ เธอ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเฉายู่เหลียงนั้นไม่พอใจเย่เชียนอย่างมากเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้และตอนนี้อาการบาดเจ็บที่ใบหน้าของเขาก็ยังคงเจ็บอยู่ “เราจะปล่อยให้พวกนักเลงอันธพาลไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างมันเข้ามาในบริษัททะเลสี่ทิศของเราได้ยังไง? ..นี่เป็นการทำลายภาพลักษณ์บริษัททะเลสี่ทิศของเรา!” เฉายู่เหลียงตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว

“นี่คุณไม่ได้ยินที่ฉันพูดเหรอ? ..ฉันพูดว่าการประชุมเริ่มแล้ว!” ซูเหว๋ยจ้องเขม็งไปที่เฉายู่เหลียงอย่างเย็นชาและพูดว่า “การที่ฉันจ้างบุคลากรมานี่ฉันต้องได้รับการอนุญาตจากคุณด้วยหรือเปล่า..หึ?”

ซูเหว่ยโกรธอย่างมากและเฉายู่เหลียงก็กำลังจะโต้เถียงแต่เขาถูกชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ เขาจ้องมองเขาด้วยสีหน้าที่ตักเตือนดังนั้นเฉายู่เหลียงจึงกลืนคำพูดเหล่านั้นกลับไปอย่างเชื่อฟัง ซึ่งชายวัยกลางคนคนนั้นมีลักษณะคล้ายกับเฉายู่เหลียงมากและนี่ก็อาจจะเป็นพ่อของเฉายู่เหลียงก็เป็นได้

.

.

.

.

.

.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดนักรบจอมราชัน 364 บริษัททะเลสี่ทิศกรุ๊ป

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 364 บริษัททะเลสี่ทิศกรุ๊ป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 364 บริษัททะเลสี่ทิศกรุ๊ป

ในแง่ของรูปลักษณ์นั้นเย่เชียนก็ไม่ใช่ผู้ชายในแบบที่ผู้บริการที่เพียบพร้อมอย่างเธอต้องการและในแง่ของความมั่งคั่งและภูมิหลังนั้นซูเหว๋ยก็รู้ว่าเย่เชียนนั้นเป็นแค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่กำลังตกงาน ซึ่งเย่เชียนนั้นไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จหรือสามารถดึงดูดความสนใจของเธอได้เลยกลับกันเย่เชียนนั้นเหมือนกับพวกอันธพาลเสียมากกว่า และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมคนประเภทนี้ไม่สมควรและไม่คู่ควรที่คนอย่างซูเหม๋ยจะมาสนใจได้เลย

เย่เชียนเองก็ไม่เข้าใจอยู่ดีและเขาก็คิดเพียงแค่ว่าบางทีซูเหว๋ยอาจจะเหงาเกินไปเพราะเธอไม่มีเพื่อนเลยและเธอก็น่าสงสารอย่างมาก

เมื่อไปที่ห้างสรรพสินค้าแล้วซูเหว๋ยก็ซื้อชุดสูทให้เย่เชียนแต่เมื่อเย่เชียนเห็นซูเหว๋ยเลือกเสื้อผ้าให้ตัวเองอย่างใจจดใจจ่อและประณีตแล้วจู่ๆ ก็มีภาพลวงตาโผล่ขึ้นมาราวกับว่าซูเหว๋ยที่อยู่ตรงหน้าของเขาไม่ใช่หญิงสาวที่น่ารักและซุกซนอีกต่อไปแต่เธอเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมและงดงามอย่างมากและในทางตรงกันข้ามมันเผยให้เห็นถึงนิสัยใจคอที่แสนดีของเธอราวกับว่าเธอกำลังเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเลือกซื้อชุดให้กับแฟนของเธออย่างตั้งใจ

การเลือกซื้อเสื้อผ้าของเธอเองนั้นซูเหว๋ยก็ดูสบายๆ อย่างมากแต่เมื่อเธอเลือกเสื้อผ้าให้กับเย่เชียนเธอกลับดูจริงจังขึ้นมาในทันทีและเธอก็บอกให้เย่เชียนไปลองทีละชุดซึ่งเย่เชียนก็ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่แต่เธอก็ไม่รู้สึกรำคาญเขาเลย เธอกลับดูอย่างละเอียดทุกครั้งที่เย่เชียนสวมพวกมัน ซึ่งหลังจากที่เย่เชียนลองใส่ดูแล้วเธอก็เห็นว่าไม่เหมาะเธอถึงให้เย่เชียนลองอีกชุดไปเรื่อยๆ

หลังจากที่เลือกกันมานานกว่าครึ่งชั่วโมงในที่สุดซูเหว๋ยก็เลือกซื้อชุดที่เธอพอใจได้มาสองชุดหลังจากนั้นเธอก็รูดบัตรเพื่อจ่ายบิล ซึ่งพนักงานแคชเชียร์ก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนด้วยท่าทางแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะเธอเคยเห็นผู้คนมามากมายแต่เธอกลับไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนเลยที่คบกับหญิงสาวที่ร่ำรวยและสวยงามเช่นนี้มาก่อน

เมื่อเย่เชียนเห็นแววตาแบบนั้นเขาก็ไม่รู้สึกละอายใจใดๆ กับการจ้องมองของพนักงานแคชเชียร์แต่กลับจ้องมองกลับไปที่พนักงานแคชเชียร์ด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายจนหนักแคชเชียร์สูญเสียอาการไปเล็กน้อย

แน่นอนว่าฉากเหล่านี้ทั้งหมดนั้นไม่สามารถพ้นไปจากสายตาของซูเหว๋ยได้ดังนั้นเธอจึงจ้องเขม็งไปที่เย่เชียนและเธอก็รีบเดินออกจากร้านไป เมื่อเป็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ยิ้มให้กับพนักงานแคชเชียร์อีกครั้งและหยิบชุดเสื้อผ้าและชุดที่เขาเพิ่งเปลี่ยนแล้วรีบตามซูเหว๋ยไป

ระหว่างทางนั้นซูเหว๋ยก็ไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดทางซึ่งเย่เชียนเองก็ไม่ได้คิดที่จะไปรบกวนเธอเพราะใบหน้าของซูเหว่ยนั้นดูไม่สบอารมณ์อย่างมากเขาจึงไม่อยากไปรบกวนเธอ ซึ่งในตอนนี้เย่เชียนก็รู้สึกเพียงว่าซูเหว๋ยนั้นเป็นคนประเภทตีสองหน้าเพราะถ้าเธอถอดชุดสูทผู้บริหารของเธอออกเธอก็จะเป็นเหมือนสาวน้อยน่ารักและซุกซนแต่เมื่อเธอสวมชุดสูทผู้บริหารของเธอนั้นเธอก็จะเป็นผู้หญิงที่ดูแข็งแกร่งและสง่างามอย่างมาก

หลังจากนั้นไม่นานรถก็หยุดที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของอาคารสำนักงานแห่งหนึ่งและหลังจากลงจากรถแล้วซูเหว๋ยก็เดินตรงไปที่ลิฟต์ทันทีแต่เธอเห็นเย่เชียนกำลังจะขนถุงเสื้อผ้าของเธอที่เธอซื้อมาเธอก็พูดอย่างเย็นชาว่า “วางเอาไว้ตรงนั้นแหละ..รีบเข้ามา!”

เย่เชียนก็ผงะไปเล็กน้อยและรู้สึกราวกับว่าเขานั้นได้กลายเป็นคนรับใช้ของเธอไปจริงๆ เสียแล้วหลังจากนั้นเขาก็รีบเกินเข้าไปในลิฟต์และเมื่อมองไปที่ซูเหว๋ยก็ดูเหมือนว่าเธอนั้นจะไม่ต้องการกดลิฟต์เอง ซึ่งเมื่อซูเหว๋ยเห็นเย่เชียนมองเธออย่างงุนงงเธอก็พูดว่า “ชั้นที่สิบแปด!” หลังจากนั้นเย่เชียนก็เอื้อมมือออกและกดหมายเลขชั้นให้เธอ

ทันทีที่พวกเขาเดินออกจากลิฟต์เย่เชียนก็เห็นตัวอักษรสีทองสี่ตัวก็ปรากฏขึ้น “บริษัททะเลที่ทิศกรุ๊ป” และข้างหน้าของลิฟต์ก็คือแผนกต้อนรับ ซึ่งในขณะนี้ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งที่แผนกต้อนรับที่กำลังถือกระจกพกพาและกำลังแต่งหน้าอยู่แต่เมื่อเธอเห็นซูเหว๋ยเดินเข้ามาเธอก็รีบเก็บกระจกใส่ในกระเป๋าเสื้ออย่างร้อนรนทันที

ซูเหว๋ยก็เดินตรงเข้ามาและเมื่อเธอไปถึงแผนกต้อนรับเธอก็หยุดเดินแต่ทว่าเธอก็ไม่ได้แม้แต่จะหันไปมองที่พนักงานต้อนรับเลยแต่เธอกลับพูดอย่างเย็นชาว่า “ไปที่แผนกการเงินซะ..ไปรับเงินเดือนสุดท้ายของเธอ..เธอถูกไล่ออก!”

เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปชั่วขณะและเขาก็แอบถอนหายใจอย่างลับๆ เพราะเรื่องแบบนี้ค่อนข้างที่จะรุนแรงไปหน่อย ส่วนหญิงสาวแผนกต้อนรับก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธเกรี้ยวและพูดอย่างเดือดดาลว่า “หึ! ..คิดว่าฉันอยากอยู่นักเหรอไง!”

ซูเหว๋ยดูเหมือนจะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กับคำพูดของหญิงสาวแผนกต้อนรับเลยเธอเพียงเดินต่อไปโดยไม่แยแสสิ่งใดจนเย่เชียนที่เห้นเช่นนั้นก็ถึงกับอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและรีบตามเธอไป ฉากนี้ทำให้เห็นได้ชัดเลยว่าซูเหว๋ยนั้นเป็นคนจริงจังมากในหน้าที่การงาน ดังนั้นเมื่อเธอเดินเข้ามาในบริษัทเธอก็ต้องเพียบพร้อมและจริงจังไปกับทุกอย่าง ซึ่งสายตาของพนักงานคนอื่นๆ ต่างก็จับจ้องไปที่เย่เชียนที่กำลังเดินตามซูเหว๋ยไปอย่างเงียบๆ และสุขุมอย่างมาก ซึ่งพวกเธอต่างก็งุนงงและสับสนไปกับการปรากฏตัวของเย่เชียนกันอย่างมาก

ซูเหว๋ยก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งต่างๆ มากนักเธอเพียงเดินตรงไปที่ห้องทำงานออฟฟิศของเธอและเธอก็พูดขณะที่เธอเดินว่า “หัวหน้าแผนกเซียวนำแผนธุรกิจของคุณมาให้ฉันที..ฉันต้องการข้อมูลไปประชุม” หลังจากนั้นเธอก็มองไปที่เลขาผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้างและพูดว่า “คณะกรรมการมาถึงแล้วหรือยัง?”

“ยังเลยค่ะ..ฉันเพิ่งโทรไปพวกเขาบอกว่าอาจจะมาหลังประธานซูน่ะค่ะ..คุณต้องการให้ฉันโทรหาพวกเขาเลยไหมคะ?” เลขาถามอย่างระมัดระวัง

“หึ!” ซูเหว๋ยอุทานด้วยความไม่สบอารมณ์และพูดว่า “คนพวกนี้นับวันยิ่งได้ใจมากขึ้นเรื่อยๆ ..โทรไปบอกพวกเขาว่าถ้าไม่เข้ามาภายใน 20 นาทีก็อย่าโทษว่าฉันหยาบคายกับพวกเขาก็แล้วกัน..และหลังจากนี้พวกเขาก็ถูกลดตำแหน่งไปอยู่ในฐานะผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป!”

เลขาก็ตอบครั้งแล้วครั้งเล่าและหลังจากนั้นเธอก็มองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจซึ่งเย่เชียนก็ยิ้มให้เธออย่างสุภาพเช่นกัน “เดี๋ยวมานั่งข้างๆ ฉันนะ..และก็จำเอาไว้ด้วยนะว่าถ้าพวกคณะกรรมการมาก็อย่าพูดอะไร” ซูเหว๋ยเหลือบมองไปที่เย่เชียนและหลังจากนั้นเธอก็หันไปและเดินเข้าไปในห้องทำงานของเธอ

เย่เชียนก็พยักหน้าเบาๆ อย่างเชื่อฟังและหลังจากนั้นเขาก็หันมองไปที่เลขาแล้วถามว่า “เอ่อคุณซูมักจะจริงจังกับบริษัทแบบนี้น่ะหรอ?”

“เอ่อคือ..ประธานซูก็แค่จริงจังกับงานของเธอน่ะ..แต่เธอเป็นคนดีมากเลยนะ” เลขากระซิบเบาๆ “อาจเป็นเพราะหลายๆ อย่างในบริษัทเมื่อเร็วๆ ที่ทำให้ประธานซูเครียดน่ะค่ะ..เธอจึงไม่สบอารมณ์แบบนี้”

“แล้วเธออารมณ์ไม่ดีแบบนี้ทุกวันเลยหรือเปล่าที่บริษัท..แล้วแบบนี้การทำงานของพวกคุณจะไม่ตึงเครียดกันหรอ?” เย่เชียนถามอย่างตรงประเด็น

“ไม่นะคะ..เพราะช่วงนี้บริษัทเราทำธุรกิจกับมัวร์กรุ๊ปเมื่อเร็วๆ นี้..มันจึงเป็นเรื่องที่ลำบากมากประธานซูก็เลยเครียดน่ะค่ะ” เลขาพูดขณะที่เธอช่วยเรียงเอกสารต่างๆ ให้เย่เชียน

“เดอะมัวร์กรุ๊ปน่ะหรอ..เดอะมัวร์ที่ติดอันดับ 1 ใน 20 ของโลกและเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์อะนะ?” เย่เชียนถามด้วยความประหลาดใจเพราะเขาไม่ได้คาดหวังว่าบริษัททะเลสี่ทิศที่ไม่ใช่บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกแต่สามารถมีธุรกิจร่วมกับเดอะมัวร์กรุ๊ปได้ ซึ่งเมื่อคิดเช่นนั้นซูเหว๋ยคงจะไม่ธรรมดาจริงๆ ซึ่งเธอก็คู่ควรกับการเป็นนักธุรกิจหญิงที่สง่างามอย่างมาก

“ใช่ค่ะ..เพราะCEOของเดอะมัวร์กรุ๊ปเพิ่งจะมาที่ไต้หวันเมื่อเร็วๆ นี้..ดังนั้นบริษัทของเราจึงเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา..แต่ทว่ากรรมการของบริษัทและลูกทีมทั้งหมดกลับล่าช้าและคาดว่าจะไม่สามารถทำซอฟต์แวร์เสร็จได้ตามกำหนดค่ะ..ดังนั้นเหล่ากรรมการจึงรวมหัวกันใช้ข้ออ้างนี้เพื่อปลดประธานซูลงจากตำแหน่งน่ะค่ะ” เลขากวาดสายตามองไปรอบๆ ขณะที่เธอพูดเพราะเธอกลัวว่าจะมีคนจะได้ยินคำพูดเหล่านี้ เพราะถึงแม้ว่าเรื่องนี้อาจไม่เป็นความลับในบริษัทก็ตามแต่ถึงยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่สามารถจะหยิบมาพูดคุยกันได้เลย

“อืม!” เย่เชียนก็พยักหน้าเพราะไม่น่าแปลกใจเลยที่ซูเหว๋ยจะอารมณ์ไม่ดีและไม่แยแสเฉายู่เหลียง ซึ่งเมื่อคิดๆ ดูแล้วเธอน่าสงสารมากเพราะสำหรับซูเหว๋ยผู้หญิงคนนี้นั้นสิ่งต่างๆ ที่เธอต้องเผชิญมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ต้องมาต่อสู้กับเหล่าเครือญาติที่จ้องจะทำลายเธอ

ในขณะที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่จู่ๆ ก็มีกลุ่มคนเดินเข้ามาจากข้างนอกและมีเฉายู่เหลียงอยู่ท่ามกลางพวกเขาด้วยซึ่งด้านหน้าของเขามีผู้ชายและผู้หญิงวัยกลางคนสองสามคนซึ่งดูเหมือนพวกเขาทั้งหมดเป็นประธษนกรรมการของบริษัททะเลสี่ทิศ อย่างไรก็ตามเฉายู่เหลียงก็ไม่เห็นเย่เชียนเลยแม้แต่น้อยและพวกเขาเพียงเดินตรงไปที่ห้องประชุมเท่านั้น หลังจากจัดเอกสารเสร็จเย่เชียนกับเลขาก็เดินไปหาซูเหว๋ยที่ห้องทำงานส่วนตัวของเธอ

ในขณะที่เย่เชียนกำลังจะผลักประตูเข้าไปจู่ๆ ซูเหว๋ยก็เปิดออกมาจากข้างในก่อนและจ้องมองไปที่เย่เชียนและพูดอย่างเย็นชาว่า “หลังจากนี้เป็นต้นไปถ้าหากว่านายจะเข้ามาในห้องทำงานของฉันล่ะก็..กรุณาเคาะประตูก่อนทุกครั้งด้วย” เห็นได้ชัดเลยว่าที่ซูเหว๋ยพูดแบบนี้นั้นก็เป็นเพราะว่าเธอเห็นเย่เชียนเข้าไปในห้องน้ำหญิงเมื่อครั้งที่แล้วนั่นเอง เย่เชียนก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟังและไม่โต้เถียงใดๆ เพราะเขาได้รู้จากเลขามาเมื่อเร็วๆ นี้ว่าเธอนั้นกำลังอารมณ์ไม่ดีและเครียดอยู่ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ต้องการไปยั่วยุหรือกระตุ้นความโกรธของเธอ ซึ่งเย่เชียนก็รู้สึกได้ว่าทำไมซูเหว๋ยถึงทำตัวซุกซนแบบนั้นเมื่อวานนี้ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าเธอเหงาและเครียดมากเกินไปและเธอก็ไม่มีใครให้ระบายสิ่งเหล่านี้ได้เลย

“ไปประชุมกับฉันด้วย” ซูเหว๋ยเหลือบมองไปที่เย่เชียนและเดินตรงไปที่ห้องประชุมโดยไม่เปิดโอกาสให้เย่เชียนได้สักถามใดๆ

เลขาก็รีบส่งเอกสารที่เตรียมเอาไว้ให้เย่เชียนและพูดว่า “นี่คือเอกสารที่จำเป็นสำหรับการประชุมในวันนี้ค่ะ..คุณต้องระวังให้ดีนะคะแล้วก็อย่าพูดอะไรนอกเรื่องด้วยล่ะ” ตามปกติซูเหว๋ยนั้นจะพาเธอไปเข้าร่วมประชุมแต่ทว่าวันนี้ซูเหว๋ยไม่ได้พูดซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าวันนี้ซูเหว๋ยไม่ได้ให้เธอไปดังนั้นเธอจึงส่งเอกสารให้เย่เชียน

เย่เชียนก็รับเอกสารเอาไว้แล้วก็พยักหน้าจากนั้นก็รีบตามซูเหว๋ยไป

ห้องประชุมนั้นมีขนาดใหญ่มากและสามารถได้ยินเสียงสนทนาได้จากระยะไกลโดยเครื่องขยายเสียง ซูเหว๋ยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและเมื่อเธอเดินไปถึงหน้าประตูเย่เชียนก็เปิดประตูให้เธออย่างสุภาพ เพราะเย่เชียนนั้นรู้สึกได้ว่าเขาคงจะต้องเข้าสู่บทบาทนี้อย่างจริงจังแล้ว ซึ่งหลังจากที่ซูเหว๋ยเข้าไปเย่เชียนก็เดินตามไปอย่างเป็นธรรมชาติ

ทันทีที่ซูเหว๋ยเดินเข้ามายังประตูทุกคนในห้องประชุมก็หยุดพูดคุยกันและหันมองไปทางเธอ ซึ่งเฉายู่เหลียงก็มองมาเช่นกันและเมื่อเขาเห็นเย่เชียนเขาก็อดไม่ได้ที่จะแน่นิ่งไปชั่วครู่และหลังจากนั้นเขาก็ตะโกนว่า “ทำไมแกถึงมาที่นี่?”

สายตาของทุกคนในห้องก็อดไม่ได้ที่จะจับจ้องไปที่เย่เชียน และเมื่อเย่เชียนกำลังจะอ้าปากพูดแต่ทว่าซูเหว๋ยก็ชิงพูดก่อนด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เขาเป็นผู้ช่วยคนใหม่ของฉัน..เพราะงั้นตอนนี้เรามาประชุมกันเถอะ!” ซูเหว๋ยนั่งลงขณะที่เธอพูดและเห็นได้ชัดเลยว่าเธอนั้นไม่ต้องการให้เย่เชียนพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น

เย่เชียนก็เดินตามซูเหว๋ยไปและนั่งลงข้างๆ เธอ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเฉายู่เหลียงนั้นไม่พอใจเย่เชียนอย่างมากเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้และตอนนี้อาการบาดเจ็บที่ใบหน้าของเขาก็ยังคงเจ็บอยู่ “เราจะปล่อยให้พวกนักเลงอันธพาลไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างมันเข้ามาในบริษัททะเลสี่ทิศของเราได้ยังไง? ..นี่เป็นการทำลายภาพลักษณ์บริษัททะเลสี่ทิศของเรา!” เฉายู่เหลียงตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว

“นี่คุณไม่ได้ยินที่ฉันพูดเหรอ? ..ฉันพูดว่าการประชุมเริ่มแล้ว!” ซูเหว๋ยจ้องเขม็งไปที่เฉายู่เหลียงอย่างเย็นชาและพูดว่า “การที่ฉันจ้างบุคลากรมานี่ฉันต้องได้รับการอนุญาตจากคุณด้วยหรือเปล่า..หึ?”

ซูเหว่ยโกรธอย่างมากและเฉายู่เหลียงก็กำลังจะโต้เถียงแต่เขาถูกชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ เขาจ้องมองเขาด้วยสีหน้าที่ตักเตือนดังนั้นเฉายู่เหลียงจึงกลืนคำพูดเหล่านั้นกลับไปอย่างเชื่อฟัง ซึ่งชายวัยกลางคนคนนั้นมีลักษณะคล้ายกับเฉายู่เหลียงมากและนี่ก็อาจจะเป็นพ่อของเฉายู่เหลียงก็เป็นได้

.

.

.

.

.

.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดนักรบจอมราชัน 364 บริษัททะเลสี่ทิศกรุ๊ป

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 364 บริษัททะเลสี่ทิศกรุ๊ป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 364 บริษัททะเลสี่ทิศกรุ๊ป

ในแง่ของรูปลักษณ์นั้นเย่เชียนก็ไม่ใช่ผู้ชายในแบบที่ผู้บริการที่เพียบพร้อมอย่างเธอต้องการและในแง่ของความมั่งคั่งและภูมิหลังนั้นซูเหว๋ยก็รู้ว่าเย่เชียนนั้นเป็นแค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่กำลังตกงาน ซึ่งเย่เชียนนั้นไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จหรือสามารถดึงดูดความสนใจของเธอได้เลยกลับกันเย่เชียนนั้นเหมือนกับพวกอันธพาลเสียมากกว่า และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมคนประเภทนี้ไม่สมควรและไม่คู่ควรที่คนอย่างซูเหม๋ยจะมาสนใจได้เลย

เย่เชียนเองก็ไม่เข้าใจอยู่ดีและเขาก็คิดเพียงแค่ว่าบางทีซูเหว๋ยอาจจะเหงาเกินไปเพราะเธอไม่มีเพื่อนเลยและเธอก็น่าสงสารอย่างมาก

เมื่อไปที่ห้างสรรพสินค้าแล้วซูเหว๋ยก็ซื้อชุดสูทให้เย่เชียนแต่เมื่อเย่เชียนเห็นซูเหว๋ยเลือกเสื้อผ้าให้ตัวเองอย่างใจจดใจจ่อและประณีตแล้วจู่ๆ ก็มีภาพลวงตาโผล่ขึ้นมาราวกับว่าซูเหว๋ยที่อยู่ตรงหน้าของเขาไม่ใช่หญิงสาวที่น่ารักและซุกซนอีกต่อไปแต่เธอเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมและงดงามอย่างมากและในทางตรงกันข้ามมันเผยให้เห็นถึงนิสัยใจคอที่แสนดีของเธอราวกับว่าเธอกำลังเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเลือกซื้อชุดให้กับแฟนของเธออย่างตั้งใจ

การเลือกซื้อเสื้อผ้าของเธอเองนั้นซูเหว๋ยก็ดูสบายๆ อย่างมากแต่เมื่อเธอเลือกเสื้อผ้าให้กับเย่เชียนเธอกลับดูจริงจังขึ้นมาในทันทีและเธอก็บอกให้เย่เชียนไปลองทีละชุดซึ่งเย่เชียนก็ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่แต่เธอก็ไม่รู้สึกรำคาญเขาเลย เธอกลับดูอย่างละเอียดทุกครั้งที่เย่เชียนสวมพวกมัน ซึ่งหลังจากที่เย่เชียนลองใส่ดูแล้วเธอก็เห็นว่าไม่เหมาะเธอถึงให้เย่เชียนลองอีกชุดไปเรื่อยๆ

หลังจากที่เลือกกันมานานกว่าครึ่งชั่วโมงในที่สุดซูเหว๋ยก็เลือกซื้อชุดที่เธอพอใจได้มาสองชุดหลังจากนั้นเธอก็รูดบัตรเพื่อจ่ายบิล ซึ่งพนักงานแคชเชียร์ก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนด้วยท่าทางแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะเธอเคยเห็นผู้คนมามากมายแต่เธอกลับไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนเลยที่คบกับหญิงสาวที่ร่ำรวยและสวยงามเช่นนี้มาก่อน

เมื่อเย่เชียนเห็นแววตาแบบนั้นเขาก็ไม่รู้สึกละอายใจใดๆ กับการจ้องมองของพนักงานแคชเชียร์แต่กลับจ้องมองกลับไปที่พนักงานแคชเชียร์ด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายจนหนักแคชเชียร์สูญเสียอาการไปเล็กน้อย

แน่นอนว่าฉากเหล่านี้ทั้งหมดนั้นไม่สามารถพ้นไปจากสายตาของซูเหว๋ยได้ดังนั้นเธอจึงจ้องเขม็งไปที่เย่เชียนและเธอก็รีบเดินออกจากร้านไป เมื่อเป็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ยิ้มให้กับพนักงานแคชเชียร์อีกครั้งและหยิบชุดเสื้อผ้าและชุดที่เขาเพิ่งเปลี่ยนแล้วรีบตามซูเหว๋ยไป

ระหว่างทางนั้นซูเหว๋ยก็ไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดทางซึ่งเย่เชียนเองก็ไม่ได้คิดที่จะไปรบกวนเธอเพราะใบหน้าของซูเหว่ยนั้นดูไม่สบอารมณ์อย่างมากเขาจึงไม่อยากไปรบกวนเธอ ซึ่งในตอนนี้เย่เชียนก็รู้สึกเพียงว่าซูเหว๋ยนั้นเป็นคนประเภทตีสองหน้าเพราะถ้าเธอถอดชุดสูทผู้บริหารของเธอออกเธอก็จะเป็นเหมือนสาวน้อยน่ารักและซุกซนแต่เมื่อเธอสวมชุดสูทผู้บริหารของเธอนั้นเธอก็จะเป็นผู้หญิงที่ดูแข็งแกร่งและสง่างามอย่างมาก

หลังจากนั้นไม่นานรถก็หยุดที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของอาคารสำนักงานแห่งหนึ่งและหลังจากลงจากรถแล้วซูเหว๋ยก็เดินตรงไปที่ลิฟต์ทันทีแต่เธอเห็นเย่เชียนกำลังจะขนถุงเสื้อผ้าของเธอที่เธอซื้อมาเธอก็พูดอย่างเย็นชาว่า “วางเอาไว้ตรงนั้นแหละ..รีบเข้ามา!”

เย่เชียนก็ผงะไปเล็กน้อยและรู้สึกราวกับว่าเขานั้นได้กลายเป็นคนรับใช้ของเธอไปจริงๆ เสียแล้วหลังจากนั้นเขาก็รีบเกินเข้าไปในลิฟต์และเมื่อมองไปที่ซูเหว๋ยก็ดูเหมือนว่าเธอนั้นจะไม่ต้องการกดลิฟต์เอง ซึ่งเมื่อซูเหว๋ยเห็นเย่เชียนมองเธออย่างงุนงงเธอก็พูดว่า “ชั้นที่สิบแปด!” หลังจากนั้นเย่เชียนก็เอื้อมมือออกและกดหมายเลขชั้นให้เธอ

ทันทีที่พวกเขาเดินออกจากลิฟต์เย่เชียนก็เห็นตัวอักษรสีทองสี่ตัวก็ปรากฏขึ้น “บริษัททะเลที่ทิศกรุ๊ป” และข้างหน้าของลิฟต์ก็คือแผนกต้อนรับ ซึ่งในขณะนี้ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งที่แผนกต้อนรับที่กำลังถือกระจกพกพาและกำลังแต่งหน้าอยู่แต่เมื่อเธอเห็นซูเหว๋ยเดินเข้ามาเธอก็รีบเก็บกระจกใส่ในกระเป๋าเสื้ออย่างร้อนรนทันที

ซูเหว๋ยก็เดินตรงเข้ามาและเมื่อเธอไปถึงแผนกต้อนรับเธอก็หยุดเดินแต่ทว่าเธอก็ไม่ได้แม้แต่จะหันไปมองที่พนักงานต้อนรับเลยแต่เธอกลับพูดอย่างเย็นชาว่า “ไปที่แผนกการเงินซะ..ไปรับเงินเดือนสุดท้ายของเธอ..เธอถูกไล่ออก!”

เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปชั่วขณะและเขาก็แอบถอนหายใจอย่างลับๆ เพราะเรื่องแบบนี้ค่อนข้างที่จะรุนแรงไปหน่อย ส่วนหญิงสาวแผนกต้อนรับก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธเกรี้ยวและพูดอย่างเดือดดาลว่า “หึ! ..คิดว่าฉันอยากอยู่นักเหรอไง!”

ซูเหว๋ยดูเหมือนจะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กับคำพูดของหญิงสาวแผนกต้อนรับเลยเธอเพียงเดินต่อไปโดยไม่แยแสสิ่งใดจนเย่เชียนที่เห้นเช่นนั้นก็ถึงกับอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและรีบตามเธอไป ฉากนี้ทำให้เห็นได้ชัดเลยว่าซูเหว๋ยนั้นเป็นคนจริงจังมากในหน้าที่การงาน ดังนั้นเมื่อเธอเดินเข้ามาในบริษัทเธอก็ต้องเพียบพร้อมและจริงจังไปกับทุกอย่าง ซึ่งสายตาของพนักงานคนอื่นๆ ต่างก็จับจ้องไปที่เย่เชียนที่กำลังเดินตามซูเหว๋ยไปอย่างเงียบๆ และสุขุมอย่างมาก ซึ่งพวกเธอต่างก็งุนงงและสับสนไปกับการปรากฏตัวของเย่เชียนกันอย่างมาก

ซูเหว๋ยก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งต่างๆ มากนักเธอเพียงเดินตรงไปที่ห้องทำงานออฟฟิศของเธอและเธอก็พูดขณะที่เธอเดินว่า “หัวหน้าแผนกเซียวนำแผนธุรกิจของคุณมาให้ฉันที..ฉันต้องการข้อมูลไปประชุม” หลังจากนั้นเธอก็มองไปที่เลขาผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้างและพูดว่า “คณะกรรมการมาถึงแล้วหรือยัง?”

“ยังเลยค่ะ..ฉันเพิ่งโทรไปพวกเขาบอกว่าอาจจะมาหลังประธานซูน่ะค่ะ..คุณต้องการให้ฉันโทรหาพวกเขาเลยไหมคะ?” เลขาถามอย่างระมัดระวัง

“หึ!” ซูเหว๋ยอุทานด้วยความไม่สบอารมณ์และพูดว่า “คนพวกนี้นับวันยิ่งได้ใจมากขึ้นเรื่อยๆ ..โทรไปบอกพวกเขาว่าถ้าไม่เข้ามาภายใน 20 นาทีก็อย่าโทษว่าฉันหยาบคายกับพวกเขาก็แล้วกัน..และหลังจากนี้พวกเขาก็ถูกลดตำแหน่งไปอยู่ในฐานะผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป!”

เลขาก็ตอบครั้งแล้วครั้งเล่าและหลังจากนั้นเธอก็มองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจซึ่งเย่เชียนก็ยิ้มให้เธออย่างสุภาพเช่นกัน “เดี๋ยวมานั่งข้างๆ ฉันนะ..และก็จำเอาไว้ด้วยนะว่าถ้าพวกคณะกรรมการมาก็อย่าพูดอะไร” ซูเหว๋ยเหลือบมองไปที่เย่เชียนและหลังจากนั้นเธอก็หันไปและเดินเข้าไปในห้องทำงานของเธอ

เย่เชียนก็พยักหน้าเบาๆ อย่างเชื่อฟังและหลังจากนั้นเขาก็หันมองไปที่เลขาแล้วถามว่า “เอ่อคุณซูมักจะจริงจังกับบริษัทแบบนี้น่ะหรอ?”

“เอ่อคือ..ประธานซูก็แค่จริงจังกับงานของเธอน่ะ..แต่เธอเป็นคนดีมากเลยนะ” เลขากระซิบเบาๆ “อาจเป็นเพราะหลายๆ อย่างในบริษัทเมื่อเร็วๆ ที่ทำให้ประธานซูเครียดน่ะค่ะ..เธอจึงไม่สบอารมณ์แบบนี้”

“แล้วเธออารมณ์ไม่ดีแบบนี้ทุกวันเลยหรือเปล่าที่บริษัท..แล้วแบบนี้การทำงานของพวกคุณจะไม่ตึงเครียดกันหรอ?” เย่เชียนถามอย่างตรงประเด็น

“ไม่นะคะ..เพราะช่วงนี้บริษัทเราทำธุรกิจกับมัวร์กรุ๊ปเมื่อเร็วๆ นี้..มันจึงเป็นเรื่องที่ลำบากมากประธานซูก็เลยเครียดน่ะค่ะ” เลขาพูดขณะที่เธอช่วยเรียงเอกสารต่างๆ ให้เย่เชียน

“เดอะมัวร์กรุ๊ปน่ะหรอ..เดอะมัวร์ที่ติดอันดับ 1 ใน 20 ของโลกและเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์อะนะ?” เย่เชียนถามด้วยความประหลาดใจเพราะเขาไม่ได้คาดหวังว่าบริษัททะเลสี่ทิศที่ไม่ใช่บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกแต่สามารถมีธุรกิจร่วมกับเดอะมัวร์กรุ๊ปได้ ซึ่งเมื่อคิดเช่นนั้นซูเหว๋ยคงจะไม่ธรรมดาจริงๆ ซึ่งเธอก็คู่ควรกับการเป็นนักธุรกิจหญิงที่สง่างามอย่างมาก

“ใช่ค่ะ..เพราะCEOของเดอะมัวร์กรุ๊ปเพิ่งจะมาที่ไต้หวันเมื่อเร็วๆ นี้..ดังนั้นบริษัทของเราจึงเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา..แต่ทว่ากรรมการของบริษัทและลูกทีมทั้งหมดกลับล่าช้าและคาดว่าจะไม่สามารถทำซอฟต์แวร์เสร็จได้ตามกำหนดค่ะ..ดังนั้นเหล่ากรรมการจึงรวมหัวกันใช้ข้ออ้างนี้เพื่อปลดประธานซูลงจากตำแหน่งน่ะค่ะ” เลขากวาดสายตามองไปรอบๆ ขณะที่เธอพูดเพราะเธอกลัวว่าจะมีคนจะได้ยินคำพูดเหล่านี้ เพราะถึงแม้ว่าเรื่องนี้อาจไม่เป็นความลับในบริษัทก็ตามแต่ถึงยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่สามารถจะหยิบมาพูดคุยกันได้เลย

“อืม!” เย่เชียนก็พยักหน้าเพราะไม่น่าแปลกใจเลยที่ซูเหว๋ยจะอารมณ์ไม่ดีและไม่แยแสเฉายู่เหลียง ซึ่งเมื่อคิดๆ ดูแล้วเธอน่าสงสารมากเพราะสำหรับซูเหว๋ยผู้หญิงคนนี้นั้นสิ่งต่างๆ ที่เธอต้องเผชิญมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ต้องมาต่อสู้กับเหล่าเครือญาติที่จ้องจะทำลายเธอ

ในขณะที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่จู่ๆ ก็มีกลุ่มคนเดินเข้ามาจากข้างนอกและมีเฉายู่เหลียงอยู่ท่ามกลางพวกเขาด้วยซึ่งด้านหน้าของเขามีผู้ชายและผู้หญิงวัยกลางคนสองสามคนซึ่งดูเหมือนพวกเขาทั้งหมดเป็นประธษนกรรมการของบริษัททะเลสี่ทิศ อย่างไรก็ตามเฉายู่เหลียงก็ไม่เห็นเย่เชียนเลยแม้แต่น้อยและพวกเขาเพียงเดินตรงไปที่ห้องประชุมเท่านั้น หลังจากจัดเอกสารเสร็จเย่เชียนกับเลขาก็เดินไปหาซูเหว๋ยที่ห้องทำงานส่วนตัวของเธอ

ในขณะที่เย่เชียนกำลังจะผลักประตูเข้าไปจู่ๆ ซูเหว๋ยก็เปิดออกมาจากข้างในก่อนและจ้องมองไปที่เย่เชียนและพูดอย่างเย็นชาว่า “หลังจากนี้เป็นต้นไปถ้าหากว่านายจะเข้ามาในห้องทำงานของฉันล่ะก็..กรุณาเคาะประตูก่อนทุกครั้งด้วย” เห็นได้ชัดเลยว่าที่ซูเหว๋ยพูดแบบนี้นั้นก็เป็นเพราะว่าเธอเห็นเย่เชียนเข้าไปในห้องน้ำหญิงเมื่อครั้งที่แล้วนั่นเอง เย่เชียนก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟังและไม่โต้เถียงใดๆ เพราะเขาได้รู้จากเลขามาเมื่อเร็วๆ นี้ว่าเธอนั้นกำลังอารมณ์ไม่ดีและเครียดอยู่ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ต้องการไปยั่วยุหรือกระตุ้นความโกรธของเธอ ซึ่งเย่เชียนก็รู้สึกได้ว่าทำไมซูเหว๋ยถึงทำตัวซุกซนแบบนั้นเมื่อวานนี้ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าเธอเหงาและเครียดมากเกินไปและเธอก็ไม่มีใครให้ระบายสิ่งเหล่านี้ได้เลย

“ไปประชุมกับฉันด้วย” ซูเหว๋ยเหลือบมองไปที่เย่เชียนและเดินตรงไปที่ห้องประชุมโดยไม่เปิดโอกาสให้เย่เชียนได้สักถามใดๆ

เลขาก็รีบส่งเอกสารที่เตรียมเอาไว้ให้เย่เชียนและพูดว่า “นี่คือเอกสารที่จำเป็นสำหรับการประชุมในวันนี้ค่ะ..คุณต้องระวังให้ดีนะคะแล้วก็อย่าพูดอะไรนอกเรื่องด้วยล่ะ” ตามปกติซูเหว๋ยนั้นจะพาเธอไปเข้าร่วมประชุมแต่ทว่าวันนี้ซูเหว๋ยไม่ได้พูดซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าวันนี้ซูเหว๋ยไม่ได้ให้เธอไปดังนั้นเธอจึงส่งเอกสารให้เย่เชียน

เย่เชียนก็รับเอกสารเอาไว้แล้วก็พยักหน้าจากนั้นก็รีบตามซูเหว๋ยไป

ห้องประชุมนั้นมีขนาดใหญ่มากและสามารถได้ยินเสียงสนทนาได้จากระยะไกลโดยเครื่องขยายเสียง ซูเหว๋ยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและเมื่อเธอเดินไปถึงหน้าประตูเย่เชียนก็เปิดประตูให้เธออย่างสุภาพ เพราะเย่เชียนนั้นรู้สึกได้ว่าเขาคงจะต้องเข้าสู่บทบาทนี้อย่างจริงจังแล้ว ซึ่งหลังจากที่ซูเหว๋ยเข้าไปเย่เชียนก็เดินตามไปอย่างเป็นธรรมชาติ

ทันทีที่ซูเหว๋ยเดินเข้ามายังประตูทุกคนในห้องประชุมก็หยุดพูดคุยกันและหันมองไปทางเธอ ซึ่งเฉายู่เหลียงก็มองมาเช่นกันและเมื่อเขาเห็นเย่เชียนเขาก็อดไม่ได้ที่จะแน่นิ่งไปชั่วครู่และหลังจากนั้นเขาก็ตะโกนว่า “ทำไมแกถึงมาที่นี่?”

สายตาของทุกคนในห้องก็อดไม่ได้ที่จะจับจ้องไปที่เย่เชียน และเมื่อเย่เชียนกำลังจะอ้าปากพูดแต่ทว่าซูเหว๋ยก็ชิงพูดก่อนด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เขาเป็นผู้ช่วยคนใหม่ของฉัน..เพราะงั้นตอนนี้เรามาประชุมกันเถอะ!” ซูเหว๋ยนั่งลงขณะที่เธอพูดและเห็นได้ชัดเลยว่าเธอนั้นไม่ต้องการให้เย่เชียนพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น

เย่เชียนก็เดินตามซูเหว๋ยไปและนั่งลงข้างๆ เธอ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเฉายู่เหลียงนั้นไม่พอใจเย่เชียนอย่างมากเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้และตอนนี้อาการบาดเจ็บที่ใบหน้าของเขาก็ยังคงเจ็บอยู่ “เราจะปล่อยให้พวกนักเลงอันธพาลไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างมันเข้ามาในบริษัททะเลสี่ทิศของเราได้ยังไง? ..นี่เป็นการทำลายภาพลักษณ์บริษัททะเลสี่ทิศของเรา!” เฉายู่เหลียงตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว

“นี่คุณไม่ได้ยินที่ฉันพูดเหรอ? ..ฉันพูดว่าการประชุมเริ่มแล้ว!” ซูเหว๋ยจ้องเขม็งไปที่เฉายู่เหลียงอย่างเย็นชาและพูดว่า “การที่ฉันจ้างบุคลากรมานี่ฉันต้องได้รับการอนุญาตจากคุณด้วยหรือเปล่า..หึ?”

ซูเหว่ยโกรธอย่างมากและเฉายู่เหลียงก็กำลังจะโต้เถียงแต่เขาถูกชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ เขาจ้องมองเขาด้วยสีหน้าที่ตักเตือนดังนั้นเฉายู่เหลียงจึงกลืนคำพูดเหล่านั้นกลับไปอย่างเชื่อฟัง ซึ่งชายวัยกลางคนคนนั้นมีลักษณะคล้ายกับเฉายู่เหลียงมากและนี่ก็อาจจะเป็นพ่อของเฉายู่เหลียงก็เป็นได้

.

.

.

.

.

.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+