ยอดนักรบจอมราชัน 169 พลซุ่มยิงในค่ำคืนที่มืดมิด

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 169 พลซุ่มยิงในค่ำคืนที่มืดมิด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“แล้วหลานชายเย่รู้จักกับหยูเอ๋อร์มานานแค่ไหนแล้ว ?” ทันใดนั้นฉินเทียนก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างกะทันหัน

เย่เชียนชะงักไปชั่วขณะ แต่จากนั้นก็ตอบฉินเทียนไปว่า “ตั้งแต่วันที่ผมได้รับความไว้วางใจจากพ่อของจ้าวหยาให้คอยปกป้องเธอ ผมก็เลยได้มีโอกาสพบกับฉินหยูที่มหาวิทยาลัยครับ”

“หยูเอ๋อร์น่ะมีบุคลิกและนิสัยคล้ายกับแม่ของเธอมากเลยล่ะ เธอค่อนข้างจะเย็นชากับสิ่งต่าง ๆ มาก หลานชายเย่อย่าไปถือโทษโกรธอะไรเธอเลยนะ” ฉินเทียนพูดอย่างคาดหวัง

“ไม่หรอกครับ ถึงภายนอกเธอจะดูเป็นแบบนั้นก็จริง แต่ภายในจิตใจของเธอนั้นมันอบอุ่นและอ่อนโยนเสมอ” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มจาง ๆ

“หึ ๆ ๆ ถ้าหลานชายเย่คิดแบบนั้นจริง ฉันก็ดีใจ” ฉินเทียนหัวเราะเบา ๆ

เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะไปกับฉินเทียนด้วย แต่เย่เชียนเองก็ยังไม่กล้าคิดหรือจินตนาการว่าฉินเทียนคนนี้อยากที่จะหมั้นลูกสาวของเขาให้กับตน เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังไม่มีอะไรดี ๆ ในสายตาของฉินเทียนเลย ดั่งคำพูดที่ว่า ‘ครอบครัวต้องกลมกลืนกันในแง่ของสถานะและฐานะทางสังคม’ ถึงจะเป็นคำที่ดูแบ่งแยกชนชั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าคนสมัยนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ซึ่งคนอย่างฉินเทียนก็ไม่สามารถลดตัวลงไปเทียบกับจ้าวเทียนห่าวได้เลย ถึงแม้ว่าจ้าวเทียนห่าวจะอยู่ในหงเหมินกรุ๊ปด้วยก็ตาม แต่เขาไม่ได้มีตำแหน่งสูงเท่าฉินเทียน อีกทั้งจ้าวเทียนห่าวนั้นไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วนเหมือนกับฉินเทียน นอกจากนี้บุคลิกของพวกเขาทั้งสองคนก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

“โอ้…! มันดึกมากแล้วฉันควรจะกลับได้แล้วสิเนี่ย” ฉินเทียนมองไปที่นาฬิกาข้อมือของเขาขณะที่เขายืนขึ้น

“ครับ… เดี๋ยวผมไปส่ง” เย่เฉียนก็ลุกขึ้นอย่างสุภาพเช่นกัน

เย่เชียนเดินไปเปิดประตูให้ฉินเทียนด้วยท่าทางที่สงบเสงี่ยมและสุภาพเรียบร้อย เขารอให้ฉินเทียนเดินนำไปก่อน ชายชุดดำสองคนที่มากับฉินเทียนนั้นยืนอยู่ด้านข้างประตูทั้งสองฝั่งด้วยความเคารพ และเมื่อพวกเขาเห็นฉินเทียนเดินออกมา พวกเขาก็รีบโค้งคำนับอย่างรวดเร็ว จากนั้นชายชุดดำคนหนึ่งก็รีบวิ่งไปที่รถ

“เซี่ยงไฮ้มันยังไม่สงบในตอนนี้… หลายชายเย่ช่วยปกป้องหยูเอ๋อร์ให้ฉันทีนะ” ฉินเทียนหันกลับมาพูดกับเย่เชียน คำพูดของเขานั้นฟังดูจริงใจและคาดหวังอย่างมาก ในตอนนี้เขาไม่ได้พูดในฐานะผู้นำของหงเหมินกรุ๊ปแต่อย่างใด แต่เป็นในฐานะพ่อของฉินหยู ซึ่งแน่นอนว่าน้ำเสียงนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

“ผมสัญญาครับ!” เย่เชียนพยักหน้ารับ

ทันใดนั้นหางตาของเย่เชียนก็เหลือบไปเห็นแสงสว่างกะพริบมาจากด้านบนของอาคารฝั่งตรงข้าม มันทำให้เขาถึงกับตกตะลึงไปเล็กน้อย จากสัญชาตญาณของเขาที่ได้รับการฝึกฝนมานานหลายปี เย่เชียนนั้นค่อนข้างมั่นใจมากว่าแสงกะพริบที่เขาเห็นนั้นมาจากการสะท้อนแสงและหักเหของเลนส์กล้องสโคปของปืนสไนเปอร์ไรเฟิล

“ระวัง!” ปฏิกิริยาและประสาทสัมผัสแรกของเย่เชียนคิดว่าพวกนั้นต้องการที่จะฆ่าฉินเทียนอย่างแน่นอน เขาตะโกนพร้อมพุ่งทะยานไปผลักฉินเทียนลงไปกับพื้นอย่างรวดเร็ว

ฉินเทียนไม่สามารถตอบสนองได้ท่ามกลางความสับสนอลหม่านและคับขันเช่นนี้ หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกระสุนปืนกระทบกับประตูบ้าน ทันใดนั้นเองฉินเทียนก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว เพราะถ้าหากเย่เชียนไม่ตอบสนองเร็วขนาดนี้ ป่านนี้เขาก็คงจะตายไปแล้ว

“นั่น! ที่ด้านบนสุดของอาคารหลังนั้น!” เย่เชียนดึงฉินเทียนไปหลบที่หลังรถและตะโกนบอกชายชุดดำสองคนนั้น

ในฐานะที่ฉินเทียนเป็นถึงผู้นำของหงเหมินกรุ๊ป ทำให้ความสงบสุขไม่ใช่สิ่งที่เขาจะมีได้มากนัก ฉินเทียนมองไปที่ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองคนของเขาแล้วพูดว่า “ไปดูซิ!”

“ได้ครับ!” ชายชุดดำทั้งสองคนตอบตกลง พวกเขาไม่ลืมที่จะหยิบโล่กันกระสุนจากในรถก่อนที่จะรีบวิ่งไปยังอาคารหลังดังกล่าว

เย่เชียนไม่ได้ไปกับพวกเขาด้วย ทว่าดวงตาของเขานั้นกำลังจ้องมองไปที่ด้านบนสุดของอาคารตามวิถีของกระสุนก่อนหน้านี้ เย่เชียนคิดว่าเป้าหมายที่แท้จริงนั้นไม่ใช่ฉินเทียน แต่เป็นตัวเขาเอง ใครกันที่อยากจะฆ่าเขา ?

ทันใดนั้นเองชื่อของกลุ่มทหารรับจ้างเหยี่ยวดำทมิฬก็ปรากฏขึ้นมาในความคิดของเย่เชียน ซึ่งพวกเหยี่ยวดำทมิฬถูกว่าจ้างโดยเหว่ยตงเซียนกรุ๊ป และเหว่ยตงเซียนกรุ๊ปกับอู่หยางเฉิงนั้นก็มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง การตายของอู่หยางเทียนหมิงคงเป็นสาเหตุให้คนอย่างอู่หยางเฉิงผู้เป็นพ่อไม่ยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ ดูเหมือนว่าการคาดเดาของเย่เชียนนั้นถูกต้อง และมันก็แย่เกินไปที่หลี่เหว่ยยี่ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย เพราะด้วยทักษะของหลี่เหว่ยยี่นั้น เขาสามารถไล่ล่าและจับกุมมือสังหารได้อย่างรวดเร็ว

แต่สำหรับเย่เชียนแล้วเขาไม่ได้มีแผนจะไล่ล่า เพราะถ้าอีกฝ่ายเป็นคนของเหยี่ยวดำทมิฬจริง ๆ เย่เชียนเชื่อว่าพวกเขาจะต้องมีเส้นทางหลบหนีที่กำหนดเอาไว้แล้ว ถึงเขาจะตัดสินใจตามไป มันก็จะไร้ประโยชน์อยู่ดี ซึ่งถ้าหากว่าพลซุ่มยิงคนนั้นไม่ได้มาจากกลุ่มเหยี่ยวดำทมิฬ เขาก็เชื่อว่าผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองของฉินเทียนจะสามารถจัดการเองได้

“ลุงฉิน! เป็นอะไรหรือเปล่า ?” เย่เชียนถาม

ฉินเทียนส่ายหัวและขมวดคิ้วแน่น เห็นได้ชัดว่าเขากำลังครุ่นคิดว่าใครที่กล้าส่งมือสังหารมาจัดการกับเขาเช่นนี้

ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเดาได้ว่าเป้าหมายของพลซุ่มยิงคนนั้นคือตัวเขาเอง แต่ถึงยังไงเขาก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่ต่อให้เย่เชียนจะรู้แน่ชัดว่าเขาเป็นเป้าหมายที่แท้จริง เขาก็คงจะเลือกที่จะปิดปากเงียบเช่นกัน ถ้าลองมองจากมุมมองที่ต่างกันออกไป การพยายามลอบสังหารในครั้งนี้อาจจะดูธรรมดาสำหรับเขา แต่เย่เชียนก็ไม่สามารถที่จะมั่นใจได้ขนาดนั้น เพราะถึงแม้ว่าเหยี่ยวดำทมิฬจะไม่ได้มีชื่อเสียงมากในโลกของทหารรับจ้าง แต่พวกเขาก็ไม่ใช่ศัตรูกระจอก ๆและถ้าเป้าหมายเป็นตัวของเขาเองจริง ๆ ล่ะก็ เขาก็จำเป็นที่จะต้องเตรียมตัว แม้กระทั่งคนรอบข้างของเขาเองก็ต้องคอยระวังตัวเอาไว้ด้วย เพราะอู่หยางเฉิงอาจจะส่งคนมาคุกคามและกำจัดคนรอบข้างของเย่เชียนด้วยอีกทางหนึ่ง โชคดีที่

ในตอนนี้ยังไม่ค่อยมีใครรู้ถึงความสัมพันธ์ของเย่เชียนกับพ่อและฮันเซ่ล ดังนั้นพวกเขาจึงน่าจะปลอดภัยดีอยู่ในขณะนี้ แต่ถึงยังไงมันก็ยังคงเป็นหายนะอยู่ดี ถ้าเย่เชียนไม่สามารถขุดรากถอนโคนกลุ่มเหยี่ยวดำทมิฬให้เร็วที่สุด

ในขณะนี้ทั้งฉินหยู จ้าวหยาและหูวเค่อต่างก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากด้านนอก พวกเธอจึงพากันลงมาที่ชั้นล่าง แต่เมื่อเย่เชียนเห็นพวกเธอทั้งสามคน เขาก็รีบพูดขึ้นอย่างร้อนรนว่า “กลับเข้าไปข้างใน! รีบกลับเข้าไปข้างในก่อน… เร็ว!”

น้ำเสียงของเย่เชียนรุนแรงมากและฟังดูเหมือนเป็นคำสั่งที่เด็ดขาด มันทำให้หญิงสาวทั้งสามรู้สึกได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ในตอนนี้ พวกเธอจึงรีบวิ่งกลับเข้าไปในบ้านด้วยความตกใจ

ไม่นานนักผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนของฉินเทียนก็กลับมา พวกเขาทั้งคู่ส่ายหัวพร้อมกับพูดว่า “ท่านประธานฉินครับ… เขาหนีไปได้”

ฉินเทียนไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ เป็นการตอบรับ แต่เมื่อเขานึกอะไรขึ้นมาได้ เขาก็รีบลุกขึ้นยืนและมองไปที่ผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนของเขาพร้อมกับสั่งอย่างดุดันว่า “โทรหาจางเซียง! บอกให้เขามาที่นี่ด่วน!”

“ได้ครับ!” ทั้งสองตอบกลับและรีบดึงโทรศัพท์ออกมากดโทรออกทันที

เย่เชียนลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ประตูบ้าน จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปแตะกระสุนที่ประตู “มันเป็นกระสุน .50 บีเอ็มจีจากปืนสไนเปอร์ไรเฟิลเอ็มเก้าสิบห้า”

ฉินเทียนอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เย่เชียนด้วยสีหน้าประหลาดใจอย่างมาก “ดูเหมือนหลานชายเย่จะคุ้นเคยกับอาวุธปืนดีมากเลยนะนี่”

เย่เชียนยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “นิดหน่อยครับ”

“เย่เชียน! นายเป็นอะไรรึเปล่า ?” ฉินหยูรีบมาดึงแขนเย่เชียนอย่างกังวลและถามอย่างเป็นห่วง

เย่เชียนนิ่งไปด้วยความตกใจ ส่วนฉินเทียนนั้นถอนหายใจออกมาขณะที่เขายืนดูสองคนนั้น จากนั้นก็พึมพำว่า “เด็กน้อยของพ่อโตแล้วสินะ… คงถึงเวลาแต่งงานแล้วสิ”

ฉินหยูท่าทางเปลี่ยนไปและใบหน้าของเธอก็เริ่มแดงจนผิดปกติ เธอเพิ่งจะตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกตื่นเต้นและเป็นห่วงจนออกนอกหน้ามากเกินไป เธอจึงรีบปล่อยแขนเย่เชียนแล้วหันหน้าไปถามว่า “แล้วคุณพ่อบาดเจ็บมั้ยคะ ?”

ฉินเทียนหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “หึ ๆ ๆ พ่อไม่เป็นไร พ่อโชคดีมากที่เย่เชียนอยู่ใกล้ ๆ ไม่งั้นตอนนี้พ่อคงจะต้องไปรายงานตัวกับยมบาลที่หน้าประตูนรกแล้ว”

“พ่อ! อย่าพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้สิคะ” ฉินหยูถามต่อ “ใครกันนะที่กล้าทำแบบนี้ ?”

ฉินเทียนขมวดคิ้วและพูดว่า “ถ้าไม่ใช่แก๊งชิงจากชิงกรุ๊ปก็ต้องเป็นเหว่ยตงเซียน… ไอ้ตาเฒ่านั่น! ไม่ต้องกังวลไปถึงที่นี่จะไม่ใช่เขตของหงเหมินก็ตาม แต่มันก็ไม่ยากหรอกที่จะหาตัวของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง หยูเอ๋อร์! ลูกควรระมัดระวังตัวให้มากขึ้นนะ พวกหนูด้วยหยาเอ๋อร์ เค่อเอ๋อร์ ทุกคนเลยเข้าใจมั้ย!”

“เข้าใจค่ะ!” ทั้งสามสาวพยักหน้าและตอบ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดนักรบจอมราชัน 169 พลซุ่มยิงในค่ำคืนที่มืดมิด

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 169 พลซุ่มยิงในค่ำคืนที่มืดมิด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“แล้วหลานชายเย่รู้จักกับหยูเอ๋อร์มานานแค่ไหนแล้ว ?” ทันใดนั้นฉินเทียนก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างกะทันหัน

เย่เชียนชะงักไปชั่วขณะ แต่จากนั้นก็ตอบฉินเทียนไปว่า “ตั้งแต่วันที่ผมได้รับความไว้วางใจจากพ่อของจ้าวหยาให้คอยปกป้องเธอ ผมก็เลยได้มีโอกาสพบกับฉินหยูที่มหาวิทยาลัยครับ”

“หยูเอ๋อร์น่ะมีบุคลิกและนิสัยคล้ายกับแม่ของเธอมากเลยล่ะ เธอค่อนข้างจะเย็นชากับสิ่งต่าง ๆ มาก หลานชายเย่อย่าไปถือโทษโกรธอะไรเธอเลยนะ” ฉินเทียนพูดอย่างคาดหวัง

“ไม่หรอกครับ ถึงภายนอกเธอจะดูเป็นแบบนั้นก็จริง แต่ภายในจิตใจของเธอนั้นมันอบอุ่นและอ่อนโยนเสมอ” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มจาง ๆ

“หึ ๆ ๆ ถ้าหลานชายเย่คิดแบบนั้นจริง ฉันก็ดีใจ” ฉินเทียนหัวเราะเบา ๆ

เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะไปกับฉินเทียนด้วย แต่เย่เชียนเองก็ยังไม่กล้าคิดหรือจินตนาการว่าฉินเทียนคนนี้อยากที่จะหมั้นลูกสาวของเขาให้กับตน เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังไม่มีอะไรดี ๆ ในสายตาของฉินเทียนเลย ดั่งคำพูดที่ว่า ‘ครอบครัวต้องกลมกลืนกันในแง่ของสถานะและฐานะทางสังคม’ ถึงจะเป็นคำที่ดูแบ่งแยกชนชั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าคนสมัยนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ซึ่งคนอย่างฉินเทียนก็ไม่สามารถลดตัวลงไปเทียบกับจ้าวเทียนห่าวได้เลย ถึงแม้ว่าจ้าวเทียนห่าวจะอยู่ในหงเหมินกรุ๊ปด้วยก็ตาม แต่เขาไม่ได้มีตำแหน่งสูงเท่าฉินเทียน อีกทั้งจ้าวเทียนห่าวนั้นไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วนเหมือนกับฉินเทียน นอกจากนี้บุคลิกของพวกเขาทั้งสองคนก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

“โอ้…! มันดึกมากแล้วฉันควรจะกลับได้แล้วสิเนี่ย” ฉินเทียนมองไปที่นาฬิกาข้อมือของเขาขณะที่เขายืนขึ้น

“ครับ… เดี๋ยวผมไปส่ง” เย่เฉียนก็ลุกขึ้นอย่างสุภาพเช่นกัน

เย่เชียนเดินไปเปิดประตูให้ฉินเทียนด้วยท่าทางที่สงบเสงี่ยมและสุภาพเรียบร้อย เขารอให้ฉินเทียนเดินนำไปก่อน ชายชุดดำสองคนที่มากับฉินเทียนนั้นยืนอยู่ด้านข้างประตูทั้งสองฝั่งด้วยความเคารพ และเมื่อพวกเขาเห็นฉินเทียนเดินออกมา พวกเขาก็รีบโค้งคำนับอย่างรวดเร็ว จากนั้นชายชุดดำคนหนึ่งก็รีบวิ่งไปที่รถ

“เซี่ยงไฮ้มันยังไม่สงบในตอนนี้… หลายชายเย่ช่วยปกป้องหยูเอ๋อร์ให้ฉันทีนะ” ฉินเทียนหันกลับมาพูดกับเย่เชียน คำพูดของเขานั้นฟังดูจริงใจและคาดหวังอย่างมาก ในตอนนี้เขาไม่ได้พูดในฐานะผู้นำของหงเหมินกรุ๊ปแต่อย่างใด แต่เป็นในฐานะพ่อของฉินหยู ซึ่งแน่นอนว่าน้ำเสียงนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

“ผมสัญญาครับ!” เย่เชียนพยักหน้ารับ

ทันใดนั้นหางตาของเย่เชียนก็เหลือบไปเห็นแสงสว่างกะพริบมาจากด้านบนของอาคารฝั่งตรงข้าม มันทำให้เขาถึงกับตกตะลึงไปเล็กน้อย จากสัญชาตญาณของเขาที่ได้รับการฝึกฝนมานานหลายปี เย่เชียนนั้นค่อนข้างมั่นใจมากว่าแสงกะพริบที่เขาเห็นนั้นมาจากการสะท้อนแสงและหักเหของเลนส์กล้องสโคปของปืนสไนเปอร์ไรเฟิล

“ระวัง!” ปฏิกิริยาและประสาทสัมผัสแรกของเย่เชียนคิดว่าพวกนั้นต้องการที่จะฆ่าฉินเทียนอย่างแน่นอน เขาตะโกนพร้อมพุ่งทะยานไปผลักฉินเทียนลงไปกับพื้นอย่างรวดเร็ว

ฉินเทียนไม่สามารถตอบสนองได้ท่ามกลางความสับสนอลหม่านและคับขันเช่นนี้ หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกระสุนปืนกระทบกับประตูบ้าน ทันใดนั้นเองฉินเทียนก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว เพราะถ้าหากเย่เชียนไม่ตอบสนองเร็วขนาดนี้ ป่านนี้เขาก็คงจะตายไปแล้ว

“นั่น! ที่ด้านบนสุดของอาคารหลังนั้น!” เย่เชียนดึงฉินเทียนไปหลบที่หลังรถและตะโกนบอกชายชุดดำสองคนนั้น

ในฐานะที่ฉินเทียนเป็นถึงผู้นำของหงเหมินกรุ๊ป ทำให้ความสงบสุขไม่ใช่สิ่งที่เขาจะมีได้มากนัก ฉินเทียนมองไปที่ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองคนของเขาแล้วพูดว่า “ไปดูซิ!”

“ได้ครับ!” ชายชุดดำทั้งสองคนตอบตกลง พวกเขาไม่ลืมที่จะหยิบโล่กันกระสุนจากในรถก่อนที่จะรีบวิ่งไปยังอาคารหลังดังกล่าว

เย่เชียนไม่ได้ไปกับพวกเขาด้วย ทว่าดวงตาของเขานั้นกำลังจ้องมองไปที่ด้านบนสุดของอาคารตามวิถีของกระสุนก่อนหน้านี้ เย่เชียนคิดว่าเป้าหมายที่แท้จริงนั้นไม่ใช่ฉินเทียน แต่เป็นตัวเขาเอง ใครกันที่อยากจะฆ่าเขา ?

ทันใดนั้นเองชื่อของกลุ่มทหารรับจ้างเหยี่ยวดำทมิฬก็ปรากฏขึ้นมาในความคิดของเย่เชียน ซึ่งพวกเหยี่ยวดำทมิฬถูกว่าจ้างโดยเหว่ยตงเซียนกรุ๊ป และเหว่ยตงเซียนกรุ๊ปกับอู่หยางเฉิงนั้นก็มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง การตายของอู่หยางเทียนหมิงคงเป็นสาเหตุให้คนอย่างอู่หยางเฉิงผู้เป็นพ่อไม่ยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ ดูเหมือนว่าการคาดเดาของเย่เชียนนั้นถูกต้อง และมันก็แย่เกินไปที่หลี่เหว่ยยี่ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย เพราะด้วยทักษะของหลี่เหว่ยยี่นั้น เขาสามารถไล่ล่าและจับกุมมือสังหารได้อย่างรวดเร็ว

แต่สำหรับเย่เชียนแล้วเขาไม่ได้มีแผนจะไล่ล่า เพราะถ้าอีกฝ่ายเป็นคนของเหยี่ยวดำทมิฬจริง ๆ เย่เชียนเชื่อว่าพวกเขาจะต้องมีเส้นทางหลบหนีที่กำหนดเอาไว้แล้ว ถึงเขาจะตัดสินใจตามไป มันก็จะไร้ประโยชน์อยู่ดี ซึ่งถ้าหากว่าพลซุ่มยิงคนนั้นไม่ได้มาจากกลุ่มเหยี่ยวดำทมิฬ เขาก็เชื่อว่าผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองของฉินเทียนจะสามารถจัดการเองได้

“ลุงฉิน! เป็นอะไรหรือเปล่า ?” เย่เชียนถาม

ฉินเทียนส่ายหัวและขมวดคิ้วแน่น เห็นได้ชัดว่าเขากำลังครุ่นคิดว่าใครที่กล้าส่งมือสังหารมาจัดการกับเขาเช่นนี้

ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเดาได้ว่าเป้าหมายของพลซุ่มยิงคนนั้นคือตัวเขาเอง แต่ถึงยังไงเขาก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่ต่อให้เย่เชียนจะรู้แน่ชัดว่าเขาเป็นเป้าหมายที่แท้จริง เขาก็คงจะเลือกที่จะปิดปากเงียบเช่นกัน ถ้าลองมองจากมุมมองที่ต่างกันออกไป การพยายามลอบสังหารในครั้งนี้อาจจะดูธรรมดาสำหรับเขา แต่เย่เชียนก็ไม่สามารถที่จะมั่นใจได้ขนาดนั้น เพราะถึงแม้ว่าเหยี่ยวดำทมิฬจะไม่ได้มีชื่อเสียงมากในโลกของทหารรับจ้าง แต่พวกเขาก็ไม่ใช่ศัตรูกระจอก ๆและถ้าเป้าหมายเป็นตัวของเขาเองจริง ๆ ล่ะก็ เขาก็จำเป็นที่จะต้องเตรียมตัว แม้กระทั่งคนรอบข้างของเขาเองก็ต้องคอยระวังตัวเอาไว้ด้วย เพราะอู่หยางเฉิงอาจจะส่งคนมาคุกคามและกำจัดคนรอบข้างของเย่เชียนด้วยอีกทางหนึ่ง โชคดีที่

ในตอนนี้ยังไม่ค่อยมีใครรู้ถึงความสัมพันธ์ของเย่เชียนกับพ่อและฮันเซ่ล ดังนั้นพวกเขาจึงน่าจะปลอดภัยดีอยู่ในขณะนี้ แต่ถึงยังไงมันก็ยังคงเป็นหายนะอยู่ดี ถ้าเย่เชียนไม่สามารถขุดรากถอนโคนกลุ่มเหยี่ยวดำทมิฬให้เร็วที่สุด

ในขณะนี้ทั้งฉินหยู จ้าวหยาและหูวเค่อต่างก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากด้านนอก พวกเธอจึงพากันลงมาที่ชั้นล่าง แต่เมื่อเย่เชียนเห็นพวกเธอทั้งสามคน เขาก็รีบพูดขึ้นอย่างร้อนรนว่า “กลับเข้าไปข้างใน! รีบกลับเข้าไปข้างในก่อน… เร็ว!”

น้ำเสียงของเย่เชียนรุนแรงมากและฟังดูเหมือนเป็นคำสั่งที่เด็ดขาด มันทำให้หญิงสาวทั้งสามรู้สึกได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ในตอนนี้ พวกเธอจึงรีบวิ่งกลับเข้าไปในบ้านด้วยความตกใจ

ไม่นานนักผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนของฉินเทียนก็กลับมา พวกเขาทั้งคู่ส่ายหัวพร้อมกับพูดว่า “ท่านประธานฉินครับ… เขาหนีไปได้”

ฉินเทียนไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ เป็นการตอบรับ แต่เมื่อเขานึกอะไรขึ้นมาได้ เขาก็รีบลุกขึ้นยืนและมองไปที่ผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนของเขาพร้อมกับสั่งอย่างดุดันว่า “โทรหาจางเซียง! บอกให้เขามาที่นี่ด่วน!”

“ได้ครับ!” ทั้งสองตอบกลับและรีบดึงโทรศัพท์ออกมากดโทรออกทันที

เย่เชียนลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ประตูบ้าน จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปแตะกระสุนที่ประตู “มันเป็นกระสุน .50 บีเอ็มจีจากปืนสไนเปอร์ไรเฟิลเอ็มเก้าสิบห้า”

ฉินเทียนอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เย่เชียนด้วยสีหน้าประหลาดใจอย่างมาก “ดูเหมือนหลานชายเย่จะคุ้นเคยกับอาวุธปืนดีมากเลยนะนี่”

เย่เชียนยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “นิดหน่อยครับ”

“เย่เชียน! นายเป็นอะไรรึเปล่า ?” ฉินหยูรีบมาดึงแขนเย่เชียนอย่างกังวลและถามอย่างเป็นห่วง

เย่เชียนนิ่งไปด้วยความตกใจ ส่วนฉินเทียนนั้นถอนหายใจออกมาขณะที่เขายืนดูสองคนนั้น จากนั้นก็พึมพำว่า “เด็กน้อยของพ่อโตแล้วสินะ… คงถึงเวลาแต่งงานแล้วสิ”

ฉินหยูท่าทางเปลี่ยนไปและใบหน้าของเธอก็เริ่มแดงจนผิดปกติ เธอเพิ่งจะตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกตื่นเต้นและเป็นห่วงจนออกนอกหน้ามากเกินไป เธอจึงรีบปล่อยแขนเย่เชียนแล้วหันหน้าไปถามว่า “แล้วคุณพ่อบาดเจ็บมั้ยคะ ?”

ฉินเทียนหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “หึ ๆ ๆ พ่อไม่เป็นไร พ่อโชคดีมากที่เย่เชียนอยู่ใกล้ ๆ ไม่งั้นตอนนี้พ่อคงจะต้องไปรายงานตัวกับยมบาลที่หน้าประตูนรกแล้ว”

“พ่อ! อย่าพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้สิคะ” ฉินหยูถามต่อ “ใครกันนะที่กล้าทำแบบนี้ ?”

ฉินเทียนขมวดคิ้วและพูดว่า “ถ้าไม่ใช่แก๊งชิงจากชิงกรุ๊ปก็ต้องเป็นเหว่ยตงเซียน… ไอ้ตาเฒ่านั่น! ไม่ต้องกังวลไปถึงที่นี่จะไม่ใช่เขตของหงเหมินก็ตาม แต่มันก็ไม่ยากหรอกที่จะหาตัวของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง หยูเอ๋อร์! ลูกควรระมัดระวังตัวให้มากขึ้นนะ พวกหนูด้วยหยาเอ๋อร์ เค่อเอ๋อร์ ทุกคนเลยเข้าใจมั้ย!”

“เข้าใจค่ะ!” ทั้งสามสาวพยักหน้าและตอบ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+