ยอดนักรบจอมราชัน 289 ท่ามกลางภูเขายามค่ำคืน

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 289 ท่ามกลางภูเขายามค่ำคืน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 289 ท่ามกลางภูเขายามค่ำคืน
เย่เชียนนั้นไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักวิกฤตหรือไม่รู้ว่าอะไรไหวอะไรไม่ไหวเพราะไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองสูงและเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แค่ไหนก็ตามถึงยังไงเขาก็เข้าใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ของเขา เพราะการปรากฏตัวของพี่ชายของหูวเค่อและที่หูวเค่อพูดกับเขาเช่นนั้นเย่เชียนก็ตระหนักดีว่าตอนนี้เขายังอ่อนแอเกินไป

เดิมทีเย่เชียนนั้นรอคอยที่จะนำเขี้ยวหมาป่าก้าวเข้าไปสู่เมืองหลวงอย่างปักกิ่งแต่ทว่าตอนนี้เขาก็ต้องปัดเป่าความคิดเช่นนี้ออกไปก่อนชั่วคราว เพราะถึงแม้ว่าจะมีสโมสรเจิดจรัสของหูวเค่อเป็นใบเบิกทางให้เย่เชียนสามารถเข้าใกล้กับบุคคลสำคัญในระดับต่างๆ ได้มากขึ้นก็ตาม แต่เย่เชียนก็เข้าใจดีว่าปักกิ่งนั้นเป็นสถานที่ที่เหล่ามังกรและเสือซ่อนอยู่เพราะฉะนั้นเย่เชียนจึงยังไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะย่างเท้าเข้าไป นั่นก็เพราะว่าถ้าหากไปทำให้เหล่ามังกรและเสือเหล่านั้นขุ่นเคืองโดยไม่ได้ตั้งใจล่ะก็ทั้งหมดอาจจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันเลวร้ายและแม้แต่เขี้ยวหมาป่าเองก็คงจะถูกทำลาย

ไม่กี่วันต่อมาเย่เชียนก็ขับรถออกจากเมืองเซี่ยงไฮ้ไปเพราะสถานการณ์ที่เซี่ยงไฮ้เริ่มคงที่แล้ว ดังนั้นเย่เชียนจึงตัดสินใจไปเยี่ยมผู้อาจารย์ของตนและบอกเขาเกี่ยวกับหมาป่าผีกับไป๋ฮวยผู้เป็นศิษย์ของเขา สำหรับเหว่ยตงเซียงนั้นเย่เชียนก็เชื่อว่าเหว่ยตงเซียงไม่สามารถสร้างคลื่นพายุใดๆ ได้อีกแล้วและยิ่งไปกว่านั้นยังมีแจ็คที่คอยดูแลจัดการและสังเกตการณ์อยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้อีกด้วย เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรใดๆ

หลินจินไท่อาจารย์ของเย่เชียนนนั้นเป็นปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้จีนโบราณแต่เขามักจะเรียกตัวเองว่าครูฝึกเสียมากกว่า ซึ่งเย่เชียนนั้นได้พบกับหลินจินไท่ในทวีปตะวันออกกลางและหลังจากสอนศิลปะการต่อสู้ให้เย่เชียนแล้วหลินจินไท่ก็กลับประเทศจีนไป อย่างไรก็ตามเขาได้บอกที่อยู่ในประเทศจีนของเขาให้แก่เย่เชียนเอาไว้ซึ่งเย่เชียนก็ไม่คาดคิดเลยว่าอาจารย์ของเขาจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลเช่นนี้ บางทีสิ่งที่อาจารย์ของเขาแสวงหาเรื่อยมานั้นอาจจะผสมผสานอยู่กับเหล่าธรรมชาติดังที่อาจารย์หลินจินไท่เคยพูดเอาไว้ว่าผู้ฝึกตนควรอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติให้มากที่สุด

เย่เชียนใช้เวลาขับรถจากเมืองเซี่ยงไฮ้ไปยังเมืองเซวียนเฉิงประมาณสามถึงสี่ชั่วโมง ซึ่งมันก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้วเมื่อเขามาถึงเซวียนเฉิงและเย่เชียนก็แวะทานมื้อเที่ยงหลังจากนั้นก็ขับรถต่อไปยังบ้านของหลินจินไท่ ซึ่งกว่าเย่เชียนจะไปถึงในตัวเมืองมันก็เป็นเวลาหกโมงเย็นเสียแล้ว

หลินจินไท่นั้นอาศัยอยู่ในพื้นที่บนภูเขาอันห่างไกลและถนนหนทางก็ขรุขระและเป็นหลุมทรุดโทรม ดังนั้นเย่เชียนจึงต้องชะลอความเร็วของรถเพราะมันก็ใกล้จะมืดค่ำแล้วซึ่งมีเพียงพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวบนท้องฟ้าที่ส่องแสงจันทร์จางๆ ลงมาบนเส้นทางของถนนเส้นนี้

อากาศและบรรยากาศบนภูเขาลูกนี้นั้นดีมากและตอนกลางคืนก็จะเงียบงันเป็นพิเศษ ซึ่งในบรรดาภูเขาสูงตระหง่านลูกนี้ก็มีถนนบนภูเขาเพียงเล็กน้อยและมันยังเป็นถนนลูกรังที่เกิดจากการเดินเท้ามาเป็นเวลานาน ตามทางนั้นมีต้นสนเขียวชอุ่มและวัชพืชอยู่ข้างๆ ทางตลอดเส้นทางและภูเขาเหล่านี้ก็เป็นภูเขาหินจึงทำให้ไม่มีพืชพันธุ์ใดที่สามารถงอกงามได้เลยซึ่งมันมีเพียงต้นสนเท่านั้นที่แข็งแกร่งพอที่จะสามารถอยู่รอดได้

แสงจันทร์ส่องแสงผ่านต้นสนที่สูงตระหง่านและเมื่อมันส่องลงบนพื้นแล้วมันก็เหลือเพียงแค่แสงจางๆ อันเลือนรางเพียงเท่านั้น จึงทำให้เย่เชียนขับรถด้วยความระมัดระวังอย่างมากเพราะหากรถของเขาเสียหายหรือพังลงที่นี่มันก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าสังเวชและน่าเศร้าอย่างยิ่ง แต่โชคดีที่เย่เชียนนั้นขับรถฮัมเมอร์ออฟโรดมาเพราะถ้าหากเป็นรถยนต์ธรรมดาๆ ล่ะก็เขาก็คงไปได้ไม่ถึงครึ่งกิโลเมตรเป็นแน่

มีต้นสนและต้นไผ่ที่สูงตระหง่านอยู่รอบๆ และมีพุ่มไม้และวัชพืชเติบโตอยู่รอบๆ “อ๋าววววู้ววว … “จู่ๆ เสียงหมาป่าก็เห่าหอนดังลั่นไปทั่วท้องฟ้าจนเย่เชียนถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะและเย่เชียนก็มองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นดวงตาสีฟ้าคู่หนึ่งส่องแสงประกายออกมาจากพุ่มไม้อย่างชัดเจนและหลังจากนั้นก็มีดวงตาอีกคู่หนึ่งและอีกคู่หนึ่งเต็มไปหมด ซึ่งเย่เชียนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปเพราะดูเหมือนว่าเขาจะเจอกับฝูงหมาป่าเข้าให้แล้ว

เนื่องจากความเร็วของรถนั้นไม่เร็วนักและเห็นได้ชัดเลยว่าพวกหมาป่าเหล่านี้นั้นอดอยากและหิวโหยมานานเพราะพวกมันกระโจมกระโดดขึ้นไปบนหลังคารถทีละตัวๆ พร้อมกับกรงเล็บที่แข็งแกร่งของพวกมันและข่วนกระจกรถส่วนปากของพวกมันก็มีน้ำลายไหลลงมาเต็มไปหมดและดวงตาของพวกมันก็เต็มไปด้วยความโหดร้าย จากนั้นเย่เชียนก็หยุดรถและกวาดสายตามองไปรอบๆ และพบว่าอย่างน้อยๆ ก็มีหมาป่าอยู่ห้าหรือหกตัวในฝูงนี้ แต่โชคดีที่เย่เชียนนั้นอยู่ในรถและพวกหมาป่าก็ทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ถึงยังไงถ้าหากไม่รีบทำอะไรสักอย่างมันก็จะเลวร้ายอย่างมากเพราะหมาป่าเหล่านี้ดุร้ายอย่างมากและเห็นได้ชัดว่าพวกมันกำลังข่วนกระจกรถและฉีกกระชากโครงรถของเขาอยู่

เย่เชียนก็ดึงมีดโลหิตหมาป่าออกมาจากเอวของเขาและถือมันเอาไว้ซึ่งทำให้หมาป่าที่อยู่ด้านหน้าของรถรู้สึกได้ถึงการคุกคามของเย่เชียนอย่างชัดเจนและมันก็คำรามใส่เย่เชียนพร้อมกับความกระหายเลือดที่ฉายอยู่ภายในดวงตาของพวกมันก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น

อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่ได้คิดที่จะเปิดประตูรถออกไปอย่างหุนหันพลันแล่นและลงไปสู้กันมันเพราะเย่เชียนนั้นเคยเผชิญหน้ากับหมาป่าเช่นนี้มาก่อนแต่ทว่าภูมิประเทศในครั้งนั้นมันกว้างขวางและอำนวยสิ่งต่างๆ กว่ามากจึงทำให้การเคลื่อนไหวของเขาก็สะดวกมากเช่นกันแต่ทว่าครั้งนี้มันเป็นพื้นที่ภูเขาและมีหญ้าขึ้นรกเต็มไปทั่วทุกพื้นที่ และแล้วตอนนี้เหล่าหมาป่าก็ได้ล้อมเย่เชียนเอาไว้แล้วที่ด้านนอกและถ้าหากเย่เชียนเปิดประตูออกไปล่ะก็พวกมันก็จะกรูกันเข้ามาอย่างแน่นอน และถึงแม้ว่าเย่เชียนจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตามแต่เขาก็ไม่สามารถรับมือกับการโจมตีของหมาป่าห้าหรือหกตัวพร้อมๆ กันได้

จู่ๆ เย่เชียนก็ได้ยินเสียงของบทสนทนากันอย่างเบาๆ ว่า “พี่ชาย..เราจะทำได้มั้ย” “ชู่ววว..เงียบๆ สิ..สัตว์พวกนี้จมูกและหูของพวกมันดีมาก” จากนั้นเสียงสนทนาลึกลับก็หายไป ซึ่งจากน้ำเสียงเหล่านี้นั้นดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังเด็กกันอยู่เลย

ปรากฏว่ามีเด็กๆ หลงเข้ามาในภูเขายามดึกดื่นมืดค่ำเช่นนี้ซึ่งพวกเขาก็น่าจะเป็นเด็กจากหมู่บ้านใกล้เคียงละแวกนี้ เมื่อคิดเช่นนี้เย่เชียนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะไม่ว่าจะยังไงเด็กทั้งสองคนนี้ก็ไม่ควรตายและเป็นอาหารในท้องของหมาป่าเหล่านี้

ขณะนี้จู่ๆ เย่เชียนก็เหลือบไปเห็นลูกธนูที่แหลมคมพุ่งเข้ามาหาเขาซึ่งความเร็วนั้นค่อนข้างน่าประหลาดใจเลยทีเดียว ลูกศรของธนูที่แหลมคมนี้พุ่งตัดผ่านลมและหมุนเป็นรูปเกลียวอย่างชัดเจนซึ่งมันเพิ่มความเร็วและความรุนแรงของลูกศรธนูอย่างมาก ซึ่งหมาป่าตัวที่อยู่บนกระจกหน้ารถดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงอันตรายที่อยู่ข้างหลังของมันและมันก็หันกลับมาแต่ทว่าในขณะนี้ลูกศรธนูก็ได้พุ่งมาเจาะเข้าที่หัวของหมาป่าตัวนั้นอย่างรุนแรงและปักทะลุเข้าไปในกะโหลกและเลือดก็กระเซ็นเต็มบนกระจกหน้ารถในทันที

หมาป่าตัวอื่นๆ ก็หันกลับไปทีละตัวและจ้องมองไปในทิศทางที่ลูกศรพุ่งออกมาและด้วยสัญชาตญาณของสัตว์ป่านั้นพวกมันก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นที่ไม่ใช่พวกของมันและพวกมันก็รับรู้ได้แล้วว่ามีใครบางคนอยู่ตรงนั้น

“เย้..ฆ่าไปแล้วหนึ่งตัว”

“เฮ้ย..ไม่ต้องพูด..ไอ้พวกหมาป่ามันรู้ว่าเราอยู่ที่นี่แล้ว..นายรีบปีนขึ้นไปบนต้นไม้เดี๋ยวนี้เลย..และจำเอาไว้ว่าอย่าลงมา”

มีเสียงของการสนทนาเกิดขึ้นอีกครั้งไม่ไกลจากที่นั่นและหลังจากนั้นเด็กคนหนึ่งก็แวบออกมาจากพุ่มไม้และวิ่งไปอย่างรวดเร็วเหมือนกวางป่าในภูเขาและหลังจากนั้นเด็กคนนั้นก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเด็กคนนั้นพาดคันธนูขนาดใหญ่เอาไว้ที่ไหล่ของเขาซึ่งมันยาวกว่าความสูงของเด็กคนนั้นอย่างมาก จึงทำให้เย่เชียนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเมื่อครู่นี้เด็กคนนี้ยิงธนูออกมาจริงๆ

เมื่อเห็นบางสิ่งพุ่งออกมาจากพุ่มไม้เหล่าหมาป่าทั้งฝูงก็รีบวิ่งไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว เย่เชียนก็ไม่คิดที่จะลังเลใดๆ อีกต่อไปมิเช่นนั้นเขากลัวว่าชีวิตของเด็กๆ จะต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน เมื่อคิดเช่นนั้นเขาก็รีบเปิดประตูรถและออกไป ซึ่งในตอนนี้เด็กคนที่มีคันธนูและลูกศรอยู่ที่หลังของเขาเห็นว่าเย่เชียนนั้นมีเจตนาที่ดีและกำลังจะทำอะไรเขาจึงรีบตะโกนออกมาว่า “พี่ชายอย่าออกมา! ..พวกมันจงใจหนีไปเพื่อล่อให้คุณออกมา”

เย่เชียนก็ถึงกับตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและมองออกไปด้วยความประหลาดใจเพราะว่าเหล่าหมาป่าฝูงนั้นดูเหมือนจะวิ่งเข้าไปหาเด็กๆ แต่ทว่าพวกมันกลับหยุดและหันกลับมาและวิ่งกระโจมกันเข้ามาด้วยความเร็วอย่างมากและแทบจะไม่มีเวลาขึ้นรถเลย เย่เชียนก็ประหลาดใจอย่างมากและสาปแช่งพวกมันลับๆ ว่าหมาป่าเจ้าเล่ห์

“แล้วเอ็งจะทำยังไง?” เย่เชียนถามอย่างเป็นห่วงขณะที่เขาลดกระจกรถลงเล็กน้อย

“ฉันไม่เป็นไร..สัตว์พวกนี้มันปีนต้นไม้ไม่ได้น่ะ..เดี๋ยวฉันจะหาทางเอง” เด็กคนนั้นพูดต่อ “จำไว้นะว่าอย่าออกมา..พวกนี้มันไม่ใช่หมาป่า..พวกมันฉลาดและโหดร้ายมาก”

เย่เชียนถึงกับผงะไปด้วยความประหลาดใจและถามว่า “เอ้า..มันไม่ใช่หมาป่าหรอกเหรอ..แล้วมันคืออะไรล่ะ?”

“อ่าห๊ะ..ก็ขาหน้าของพวกมันน่ะค่อนข้างสั้นผิดปกติและพวกมันก็มีไหวพริบและความคิดมากเกินสัตว์เดรัจฉาน..อย่าไปหลงกลสัตว์เหล่านี้ล่ะ” เด็กคนนั้นพูด ฝูงสัตว์ที่ดูเหมือนหมาป่าแต่เด็กๆ กลับบอกว่ามันไม่ใช่ ซึ่งหมาป่าฝูงนี้ก็ดูเหมือนจะเข้าใจบทสนทนาระหว่างเย่เชียนกับเด็กคนนั้นเพราะพวกมันหันไปมองเย่เชียนและเด็กคนนั้นไปมาพร้อมกับรอยยิ้มที่น่าหวาดกลัวจนทำให้ตัวสั่นได้พวกมันนั้นเจ้าเล่ห์และปฏิกิริยาตอบสนองนั้นเหมือนมนุษย์มากเกินไป

หลังจากเด็กคนนั้นพูดจบเขาก็ชักคันธนูขึ้นมาอีกครั้งและง้างลูกธนูเอาไว้ ซึ่งการเคลื่อนไหวนั้นดูชำนาญมากและคันธนูขนาดใหญ่ถูกง้างออกไปอย่างน้อยๆ 80% ของทั้งหมด ซึ่งทำให้เย่เชียนถึงกับอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอย่างลับๆ เพราะมันต้องใช้พละกำลังอย่างมากเลยที่จะทำเช่นนั้น เด็กคนนี้เหมือนจะมีพรสวรรค์จริงๆ แต่ทว่าสัตว์ร้ายเหล่านั้นกลับรู้สึกได้ถึงอันตรายและพวกมันก็ค่อยๆ ถอยห่างกันออกไปเรื่อยๆ

“เอาไปกิน!” ลูกศรธนูในมือของเด็กคนนั้นก็พุ่งออกไปราวกับดาวตกเพราะมันหมุนและพุ่งไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำจนเจาะเข้าไปที่หัวของสัตว์ตัวหนึ่งทันที เห็นได้ชัดว่าสัตว์ตัวที่เหลืออีกสามตัวก็รู้สึกถึงการคุกคามของเด็กคนนี้และพวกมันก็เริ่มที่จะล่าถอยออกไป

“จะหนีเหรอไอ้พวกบ้า..มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก!” เด็กคนนั้นก็ง้างคันธนูพร้อมลูกศรอีกครั้งและปล่อยมันออกมาอย่างรวดเร็วและมันก็พุ่งทะลุไปที่หัวของสัตว์อีกตัวอย่างแม่นยำ

“ว้าวพี่ชายยอดเยี่ยมมาก..เย้..เย้..” เด็กอีกคนหนึ่งก็ตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้นและดูเหมือนจะมีความสุขและเผลอลืมตัวไปเพราะเขาไม่ได้จับต้นให้แน่นจึงทำให้เขาตกลงมาจากต้นไม้

“นายนี่มันเจ้าปัญหาจริงๆ!” เด็กคนก็นั้นพึมพำแต่ก็ไม่กล้าที่จะลังเลอีกต่อไปเขารีบง้างคันธนูและลูกธนูแล้วยิงออกไปที่สัตว์ตัวที่กำลังจะวิ่งเข้าไปหาเด็กอีกคนที่ตกจากต้นไม้

เย่เชียนเองก็ไม่มีเวลาให้มานั่งกังวลอีกต่อไปแล้วเขาจึงรีบกระโดดลงจากรถและรีบวิ่งออกไป และเมื่อเขาเข้าไปใกล้สัตว์ฝูงนั้นแล้วเขาก็กระโดดพุ่งไปพร้อมกับมีดโลหิตหมาป่าในมือและเจาะเข้าไปที่ลำคอของสัตว์ตัวนั้นอย่างรุนแรง ซึ่งในขณะเดียวกันลูกศรของเด็กคนนั้นก็พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วที่รวดเร็วและแทงทะลุเข้าไปที่หัวของสัตว์อีกตัวโดยตรง และเย่เชียนก็ดึงมีดโลหิตหมาป่าที่เจาะอยู่ที่คอของสัตว์ตัวนั้นออกมาและแทงมันเข้าไปที่สัตว์อีกตัวและสัตว์ทั้งหมดก็ล้มลงแน่นิ่งไปกับพื้น หลังจากนั้นพวกมันก็ดิ้นและส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาและไม่นานพวกมันก็สิ้นชีพไป

จากนั้นเย่เชียนก็รีบเดินเข้าไปหาเด็กที่ตกต้นไม้และถามว่า “เอ็งเป็นอะไรมากมั้ย”

เด็กคนนั้นก็ยิ้มกว้างๆ และพูดว่า “ไม่เป็นไร..”

ในขณะนี้เด็กคนที่มีคันธนูและลูกศรอยู่บนหลังของเขาก็เดินเข้ามาจ้องมองไปที่เด็กที่ตกต้นไม้และพูดว่า “ไอ้เสือ..นายมันไร้ประโยชน์จริงๆ ..นายตกต้นไม้เนี่ยนะ..นายรู้มั้ยว่ามันอันตรายแค่ไหนน่ะ? ..นายเกือบจะไปหาท่านยมบาลแล้ว”

เด็กคนที่ชื่อหูจื้อก็แสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า “เอาหน่าพี่..ผมขอโทษ”

เด็กคนที่มีคันธนูอยู่บนหลังก็จ้องไปที่หูจื้อและหันไปมองเย่เชียนและถามว่า “พี่ชายเป็นใครหรอ..พี่มาทำอะไรที่นี่กลางดึกกลางดื่นแบบนี้..มันอันตรายมากนะ..แต่ว่าเมื่อกี้นี้น่ะ..พี่ชายยอดเยี่ยมมากเลย”

“อ๋อ..ฉันจะไปหาญาติที่หมู่บ้านซูชูวน่ะ..ฉันชื่อเย่เชียน..แล้วเอ็งล่ะ..ทำไมพวกเอ็งถึงมาอยู่บนภูเขากลางดึกกลางดื่นแบบนี้” เย่เชียนยิ้มและพูด

.

.

.

.

.

.

.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดนักรบจอมราชัน 289 ท่ามกลางภูเขายามค่ำคืน

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 289 ท่ามกลางภูเขายามค่ำคืน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 289 ท่ามกลางภูเขายามค่ำคืน
เย่เชียนนั้นไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักวิกฤตหรือไม่รู้ว่าอะไรไหวอะไรไม่ไหวเพราะไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองสูงและเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แค่ไหนก็ตามถึงยังไงเขาก็เข้าใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ของเขา เพราะการปรากฏตัวของพี่ชายของหูวเค่อและที่หูวเค่อพูดกับเขาเช่นนั้นเย่เชียนก็ตระหนักดีว่าตอนนี้เขายังอ่อนแอเกินไป

เดิมทีเย่เชียนนั้นรอคอยที่จะนำเขี้ยวหมาป่าก้าวเข้าไปสู่เมืองหลวงอย่างปักกิ่งแต่ทว่าตอนนี้เขาก็ต้องปัดเป่าความคิดเช่นนี้ออกไปก่อนชั่วคราว เพราะถึงแม้ว่าจะมีสโมสรเจิดจรัสของหูวเค่อเป็นใบเบิกทางให้เย่เชียนสามารถเข้าใกล้กับบุคคลสำคัญในระดับต่างๆ ได้มากขึ้นก็ตาม แต่เย่เชียนก็เข้าใจดีว่าปักกิ่งนั้นเป็นสถานที่ที่เหล่ามังกรและเสือซ่อนอยู่เพราะฉะนั้นเย่เชียนจึงยังไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะย่างเท้าเข้าไป นั่นก็เพราะว่าถ้าหากไปทำให้เหล่ามังกรและเสือเหล่านั้นขุ่นเคืองโดยไม่ได้ตั้งใจล่ะก็ทั้งหมดอาจจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันเลวร้ายและแม้แต่เขี้ยวหมาป่าเองก็คงจะถูกทำลาย

ไม่กี่วันต่อมาเย่เชียนก็ขับรถออกจากเมืองเซี่ยงไฮ้ไปเพราะสถานการณ์ที่เซี่ยงไฮ้เริ่มคงที่แล้ว ดังนั้นเย่เชียนจึงตัดสินใจไปเยี่ยมผู้อาจารย์ของตนและบอกเขาเกี่ยวกับหมาป่าผีกับไป๋ฮวยผู้เป็นศิษย์ของเขา สำหรับเหว่ยตงเซียงนั้นเย่เชียนก็เชื่อว่าเหว่ยตงเซียงไม่สามารถสร้างคลื่นพายุใดๆ ได้อีกแล้วและยิ่งไปกว่านั้นยังมีแจ็คที่คอยดูแลจัดการและสังเกตการณ์อยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้อีกด้วย เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรใดๆ

หลินจินไท่อาจารย์ของเย่เชียนนนั้นเป็นปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้จีนโบราณแต่เขามักจะเรียกตัวเองว่าครูฝึกเสียมากกว่า ซึ่งเย่เชียนนั้นได้พบกับหลินจินไท่ในทวีปตะวันออกกลางและหลังจากสอนศิลปะการต่อสู้ให้เย่เชียนแล้วหลินจินไท่ก็กลับประเทศจีนไป อย่างไรก็ตามเขาได้บอกที่อยู่ในประเทศจีนของเขาให้แก่เย่เชียนเอาไว้ซึ่งเย่เชียนก็ไม่คาดคิดเลยว่าอาจารย์ของเขาจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลเช่นนี้ บางทีสิ่งที่อาจารย์ของเขาแสวงหาเรื่อยมานั้นอาจจะผสมผสานอยู่กับเหล่าธรรมชาติดังที่อาจารย์หลินจินไท่เคยพูดเอาไว้ว่าผู้ฝึกตนควรอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติให้มากที่สุด

เย่เชียนใช้เวลาขับรถจากเมืองเซี่ยงไฮ้ไปยังเมืองเซวียนเฉิงประมาณสามถึงสี่ชั่วโมง ซึ่งมันก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้วเมื่อเขามาถึงเซวียนเฉิงและเย่เชียนก็แวะทานมื้อเที่ยงหลังจากนั้นก็ขับรถต่อไปยังบ้านของหลินจินไท่ ซึ่งกว่าเย่เชียนจะไปถึงในตัวเมืองมันก็เป็นเวลาหกโมงเย็นเสียแล้ว

หลินจินไท่นั้นอาศัยอยู่ในพื้นที่บนภูเขาอันห่างไกลและถนนหนทางก็ขรุขระและเป็นหลุมทรุดโทรม ดังนั้นเย่เชียนจึงต้องชะลอความเร็วของรถเพราะมันก็ใกล้จะมืดค่ำแล้วซึ่งมีเพียงพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวบนท้องฟ้าที่ส่องแสงจันทร์จางๆ ลงมาบนเส้นทางของถนนเส้นนี้

อากาศและบรรยากาศบนภูเขาลูกนี้นั้นดีมากและตอนกลางคืนก็จะเงียบงันเป็นพิเศษ ซึ่งในบรรดาภูเขาสูงตระหง่านลูกนี้ก็มีถนนบนภูเขาเพียงเล็กน้อยและมันยังเป็นถนนลูกรังที่เกิดจากการเดินเท้ามาเป็นเวลานาน ตามทางนั้นมีต้นสนเขียวชอุ่มและวัชพืชอยู่ข้างๆ ทางตลอดเส้นทางและภูเขาเหล่านี้ก็เป็นภูเขาหินจึงทำให้ไม่มีพืชพันธุ์ใดที่สามารถงอกงามได้เลยซึ่งมันมีเพียงต้นสนเท่านั้นที่แข็งแกร่งพอที่จะสามารถอยู่รอดได้

แสงจันทร์ส่องแสงผ่านต้นสนที่สูงตระหง่านและเมื่อมันส่องลงบนพื้นแล้วมันก็เหลือเพียงแค่แสงจางๆ อันเลือนรางเพียงเท่านั้น จึงทำให้เย่เชียนขับรถด้วยความระมัดระวังอย่างมากเพราะหากรถของเขาเสียหายหรือพังลงที่นี่มันก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าสังเวชและน่าเศร้าอย่างยิ่ง แต่โชคดีที่เย่เชียนนั้นขับรถฮัมเมอร์ออฟโรดมาเพราะถ้าหากเป็นรถยนต์ธรรมดาๆ ล่ะก็เขาก็คงไปได้ไม่ถึงครึ่งกิโลเมตรเป็นแน่

มีต้นสนและต้นไผ่ที่สูงตระหง่านอยู่รอบๆ และมีพุ่มไม้และวัชพืชเติบโตอยู่รอบๆ “อ๋าววววู้ววว … “จู่ๆ เสียงหมาป่าก็เห่าหอนดังลั่นไปทั่วท้องฟ้าจนเย่เชียนถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะและเย่เชียนก็มองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นดวงตาสีฟ้าคู่หนึ่งส่องแสงประกายออกมาจากพุ่มไม้อย่างชัดเจนและหลังจากนั้นก็มีดวงตาอีกคู่หนึ่งและอีกคู่หนึ่งเต็มไปหมด ซึ่งเย่เชียนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปเพราะดูเหมือนว่าเขาจะเจอกับฝูงหมาป่าเข้าให้แล้ว

เนื่องจากความเร็วของรถนั้นไม่เร็วนักและเห็นได้ชัดเลยว่าพวกหมาป่าเหล่านี้นั้นอดอยากและหิวโหยมานานเพราะพวกมันกระโจมกระโดดขึ้นไปบนหลังคารถทีละตัวๆ พร้อมกับกรงเล็บที่แข็งแกร่งของพวกมันและข่วนกระจกรถส่วนปากของพวกมันก็มีน้ำลายไหลลงมาเต็มไปหมดและดวงตาของพวกมันก็เต็มไปด้วยความโหดร้าย จากนั้นเย่เชียนก็หยุดรถและกวาดสายตามองไปรอบๆ และพบว่าอย่างน้อยๆ ก็มีหมาป่าอยู่ห้าหรือหกตัวในฝูงนี้ แต่โชคดีที่เย่เชียนนั้นอยู่ในรถและพวกหมาป่าก็ทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ถึงยังไงถ้าหากไม่รีบทำอะไรสักอย่างมันก็จะเลวร้ายอย่างมากเพราะหมาป่าเหล่านี้ดุร้ายอย่างมากและเห็นได้ชัดว่าพวกมันกำลังข่วนกระจกรถและฉีกกระชากโครงรถของเขาอยู่

เย่เชียนก็ดึงมีดโลหิตหมาป่าออกมาจากเอวของเขาและถือมันเอาไว้ซึ่งทำให้หมาป่าที่อยู่ด้านหน้าของรถรู้สึกได้ถึงการคุกคามของเย่เชียนอย่างชัดเจนและมันก็คำรามใส่เย่เชียนพร้อมกับความกระหายเลือดที่ฉายอยู่ภายในดวงตาของพวกมันก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น

อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่ได้คิดที่จะเปิดประตูรถออกไปอย่างหุนหันพลันแล่นและลงไปสู้กันมันเพราะเย่เชียนนั้นเคยเผชิญหน้ากับหมาป่าเช่นนี้มาก่อนแต่ทว่าภูมิประเทศในครั้งนั้นมันกว้างขวางและอำนวยสิ่งต่างๆ กว่ามากจึงทำให้การเคลื่อนไหวของเขาก็สะดวกมากเช่นกันแต่ทว่าครั้งนี้มันเป็นพื้นที่ภูเขาและมีหญ้าขึ้นรกเต็มไปทั่วทุกพื้นที่ และแล้วตอนนี้เหล่าหมาป่าก็ได้ล้อมเย่เชียนเอาไว้แล้วที่ด้านนอกและถ้าหากเย่เชียนเปิดประตูออกไปล่ะก็พวกมันก็จะกรูกันเข้ามาอย่างแน่นอน และถึงแม้ว่าเย่เชียนจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตามแต่เขาก็ไม่สามารถรับมือกับการโจมตีของหมาป่าห้าหรือหกตัวพร้อมๆ กันได้

จู่ๆ เย่เชียนก็ได้ยินเสียงของบทสนทนากันอย่างเบาๆ ว่า “พี่ชาย..เราจะทำได้มั้ย” “ชู่ววว..เงียบๆ สิ..สัตว์พวกนี้จมูกและหูของพวกมันดีมาก” จากนั้นเสียงสนทนาลึกลับก็หายไป ซึ่งจากน้ำเสียงเหล่านี้นั้นดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังเด็กกันอยู่เลย

ปรากฏว่ามีเด็กๆ หลงเข้ามาในภูเขายามดึกดื่นมืดค่ำเช่นนี้ซึ่งพวกเขาก็น่าจะเป็นเด็กจากหมู่บ้านใกล้เคียงละแวกนี้ เมื่อคิดเช่นนี้เย่เชียนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะไม่ว่าจะยังไงเด็กทั้งสองคนนี้ก็ไม่ควรตายและเป็นอาหารในท้องของหมาป่าเหล่านี้

ขณะนี้จู่ๆ เย่เชียนก็เหลือบไปเห็นลูกธนูที่แหลมคมพุ่งเข้ามาหาเขาซึ่งความเร็วนั้นค่อนข้างน่าประหลาดใจเลยทีเดียว ลูกศรของธนูที่แหลมคมนี้พุ่งตัดผ่านลมและหมุนเป็นรูปเกลียวอย่างชัดเจนซึ่งมันเพิ่มความเร็วและความรุนแรงของลูกศรธนูอย่างมาก ซึ่งหมาป่าตัวที่อยู่บนกระจกหน้ารถดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงอันตรายที่อยู่ข้างหลังของมันและมันก็หันกลับมาแต่ทว่าในขณะนี้ลูกศรธนูก็ได้พุ่งมาเจาะเข้าที่หัวของหมาป่าตัวนั้นอย่างรุนแรงและปักทะลุเข้าไปในกะโหลกและเลือดก็กระเซ็นเต็มบนกระจกหน้ารถในทันที

หมาป่าตัวอื่นๆ ก็หันกลับไปทีละตัวและจ้องมองไปในทิศทางที่ลูกศรพุ่งออกมาและด้วยสัญชาตญาณของสัตว์ป่านั้นพวกมันก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นที่ไม่ใช่พวกของมันและพวกมันก็รับรู้ได้แล้วว่ามีใครบางคนอยู่ตรงนั้น

“เย้..ฆ่าไปแล้วหนึ่งตัว”

“เฮ้ย..ไม่ต้องพูด..ไอ้พวกหมาป่ามันรู้ว่าเราอยู่ที่นี่แล้ว..นายรีบปีนขึ้นไปบนต้นไม้เดี๋ยวนี้เลย..และจำเอาไว้ว่าอย่าลงมา”

มีเสียงของการสนทนาเกิดขึ้นอีกครั้งไม่ไกลจากที่นั่นและหลังจากนั้นเด็กคนหนึ่งก็แวบออกมาจากพุ่มไม้และวิ่งไปอย่างรวดเร็วเหมือนกวางป่าในภูเขาและหลังจากนั้นเด็กคนนั้นก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเด็กคนนั้นพาดคันธนูขนาดใหญ่เอาไว้ที่ไหล่ของเขาซึ่งมันยาวกว่าความสูงของเด็กคนนั้นอย่างมาก จึงทำให้เย่เชียนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเมื่อครู่นี้เด็กคนนี้ยิงธนูออกมาจริงๆ

เมื่อเห็นบางสิ่งพุ่งออกมาจากพุ่มไม้เหล่าหมาป่าทั้งฝูงก็รีบวิ่งไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว เย่เชียนก็ไม่คิดที่จะลังเลใดๆ อีกต่อไปมิเช่นนั้นเขากลัวว่าชีวิตของเด็กๆ จะต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน เมื่อคิดเช่นนั้นเขาก็รีบเปิดประตูรถและออกไป ซึ่งในตอนนี้เด็กคนที่มีคันธนูและลูกศรอยู่ที่หลังของเขาเห็นว่าเย่เชียนนั้นมีเจตนาที่ดีและกำลังจะทำอะไรเขาจึงรีบตะโกนออกมาว่า “พี่ชายอย่าออกมา! ..พวกมันจงใจหนีไปเพื่อล่อให้คุณออกมา”

เย่เชียนก็ถึงกับตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและมองออกไปด้วยความประหลาดใจเพราะว่าเหล่าหมาป่าฝูงนั้นดูเหมือนจะวิ่งเข้าไปหาเด็กๆ แต่ทว่าพวกมันกลับหยุดและหันกลับมาและวิ่งกระโจมกันเข้ามาด้วยความเร็วอย่างมากและแทบจะไม่มีเวลาขึ้นรถเลย เย่เชียนก็ประหลาดใจอย่างมากและสาปแช่งพวกมันลับๆ ว่าหมาป่าเจ้าเล่ห์

“แล้วเอ็งจะทำยังไง?” เย่เชียนถามอย่างเป็นห่วงขณะที่เขาลดกระจกรถลงเล็กน้อย

“ฉันไม่เป็นไร..สัตว์พวกนี้มันปีนต้นไม้ไม่ได้น่ะ..เดี๋ยวฉันจะหาทางเอง” เด็กคนนั้นพูดต่อ “จำไว้นะว่าอย่าออกมา..พวกนี้มันไม่ใช่หมาป่า..พวกมันฉลาดและโหดร้ายมาก”

เย่เชียนถึงกับผงะไปด้วยความประหลาดใจและถามว่า “เอ้า..มันไม่ใช่หมาป่าหรอกเหรอ..แล้วมันคืออะไรล่ะ?”

“อ่าห๊ะ..ก็ขาหน้าของพวกมันน่ะค่อนข้างสั้นผิดปกติและพวกมันก็มีไหวพริบและความคิดมากเกินสัตว์เดรัจฉาน..อย่าไปหลงกลสัตว์เหล่านี้ล่ะ” เด็กคนนั้นพูด ฝูงสัตว์ที่ดูเหมือนหมาป่าแต่เด็กๆ กลับบอกว่ามันไม่ใช่ ซึ่งหมาป่าฝูงนี้ก็ดูเหมือนจะเข้าใจบทสนทนาระหว่างเย่เชียนกับเด็กคนนั้นเพราะพวกมันหันไปมองเย่เชียนและเด็กคนนั้นไปมาพร้อมกับรอยยิ้มที่น่าหวาดกลัวจนทำให้ตัวสั่นได้พวกมันนั้นเจ้าเล่ห์และปฏิกิริยาตอบสนองนั้นเหมือนมนุษย์มากเกินไป

หลังจากเด็กคนนั้นพูดจบเขาก็ชักคันธนูขึ้นมาอีกครั้งและง้างลูกธนูเอาไว้ ซึ่งการเคลื่อนไหวนั้นดูชำนาญมากและคันธนูขนาดใหญ่ถูกง้างออกไปอย่างน้อยๆ 80% ของทั้งหมด ซึ่งทำให้เย่เชียนถึงกับอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอย่างลับๆ เพราะมันต้องใช้พละกำลังอย่างมากเลยที่จะทำเช่นนั้น เด็กคนนี้เหมือนจะมีพรสวรรค์จริงๆ แต่ทว่าสัตว์ร้ายเหล่านั้นกลับรู้สึกได้ถึงอันตรายและพวกมันก็ค่อยๆ ถอยห่างกันออกไปเรื่อยๆ

“เอาไปกิน!” ลูกศรธนูในมือของเด็กคนนั้นก็พุ่งออกไปราวกับดาวตกเพราะมันหมุนและพุ่งไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำจนเจาะเข้าไปที่หัวของสัตว์ตัวหนึ่งทันที เห็นได้ชัดว่าสัตว์ตัวที่เหลืออีกสามตัวก็รู้สึกถึงการคุกคามของเด็กคนนี้และพวกมันก็เริ่มที่จะล่าถอยออกไป

“จะหนีเหรอไอ้พวกบ้า..มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก!” เด็กคนนั้นก็ง้างคันธนูพร้อมลูกศรอีกครั้งและปล่อยมันออกมาอย่างรวดเร็วและมันก็พุ่งทะลุไปที่หัวของสัตว์อีกตัวอย่างแม่นยำ

“ว้าวพี่ชายยอดเยี่ยมมาก..เย้..เย้..” เด็กอีกคนหนึ่งก็ตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้นและดูเหมือนจะมีความสุขและเผลอลืมตัวไปเพราะเขาไม่ได้จับต้นให้แน่นจึงทำให้เขาตกลงมาจากต้นไม้

“นายนี่มันเจ้าปัญหาจริงๆ!” เด็กคนก็นั้นพึมพำแต่ก็ไม่กล้าที่จะลังเลอีกต่อไปเขารีบง้างคันธนูและลูกธนูแล้วยิงออกไปที่สัตว์ตัวที่กำลังจะวิ่งเข้าไปหาเด็กอีกคนที่ตกจากต้นไม้

เย่เชียนเองก็ไม่มีเวลาให้มานั่งกังวลอีกต่อไปแล้วเขาจึงรีบกระโดดลงจากรถและรีบวิ่งออกไป และเมื่อเขาเข้าไปใกล้สัตว์ฝูงนั้นแล้วเขาก็กระโดดพุ่งไปพร้อมกับมีดโลหิตหมาป่าในมือและเจาะเข้าไปที่ลำคอของสัตว์ตัวนั้นอย่างรุนแรง ซึ่งในขณะเดียวกันลูกศรของเด็กคนนั้นก็พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วที่รวดเร็วและแทงทะลุเข้าไปที่หัวของสัตว์อีกตัวโดยตรง และเย่เชียนก็ดึงมีดโลหิตหมาป่าที่เจาะอยู่ที่คอของสัตว์ตัวนั้นออกมาและแทงมันเข้าไปที่สัตว์อีกตัวและสัตว์ทั้งหมดก็ล้มลงแน่นิ่งไปกับพื้น หลังจากนั้นพวกมันก็ดิ้นและส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาและไม่นานพวกมันก็สิ้นชีพไป

จากนั้นเย่เชียนก็รีบเดินเข้าไปหาเด็กที่ตกต้นไม้และถามว่า “เอ็งเป็นอะไรมากมั้ย”

เด็กคนนั้นก็ยิ้มกว้างๆ และพูดว่า “ไม่เป็นไร..”

ในขณะนี้เด็กคนที่มีคันธนูและลูกศรอยู่บนหลังของเขาก็เดินเข้ามาจ้องมองไปที่เด็กที่ตกต้นไม้และพูดว่า “ไอ้เสือ..นายมันไร้ประโยชน์จริงๆ ..นายตกต้นไม้เนี่ยนะ..นายรู้มั้ยว่ามันอันตรายแค่ไหนน่ะ? ..นายเกือบจะไปหาท่านยมบาลแล้ว”

เด็กคนที่ชื่อหูจื้อก็แสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า “เอาหน่าพี่..ผมขอโทษ”

เด็กคนที่มีคันธนูอยู่บนหลังก็จ้องไปที่หูจื้อและหันไปมองเย่เชียนและถามว่า “พี่ชายเป็นใครหรอ..พี่มาทำอะไรที่นี่กลางดึกกลางดื่นแบบนี้..มันอันตรายมากนะ..แต่ว่าเมื่อกี้นี้น่ะ..พี่ชายยอดเยี่ยมมากเลย”

“อ๋อ..ฉันจะไปหาญาติที่หมู่บ้านซูชูวน่ะ..ฉันชื่อเย่เชียน..แล้วเอ็งล่ะ..ทำไมพวกเอ็งถึงมาอยู่บนภูเขากลางดึกกลางดื่นแบบนี้” เย่เชียนยิ้มและพูด

.

.

.

.

.

.

.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดนักรบจอมราชัน 289 ท่ามกลางภูเขายามค่ำคืน

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 289 ท่ามกลางภูเขายามค่ำคืน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 289 ท่ามกลางภูเขายามค่ำคืน
เย่เชียนนั้นไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักวิกฤตหรือไม่รู้ว่าอะไรไหวอะไรไม่ไหวเพราะไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองสูงและเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แค่ไหนก็ตามถึงยังไงเขาก็เข้าใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ของเขา เพราะการปรากฏตัวของพี่ชายของหูวเค่อและที่หูวเค่อพูดกับเขาเช่นนั้นเย่เชียนก็ตระหนักดีว่าตอนนี้เขายังอ่อนแอเกินไป

เดิมทีเย่เชียนนั้นรอคอยที่จะนำเขี้ยวหมาป่าก้าวเข้าไปสู่เมืองหลวงอย่างปักกิ่งแต่ทว่าตอนนี้เขาก็ต้องปัดเป่าความคิดเช่นนี้ออกไปก่อนชั่วคราว เพราะถึงแม้ว่าจะมีสโมสรเจิดจรัสของหูวเค่อเป็นใบเบิกทางให้เย่เชียนสามารถเข้าใกล้กับบุคคลสำคัญในระดับต่างๆ ได้มากขึ้นก็ตาม แต่เย่เชียนก็เข้าใจดีว่าปักกิ่งนั้นเป็นสถานที่ที่เหล่ามังกรและเสือซ่อนอยู่เพราะฉะนั้นเย่เชียนจึงยังไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะย่างเท้าเข้าไป นั่นก็เพราะว่าถ้าหากไปทำให้เหล่ามังกรและเสือเหล่านั้นขุ่นเคืองโดยไม่ได้ตั้งใจล่ะก็ทั้งหมดอาจจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันเลวร้ายและแม้แต่เขี้ยวหมาป่าเองก็คงจะถูกทำลาย

ไม่กี่วันต่อมาเย่เชียนก็ขับรถออกจากเมืองเซี่ยงไฮ้ไปเพราะสถานการณ์ที่เซี่ยงไฮ้เริ่มคงที่แล้ว ดังนั้นเย่เชียนจึงตัดสินใจไปเยี่ยมผู้อาจารย์ของตนและบอกเขาเกี่ยวกับหมาป่าผีกับไป๋ฮวยผู้เป็นศิษย์ของเขา สำหรับเหว่ยตงเซียงนั้นเย่เชียนก็เชื่อว่าเหว่ยตงเซียงไม่สามารถสร้างคลื่นพายุใดๆ ได้อีกแล้วและยิ่งไปกว่านั้นยังมีแจ็คที่คอยดูแลจัดการและสังเกตการณ์อยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้อีกด้วย เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรใดๆ

หลินจินไท่อาจารย์ของเย่เชียนนนั้นเป็นปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้จีนโบราณแต่เขามักจะเรียกตัวเองว่าครูฝึกเสียมากกว่า ซึ่งเย่เชียนนั้นได้พบกับหลินจินไท่ในทวีปตะวันออกกลางและหลังจากสอนศิลปะการต่อสู้ให้เย่เชียนแล้วหลินจินไท่ก็กลับประเทศจีนไป อย่างไรก็ตามเขาได้บอกที่อยู่ในประเทศจีนของเขาให้แก่เย่เชียนเอาไว้ซึ่งเย่เชียนก็ไม่คาดคิดเลยว่าอาจารย์ของเขาจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลเช่นนี้ บางทีสิ่งที่อาจารย์ของเขาแสวงหาเรื่อยมานั้นอาจจะผสมผสานอยู่กับเหล่าธรรมชาติดังที่อาจารย์หลินจินไท่เคยพูดเอาไว้ว่าผู้ฝึกตนควรอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติให้มากที่สุด

เย่เชียนใช้เวลาขับรถจากเมืองเซี่ยงไฮ้ไปยังเมืองเซวียนเฉิงประมาณสามถึงสี่ชั่วโมง ซึ่งมันก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้วเมื่อเขามาถึงเซวียนเฉิงและเย่เชียนก็แวะทานมื้อเที่ยงหลังจากนั้นก็ขับรถต่อไปยังบ้านของหลินจินไท่ ซึ่งกว่าเย่เชียนจะไปถึงในตัวเมืองมันก็เป็นเวลาหกโมงเย็นเสียแล้ว

หลินจินไท่นั้นอาศัยอยู่ในพื้นที่บนภูเขาอันห่างไกลและถนนหนทางก็ขรุขระและเป็นหลุมทรุดโทรม ดังนั้นเย่เชียนจึงต้องชะลอความเร็วของรถเพราะมันก็ใกล้จะมืดค่ำแล้วซึ่งมีเพียงพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวบนท้องฟ้าที่ส่องแสงจันทร์จางๆ ลงมาบนเส้นทางของถนนเส้นนี้

อากาศและบรรยากาศบนภูเขาลูกนี้นั้นดีมากและตอนกลางคืนก็จะเงียบงันเป็นพิเศษ ซึ่งในบรรดาภูเขาสูงตระหง่านลูกนี้ก็มีถนนบนภูเขาเพียงเล็กน้อยและมันยังเป็นถนนลูกรังที่เกิดจากการเดินเท้ามาเป็นเวลานาน ตามทางนั้นมีต้นสนเขียวชอุ่มและวัชพืชอยู่ข้างๆ ทางตลอดเส้นทางและภูเขาเหล่านี้ก็เป็นภูเขาหินจึงทำให้ไม่มีพืชพันธุ์ใดที่สามารถงอกงามได้เลยซึ่งมันมีเพียงต้นสนเท่านั้นที่แข็งแกร่งพอที่จะสามารถอยู่รอดได้

แสงจันทร์ส่องแสงผ่านต้นสนที่สูงตระหง่านและเมื่อมันส่องลงบนพื้นแล้วมันก็เหลือเพียงแค่แสงจางๆ อันเลือนรางเพียงเท่านั้น จึงทำให้เย่เชียนขับรถด้วยความระมัดระวังอย่างมากเพราะหากรถของเขาเสียหายหรือพังลงที่นี่มันก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าสังเวชและน่าเศร้าอย่างยิ่ง แต่โชคดีที่เย่เชียนนั้นขับรถฮัมเมอร์ออฟโรดมาเพราะถ้าหากเป็นรถยนต์ธรรมดาๆ ล่ะก็เขาก็คงไปได้ไม่ถึงครึ่งกิโลเมตรเป็นแน่

มีต้นสนและต้นไผ่ที่สูงตระหง่านอยู่รอบๆ และมีพุ่มไม้และวัชพืชเติบโตอยู่รอบๆ “อ๋าววววู้ววว … “จู่ๆ เสียงหมาป่าก็เห่าหอนดังลั่นไปทั่วท้องฟ้าจนเย่เชียนถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะและเย่เชียนก็มองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นดวงตาสีฟ้าคู่หนึ่งส่องแสงประกายออกมาจากพุ่มไม้อย่างชัดเจนและหลังจากนั้นก็มีดวงตาอีกคู่หนึ่งและอีกคู่หนึ่งเต็มไปหมด ซึ่งเย่เชียนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปเพราะดูเหมือนว่าเขาจะเจอกับฝูงหมาป่าเข้าให้แล้ว

เนื่องจากความเร็วของรถนั้นไม่เร็วนักและเห็นได้ชัดเลยว่าพวกหมาป่าเหล่านี้นั้นอดอยากและหิวโหยมานานเพราะพวกมันกระโจมกระโดดขึ้นไปบนหลังคารถทีละตัวๆ พร้อมกับกรงเล็บที่แข็งแกร่งของพวกมันและข่วนกระจกรถส่วนปากของพวกมันก็มีน้ำลายไหลลงมาเต็มไปหมดและดวงตาของพวกมันก็เต็มไปด้วยความโหดร้าย จากนั้นเย่เชียนก็หยุดรถและกวาดสายตามองไปรอบๆ และพบว่าอย่างน้อยๆ ก็มีหมาป่าอยู่ห้าหรือหกตัวในฝูงนี้ แต่โชคดีที่เย่เชียนนั้นอยู่ในรถและพวกหมาป่าก็ทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ถึงยังไงถ้าหากไม่รีบทำอะไรสักอย่างมันก็จะเลวร้ายอย่างมากเพราะหมาป่าเหล่านี้ดุร้ายอย่างมากและเห็นได้ชัดว่าพวกมันกำลังข่วนกระจกรถและฉีกกระชากโครงรถของเขาอยู่

เย่เชียนก็ดึงมีดโลหิตหมาป่าออกมาจากเอวของเขาและถือมันเอาไว้ซึ่งทำให้หมาป่าที่อยู่ด้านหน้าของรถรู้สึกได้ถึงการคุกคามของเย่เชียนอย่างชัดเจนและมันก็คำรามใส่เย่เชียนพร้อมกับความกระหายเลือดที่ฉายอยู่ภายในดวงตาของพวกมันก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น

อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่ได้คิดที่จะเปิดประตูรถออกไปอย่างหุนหันพลันแล่นและลงไปสู้กันมันเพราะเย่เชียนนั้นเคยเผชิญหน้ากับหมาป่าเช่นนี้มาก่อนแต่ทว่าภูมิประเทศในครั้งนั้นมันกว้างขวางและอำนวยสิ่งต่างๆ กว่ามากจึงทำให้การเคลื่อนไหวของเขาก็สะดวกมากเช่นกันแต่ทว่าครั้งนี้มันเป็นพื้นที่ภูเขาและมีหญ้าขึ้นรกเต็มไปทั่วทุกพื้นที่ และแล้วตอนนี้เหล่าหมาป่าก็ได้ล้อมเย่เชียนเอาไว้แล้วที่ด้านนอกและถ้าหากเย่เชียนเปิดประตูออกไปล่ะก็พวกมันก็จะกรูกันเข้ามาอย่างแน่นอน และถึงแม้ว่าเย่เชียนจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตามแต่เขาก็ไม่สามารถรับมือกับการโจมตีของหมาป่าห้าหรือหกตัวพร้อมๆ กันได้

จู่ๆ เย่เชียนก็ได้ยินเสียงของบทสนทนากันอย่างเบาๆ ว่า “พี่ชาย..เราจะทำได้มั้ย” “ชู่ววว..เงียบๆ สิ..สัตว์พวกนี้จมูกและหูของพวกมันดีมาก” จากนั้นเสียงสนทนาลึกลับก็หายไป ซึ่งจากน้ำเสียงเหล่านี้นั้นดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังเด็กกันอยู่เลย

ปรากฏว่ามีเด็กๆ หลงเข้ามาในภูเขายามดึกดื่นมืดค่ำเช่นนี้ซึ่งพวกเขาก็น่าจะเป็นเด็กจากหมู่บ้านใกล้เคียงละแวกนี้ เมื่อคิดเช่นนี้เย่เชียนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะไม่ว่าจะยังไงเด็กทั้งสองคนนี้ก็ไม่ควรตายและเป็นอาหารในท้องของหมาป่าเหล่านี้

ขณะนี้จู่ๆ เย่เชียนก็เหลือบไปเห็นลูกธนูที่แหลมคมพุ่งเข้ามาหาเขาซึ่งความเร็วนั้นค่อนข้างน่าประหลาดใจเลยทีเดียว ลูกศรของธนูที่แหลมคมนี้พุ่งตัดผ่านลมและหมุนเป็นรูปเกลียวอย่างชัดเจนซึ่งมันเพิ่มความเร็วและความรุนแรงของลูกศรธนูอย่างมาก ซึ่งหมาป่าตัวที่อยู่บนกระจกหน้ารถดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงอันตรายที่อยู่ข้างหลังของมันและมันก็หันกลับมาแต่ทว่าในขณะนี้ลูกศรธนูก็ได้พุ่งมาเจาะเข้าที่หัวของหมาป่าตัวนั้นอย่างรุนแรงและปักทะลุเข้าไปในกะโหลกและเลือดก็กระเซ็นเต็มบนกระจกหน้ารถในทันที

หมาป่าตัวอื่นๆ ก็หันกลับไปทีละตัวและจ้องมองไปในทิศทางที่ลูกศรพุ่งออกมาและด้วยสัญชาตญาณของสัตว์ป่านั้นพวกมันก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นที่ไม่ใช่พวกของมันและพวกมันก็รับรู้ได้แล้วว่ามีใครบางคนอยู่ตรงนั้น

“เย้..ฆ่าไปแล้วหนึ่งตัว”

“เฮ้ย..ไม่ต้องพูด..ไอ้พวกหมาป่ามันรู้ว่าเราอยู่ที่นี่แล้ว..นายรีบปีนขึ้นไปบนต้นไม้เดี๋ยวนี้เลย..และจำเอาไว้ว่าอย่าลงมา”

มีเสียงของการสนทนาเกิดขึ้นอีกครั้งไม่ไกลจากที่นั่นและหลังจากนั้นเด็กคนหนึ่งก็แวบออกมาจากพุ่มไม้และวิ่งไปอย่างรวดเร็วเหมือนกวางป่าในภูเขาและหลังจากนั้นเด็กคนนั้นก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเด็กคนนั้นพาดคันธนูขนาดใหญ่เอาไว้ที่ไหล่ของเขาซึ่งมันยาวกว่าความสูงของเด็กคนนั้นอย่างมาก จึงทำให้เย่เชียนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเมื่อครู่นี้เด็กคนนี้ยิงธนูออกมาจริงๆ

เมื่อเห็นบางสิ่งพุ่งออกมาจากพุ่มไม้เหล่าหมาป่าทั้งฝูงก็รีบวิ่งไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว เย่เชียนก็ไม่คิดที่จะลังเลใดๆ อีกต่อไปมิเช่นนั้นเขากลัวว่าชีวิตของเด็กๆ จะต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน เมื่อคิดเช่นนั้นเขาก็รีบเปิดประตูรถและออกไป ซึ่งในตอนนี้เด็กคนที่มีคันธนูและลูกศรอยู่ที่หลังของเขาเห็นว่าเย่เชียนนั้นมีเจตนาที่ดีและกำลังจะทำอะไรเขาจึงรีบตะโกนออกมาว่า “พี่ชายอย่าออกมา! ..พวกมันจงใจหนีไปเพื่อล่อให้คุณออกมา”

เย่เชียนก็ถึงกับตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและมองออกไปด้วยความประหลาดใจเพราะว่าเหล่าหมาป่าฝูงนั้นดูเหมือนจะวิ่งเข้าไปหาเด็กๆ แต่ทว่าพวกมันกลับหยุดและหันกลับมาและวิ่งกระโจมกันเข้ามาด้วยความเร็วอย่างมากและแทบจะไม่มีเวลาขึ้นรถเลย เย่เชียนก็ประหลาดใจอย่างมากและสาปแช่งพวกมันลับๆ ว่าหมาป่าเจ้าเล่ห์

“แล้วเอ็งจะทำยังไง?” เย่เชียนถามอย่างเป็นห่วงขณะที่เขาลดกระจกรถลงเล็กน้อย

“ฉันไม่เป็นไร..สัตว์พวกนี้มันปีนต้นไม้ไม่ได้น่ะ..เดี๋ยวฉันจะหาทางเอง” เด็กคนนั้นพูดต่อ “จำไว้นะว่าอย่าออกมา..พวกนี้มันไม่ใช่หมาป่า..พวกมันฉลาดและโหดร้ายมาก”

เย่เชียนถึงกับผงะไปด้วยความประหลาดใจและถามว่า “เอ้า..มันไม่ใช่หมาป่าหรอกเหรอ..แล้วมันคืออะไรล่ะ?”

“อ่าห๊ะ..ก็ขาหน้าของพวกมันน่ะค่อนข้างสั้นผิดปกติและพวกมันก็มีไหวพริบและความคิดมากเกินสัตว์เดรัจฉาน..อย่าไปหลงกลสัตว์เหล่านี้ล่ะ” เด็กคนนั้นพูด ฝูงสัตว์ที่ดูเหมือนหมาป่าแต่เด็กๆ กลับบอกว่ามันไม่ใช่ ซึ่งหมาป่าฝูงนี้ก็ดูเหมือนจะเข้าใจบทสนทนาระหว่างเย่เชียนกับเด็กคนนั้นเพราะพวกมันหันไปมองเย่เชียนและเด็กคนนั้นไปมาพร้อมกับรอยยิ้มที่น่าหวาดกลัวจนทำให้ตัวสั่นได้พวกมันนั้นเจ้าเล่ห์และปฏิกิริยาตอบสนองนั้นเหมือนมนุษย์มากเกินไป

หลังจากเด็กคนนั้นพูดจบเขาก็ชักคันธนูขึ้นมาอีกครั้งและง้างลูกธนูเอาไว้ ซึ่งการเคลื่อนไหวนั้นดูชำนาญมากและคันธนูขนาดใหญ่ถูกง้างออกไปอย่างน้อยๆ 80% ของทั้งหมด ซึ่งทำให้เย่เชียนถึงกับอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอย่างลับๆ เพราะมันต้องใช้พละกำลังอย่างมากเลยที่จะทำเช่นนั้น เด็กคนนี้เหมือนจะมีพรสวรรค์จริงๆ แต่ทว่าสัตว์ร้ายเหล่านั้นกลับรู้สึกได้ถึงอันตรายและพวกมันก็ค่อยๆ ถอยห่างกันออกไปเรื่อยๆ

“เอาไปกิน!” ลูกศรธนูในมือของเด็กคนนั้นก็พุ่งออกไปราวกับดาวตกเพราะมันหมุนและพุ่งไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำจนเจาะเข้าไปที่หัวของสัตว์ตัวหนึ่งทันที เห็นได้ชัดว่าสัตว์ตัวที่เหลืออีกสามตัวก็รู้สึกถึงการคุกคามของเด็กคนนี้และพวกมันก็เริ่มที่จะล่าถอยออกไป

“จะหนีเหรอไอ้พวกบ้า..มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก!” เด็กคนนั้นก็ง้างคันธนูพร้อมลูกศรอีกครั้งและปล่อยมันออกมาอย่างรวดเร็วและมันก็พุ่งทะลุไปที่หัวของสัตว์อีกตัวอย่างแม่นยำ

“ว้าวพี่ชายยอดเยี่ยมมาก..เย้..เย้..” เด็กอีกคนหนึ่งก็ตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้นและดูเหมือนจะมีความสุขและเผลอลืมตัวไปเพราะเขาไม่ได้จับต้นให้แน่นจึงทำให้เขาตกลงมาจากต้นไม้

“นายนี่มันเจ้าปัญหาจริงๆ!” เด็กคนก็นั้นพึมพำแต่ก็ไม่กล้าที่จะลังเลอีกต่อไปเขารีบง้างคันธนูและลูกธนูแล้วยิงออกไปที่สัตว์ตัวที่กำลังจะวิ่งเข้าไปหาเด็กอีกคนที่ตกจากต้นไม้

เย่เชียนเองก็ไม่มีเวลาให้มานั่งกังวลอีกต่อไปแล้วเขาจึงรีบกระโดดลงจากรถและรีบวิ่งออกไป และเมื่อเขาเข้าไปใกล้สัตว์ฝูงนั้นแล้วเขาก็กระโดดพุ่งไปพร้อมกับมีดโลหิตหมาป่าในมือและเจาะเข้าไปที่ลำคอของสัตว์ตัวนั้นอย่างรุนแรง ซึ่งในขณะเดียวกันลูกศรของเด็กคนนั้นก็พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วที่รวดเร็วและแทงทะลุเข้าไปที่หัวของสัตว์อีกตัวโดยตรง และเย่เชียนก็ดึงมีดโลหิตหมาป่าที่เจาะอยู่ที่คอของสัตว์ตัวนั้นออกมาและแทงมันเข้าไปที่สัตว์อีกตัวและสัตว์ทั้งหมดก็ล้มลงแน่นิ่งไปกับพื้น หลังจากนั้นพวกมันก็ดิ้นและส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาและไม่นานพวกมันก็สิ้นชีพไป

จากนั้นเย่เชียนก็รีบเดินเข้าไปหาเด็กที่ตกต้นไม้และถามว่า “เอ็งเป็นอะไรมากมั้ย”

เด็กคนนั้นก็ยิ้มกว้างๆ และพูดว่า “ไม่เป็นไร..”

ในขณะนี้เด็กคนที่มีคันธนูและลูกศรอยู่บนหลังของเขาก็เดินเข้ามาจ้องมองไปที่เด็กที่ตกต้นไม้และพูดว่า “ไอ้เสือ..นายมันไร้ประโยชน์จริงๆ ..นายตกต้นไม้เนี่ยนะ..นายรู้มั้ยว่ามันอันตรายแค่ไหนน่ะ? ..นายเกือบจะไปหาท่านยมบาลแล้ว”

เด็กคนที่ชื่อหูจื้อก็แสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า “เอาหน่าพี่..ผมขอโทษ”

เด็กคนที่มีคันธนูอยู่บนหลังก็จ้องไปที่หูจื้อและหันไปมองเย่เชียนและถามว่า “พี่ชายเป็นใครหรอ..พี่มาทำอะไรที่นี่กลางดึกกลางดื่นแบบนี้..มันอันตรายมากนะ..แต่ว่าเมื่อกี้นี้น่ะ..พี่ชายยอดเยี่ยมมากเลย”

“อ๋อ..ฉันจะไปหาญาติที่หมู่บ้านซูชูวน่ะ..ฉันชื่อเย่เชียน..แล้วเอ็งล่ะ..ทำไมพวกเอ็งถึงมาอยู่บนภูเขากลางดึกกลางดื่นแบบนี้” เย่เชียนยิ้มและพูด

.

.

.

.

.

.

.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดนักรบจอมราชัน 289 ท่ามกลางภูเขายามค่ำคืน

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 289 ท่ามกลางภูเขายามค่ำคืน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 289 ท่ามกลางภูเขายามค่ำคืน
เย่เชียนนั้นไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักวิกฤตหรือไม่รู้ว่าอะไรไหวอะไรไม่ไหวเพราะไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองสูงและเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แค่ไหนก็ตามถึงยังไงเขาก็เข้าใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ของเขา เพราะการปรากฏตัวของพี่ชายของหูวเค่อและที่หูวเค่อพูดกับเขาเช่นนั้นเย่เชียนก็ตระหนักดีว่าตอนนี้เขายังอ่อนแอเกินไป

เดิมทีเย่เชียนนั้นรอคอยที่จะนำเขี้ยวหมาป่าก้าวเข้าไปสู่เมืองหลวงอย่างปักกิ่งแต่ทว่าตอนนี้เขาก็ต้องปัดเป่าความคิดเช่นนี้ออกไปก่อนชั่วคราว เพราะถึงแม้ว่าจะมีสโมสรเจิดจรัสของหูวเค่อเป็นใบเบิกทางให้เย่เชียนสามารถเข้าใกล้กับบุคคลสำคัญในระดับต่างๆ ได้มากขึ้นก็ตาม แต่เย่เชียนก็เข้าใจดีว่าปักกิ่งนั้นเป็นสถานที่ที่เหล่ามังกรและเสือซ่อนอยู่เพราะฉะนั้นเย่เชียนจึงยังไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะย่างเท้าเข้าไป นั่นก็เพราะว่าถ้าหากไปทำให้เหล่ามังกรและเสือเหล่านั้นขุ่นเคืองโดยไม่ได้ตั้งใจล่ะก็ทั้งหมดอาจจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันเลวร้ายและแม้แต่เขี้ยวหมาป่าเองก็คงจะถูกทำลาย

ไม่กี่วันต่อมาเย่เชียนก็ขับรถออกจากเมืองเซี่ยงไฮ้ไปเพราะสถานการณ์ที่เซี่ยงไฮ้เริ่มคงที่แล้ว ดังนั้นเย่เชียนจึงตัดสินใจไปเยี่ยมผู้อาจารย์ของตนและบอกเขาเกี่ยวกับหมาป่าผีกับไป๋ฮวยผู้เป็นศิษย์ของเขา สำหรับเหว่ยตงเซียงนั้นเย่เชียนก็เชื่อว่าเหว่ยตงเซียงไม่สามารถสร้างคลื่นพายุใดๆ ได้อีกแล้วและยิ่งไปกว่านั้นยังมีแจ็คที่คอยดูแลจัดการและสังเกตการณ์อยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้อีกด้วย เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรใดๆ

หลินจินไท่อาจารย์ของเย่เชียนนนั้นเป็นปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้จีนโบราณแต่เขามักจะเรียกตัวเองว่าครูฝึกเสียมากกว่า ซึ่งเย่เชียนนั้นได้พบกับหลินจินไท่ในทวีปตะวันออกกลางและหลังจากสอนศิลปะการต่อสู้ให้เย่เชียนแล้วหลินจินไท่ก็กลับประเทศจีนไป อย่างไรก็ตามเขาได้บอกที่อยู่ในประเทศจีนของเขาให้แก่เย่เชียนเอาไว้ซึ่งเย่เชียนก็ไม่คาดคิดเลยว่าอาจารย์ของเขาจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลเช่นนี้ บางทีสิ่งที่อาจารย์ของเขาแสวงหาเรื่อยมานั้นอาจจะผสมผสานอยู่กับเหล่าธรรมชาติดังที่อาจารย์หลินจินไท่เคยพูดเอาไว้ว่าผู้ฝึกตนควรอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติให้มากที่สุด

เย่เชียนใช้เวลาขับรถจากเมืองเซี่ยงไฮ้ไปยังเมืองเซวียนเฉิงประมาณสามถึงสี่ชั่วโมง ซึ่งมันก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้วเมื่อเขามาถึงเซวียนเฉิงและเย่เชียนก็แวะทานมื้อเที่ยงหลังจากนั้นก็ขับรถต่อไปยังบ้านของหลินจินไท่ ซึ่งกว่าเย่เชียนจะไปถึงในตัวเมืองมันก็เป็นเวลาหกโมงเย็นเสียแล้ว

หลินจินไท่นั้นอาศัยอยู่ในพื้นที่บนภูเขาอันห่างไกลและถนนหนทางก็ขรุขระและเป็นหลุมทรุดโทรม ดังนั้นเย่เชียนจึงต้องชะลอความเร็วของรถเพราะมันก็ใกล้จะมืดค่ำแล้วซึ่งมีเพียงพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวบนท้องฟ้าที่ส่องแสงจันทร์จางๆ ลงมาบนเส้นทางของถนนเส้นนี้

อากาศและบรรยากาศบนภูเขาลูกนี้นั้นดีมากและตอนกลางคืนก็จะเงียบงันเป็นพิเศษ ซึ่งในบรรดาภูเขาสูงตระหง่านลูกนี้ก็มีถนนบนภูเขาเพียงเล็กน้อยและมันยังเป็นถนนลูกรังที่เกิดจากการเดินเท้ามาเป็นเวลานาน ตามทางนั้นมีต้นสนเขียวชอุ่มและวัชพืชอยู่ข้างๆ ทางตลอดเส้นทางและภูเขาเหล่านี้ก็เป็นภูเขาหินจึงทำให้ไม่มีพืชพันธุ์ใดที่สามารถงอกงามได้เลยซึ่งมันมีเพียงต้นสนเท่านั้นที่แข็งแกร่งพอที่จะสามารถอยู่รอดได้

แสงจันทร์ส่องแสงผ่านต้นสนที่สูงตระหง่านและเมื่อมันส่องลงบนพื้นแล้วมันก็เหลือเพียงแค่แสงจางๆ อันเลือนรางเพียงเท่านั้น จึงทำให้เย่เชียนขับรถด้วยความระมัดระวังอย่างมากเพราะหากรถของเขาเสียหายหรือพังลงที่นี่มันก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าสังเวชและน่าเศร้าอย่างยิ่ง แต่โชคดีที่เย่เชียนนั้นขับรถฮัมเมอร์ออฟโรดมาเพราะถ้าหากเป็นรถยนต์ธรรมดาๆ ล่ะก็เขาก็คงไปได้ไม่ถึงครึ่งกิโลเมตรเป็นแน่

มีต้นสนและต้นไผ่ที่สูงตระหง่านอยู่รอบๆ และมีพุ่มไม้และวัชพืชเติบโตอยู่รอบๆ “อ๋าววววู้ววว … “จู่ๆ เสียงหมาป่าก็เห่าหอนดังลั่นไปทั่วท้องฟ้าจนเย่เชียนถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะและเย่เชียนก็มองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นดวงตาสีฟ้าคู่หนึ่งส่องแสงประกายออกมาจากพุ่มไม้อย่างชัดเจนและหลังจากนั้นก็มีดวงตาอีกคู่หนึ่งและอีกคู่หนึ่งเต็มไปหมด ซึ่งเย่เชียนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปเพราะดูเหมือนว่าเขาจะเจอกับฝูงหมาป่าเข้าให้แล้ว

เนื่องจากความเร็วของรถนั้นไม่เร็วนักและเห็นได้ชัดเลยว่าพวกหมาป่าเหล่านี้นั้นอดอยากและหิวโหยมานานเพราะพวกมันกระโจมกระโดดขึ้นไปบนหลังคารถทีละตัวๆ พร้อมกับกรงเล็บที่แข็งแกร่งของพวกมันและข่วนกระจกรถส่วนปากของพวกมันก็มีน้ำลายไหลลงมาเต็มไปหมดและดวงตาของพวกมันก็เต็มไปด้วยความโหดร้าย จากนั้นเย่เชียนก็หยุดรถและกวาดสายตามองไปรอบๆ และพบว่าอย่างน้อยๆ ก็มีหมาป่าอยู่ห้าหรือหกตัวในฝูงนี้ แต่โชคดีที่เย่เชียนนั้นอยู่ในรถและพวกหมาป่าก็ทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ถึงยังไงถ้าหากไม่รีบทำอะไรสักอย่างมันก็จะเลวร้ายอย่างมากเพราะหมาป่าเหล่านี้ดุร้ายอย่างมากและเห็นได้ชัดว่าพวกมันกำลังข่วนกระจกรถและฉีกกระชากโครงรถของเขาอยู่

เย่เชียนก็ดึงมีดโลหิตหมาป่าออกมาจากเอวของเขาและถือมันเอาไว้ซึ่งทำให้หมาป่าที่อยู่ด้านหน้าของรถรู้สึกได้ถึงการคุกคามของเย่เชียนอย่างชัดเจนและมันก็คำรามใส่เย่เชียนพร้อมกับความกระหายเลือดที่ฉายอยู่ภายในดวงตาของพวกมันก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น

อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่ได้คิดที่จะเปิดประตูรถออกไปอย่างหุนหันพลันแล่นและลงไปสู้กันมันเพราะเย่เชียนนั้นเคยเผชิญหน้ากับหมาป่าเช่นนี้มาก่อนแต่ทว่าภูมิประเทศในครั้งนั้นมันกว้างขวางและอำนวยสิ่งต่างๆ กว่ามากจึงทำให้การเคลื่อนไหวของเขาก็สะดวกมากเช่นกันแต่ทว่าครั้งนี้มันเป็นพื้นที่ภูเขาและมีหญ้าขึ้นรกเต็มไปทั่วทุกพื้นที่ และแล้วตอนนี้เหล่าหมาป่าก็ได้ล้อมเย่เชียนเอาไว้แล้วที่ด้านนอกและถ้าหากเย่เชียนเปิดประตูออกไปล่ะก็พวกมันก็จะกรูกันเข้ามาอย่างแน่นอน และถึงแม้ว่าเย่เชียนจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตามแต่เขาก็ไม่สามารถรับมือกับการโจมตีของหมาป่าห้าหรือหกตัวพร้อมๆ กันได้

จู่ๆ เย่เชียนก็ได้ยินเสียงของบทสนทนากันอย่างเบาๆ ว่า “พี่ชาย..เราจะทำได้มั้ย” “ชู่ววว..เงียบๆ สิ..สัตว์พวกนี้จมูกและหูของพวกมันดีมาก” จากนั้นเสียงสนทนาลึกลับก็หายไป ซึ่งจากน้ำเสียงเหล่านี้นั้นดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังเด็กกันอยู่เลย

ปรากฏว่ามีเด็กๆ หลงเข้ามาในภูเขายามดึกดื่นมืดค่ำเช่นนี้ซึ่งพวกเขาก็น่าจะเป็นเด็กจากหมู่บ้านใกล้เคียงละแวกนี้ เมื่อคิดเช่นนี้เย่เชียนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะไม่ว่าจะยังไงเด็กทั้งสองคนนี้ก็ไม่ควรตายและเป็นอาหารในท้องของหมาป่าเหล่านี้

ขณะนี้จู่ๆ เย่เชียนก็เหลือบไปเห็นลูกธนูที่แหลมคมพุ่งเข้ามาหาเขาซึ่งความเร็วนั้นค่อนข้างน่าประหลาดใจเลยทีเดียว ลูกศรของธนูที่แหลมคมนี้พุ่งตัดผ่านลมและหมุนเป็นรูปเกลียวอย่างชัดเจนซึ่งมันเพิ่มความเร็วและความรุนแรงของลูกศรธนูอย่างมาก ซึ่งหมาป่าตัวที่อยู่บนกระจกหน้ารถดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงอันตรายที่อยู่ข้างหลังของมันและมันก็หันกลับมาแต่ทว่าในขณะนี้ลูกศรธนูก็ได้พุ่งมาเจาะเข้าที่หัวของหมาป่าตัวนั้นอย่างรุนแรงและปักทะลุเข้าไปในกะโหลกและเลือดก็กระเซ็นเต็มบนกระจกหน้ารถในทันที

หมาป่าตัวอื่นๆ ก็หันกลับไปทีละตัวและจ้องมองไปในทิศทางที่ลูกศรพุ่งออกมาและด้วยสัญชาตญาณของสัตว์ป่านั้นพวกมันก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นที่ไม่ใช่พวกของมันและพวกมันก็รับรู้ได้แล้วว่ามีใครบางคนอยู่ตรงนั้น

“เย้..ฆ่าไปแล้วหนึ่งตัว”

“เฮ้ย..ไม่ต้องพูด..ไอ้พวกหมาป่ามันรู้ว่าเราอยู่ที่นี่แล้ว..นายรีบปีนขึ้นไปบนต้นไม้เดี๋ยวนี้เลย..และจำเอาไว้ว่าอย่าลงมา”

มีเสียงของการสนทนาเกิดขึ้นอีกครั้งไม่ไกลจากที่นั่นและหลังจากนั้นเด็กคนหนึ่งก็แวบออกมาจากพุ่มไม้และวิ่งไปอย่างรวดเร็วเหมือนกวางป่าในภูเขาและหลังจากนั้นเด็กคนนั้นก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเด็กคนนั้นพาดคันธนูขนาดใหญ่เอาไว้ที่ไหล่ของเขาซึ่งมันยาวกว่าความสูงของเด็กคนนั้นอย่างมาก จึงทำให้เย่เชียนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเมื่อครู่นี้เด็กคนนี้ยิงธนูออกมาจริงๆ

เมื่อเห็นบางสิ่งพุ่งออกมาจากพุ่มไม้เหล่าหมาป่าทั้งฝูงก็รีบวิ่งไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว เย่เชียนก็ไม่คิดที่จะลังเลใดๆ อีกต่อไปมิเช่นนั้นเขากลัวว่าชีวิตของเด็กๆ จะต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน เมื่อคิดเช่นนั้นเขาก็รีบเปิดประตูรถและออกไป ซึ่งในตอนนี้เด็กคนที่มีคันธนูและลูกศรอยู่ที่หลังของเขาเห็นว่าเย่เชียนนั้นมีเจตนาที่ดีและกำลังจะทำอะไรเขาจึงรีบตะโกนออกมาว่า “พี่ชายอย่าออกมา! ..พวกมันจงใจหนีไปเพื่อล่อให้คุณออกมา”

เย่เชียนก็ถึงกับตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและมองออกไปด้วยความประหลาดใจเพราะว่าเหล่าหมาป่าฝูงนั้นดูเหมือนจะวิ่งเข้าไปหาเด็กๆ แต่ทว่าพวกมันกลับหยุดและหันกลับมาและวิ่งกระโจมกันเข้ามาด้วยความเร็วอย่างมากและแทบจะไม่มีเวลาขึ้นรถเลย เย่เชียนก็ประหลาดใจอย่างมากและสาปแช่งพวกมันลับๆ ว่าหมาป่าเจ้าเล่ห์

“แล้วเอ็งจะทำยังไง?” เย่เชียนถามอย่างเป็นห่วงขณะที่เขาลดกระจกรถลงเล็กน้อย

“ฉันไม่เป็นไร..สัตว์พวกนี้มันปีนต้นไม้ไม่ได้น่ะ..เดี๋ยวฉันจะหาทางเอง” เด็กคนนั้นพูดต่อ “จำไว้นะว่าอย่าออกมา..พวกนี้มันไม่ใช่หมาป่า..พวกมันฉลาดและโหดร้ายมาก”

เย่เชียนถึงกับผงะไปด้วยความประหลาดใจและถามว่า “เอ้า..มันไม่ใช่หมาป่าหรอกเหรอ..แล้วมันคืออะไรล่ะ?”

“อ่าห๊ะ..ก็ขาหน้าของพวกมันน่ะค่อนข้างสั้นผิดปกติและพวกมันก็มีไหวพริบและความคิดมากเกินสัตว์เดรัจฉาน..อย่าไปหลงกลสัตว์เหล่านี้ล่ะ” เด็กคนนั้นพูด ฝูงสัตว์ที่ดูเหมือนหมาป่าแต่เด็กๆ กลับบอกว่ามันไม่ใช่ ซึ่งหมาป่าฝูงนี้ก็ดูเหมือนจะเข้าใจบทสนทนาระหว่างเย่เชียนกับเด็กคนนั้นเพราะพวกมันหันไปมองเย่เชียนและเด็กคนนั้นไปมาพร้อมกับรอยยิ้มที่น่าหวาดกลัวจนทำให้ตัวสั่นได้พวกมันนั้นเจ้าเล่ห์และปฏิกิริยาตอบสนองนั้นเหมือนมนุษย์มากเกินไป

หลังจากเด็กคนนั้นพูดจบเขาก็ชักคันธนูขึ้นมาอีกครั้งและง้างลูกธนูเอาไว้ ซึ่งการเคลื่อนไหวนั้นดูชำนาญมากและคันธนูขนาดใหญ่ถูกง้างออกไปอย่างน้อยๆ 80% ของทั้งหมด ซึ่งทำให้เย่เชียนถึงกับอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอย่างลับๆ เพราะมันต้องใช้พละกำลังอย่างมากเลยที่จะทำเช่นนั้น เด็กคนนี้เหมือนจะมีพรสวรรค์จริงๆ แต่ทว่าสัตว์ร้ายเหล่านั้นกลับรู้สึกได้ถึงอันตรายและพวกมันก็ค่อยๆ ถอยห่างกันออกไปเรื่อยๆ

“เอาไปกิน!” ลูกศรธนูในมือของเด็กคนนั้นก็พุ่งออกไปราวกับดาวตกเพราะมันหมุนและพุ่งไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำจนเจาะเข้าไปที่หัวของสัตว์ตัวหนึ่งทันที เห็นได้ชัดว่าสัตว์ตัวที่เหลืออีกสามตัวก็รู้สึกถึงการคุกคามของเด็กคนนี้และพวกมันก็เริ่มที่จะล่าถอยออกไป

“จะหนีเหรอไอ้พวกบ้า..มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก!” เด็กคนนั้นก็ง้างคันธนูพร้อมลูกศรอีกครั้งและปล่อยมันออกมาอย่างรวดเร็วและมันก็พุ่งทะลุไปที่หัวของสัตว์อีกตัวอย่างแม่นยำ

“ว้าวพี่ชายยอดเยี่ยมมาก..เย้..เย้..” เด็กอีกคนหนึ่งก็ตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้นและดูเหมือนจะมีความสุขและเผลอลืมตัวไปเพราะเขาไม่ได้จับต้นให้แน่นจึงทำให้เขาตกลงมาจากต้นไม้

“นายนี่มันเจ้าปัญหาจริงๆ!” เด็กคนก็นั้นพึมพำแต่ก็ไม่กล้าที่จะลังเลอีกต่อไปเขารีบง้างคันธนูและลูกธนูแล้วยิงออกไปที่สัตว์ตัวที่กำลังจะวิ่งเข้าไปหาเด็กอีกคนที่ตกจากต้นไม้

เย่เชียนเองก็ไม่มีเวลาให้มานั่งกังวลอีกต่อไปแล้วเขาจึงรีบกระโดดลงจากรถและรีบวิ่งออกไป และเมื่อเขาเข้าไปใกล้สัตว์ฝูงนั้นแล้วเขาก็กระโดดพุ่งไปพร้อมกับมีดโลหิตหมาป่าในมือและเจาะเข้าไปที่ลำคอของสัตว์ตัวนั้นอย่างรุนแรง ซึ่งในขณะเดียวกันลูกศรของเด็กคนนั้นก็พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วที่รวดเร็วและแทงทะลุเข้าไปที่หัวของสัตว์อีกตัวโดยตรง และเย่เชียนก็ดึงมีดโลหิตหมาป่าที่เจาะอยู่ที่คอของสัตว์ตัวนั้นออกมาและแทงมันเข้าไปที่สัตว์อีกตัวและสัตว์ทั้งหมดก็ล้มลงแน่นิ่งไปกับพื้น หลังจากนั้นพวกมันก็ดิ้นและส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาและไม่นานพวกมันก็สิ้นชีพไป

จากนั้นเย่เชียนก็รีบเดินเข้าไปหาเด็กที่ตกต้นไม้และถามว่า “เอ็งเป็นอะไรมากมั้ย”

เด็กคนนั้นก็ยิ้มกว้างๆ และพูดว่า “ไม่เป็นไร..”

ในขณะนี้เด็กคนที่มีคันธนูและลูกศรอยู่บนหลังของเขาก็เดินเข้ามาจ้องมองไปที่เด็กที่ตกต้นไม้และพูดว่า “ไอ้เสือ..นายมันไร้ประโยชน์จริงๆ ..นายตกต้นไม้เนี่ยนะ..นายรู้มั้ยว่ามันอันตรายแค่ไหนน่ะ? ..นายเกือบจะไปหาท่านยมบาลแล้ว”

เด็กคนที่ชื่อหูจื้อก็แสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า “เอาหน่าพี่..ผมขอโทษ”

เด็กคนที่มีคันธนูอยู่บนหลังก็จ้องไปที่หูจื้อและหันไปมองเย่เชียนและถามว่า “พี่ชายเป็นใครหรอ..พี่มาทำอะไรที่นี่กลางดึกกลางดื่นแบบนี้..มันอันตรายมากนะ..แต่ว่าเมื่อกี้นี้น่ะ..พี่ชายยอดเยี่ยมมากเลย”

“อ๋อ..ฉันจะไปหาญาติที่หมู่บ้านซูชูวน่ะ..ฉันชื่อเย่เชียน..แล้วเอ็งล่ะ..ทำไมพวกเอ็งถึงมาอยู่บนภูเขากลางดึกกลางดื่นแบบนี้” เย่เชียนยิ้มและพูด

.

.

.

.

.

.

.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+