ยอดนักรบจอมราชัน 247 โดนโจมตี

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 247 โดนโจมตี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

การแข่งขันทุกครั้งก็ย่อมต้องมีทั้งผู้แพ้และผู้ชนะ แต่ทว่าไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่มีความจีรังยั่งยืน…

ในที่สุดการแข่งขันในตลาดหุ้นก็สิ้นสุดลง หุ้นห้างสรรพสินค้าของเย่เชียนที่ถูกซูเจี้ยนจุนและจู้ซานกว้านซื้อไปกว่า 80 เปอร์เซ็นต์นั้นมันกลับกลายเป็นหมดความหมาย เพราะหุ้นต่าง ๆ เหล่านั้นไม่ได้ทำให้ทั้งคู่มีความมั่งคั่งหรือมีความสุขมากขึ้นเลย แผนของซ่งหลันนั้นไม่ใช่การทุ่มเงินเพื่อไปกว้านซื้อหุ้นเหล่านั้นกลับมา แต่เธอและผู้ใต้บังคับบัญชาต่างก็ต้องวางแผนและทำงานกันอย่างหนักเพื่อเปิดโครงการห้างสรรพสินค้าใหม่ที่ทั้งใหญ่โตกว้างขวางและทำเลดีกว่า ทำให้ผู้ประกอบการตัดสินพากันย้ายจากที่ห้างเดิมไปยังห้างใหม่ จึงเป็นผลให้ซูเจี้ยนจุนและจู้ซานนั้นคงเหลือเอาไว้แต่ตัวอาคารห้างสรรพค้าเปล่า ๆ และวังเวง

กว่าที่ซูเจี้ยนจุนและจู้ซานจะได้ครอบครองถือหุ้นจำนวนกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ขนาดนี้ พวกเขาต้องไปกู้เงินจากธนาคารมาเป็นจำนวนมากมายมหาศาล แต่ทว่าตอนนี้ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ถึงคราวที่ต้องปิดตัวลงจากการโจมตีของซ่งหลัน พวกเขาก็ไม่มีปัญญาที่จะไปหาเงินจำนวนมากขนาดนั้นมาใช้หนี้ ยิ่งไปกว่านั้นโครงการอสังหาริมทรัพย์ของพวกเขาก็ยังคงอยู่ในขั้นวิกฤตและยังไม่สามารถขายได้ ไหนจากธุรกิจบันเทิงที่ถูกพวกของเย่เชียนเข้าโจมตีจนไม่มีบูกค้าเข้ามาใช้บริการอีกล่ะ ? ตอนนี้ซูเจี้ยนจุนและจู้ซานไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใครแล้ว เพราะขนาดผู้อำนวยการสำนักงานกรมตำรวจเทศบาลเมืองกลางอย่างเจียงเจิ้งยี่ก็ยังตกอยู่ในที่นั่งลำบากเลย

ส่วนทางด้านฝ่ายผู้ชนะอย่างเย่เชียนนั้นก็กำลังมีแต่ความสุขกันมาก เพราะตอนนี้เย่เชียนเป็นยักษ์ใหญ่เพียงคนเดียวในเมืองหนานจิง ซึ่งไม่มีใครกล้ามาท้าทาย ยั่วยุหรือล้ำเส้นของเขาเลย แม้กระทั่งอดีตยักษ์ใหญ่อย่างซูเจี้ยนจุนและจู้ซานนั้นก็ยังไม่มีความสามารถในการต่อสู้กับเย่เชียนได้อีกต่อไป สิ่งที่พวกเขาต้องการทำตอนนี้ที่สุดในตอนนี้มีเพียงอย่างเดียว คือหนีออกจากเย่เชียนให้เร็วที่สุด ยิ่งไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น เพราะด้วยเงินกู้ยืมหลายร้อยล้านที่เป็นหนี้กับทางธนาคาร มันก็ทำให้ประเทศจีนต้องใช้มาตรการระดับชาติเพื่อควบคุมยอดดุลของประเทศ และถ้าพวกเขาถูกจับล่ะก็ พวกเขาก็จะตั๋วเที่ยวเดียวไปนอนเล่นในคุกอย่างแน่นอน

เหล่าผู้บริหารภายใต้การควบคุมของเย่เชียนนั้น ทุกคนต่างก็กำลังมีความสุขและยินดีไปกับเขาเป็นอย่างมาก พวกเขาแอบดีใจกับโชคชะตาของตัวเองที่ไม่ทำให้พวกเขาหันไปหาซูเจี้ยนจุนและจู้ซานเหมือนกับกู๋หมิงเซียง เพราะไม่เช่นนั้นแล้วป่านนี้พวกเขาคงจะไม่เพียงแค่สูญเสียความรุ่งโรจน์ในปัจจุบันไป แต่พวกอาจจะต้องเสียชีวิตของตัวเองไปด้วย

หม่าชานเหอนั้นยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เฉินฟู่เฉิงได้พบกับผู้สืบทอดที่เหมาะสมและทรงพลังเช่นนี้ และแล้วในที่สุดหม่าชานเหอก็สามารถเกษียณตัวเองอย่างเป็นทางการอย่างสบายใจได้ซักที ซึ่งเขาก็ส่งมอบธุรกิจทั้งหมดที่เขาดูแลอยู่ให้แก่เย่เชียนด้วยความเต็มใจและยินดี

ความสำเร็จในครั้งนี้มันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากว่าเย่เชียนนั้นขาดใครซักคนไป ดังนั้นเขาจึงทำการตอบแทนให้แก่ผู้บริหารทุกคนในบริษัท โดยการเพิ่มเงินปันผลและให้เงินโบนัสก้อนโตโดยไม่มีเงื่อนไขคลุมเครือใด ๆ แอบแฝง ทำให้ผู้บริหารและผู้จัดการเหล่านั้นต่างก็มีความสุขกันอย่างยิ่ง ซึ่งการกระทำทั้งหมดของเย่เชียนในครั้งนี้นั้น มันแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่และการปฏิบัติกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างดีเยี่ยม เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาต่างก็คิดกันว่าพวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องครอบครองอะไรอีกแล้ว พวกเขาจึงพากันส่งมอบทรัพย์สินและธุรกิจทั้งหมดให้อยู่ภายใต้การดูแลของเย่เชียนทีละคน ๆ ด้วยความเต็มใจ เพราะไม่เพียงแค่เงินปันผลและสวัสดิการต่าง ๆ ที่มากมายกว่าเมื่อก่อนอย่างมากเท่านั้น แต่สิ่งที่น่ายินดีที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือพวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลอะไรอีกแล้วในอนาคต ถ้าสิ่งต่าง ๆ อยู่ภายใต้การกำกับและดูแลจากเย่เชียน

……

ทางด้านของซ่งหลันนั้นเธอเองก็ถูกนักข่าวจากหลายสำนักคอยติดตามเพื่อสัมภาษณ์เช่นกัน แต่อาจเป็นเพราะเป็นเป็นนักฆ่าเก่าก็เลยทำให้ไม่ค่อยมีใครตามตัวเธอจนเจอได้บ่อยนัก ซึ่งหากครั้งใดที่พวกนักข่าวโชคดีบังเอิญไปเจอเธอเข้า เธอก็จะพูดแค่ไม่กี่คำ จากนั้นก็จะรีบขอตัวขึ้นรถจากไป โดยมีอู๋หวนเฟิงคอยคุ้มกันเสมือนเป็นบอดี้การ์ดเหมือนอย่างเคย

ครั้งนี้ก็อีกเช่นกัน หลังจากที่ซ่งหลัยปลีกตัวออกมาจากพวกนักข่าวได้แล้ว เธอก็เข้ามานั่งอยู่ในรถและบิดขี้เกียจไปมาด้วยความเหนื่อยล้า ช่วงหลังมานี้เธอนั้นงานยุ่งขึ้นมากทั้งงานที่หนานจิงและงานของน่านฟ้ากรุ๊ปที่เธอก็ยังคงต้องคอยดูแลอยู่ ทว่าแม้ว่าเธอจะเหนื่อยล้าเพียงใด แต่เสน่ห์ของเธอนั้นกลับไปลดลงเลย

“หวนเฟิง! นายคอยตามดูเย่เชียนให้ฉันด้วยสิ ฉันว่าเดี๋ยวนี้เขาดูทำตัวแปลก ๆ ไป ไม่รู้ว่าไปติดหญิงใหม่ที่ไหนอีกรึเปล่า ?” ซ่งหลันพูดทีเล่นทีจริง

แต่มันก็ทำให้คนฟังอย่างอู๋หวนเฟิงถึงกัยผงะไปครู่หนึ่ง “เอ่อ… ผมไม่รู้หรอก”

“ก็เพราะว่านายไม่รู้ไงเล่า! ฉันถึงบอกให้นายไปคอยดูเอาไว้น่ะ นายนี่มันทำตัวอย่างกะไม้ตายซากเข้าไปทุกวันแล้วนะ ฉันล่ะไม่แปลกใจเล่ยว่าทำไมนายถึงยังโสดอยู่จนถึงทุกวันนี้! ฮิ ๆ ๆ นายอยากให้ฉันช่วยมั้ยล่ะ ? ที่บริษัทของเราน่ะมีสาว ๆ สวย ๆ เยอะแยะเลยนา…” ซ่งหลันพูดพลางหัวเราะชอบใจ

“ม่ะ… ไม่ต้อง!” อู๋หวนเฟิงปฏิเสธด้วยน้ำเสียงประหม่า

ถึงแม้ว่าอู๋หวนเฟิงนั้นจะอยู่กับซ่งหลันมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเคยชินกับมุกตลก ๆ แนวนั้นของเธอเลย ลึก ๆ แล้วในสายตาของเขา เขานั้นรู้สึกว่าผู้หญิงทุกคนมันก็เหมือน ๆ กันไปหมด ทำให้พวกเธอไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากเขาได้เลยแม้แต่น้อย

“โอ๊ย…! นี่นายเป็นเกย์รึเปล่าเนี่ย ?” ซ่งหลันถามพลางแสร้งทำเสียงเป็นห่วง

อู๋หวนเฟิงไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของซ่งหลันมากนัก เพราะถึงแม้ว่าเขานั้นจะยังไม่ชินกับคำพูดต่าง ๆ ของเธอ แต่ทว่าเวลาที่เขาอยู่กับเธอ เขานั้นสามารถทำตัวผ่อนคลายได้มากกว่าเวลาที่อยู่กับคนอื่น เพราะเวลาที่อยู่กับคนอื่นมันก็ช่วยไม่ได้เลยที่เขามักจะมีรังสีแห่งเจตนาฆ่าแผ่อยู่รอบ ๆ ตัวเสมอ

จู่ ๆ อู๋หวนเฟิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดขึ้นมาว่า “พี่หลันหลัน! มีคนตามเรามา!”

ซ่งหลันได้ยินก็เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองที่กระจกมองหลังแล้วพูดว่า “เหยียบคันเร่งให้เร็วกว่านี้ซิ เดี๋ยวผ่านตัวเมืองไปแล้วค่อยจัดการกับพวกเขา”

อู๋หวนเฟิงพยักหน้าและเร่งความเร็วรถในทันที อย่างไรก็ตามรถทั้งสี่คันที่อยู่ข้างหลังก็ยังคงตามมาอย่างกระชั้นชิดอยู่ดี ทำให้อู๋หวนเฟิงถึงกับขมวดคิ้วแน่น เพราะถ้าหากว่าซ่งหลันไม่อยู่ในรถกับเขาด้วยล่ะก็ เขาจะหยุดรถโดยไม่ลังเลและออกไปจัดการกับคนพวกนั้นให้จบ ๆ ไปซะตั้งแต่ตอนนี้เลย

ความเร็วของรถคันหลังก็เร่งตามเข้ามาใกล้จนเกือบจะตามทันอยู่แล้ว มีคนสองคนโผล่ออกมาจากหน้าต่างรถ โดยแต่ละคนถือ เอเคสี่เจ็ดไว้ในมืออย่างเกรี้ยวกราด

เมื่ออู๋หวนเฟิงเห็นดังนั้นก็ถึงกับผงะไป ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้ไม่ได้ตั้งใจจะมาสะกดรอยตามพวกเขาเท่านั้น แต่ทว่าพวกนั้นกลับต้องการที่จะมาเอาชีวิตพวกเขาเลยทีเดียว ซึ่งตอนนี้พวกเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคือใครกันแน่

ปัง! ปัง! ปัง!

จู่ ๆ คนที่ถือเอเคสี่เจ็ดจากรถคันหลังก็เริ่มยิงอย่างบ้าคลั่งโดยไม่ลังเลใด ๆ เสียงปืนดังไปทั่วท้องถนน กระสุนหลายนัดพุ่งเข้ามาที่ตัวรถทำให้รถเริ่มบุบไปตามรอยกระสุนและกระจกด้านหลังก็ถูกกระหน่ำยิงจนแตกกระจาย

“คนพวกนี้มันเป็นใคร !?” ซ่งหลันถามเสียงเย็น แววตาของเธอนั้นเผยเจตนาฆ่าที่ไม่ได้เผยมาเป็นเวลานานมาก

“ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันพี่! มันอาจจะเป็นคนของซูเจี้ยนจุน จู้ซาน หรือไม่ก็เจียงเจิ้งยี่คนใดคนหนึ่ง เพราะตอนนี้พวกเขาแทบจะไม่เหลืออะไรอีกแล้วก็เลยอาจจะโต้กลับด้วยวิธีของหมาจนตรอกแบบนี้!” อู๋หวนเฟิงเดา

“มันนานแค่ไหนแล้วนะที่ฉันไม่ได้ฆ่าใครซักคนเนี่ย ? มา…! เดี๋ยวฉันจะส่งพวกแกไปลงนรกเอง!” ซ่งหลันพูดขณะที่เธอดึงปืนพกไทป์ห้าสี่ออกมาจากช่องเก็บของหน้ารถ

ปัง!

ลูกกระสุนหนึ่งนัดถูกยิงออกมาจากปืนในมือของซ่งหลันหลังจากที่เธอบรรจุลูกกระสุนเสร็จ ลูกตะกั่วลูกนั้นพุ่งตรงเข้าไปเจาะร่างของชายคนที่ถือเอเคสี่เจ็ดอยู่เข้าอย่างแม่นยำ

ในฐานะอดีตนักฆ่าระดับพระกาฬขององค์กรดาร์คลิลลี่แล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ยิงปืนมาเป็นเวลานานก็ตาม แต่เธอก็ยังมีความเชี่ยวชาญในความแม่นปืนของเธออย่างมาก เพราะการปลิดชีพศัตรูด้วยความแม่นยำโดยใช้กระสุนเพียงแค่นัดเดียว ขณะที่ร่างกายเซไปเซมากับรถเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

กระสุนเพียงนัดเดียวของซ่งหลันนั้นทำให้กลุ่มคนที่ไล่ตามมาถึงกับตกใจกันไปชั่วขณะ แต่วินาทีถัดมาพวกเขาก็เริ่มสาดกระสุนกลับมาอีกครั้งด้วยความบ้าระห่ำที่มากขึ้นกว่าเดิม

รถทั้งห้าคันวิ่งอยู่บนถนนซอกแซกไปมาด้วยความเร็วยิ่งกว่าแสง! ไหนจะเสียงปืนที่ดังขึ้นรัว ๆ อีก ซึ่งแน่นอนว่ามันได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

ขณะเดียวกันอู๋หวนเฟิงก็ใช้ระบบคำสั่งเสียงในรถในการโทรออกหาเย่เชียนทันที “บอส! แย่แล้ว!!!”

อู๋หวนเฟิงยังไม่ทันที่จะพูดจบ เย่เชียนก็ขัดจังหวะเขาขึ้นมา เพราะเย่เชียนนั้นได้ยินเสียงปืนหลายนัดดังขึ้นผ่านทางสายโทรศัพท์ เขาจึงรู้ว่าพวกเขาต้องกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากอย่างแน่นอน เย่เชียนจึงรีบถามอย่างเร่งรีบว่า “ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน ?”

“เลียบถนนใหญ่ที่ออกจากบริษัทมาน่ะบอส… อีกฝ่ายมีคนไม่น้อยกว่าสิบคนและพวกมันก็ไม่เหมือนพวกนักเลงธรรมดา ๆ ด้วย ไอ้พวกนี้มันบ้าไปแล้วบอส มันยิ่งกระหน่ำไม่หยุดเลย” อู๋หวนเฟิงพูด

“เดี๋ยวฉันจะรีบไป!” เย่เชียนพูดจบก็วางสายโทรศัพท์ไปอย่างเร่งรีบและรีบออกไปในทันที เย่เชียนคิดไม่ออกเลยว่าใครจะกล้าไล่ล่าและตามฆ่าซ่งหลันกับอู๋หวนเฟิงอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ นี่มันเป็นการท้าทายอำนาจของเขาอย่างชัดเจน ซึ่งซูเจี้ยนจุนและจู้ซานก็ไม่น่าจะมีกำลังหรือเครือข่ายที่จะทำเช่นนี้ได้ แต่นอกเหนือจากพวกเขาแล้ว เย่เชียนก็ไม่สามารถนึกออกได้ว่าจะเป็นใครไปได้อีก

ซ่งหลันโผล่ออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งแล้วยิงปืนอีกนัดใส่ชายอีกคนอย่างแม่นยำ

อู๋หวนเฟิงพยายามขับรถให้เร็วขึ้นอีก เขาตั้งใจที่จะขับออกไปให้ไกลจากตัวเมืองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะในสถานการณ์เช่นนี้การไปในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมนัก ยิ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีอาวุธหนักเช่นนี้แล้ว ถึงแม้ว่าอู๋หวนเฟิงจะเป็นเขี้ยวหมาป่าและซ่งหลันซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นนักฆ่าระดับพระกาฬของดาร์คลิลลี่ก็ตาม ถึงยังไงพวกเขาก็ไม่สามารถมั่นใจได้ว่าจะจัดการศัตรูได้อย่างสมบูรณ์ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ได้หรือไม่

ในทันใดนั้นเองที่รถด้านหลังมีชายคนหนึ่งโผล่ออกจากหน้าต่างและถืออาร์พีจีเจ็ดออกมา ซึ่งซ่งหลันก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและรีบตะโกนขึ้นมาว่า “หวนเฟิง! รีบกระโดดออกจากรถเร็ว!”

สิ้นเสียงของซ่งหลัน ทั้งสองคนก็รีบเปิดประตูรถและกระโดดออกไปในทันที ทันใดนั้นรถก็ระเบิดจนเสียงดังลั่นไปทั่วพื้นที่และรถทั้งคันก็ปลิวหายไปในอากาศทันที

เนื่องจากรถคันนั้นถูกวิ่งมาด้วยความเร็วที่มากเกินไป มันจึงทำให้อู๋หวนเฟิงและซ่งหลันก็กลิ้งไปไกลมากเช่นกัน แต่ทั้งสองกลับไม่แสดงความเจ็บปวดกันออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย จากนั้นพวกเขาก็วิ่งกันเข้าไปในซอยด้านข้าง

ขณะนั้นเองที่รถที่ไล่ตามมาก็หยุดลงตรงนั้นเช่นกัน มีชายคนหนึ่งโผล่ออกมาจากหน้าต่างและกวาดสายตามองไปรอบ ๆ จากนั้นเขาก็สั่งให้รถทั้งสี่คันแยกย้ายกันไปตามหา ซึ่งสองคันขับไปในทิศทางของอู๋หวนเฟิง ส่วนอีกสองคันขับไปในทิศทางของซ่งหลัน

นอกเหนือจากมีดบินแล้วอู๋หวนเฟิงก็ไม่มีอาวุธอื่นใดติดตัวมาเลย เพื่อความปลอดภัยเขาจึงต้องซ่อนตัวเอาไว้ชั่วคราว เพราะตรอกที่เขาวิ่งเข้ามานั้นเป็นทางตัน อู๋หวนเฟิงจึงหมุนตัวกระโดดขึ้นไปบนกำแพงโดยใช้มือข้างเดียวอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นานรถทั้งสองคันก็มาจอดที่ปากซอย มีคนสามคนพร้อมอาวุธเดินลงมาจากรถ พวกเขาเดินกรูกันเข้าไปในซอยอย่างไม่ลังเล

ถ้าพิจารณาจากวิธีการค้นหาและสะกดรอยของพวกเขาเพียงอย่างเดียวแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าพวกนั้นไม่ใช่มาเฟียหรือนักเลงธรรมดา ๆ แต่เป็นทหารรับจ้างที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี เมื่ออู๋หวนเฟิงเห็นจังหวะที่เหมาะสม เขาก็ขว้างมีดบินในมือของเขาไปเจาะเข้าที่หัวใจของคน ๆ นั้นทันที ส่วนอีกสองคนที่อยู่ข้าง ๆ ก็รีบหันกลับมายิงอย่างดุเดือดไปในทิศทางของอู๋หวนเฟิง

อู๋หวนเฟิงกลิ้งหลบและกระโดดลงจากกำแพง แต่ขณะที่เขากำลังลอยตัวอยู่ในอากาศนั้น มีดบินอีกเล่มที่อยู่ในมือของเขาก็ถูกขว้างออกไปอีกครั้งและฆ่าชายอีกคนอย่างรวดเร็ว ทว่าตอนนี้อู๋หวนเฟิงนั้นกำลังรู้สึกกระวนกระวายมาก มันไม่ได้เป็นเพราะว่าเขากังวลเกี่ยวกับชีวิตหรือความตายของตัวเองแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเขาต้องการที่จะจัดการกับศัตรูฝห้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อที่จะไปสมทบกับซ่งหลัน

หลังจากที่เท้าทั้งสองข้างของอู๋หวนเฟิงแตะถึงพื้นแล้ว เขาก็กลิ้งอีกจังหวะหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการกราดยิงของศัตรู แต่เนื่องจากตรอกซอยนั้นแคบเกินไป ไหล่ของเขาจึงถูกกระสุนเจาะเข้าไปอย่าช่วยไม่ได้ ซึ่งความเจ็บปวดจากการถูกยิงนั้นก็ตุ้นเส้นประสาทของเขาอย่างมาก อู๋หวนเฟิงจึงกัดฟันอย่างแน่นและในขณะนั้นเองเขาก็ขว้างมีดบินไปอีกครั้ง

อู๋หวนเฟิงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อศัตรูคนสุดท้ายได้ตายไป แต่เขาก็ไม่มีเวลามากแล้ว เขาจึงฉีกผ้าออกมาพันแผลที่ไหล่ของตัวเองเอาไว้เบื้องต้นก่อน จากนั้นก็เดินไปข้าง ๆ ของศพศัตรูและเห็นปืนพกเหน็บอยู่ที่เอวของพวกเขา อู๋หวนเฟิงจึงหยิบมันออกมาและรีบวิ่งไปทางซ่งหลันในทันที

สถานการณ์ของซ่งหลันนั้นอันตรายและคับขันกว่าอู๋หวนเฟิงมาก เพราะเมื่อเธอกระโดดออกจากรถแล้ว เธอดันเผลอเกร็งแขนมากเกินไป ส่งผลทำให้มันเจ็บจนขยับแทบไม่ได้ อีกทั้งเธอเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองไปทำปืนพกเพียงกระบอกเดียวที่มีตกไว้ที่ไหน เธอจึงทำได้แค่หาที่ซ่อนตัว และเมื่อเธอเห็นคนทั้งสี่เดินเข้ามาใกล้เธออย่างช้า ๆ หัวใจของซ่งหลันก็เต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดนักรบจอมราชัน 247 โดนโจมตี

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 247 โดนโจมตี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

การแข่งขันทุกครั้งก็ย่อมต้องมีทั้งผู้แพ้และผู้ชนะ แต่ทว่าไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่มีความจีรังยั่งยืน…

ในที่สุดการแข่งขันในตลาดหุ้นก็สิ้นสุดลง หุ้นห้างสรรพสินค้าของเย่เชียนที่ถูกซูเจี้ยนจุนและจู้ซานกว้านซื้อไปกว่า 80 เปอร์เซ็นต์นั้นมันกลับกลายเป็นหมดความหมาย เพราะหุ้นต่าง ๆ เหล่านั้นไม่ได้ทำให้ทั้งคู่มีความมั่งคั่งหรือมีความสุขมากขึ้นเลย แผนของซ่งหลันนั้นไม่ใช่การทุ่มเงินเพื่อไปกว้านซื้อหุ้นเหล่านั้นกลับมา แต่เธอและผู้ใต้บังคับบัญชาต่างก็ต้องวางแผนและทำงานกันอย่างหนักเพื่อเปิดโครงการห้างสรรพสินค้าใหม่ที่ทั้งใหญ่โตกว้างขวางและทำเลดีกว่า ทำให้ผู้ประกอบการตัดสินพากันย้ายจากที่ห้างเดิมไปยังห้างใหม่ จึงเป็นผลให้ซูเจี้ยนจุนและจู้ซานนั้นคงเหลือเอาไว้แต่ตัวอาคารห้างสรรพค้าเปล่า ๆ และวังเวง

กว่าที่ซูเจี้ยนจุนและจู้ซานจะได้ครอบครองถือหุ้นจำนวนกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ขนาดนี้ พวกเขาต้องไปกู้เงินจากธนาคารมาเป็นจำนวนมากมายมหาศาล แต่ทว่าตอนนี้ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ถึงคราวที่ต้องปิดตัวลงจากการโจมตีของซ่งหลัน พวกเขาก็ไม่มีปัญญาที่จะไปหาเงินจำนวนมากขนาดนั้นมาใช้หนี้ ยิ่งไปกว่านั้นโครงการอสังหาริมทรัพย์ของพวกเขาก็ยังคงอยู่ในขั้นวิกฤตและยังไม่สามารถขายได้ ไหนจากธุรกิจบันเทิงที่ถูกพวกของเย่เชียนเข้าโจมตีจนไม่มีบูกค้าเข้ามาใช้บริการอีกล่ะ ? ตอนนี้ซูเจี้ยนจุนและจู้ซานไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใครแล้ว เพราะขนาดผู้อำนวยการสำนักงานกรมตำรวจเทศบาลเมืองกลางอย่างเจียงเจิ้งยี่ก็ยังตกอยู่ในที่นั่งลำบากเลย

ส่วนทางด้านฝ่ายผู้ชนะอย่างเย่เชียนนั้นก็กำลังมีแต่ความสุขกันมาก เพราะตอนนี้เย่เชียนเป็นยักษ์ใหญ่เพียงคนเดียวในเมืองหนานจิง ซึ่งไม่มีใครกล้ามาท้าทาย ยั่วยุหรือล้ำเส้นของเขาเลย แม้กระทั่งอดีตยักษ์ใหญ่อย่างซูเจี้ยนจุนและจู้ซานนั้นก็ยังไม่มีความสามารถในการต่อสู้กับเย่เชียนได้อีกต่อไป สิ่งที่พวกเขาต้องการทำตอนนี้ที่สุดในตอนนี้มีเพียงอย่างเดียว คือหนีออกจากเย่เชียนให้เร็วที่สุด ยิ่งไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น เพราะด้วยเงินกู้ยืมหลายร้อยล้านที่เป็นหนี้กับทางธนาคาร มันก็ทำให้ประเทศจีนต้องใช้มาตรการระดับชาติเพื่อควบคุมยอดดุลของประเทศ และถ้าพวกเขาถูกจับล่ะก็ พวกเขาก็จะตั๋วเที่ยวเดียวไปนอนเล่นในคุกอย่างแน่นอน

เหล่าผู้บริหารภายใต้การควบคุมของเย่เชียนนั้น ทุกคนต่างก็กำลังมีความสุขและยินดีไปกับเขาเป็นอย่างมาก พวกเขาแอบดีใจกับโชคชะตาของตัวเองที่ไม่ทำให้พวกเขาหันไปหาซูเจี้ยนจุนและจู้ซานเหมือนกับกู๋หมิงเซียง เพราะไม่เช่นนั้นแล้วป่านนี้พวกเขาคงจะไม่เพียงแค่สูญเสียความรุ่งโรจน์ในปัจจุบันไป แต่พวกอาจจะต้องเสียชีวิตของตัวเองไปด้วย

หม่าชานเหอนั้นยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เฉินฟู่เฉิงได้พบกับผู้สืบทอดที่เหมาะสมและทรงพลังเช่นนี้ และแล้วในที่สุดหม่าชานเหอก็สามารถเกษียณตัวเองอย่างเป็นทางการอย่างสบายใจได้ซักที ซึ่งเขาก็ส่งมอบธุรกิจทั้งหมดที่เขาดูแลอยู่ให้แก่เย่เชียนด้วยความเต็มใจและยินดี

ความสำเร็จในครั้งนี้มันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากว่าเย่เชียนนั้นขาดใครซักคนไป ดังนั้นเขาจึงทำการตอบแทนให้แก่ผู้บริหารทุกคนในบริษัท โดยการเพิ่มเงินปันผลและให้เงินโบนัสก้อนโตโดยไม่มีเงื่อนไขคลุมเครือใด ๆ แอบแฝง ทำให้ผู้บริหารและผู้จัดการเหล่านั้นต่างก็มีความสุขกันอย่างยิ่ง ซึ่งการกระทำทั้งหมดของเย่เชียนในครั้งนี้นั้น มันแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่และการปฏิบัติกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างดีเยี่ยม เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาต่างก็คิดกันว่าพวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องครอบครองอะไรอีกแล้ว พวกเขาจึงพากันส่งมอบทรัพย์สินและธุรกิจทั้งหมดให้อยู่ภายใต้การดูแลของเย่เชียนทีละคน ๆ ด้วยความเต็มใจ เพราะไม่เพียงแค่เงินปันผลและสวัสดิการต่าง ๆ ที่มากมายกว่าเมื่อก่อนอย่างมากเท่านั้น แต่สิ่งที่น่ายินดีที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือพวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลอะไรอีกแล้วในอนาคต ถ้าสิ่งต่าง ๆ อยู่ภายใต้การกำกับและดูแลจากเย่เชียน

……

ทางด้านของซ่งหลันนั้นเธอเองก็ถูกนักข่าวจากหลายสำนักคอยติดตามเพื่อสัมภาษณ์เช่นกัน แต่อาจเป็นเพราะเป็นเป็นนักฆ่าเก่าก็เลยทำให้ไม่ค่อยมีใครตามตัวเธอจนเจอได้บ่อยนัก ซึ่งหากครั้งใดที่พวกนักข่าวโชคดีบังเอิญไปเจอเธอเข้า เธอก็จะพูดแค่ไม่กี่คำ จากนั้นก็จะรีบขอตัวขึ้นรถจากไป โดยมีอู๋หวนเฟิงคอยคุ้มกันเสมือนเป็นบอดี้การ์ดเหมือนอย่างเคย

ครั้งนี้ก็อีกเช่นกัน หลังจากที่ซ่งหลัยปลีกตัวออกมาจากพวกนักข่าวได้แล้ว เธอก็เข้ามานั่งอยู่ในรถและบิดขี้เกียจไปมาด้วยความเหนื่อยล้า ช่วงหลังมานี้เธอนั้นงานยุ่งขึ้นมากทั้งงานที่หนานจิงและงานของน่านฟ้ากรุ๊ปที่เธอก็ยังคงต้องคอยดูแลอยู่ ทว่าแม้ว่าเธอจะเหนื่อยล้าเพียงใด แต่เสน่ห์ของเธอนั้นกลับไปลดลงเลย

“หวนเฟิง! นายคอยตามดูเย่เชียนให้ฉันด้วยสิ ฉันว่าเดี๋ยวนี้เขาดูทำตัวแปลก ๆ ไป ไม่รู้ว่าไปติดหญิงใหม่ที่ไหนอีกรึเปล่า ?” ซ่งหลันพูดทีเล่นทีจริง

แต่มันก็ทำให้คนฟังอย่างอู๋หวนเฟิงถึงกัยผงะไปครู่หนึ่ง “เอ่อ… ผมไม่รู้หรอก”

“ก็เพราะว่านายไม่รู้ไงเล่า! ฉันถึงบอกให้นายไปคอยดูเอาไว้น่ะ นายนี่มันทำตัวอย่างกะไม้ตายซากเข้าไปทุกวันแล้วนะ ฉันล่ะไม่แปลกใจเล่ยว่าทำไมนายถึงยังโสดอยู่จนถึงทุกวันนี้! ฮิ ๆ ๆ นายอยากให้ฉันช่วยมั้ยล่ะ ? ที่บริษัทของเราน่ะมีสาว ๆ สวย ๆ เยอะแยะเลยนา…” ซ่งหลันพูดพลางหัวเราะชอบใจ

“ม่ะ… ไม่ต้อง!” อู๋หวนเฟิงปฏิเสธด้วยน้ำเสียงประหม่า

ถึงแม้ว่าอู๋หวนเฟิงนั้นจะอยู่กับซ่งหลันมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเคยชินกับมุกตลก ๆ แนวนั้นของเธอเลย ลึก ๆ แล้วในสายตาของเขา เขานั้นรู้สึกว่าผู้หญิงทุกคนมันก็เหมือน ๆ กันไปหมด ทำให้พวกเธอไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากเขาได้เลยแม้แต่น้อย

“โอ๊ย…! นี่นายเป็นเกย์รึเปล่าเนี่ย ?” ซ่งหลันถามพลางแสร้งทำเสียงเป็นห่วง

อู๋หวนเฟิงไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของซ่งหลันมากนัก เพราะถึงแม้ว่าเขานั้นจะยังไม่ชินกับคำพูดต่าง ๆ ของเธอ แต่ทว่าเวลาที่เขาอยู่กับเธอ เขานั้นสามารถทำตัวผ่อนคลายได้มากกว่าเวลาที่อยู่กับคนอื่น เพราะเวลาที่อยู่กับคนอื่นมันก็ช่วยไม่ได้เลยที่เขามักจะมีรังสีแห่งเจตนาฆ่าแผ่อยู่รอบ ๆ ตัวเสมอ

จู่ ๆ อู๋หวนเฟิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดขึ้นมาว่า “พี่หลันหลัน! มีคนตามเรามา!”

ซ่งหลันได้ยินก็เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองที่กระจกมองหลังแล้วพูดว่า “เหยียบคันเร่งให้เร็วกว่านี้ซิ เดี๋ยวผ่านตัวเมืองไปแล้วค่อยจัดการกับพวกเขา”

อู๋หวนเฟิงพยักหน้าและเร่งความเร็วรถในทันที อย่างไรก็ตามรถทั้งสี่คันที่อยู่ข้างหลังก็ยังคงตามมาอย่างกระชั้นชิดอยู่ดี ทำให้อู๋หวนเฟิงถึงกับขมวดคิ้วแน่น เพราะถ้าหากว่าซ่งหลันไม่อยู่ในรถกับเขาด้วยล่ะก็ เขาจะหยุดรถโดยไม่ลังเลและออกไปจัดการกับคนพวกนั้นให้จบ ๆ ไปซะตั้งแต่ตอนนี้เลย

ความเร็วของรถคันหลังก็เร่งตามเข้ามาใกล้จนเกือบจะตามทันอยู่แล้ว มีคนสองคนโผล่ออกมาจากหน้าต่างรถ โดยแต่ละคนถือ เอเคสี่เจ็ดไว้ในมืออย่างเกรี้ยวกราด

เมื่ออู๋หวนเฟิงเห็นดังนั้นก็ถึงกับผงะไป ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้ไม่ได้ตั้งใจจะมาสะกดรอยตามพวกเขาเท่านั้น แต่ทว่าพวกนั้นกลับต้องการที่จะมาเอาชีวิตพวกเขาเลยทีเดียว ซึ่งตอนนี้พวกเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคือใครกันแน่

ปัง! ปัง! ปัง!

จู่ ๆ คนที่ถือเอเคสี่เจ็ดจากรถคันหลังก็เริ่มยิงอย่างบ้าคลั่งโดยไม่ลังเลใด ๆ เสียงปืนดังไปทั่วท้องถนน กระสุนหลายนัดพุ่งเข้ามาที่ตัวรถทำให้รถเริ่มบุบไปตามรอยกระสุนและกระจกด้านหลังก็ถูกกระหน่ำยิงจนแตกกระจาย

“คนพวกนี้มันเป็นใคร !?” ซ่งหลันถามเสียงเย็น แววตาของเธอนั้นเผยเจตนาฆ่าที่ไม่ได้เผยมาเป็นเวลานานมาก

“ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันพี่! มันอาจจะเป็นคนของซูเจี้ยนจุน จู้ซาน หรือไม่ก็เจียงเจิ้งยี่คนใดคนหนึ่ง เพราะตอนนี้พวกเขาแทบจะไม่เหลืออะไรอีกแล้วก็เลยอาจจะโต้กลับด้วยวิธีของหมาจนตรอกแบบนี้!” อู๋หวนเฟิงเดา

“มันนานแค่ไหนแล้วนะที่ฉันไม่ได้ฆ่าใครซักคนเนี่ย ? มา…! เดี๋ยวฉันจะส่งพวกแกไปลงนรกเอง!” ซ่งหลันพูดขณะที่เธอดึงปืนพกไทป์ห้าสี่ออกมาจากช่องเก็บของหน้ารถ

ปัง!

ลูกกระสุนหนึ่งนัดถูกยิงออกมาจากปืนในมือของซ่งหลันหลังจากที่เธอบรรจุลูกกระสุนเสร็จ ลูกตะกั่วลูกนั้นพุ่งตรงเข้าไปเจาะร่างของชายคนที่ถือเอเคสี่เจ็ดอยู่เข้าอย่างแม่นยำ

ในฐานะอดีตนักฆ่าระดับพระกาฬขององค์กรดาร์คลิลลี่แล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ยิงปืนมาเป็นเวลานานก็ตาม แต่เธอก็ยังมีความเชี่ยวชาญในความแม่นปืนของเธออย่างมาก เพราะการปลิดชีพศัตรูด้วยความแม่นยำโดยใช้กระสุนเพียงแค่นัดเดียว ขณะที่ร่างกายเซไปเซมากับรถเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

กระสุนเพียงนัดเดียวของซ่งหลันนั้นทำให้กลุ่มคนที่ไล่ตามมาถึงกับตกใจกันไปชั่วขณะ แต่วินาทีถัดมาพวกเขาก็เริ่มสาดกระสุนกลับมาอีกครั้งด้วยความบ้าระห่ำที่มากขึ้นกว่าเดิม

รถทั้งห้าคันวิ่งอยู่บนถนนซอกแซกไปมาด้วยความเร็วยิ่งกว่าแสง! ไหนจะเสียงปืนที่ดังขึ้นรัว ๆ อีก ซึ่งแน่นอนว่ามันได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

ขณะเดียวกันอู๋หวนเฟิงก็ใช้ระบบคำสั่งเสียงในรถในการโทรออกหาเย่เชียนทันที “บอส! แย่แล้ว!!!”

อู๋หวนเฟิงยังไม่ทันที่จะพูดจบ เย่เชียนก็ขัดจังหวะเขาขึ้นมา เพราะเย่เชียนนั้นได้ยินเสียงปืนหลายนัดดังขึ้นผ่านทางสายโทรศัพท์ เขาจึงรู้ว่าพวกเขาต้องกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากอย่างแน่นอน เย่เชียนจึงรีบถามอย่างเร่งรีบว่า “ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน ?”

“เลียบถนนใหญ่ที่ออกจากบริษัทมาน่ะบอส… อีกฝ่ายมีคนไม่น้อยกว่าสิบคนและพวกมันก็ไม่เหมือนพวกนักเลงธรรมดา ๆ ด้วย ไอ้พวกนี้มันบ้าไปแล้วบอส มันยิ่งกระหน่ำไม่หยุดเลย” อู๋หวนเฟิงพูด

“เดี๋ยวฉันจะรีบไป!” เย่เชียนพูดจบก็วางสายโทรศัพท์ไปอย่างเร่งรีบและรีบออกไปในทันที เย่เชียนคิดไม่ออกเลยว่าใครจะกล้าไล่ล่าและตามฆ่าซ่งหลันกับอู๋หวนเฟิงอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ นี่มันเป็นการท้าทายอำนาจของเขาอย่างชัดเจน ซึ่งซูเจี้ยนจุนและจู้ซานก็ไม่น่าจะมีกำลังหรือเครือข่ายที่จะทำเช่นนี้ได้ แต่นอกเหนือจากพวกเขาแล้ว เย่เชียนก็ไม่สามารถนึกออกได้ว่าจะเป็นใครไปได้อีก

ซ่งหลันโผล่ออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งแล้วยิงปืนอีกนัดใส่ชายอีกคนอย่างแม่นยำ

อู๋หวนเฟิงพยายามขับรถให้เร็วขึ้นอีก เขาตั้งใจที่จะขับออกไปให้ไกลจากตัวเมืองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะในสถานการณ์เช่นนี้การไปในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมนัก ยิ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีอาวุธหนักเช่นนี้แล้ว ถึงแม้ว่าอู๋หวนเฟิงจะเป็นเขี้ยวหมาป่าและซ่งหลันซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นนักฆ่าระดับพระกาฬของดาร์คลิลลี่ก็ตาม ถึงยังไงพวกเขาก็ไม่สามารถมั่นใจได้ว่าจะจัดการศัตรูได้อย่างสมบูรณ์ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ได้หรือไม่

ในทันใดนั้นเองที่รถด้านหลังมีชายคนหนึ่งโผล่ออกจากหน้าต่างและถืออาร์พีจีเจ็ดออกมา ซึ่งซ่งหลันก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและรีบตะโกนขึ้นมาว่า “หวนเฟิง! รีบกระโดดออกจากรถเร็ว!”

สิ้นเสียงของซ่งหลัน ทั้งสองคนก็รีบเปิดประตูรถและกระโดดออกไปในทันที ทันใดนั้นรถก็ระเบิดจนเสียงดังลั่นไปทั่วพื้นที่และรถทั้งคันก็ปลิวหายไปในอากาศทันที

เนื่องจากรถคันนั้นถูกวิ่งมาด้วยความเร็วที่มากเกินไป มันจึงทำให้อู๋หวนเฟิงและซ่งหลันก็กลิ้งไปไกลมากเช่นกัน แต่ทั้งสองกลับไม่แสดงความเจ็บปวดกันออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย จากนั้นพวกเขาก็วิ่งกันเข้าไปในซอยด้านข้าง

ขณะนั้นเองที่รถที่ไล่ตามมาก็หยุดลงตรงนั้นเช่นกัน มีชายคนหนึ่งโผล่ออกมาจากหน้าต่างและกวาดสายตามองไปรอบ ๆ จากนั้นเขาก็สั่งให้รถทั้งสี่คันแยกย้ายกันไปตามหา ซึ่งสองคันขับไปในทิศทางของอู๋หวนเฟิง ส่วนอีกสองคันขับไปในทิศทางของซ่งหลัน

นอกเหนือจากมีดบินแล้วอู๋หวนเฟิงก็ไม่มีอาวุธอื่นใดติดตัวมาเลย เพื่อความปลอดภัยเขาจึงต้องซ่อนตัวเอาไว้ชั่วคราว เพราะตรอกที่เขาวิ่งเข้ามานั้นเป็นทางตัน อู๋หวนเฟิงจึงหมุนตัวกระโดดขึ้นไปบนกำแพงโดยใช้มือข้างเดียวอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นานรถทั้งสองคันก็มาจอดที่ปากซอย มีคนสามคนพร้อมอาวุธเดินลงมาจากรถ พวกเขาเดินกรูกันเข้าไปในซอยอย่างไม่ลังเล

ถ้าพิจารณาจากวิธีการค้นหาและสะกดรอยของพวกเขาเพียงอย่างเดียวแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าพวกนั้นไม่ใช่มาเฟียหรือนักเลงธรรมดา ๆ แต่เป็นทหารรับจ้างที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี เมื่ออู๋หวนเฟิงเห็นจังหวะที่เหมาะสม เขาก็ขว้างมีดบินในมือของเขาไปเจาะเข้าที่หัวใจของคน ๆ นั้นทันที ส่วนอีกสองคนที่อยู่ข้าง ๆ ก็รีบหันกลับมายิงอย่างดุเดือดไปในทิศทางของอู๋หวนเฟิง

อู๋หวนเฟิงกลิ้งหลบและกระโดดลงจากกำแพง แต่ขณะที่เขากำลังลอยตัวอยู่ในอากาศนั้น มีดบินอีกเล่มที่อยู่ในมือของเขาก็ถูกขว้างออกไปอีกครั้งและฆ่าชายอีกคนอย่างรวดเร็ว ทว่าตอนนี้อู๋หวนเฟิงนั้นกำลังรู้สึกกระวนกระวายมาก มันไม่ได้เป็นเพราะว่าเขากังวลเกี่ยวกับชีวิตหรือความตายของตัวเองแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเขาต้องการที่จะจัดการกับศัตรูฝห้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อที่จะไปสมทบกับซ่งหลัน

หลังจากที่เท้าทั้งสองข้างของอู๋หวนเฟิงแตะถึงพื้นแล้ว เขาก็กลิ้งอีกจังหวะหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการกราดยิงของศัตรู แต่เนื่องจากตรอกซอยนั้นแคบเกินไป ไหล่ของเขาจึงถูกกระสุนเจาะเข้าไปอย่าช่วยไม่ได้ ซึ่งความเจ็บปวดจากการถูกยิงนั้นก็ตุ้นเส้นประสาทของเขาอย่างมาก อู๋หวนเฟิงจึงกัดฟันอย่างแน่นและในขณะนั้นเองเขาก็ขว้างมีดบินไปอีกครั้ง

อู๋หวนเฟิงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อศัตรูคนสุดท้ายได้ตายไป แต่เขาก็ไม่มีเวลามากแล้ว เขาจึงฉีกผ้าออกมาพันแผลที่ไหล่ของตัวเองเอาไว้เบื้องต้นก่อน จากนั้นก็เดินไปข้าง ๆ ของศพศัตรูและเห็นปืนพกเหน็บอยู่ที่เอวของพวกเขา อู๋หวนเฟิงจึงหยิบมันออกมาและรีบวิ่งไปทางซ่งหลันในทันที

สถานการณ์ของซ่งหลันนั้นอันตรายและคับขันกว่าอู๋หวนเฟิงมาก เพราะเมื่อเธอกระโดดออกจากรถแล้ว เธอดันเผลอเกร็งแขนมากเกินไป ส่งผลทำให้มันเจ็บจนขยับแทบไม่ได้ อีกทั้งเธอเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองไปทำปืนพกเพียงกระบอกเดียวที่มีตกไว้ที่ไหน เธอจึงทำได้แค่หาที่ซ่อนตัว และเมื่อเธอเห็นคนทั้งสี่เดินเข้ามาใกล้เธออย่างช้า ๆ หัวใจของซ่งหลันก็เต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+