เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 115 ก้าวไปอีกขั้น

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 115 ก้าวไปอีกขั้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“มี่เอ๋อร์ น้ำขิงมาแล้ว ดื่มตอนที่ยังร้อนเสีย!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพอได้ยินว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ฟื้นแล้ว ก็รีบกุลีกุจอตามมาทันที เมื่อเห็นซั่งกวนเจวี๋ยนอนพิงอยู่บนเตียง ทั้งเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังจมอยู่ในอ้อมกอดของเขา ใบหน้านั้นก็แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม กระนั้นก็ยังคงขัดจังหวะสามีภรรยาที่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน

ใบหน้าที่ซีดขาวของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ไม่รอให้นางได้พูด ซั่งกวนเจวี๋ยก็ยื่นมือไปรับน้ำขิงที่ม่านหรูส่งมา “แม้ว่าอากาศจะอบอุ่นขึ้นมาแล้ว แต่เพราะตกน้ำ อย่างไรก็ดื่มน้ำขิงไล่ความเย็นสักถ้วยเถิด หากป่วยขึ้นมาจะแย่เอาได้!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใช้สองมือรับน้ำขิงมา กัดฟันก่อนจะดื่มรวดเดียวจนหมด ม่านหรูยิ้มบางรับถ้วยเปล่าคืนกลับไป

“เรื่องนี้เจ้าวางแผนจะจัดการอย่างไร?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวเสียงเย็นจ้องมองซั่งกวนเจวี๋ย “หญิงสาวที่ไม่รู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัวพวกนั้นล้วนเป็นเพราะเจ้าที่ปล่อยให้พวกนางกลับมาก่อเรื่อง ยามนี้พวกนางกลับกล้าลงมือกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างโหดเหี้ยม หากจะรั้งตัวให้พวกนางอยู่อีก ข้าจะพาเยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับฝูโจวเสีย!”

ซั่งกวนเจวี๋ยมองหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออย่างปวดหัว เหตุใดนางจึงมาไม้นี้อีกแล้วล่ะ ไม่ได้ดั่งใจทีไรก็โวยวายจะกลับบ้านเกิด! เอาเถิด นางจะกลับก็กลับ เกี่ยวอะไรกับมี่เอ๋อร์ ไฉนต้องพามี่เอ๋อร์กลับไปด้วยกัน?

“ท่านแม่ คุณหนูอวี้ไม่ได้ผลักข้าตกน้ำ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อธิบาย รู้สึกอึดอัดภายใต้อ้อมกอดซั่งกวนเจวี๋ยอยู่บ้าง จึงขยับเล็กน้อย นางไม่ต้องการที่จะเห็นสองแม่ลูกทะเลาะกัน

“ไม่ใช่?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่เชื่อคำอธิบายนี้แม้แต่น้อย “ถ้าหากไม่ใช่ เหตุใดนางจึงนัดเจ้าไปเจอที่ศาลาริมน้ำ? เจวี๋ยเอ๋อร์ เจ้าน่าจะยังไม่รู้สินะ? ตำแหน่งที่มี่เอ๋อร์จมน้ำเป็นตำแหน่งที่ตื้นที่สุด แต่สถานที่เดิมที่เทพธิดาอวี้ผู้สูงส่งค้ำฟ้าคนนั้นนัดนางไว้กลับเป็นศาลาริมน้ำ…เหอะ ดีที่มี่เอ๋อร์โชคดี ไม่ได้ไปพูดคุยกับหญิงต่ำช้าผู้นั้นที่ศาลาริมน้ำ มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น!”

“อะไรนะ?” ซั่งกวนเจวี๋ยตกตะลึง หรืออวี้เมิ่งเหยานัดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปก็เพื่อลอบวางแผนกับนาง แต่โชคไม่ดีที่ถูกคนอื่นชิงลงมือก่อน?

“ท่านแม่หมายความว่าอย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หน้าซีดเผือด วูบไหวอยู่ในใจ ดูท่าก่อนหน้านี้ตัวเองได้ทายถูกแล้วว่า

อวี้เมิ่งเหยาอยากจะสร้างฉากละครตกน้ำ เสียดายที่ไม่เพียงแต่ถูกตัวนางทำแผนที่วางไว้ล่วงหน้าวุ่นวาย แต่ยังถูกนางชิงตกน้ำด้วย อวี้เมิ่งเหยาผู้น่าสงสารย่อมลนลานทำอะไรไม่ถูก ไม่ทันได้เก็บกวาดทางศาลาริมน้ำให้หมดจด ก็ถูกหวงฝู่เยวี่ยเอ้อส่งคนไปพบเจอร่องรอยเสียก่อน!

“ที่ศาลาริมน้ำถูกคนนำตะไคร่มาวางอยู่หลายแห่ง ข้าว่าคุณหนูอวี้เทพธิดาจอมปลอมคนนั้นย่อมรู้ว่าเป็นฝีมือใคร!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างเรียบเย็น “อย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่อาจจบลงได้ ก่อนที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะฟื้นตัวหายดีเป็นปกติ ข้าต้องการเห็นหญิงสาวทั้งสามไสหัวออกไป!”

“ท่านแม่…” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้ว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อนั้นโมโหมากมายเพียงใด ยามนี้ในใจของเขาก็แทบจะทนไม่ได้อยู่เช่นกัน แต่ปัญหาอยู่ที่เขาอยากจะรู้ว่าคนที่ลอบวางแผนทำร้ายเยี่ยนมี่เอ๋อร์คนนั้นเป็นใครมากกว่า!

“ท่านแม่ เรื่องนี้สามีย่อมจัดการอย่างดีโดยแน่นอน ท่านวางใจเสียเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มกล่าวปลอบหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ “พวกนางทั้งสามเป็นแขกของฮูหยินใหญ่ ยามที่เรื่องยังไม่กระจ่างออกมา ท่านก็คิดว่าไว้หน้าให้ฮูหยินใหญ่ อย่าทำให้พวกแขกต้องลำบากใจ ข้าเชื่อว่าสามีย่อมสืบหาความจริงให้ปรากฏได้แน่!”

“ไว้หน้า? นางยังต้องการให้ไว้หน้าอะไรอีก ข้าว่านางรับหญิงสาวสามคนนี้เข้ามาก็ไม่ได้มีเจตนาดีหรอก ยามนี้รู้ว่าเจ้าเกิดเรื่อง ไม่แน่ว่าอาจจะกำลังเฉลิมฉลองอย่างดีใจอยู่ก็ได้!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อโมโหจนใบหน้าเขียวคล้ำ “มี่เอ๋อร์ บางครั้งก็อย่าได้เอาแต่คิดจะประนีประนอมผู้อื่น คนบางคนนั้นไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา หากเจ้าปล่อยพวกนางไป พวกนางใช่ว่าจะรู้สึกซาบซึ้ง กลับกัน พวกนางจะคิดว่าเจ้าเป็นคนอ่อนแอรังแกได้ง่าย”

“มี่เอ๋อร์รู้ว่าท่านแม่เอ็นดูข้า ไม่อาจทนเห็นข้าลำบากได้ แต่ว่าการที่ครอบครัวรักใคร่ปรองดองทุกอย่างจึงจะสามารถราบรื่นได้ หากทำเรื่องนี้ให้ใหญ่โต ใช่ว่าจะดีเสมอไป” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มพลางดึงมือของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ “หากเรื่องบานปลาย พวกนางคิดจะทำต่อไปโดยไม่สนใจอันใด ให้ฮูหยินใหญ่ตัดสินใจให้รู้แล้วรู้รอด รับพวกนางเข้ามาเป็นอนุภรรยาให้สามี ถึงเวลานั้นหากมี่เอ๋อร์จะร้องไห้ เกรงว่าแม้แต่ที่ให้ร้องไห้ก็ยังจะร้องไม่ออกเสียด้วยซ้ำ!”

“นางกล้ารึ!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อร้องเสียงดังขึ้นมา ถลึงตามองซั่งกวนเจวี๋ยอย่างดุดัน “หากเจ้ากล้ารับหญิงสาวสามคนนั้นเข้าตระกูล ข้าจะพามี่เอ๋อร์กลับฝูโจวไม่กลับมาที่นี่อีก!”

ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มอย่างขมขื่น เขาได้พูดอย่างนั้นรึ? เอาเถิด ก่อนหน้านี้เขาเคยมีความคิดที่จะใช้หญิงสาวทั้งสามมาก่อกวนเรื่องงานแต่งงาน แต่เขากล้าสาบานต่อฟ้าดิน แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ได้คิดเกินเลยกับหญิงสาวสามคนนั้นแม้แต่น้อย ที่หญิงสาวทั้งสามสนใจก็คือตำแหน่งของลูกชายคนโตของตระกูลซั่งกวนต่างหาก หาใช่ตัวเขาไม่ เขาไม่คิดจะเอาผู้หญิงที่เห็นแก่ได้มาเป็นคู่ครองอยู่แล้ว

“อะแฮ่ม…” เสียงไอของซั่งกวนฮ่าวทำให้สติของทั้งสามคนหวนกลับมา เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดิ้นขลุกขลักคิดอยากจะปลีกกายจากอ้อมอกของซั่งกวนเจวี๋ย แต่ก็จนใจเพราะคนผู้นี้จงใจกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นไปอีก ไร้หนทางที่จะหลุดออกไปอย่างสิ้นเชิง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทั้งรู้สึกหวานซึ้งทั้งเหนียมอายไปพร้อมกัน

“มี่เอ๋อร์ เจ้าเพิ่งจะฟื้น ชีพจรได้รับการกระทบกระเทือนหนัก อยู่แบบนี้ก็ดีแล้ว!” ซั่งกวนฮ่าวกล่าวยิ้มๆ “เจวี๋ยเอ๋อร์ เจ้าคอยดูแลมี่เอ๋อร์ดีๆ เถิด อาหารเย็นข้าจะให้คนส่งเข้ามาในห้องเอง”

“เข้าใจแล้ว ท่านพ่อ” ซั่งกวนเจวี๋ยผงกศีรษะ มองซั่งกวนฮ่าวที่สกัดจุดหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออย่างเบิกบานใจ ไม่สนใจการขัดขืนของนาง ก็ลากหวงฝู่เยวี่ยเอ้อออกไป ทิ้งเวลาให้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน

“นี่…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตะลึงไป คาดไม่ถึงว่าซั่งกวนฮ่าวจะทำเช่นนั้นกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ แต่ว่า นางหลุดยิ้มออกมา นี่จึงเรียกแพ้ทางกันสินะ!

“มี่เอ๋อร์ ทำให้เจ้าลำบากแล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยปล่อยตัวเยี่ยนมี่เอ๋อร์ให้กลับไปนอนบนเตียง ส่วนเขาเอนกายขึ้นมา มองใบหน้าที่ไร้เครื่องประทินโฉมของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ กล่าวทั้งน้ำสียงที่เต็มไปด้วยความเสียใจ “ข้านึกไม่ถึงว่าพวกนางจะกล้าทำกับเจ้าเช่นนี้ เรื่องนี้ข้าย่อมต้องหาคำตอบที่น่าพอใจมาให้เจ้าแน่!”

“สามี…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขยับตัวอย่างไม่สบายตัวอยู่บ้าง “ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนลอบวางแผนกับข้า แต่ข้าหวังว่าท่านจะไม่ลากคนมาเกี่ยวพันมากเกินไป ไม่ว่าจะพูดอย่างไร พวกอวี้เมิ่งเหยาก็ล้วนเป็นคนที่ฮูหยินใหญ่เชิญกลับมา

ยามที่ยังหาหลักฐานที่กระจ่างชัดไม่ได้ ก็อย่าได้ตัดสินโทษตามอารมณ์เลย ข้ายอมปล่อยคนผู้นั้นไป แต่ไม่ยอมที่จะเห็นท่านและฮูหยินใหญ่บาดหมางอะไรกัน!”

“มี่เอ๋อร์…” ซั่งกวนเจวี๋ยซาบซึ้งใจอยู่บ้าง แต่ที่มากไปกว่านั้นคือความกังวล กล่าวทั้งมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ “แม้ว่าท่านแม่จะมีอคติอยู่บ้าง แต่คำพูดที่นางกล่าวมาก็ไม่ผิดแม้แต่น้อย บางครั้งยอมประนีประนอมใช่ว่าจะดีเสมอไป เจ้าเป็นเช่นนี้รั้งแต่จะทำให้พวกนางคิดว่าเจ้าอ่อนแอรังแกได้ง่าย!”

“ข้าเข้าใจความหมายของสามี” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยื่นมือไปจับมือของซั่งกวนเจวี๋ย กล่าวอย่างจริงจัง “ข้าไม่ได้คิดจะปล่อยคนผู้นั้นไป หากมีหลักฐานที่แน่ชัดข้าย่อมไม่ปล่อยคนที่ทำร้ายข้าไป แต่ว่า…ข้าไม่อยากให้เรื่องนี้บานปลาย ทั้งไม่อยากให้ท่านและฮูหยินใหญ่มีความขุ่นข้องใจอะไรกันเพราะเรื่องนี้!”

“หากว่าคนที่ทำร้ายเจ้าก็คือหญิงสาวหนึ่งในสามคนนั้นเจ้าจะทำอย่างไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แม้ว่าม่านเหลียนยังจะไม่ได้ส่งคำตอบกลับมา แต่เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าย่อมไม่พ้นข้องเกี่ยวกับหญิงสาวทั้งสองคนนั้นแน่

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจ ค่อยๆ ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ข้าไม่อาจปล่อยนางไป และก็ไม่อาจปล่อยให้นางอยู่ทำอะไรในตระกูลซั่งกวนต่อเช่นกัน ข้าจะขับไล่นางออกไป หลังจากนั้นก็สุดแล้วแต่ชะตากรรมของนาง!”

ซั่งกวนเจวี๋ยชื่นชมอยู่ในใจ กระนั้นกลับแสร้งไม่เข้าใจ “มี่เอ๋อร์ไม่ใช่กล่าวหรือว่าไม่อยากปล่อยคนผู้นั้นไป? ทำไมล่ะ? เพียงแค่ไล่นางออกไปก็เพียงพอแล้วรึ?”

“นี่สามีกำลังทดสอบข้าอย่างนั้นรึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลอกตามองซั่งกวนเจวี๋ยไปที กลับลืมไปว่านางในยามนี้ไม่ได้แต่งหน้า ท่าทางน่าเอ็นดูที่เกิดขึ้น ทั้งเปล่งประกายออกมานับครั้งไม่ถ้วน ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยตกตะลึง เผยความลึกซึ้งส่งผ่านสายตา ลืมทุกอย่างจนหมดสิ้น จมดิ่งไปกับท่าทีนั้นของนาง ก่อนจะโอบกอดเยี่ยนมี่เอ๋อร์เอาไว้ พรมจูบตั้งแต่ดวงตาลงมาถึงจมูก ท้ายที่สุดก็หยุดที่ริมฝีปากซึ่งปรารถนามาเนิ่นนาน…

ริมฝีปากของนางนั้นอ่อนนุ่ม แฝงไปด้วยความเย็นเล็กน้อย เมื่อได้จูบแผ่วเบาบนริมฝีปาก การสัมผัสอย่างตื้นเขินเช่นนี้ไม่อาจทำให้เขาพอใจได้ เรียวลิ้นสอดผ่านเข้าไปในริมฝีปากของนางอย่างคล่องแคล่ว กลิ่นหอมที่บางเบาผสมกับรสชาติของขิงทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยมึนเมาไม่น้อย ใช้ลิ้นนั้นหยอกเย้ากับเรียวลิ้นหวานหอมของนางที่หลบหลีกอย่างเขินอายด้วยความช่ำชอง…

ร่างของเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นอ่อนยวบอย่างคาดไม่ถึง คล้ายกับสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิ ผสานเข้ากับอ้อมกอดที่อบอุ่นและหนาของซั่งกวนเจวี๋ย นางล้วนแต่สับสนมึนงงไปหมด ราวกับล่องลอยอยู่บนปุยเมฆ ทั้งคล้ายกับถูกอบด้วยไฟในเตา ทั่วร่างร้อนรุ่มจนทนไม่ไหว และริมฝีปากของซั่งกวนเจวี๋ย รวมถึงมือของเขาที่ร้อนผ่าวดั่งเปลวไฟ ทำให้ร่างของนางล้วนอุณหภูมิสูงขึ้นตาม…

มือของซั่งกวนเจวี๋ยค่อยๆ เคลื่อนไปอยู่ที่เอวของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ก่อนจะลากผ่านเสื้อตัวในเข้าไป ผิวที่ขาวใสเนียนละเอียดทำให้เขาไม่อาจละมือออกไปได้ คล้อยหลังก็ค่อยๆ เคลื่อนไปด้านบน…

 “อ๊ะ…” ความเจ็บที่เอวกระจายออกมา ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่มัวเมาในรสจูบร้อนรุ่มของซั่งกวนเจวี๋ยได้สติ ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมา ซั่งกวนเจวี๋ยชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะละจากริมฝีปากหอมของคนงาม มองเห็นแววตาที่คุกรุ่นด้วยความปรารถนา ทั้งยังไม่คืนสติเต็มนักของมี่เอ๋อร์ ปรากฏความเจ็บปวดที่ยากจะปกปิดออกมา ก็กล่าวอย่างเอ็นดู “เป็นอะไร ที่รัก?”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยากจะหาสักที่มุดตัวลงไป แต่ความเจ็บปวดจู่ๆ ก็คล้ายราวกับติดปีก บินหายไปทันที นางฝังตัวเองลงกับผ้าห่มด้วยความรวดเร็วเป็นอย่างมาก ทั่วทั้งตัวล้วนร้อนรุ่มไปหมด…นางคาดไม่ถึงว่าตนเองจะคล้อยตามจูบของซั่งกวนเจวี๋ย ถ้าไม่ใช่ว่าเจ็บที่เอวขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น? อีกอย่าง เขา เขาเรียกตัวเองว่าที่รักออกมา เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดึงผ้าห่มไว้แน่น นางไม่อยากมองหน้าเขา…

เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ฝังตัวเองในผ้าห่มคล้ายกับนกกระจอกเทศตัวหนึ่ง ในใจของซั่งกวนเจวี๋ยนอกจากความอ่อนโยนแล้ว ก็ยังเต็มไปด้วยความกังวล นางคงไม่ใช่คลุมจนตัวเองไม่มีอากาศหายใจหรอกกระมัง…

“มี่เอ๋อร์ เด็กดี…” ซั่งกวนเจวี๋ยร้องเรียกแผ่วเบาคล้ายกับตะล่อมเด็กก็มิปาน ค่อยๆ ดึงผ้าห่ม คิดอยากจะเปิดมันออก แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับกำไว้อย่างแน่น อย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือ ซั่งกวนเจวี๋ยไม่อาจใช้แรงมาก กังวลว่าจะทำให้ภรรยาตัวน้อยบาดเจ็บ แต่ว่า…

เขาเผยยิ้มอย่างชั่วร้าย ริมฝีปากร้อนผ่าวนั้นประทับลงบนมืออ่อนนุ่มของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางหดมืออย่างรวดเร็ว การป้องกันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง!

ผมสีดำขลับที่ไม่ได้หวีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์กระจัดกระจายอยู่บนหมอน แววตาสองคู่ที่เผยความปรารถนาอยู่บ้างนั้นแฝงไปด้วยการตำหนิ ริมฝีปากเรียวบางน่าลิ้มลองแดงก่ำไปอยู่บ้าง ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยต้องข่มความปรารถนาที่พุ่งขึ้นมาลงไปอย่างยากลำบาก

“เอาเถิด เด็กดี อย่าคลุมตัวเองอุดอู้อยู่ในนั้นเลย…” ซั่งกวนเจวี๋ยดึงผ้าห่ม ถึงขนาดดึงทั้งคนทั้งผ้าห่มเข้าสู่อ้อมกอด กล่าวอย่างกังวล “รู้สึกไม่ดีอย่างนั้นรึ?”

“ท่าน ท่านมาเรียกคนอื่นว่าอย่างนั้นได้อย่างไรกันเล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตำหนิด้วยความขวยเขิน นางมั่นใจเป็นอย่างมากว่ากระทั่งนิ้วเท้าของตนก็คงต้องแดงไปหมดแล้วแน่ ยามนี้หากมีน้ำหยดลงบนใบหน้าหนึ่งหยด ย่อมเกิดเป็นเสียง ‘ชี่’ ก่อนจะตามมาด้วยควันสีขาวพวยพุ่งเป็นแน่

ที่แท้ก็เขินนี่เอง! ซั่งกวนเจวี๋ยกระจ่างแจ้งขึ้นมา กระนั้นกลับไม่ได้มีความรู้สึกขบขันออกมา แต่ใช้ปลายจมูกไปประชิดกับจมูกของเยี่ยนมี่เอ๋อร์แทน กล่าวยิ้มๆ “มี่เอ๋อร์ เจ้าก็คือที่รักของข้า!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขบริมฝีปาก ทั้งอายทั้งหงุดหงิด ทว่ามุมปากกลับยกขึ้นยิ้มอย่างไม่อาจควบคุมได้เสียอย่างนั้น ในใจคล้ายกับตกเข้าไปอยู่ในถังน้ำผึ้งก็มิปาน หวานเลี่ยนเสียอย่างกับอะไรดี…

“เมื่อครู่เป็นอะไรไป? เจ็บตรงไหนหรือไม่?” แม้ว่าอยากจะบรรเลงจูบที่ยังไม่หายอยากนั้นต่อ แต่ซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่ได้ลืมว่านางร้องเพราะเจ็บปวด ยิ่งไม่ลืมอีกว่านางยังคงเป็นคนป่วย

“เจ็บตรงเอว…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าควรจะดีใจที่ตนเองลงมือหนัก เพราะความเจ็บได้หยุดยั้งจูบดูดดื่มที่เร่าร้อนนั้นได้ หรือจะหงุดหงิดที่ความเจ็บนั้นได้ขัดจังหวะความใกล้ชิดของทั้งสองคนดี ในใจรู้สึกขัดแย้งเป็นอย่างมาก

“ข้าดูหน่อย!” ซั่งกวนเจวี๋ยปรับสีหน้า ไม่สนใจการต่อต้านของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แหวกผ้าห่มออก ก็สกัดจุดเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างว่องไว ไม่ให้นางเคลื่อนไหว จากนั้นก็เปิดเสื้อตัวในของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ออก รอยฟกช้ำเท่ากำปั้นทำให้ดวงตาของซั่งกวนเจวี๋ยมืดมนจนดูน่ากลัว…

“เจ็บมากสินะ” ซั่งกวนเจวี๋ยสวมชุดคืนก่อนคลุมผ้าห่มตามเดิม กักเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ทั้งโกรธทั้งหงุดหงิดทั้งเขินอายสู่ในอ้อมกอดอย่างแผ่วเบา ราวกับว่านางเป็นสิ่งของที่อาจจะแตกสลายหายไปได้ก็มิปาน

“ไม่ได้เจ็บมาก” การดิ้นรนของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เป็นผล ทำได้เพียงยอมนอนอยู่ในอ้อมกอดของเขาแต่โดยดี กล่าวอธิบายอย่างปลอบใจ “ผิวของข้าก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด แค่แตะนิดๆ หน่อย ๆ ก็เป็นรอยแล้ว ดูเหมือนจะร้ายแรงมาก แต่จริงๆ สักวันสองวันก็ไม่เป็นอะไรแล้ว!”

“ข้าย่อมไม่ให้เจ้าเจ็บตัวโดยเปล่าประโยชน์แน่ ทั้งไม่อาจทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บเช่นนี้อีก!” ซั่งกวนเจวี๋ยคล้ายกับกล่าวยืนยันข้างๆ หูของเยี่ยนมี่เอ๋อร์

“อื้ม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูดกลืนความอบอุ่นของเขา จู่ๆ ก็รู้สึกง่วงขึ้นมา มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะหลับไปอย่างมั่นคง…

————————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 115 ก้าวไปอีกขั้น

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 115 ก้าวไปอีกขั้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“มี่เอ๋อร์ น้ำขิงมาแล้ว ดื่มตอนที่ยังร้อนเสีย!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพอได้ยินว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ฟื้นแล้ว ก็รีบกุลีกุจอตามมาทันที เมื่อเห็นซั่งกวนเจวี๋ยนอนพิงอยู่บนเตียง ทั้งเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังจมอยู่ในอ้อมกอดของเขา ใบหน้านั้นก็แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม กระนั้นก็ยังคงขัดจังหวะสามีภรรยาที่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน

ใบหน้าที่ซีดขาวของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ไม่รอให้นางได้พูด ซั่งกวนเจวี๋ยก็ยื่นมือไปรับน้ำขิงที่ม่านหรูส่งมา “แม้ว่าอากาศจะอบอุ่นขึ้นมาแล้ว แต่เพราะตกน้ำ อย่างไรก็ดื่มน้ำขิงไล่ความเย็นสักถ้วยเถิด หากป่วยขึ้นมาจะแย่เอาได้!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใช้สองมือรับน้ำขิงมา กัดฟันก่อนจะดื่มรวดเดียวจนหมด ม่านหรูยิ้มบางรับถ้วยเปล่าคืนกลับไป

“เรื่องนี้เจ้าวางแผนจะจัดการอย่างไร?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวเสียงเย็นจ้องมองซั่งกวนเจวี๋ย “หญิงสาวที่ไม่รู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัวพวกนั้นล้วนเป็นเพราะเจ้าที่ปล่อยให้พวกนางกลับมาก่อเรื่อง ยามนี้พวกนางกลับกล้าลงมือกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างโหดเหี้ยม หากจะรั้งตัวให้พวกนางอยู่อีก ข้าจะพาเยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับฝูโจวเสีย!”

ซั่งกวนเจวี๋ยมองหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออย่างปวดหัว เหตุใดนางจึงมาไม้นี้อีกแล้วล่ะ ไม่ได้ดั่งใจทีไรก็โวยวายจะกลับบ้านเกิด! เอาเถิด นางจะกลับก็กลับ เกี่ยวอะไรกับมี่เอ๋อร์ ไฉนต้องพามี่เอ๋อร์กลับไปด้วยกัน?

“ท่านแม่ คุณหนูอวี้ไม่ได้ผลักข้าตกน้ำ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อธิบาย รู้สึกอึดอัดภายใต้อ้อมกอดซั่งกวนเจวี๋ยอยู่บ้าง จึงขยับเล็กน้อย นางไม่ต้องการที่จะเห็นสองแม่ลูกทะเลาะกัน

“ไม่ใช่?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่เชื่อคำอธิบายนี้แม้แต่น้อย “ถ้าหากไม่ใช่ เหตุใดนางจึงนัดเจ้าไปเจอที่ศาลาริมน้ำ? เจวี๋ยเอ๋อร์ เจ้าน่าจะยังไม่รู้สินะ? ตำแหน่งที่มี่เอ๋อร์จมน้ำเป็นตำแหน่งที่ตื้นที่สุด แต่สถานที่เดิมที่เทพธิดาอวี้ผู้สูงส่งค้ำฟ้าคนนั้นนัดนางไว้กลับเป็นศาลาริมน้ำ…เหอะ ดีที่มี่เอ๋อร์โชคดี ไม่ได้ไปพูดคุยกับหญิงต่ำช้าผู้นั้นที่ศาลาริมน้ำ มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น!”

“อะไรนะ?” ซั่งกวนเจวี๋ยตกตะลึง หรืออวี้เมิ่งเหยานัดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปก็เพื่อลอบวางแผนกับนาง แต่โชคไม่ดีที่ถูกคนอื่นชิงลงมือก่อน?

“ท่านแม่หมายความว่าอย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หน้าซีดเผือด วูบไหวอยู่ในใจ ดูท่าก่อนหน้านี้ตัวเองได้ทายถูกแล้วว่า

อวี้เมิ่งเหยาอยากจะสร้างฉากละครตกน้ำ เสียดายที่ไม่เพียงแต่ถูกตัวนางทำแผนที่วางไว้ล่วงหน้าวุ่นวาย แต่ยังถูกนางชิงตกน้ำด้วย อวี้เมิ่งเหยาผู้น่าสงสารย่อมลนลานทำอะไรไม่ถูก ไม่ทันได้เก็บกวาดทางศาลาริมน้ำให้หมดจด ก็ถูกหวงฝู่เยวี่ยเอ้อส่งคนไปพบเจอร่องรอยเสียก่อน!

“ที่ศาลาริมน้ำถูกคนนำตะไคร่มาวางอยู่หลายแห่ง ข้าว่าคุณหนูอวี้เทพธิดาจอมปลอมคนนั้นย่อมรู้ว่าเป็นฝีมือใคร!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างเรียบเย็น “อย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่อาจจบลงได้ ก่อนที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะฟื้นตัวหายดีเป็นปกติ ข้าต้องการเห็นหญิงสาวทั้งสามไสหัวออกไป!”

“ท่านแม่…” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้ว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อนั้นโมโหมากมายเพียงใด ยามนี้ในใจของเขาก็แทบจะทนไม่ได้อยู่เช่นกัน แต่ปัญหาอยู่ที่เขาอยากจะรู้ว่าคนที่ลอบวางแผนทำร้ายเยี่ยนมี่เอ๋อร์คนนั้นเป็นใครมากกว่า!

“ท่านแม่ เรื่องนี้สามีย่อมจัดการอย่างดีโดยแน่นอน ท่านวางใจเสียเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มกล่าวปลอบหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ “พวกนางทั้งสามเป็นแขกของฮูหยินใหญ่ ยามที่เรื่องยังไม่กระจ่างออกมา ท่านก็คิดว่าไว้หน้าให้ฮูหยินใหญ่ อย่าทำให้พวกแขกต้องลำบากใจ ข้าเชื่อว่าสามีย่อมสืบหาความจริงให้ปรากฏได้แน่!”

“ไว้หน้า? นางยังต้องการให้ไว้หน้าอะไรอีก ข้าว่านางรับหญิงสาวสามคนนี้เข้ามาก็ไม่ได้มีเจตนาดีหรอก ยามนี้รู้ว่าเจ้าเกิดเรื่อง ไม่แน่ว่าอาจจะกำลังเฉลิมฉลองอย่างดีใจอยู่ก็ได้!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อโมโหจนใบหน้าเขียวคล้ำ “มี่เอ๋อร์ บางครั้งก็อย่าได้เอาแต่คิดจะประนีประนอมผู้อื่น คนบางคนนั้นไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา หากเจ้าปล่อยพวกนางไป พวกนางใช่ว่าจะรู้สึกซาบซึ้ง กลับกัน พวกนางจะคิดว่าเจ้าเป็นคนอ่อนแอรังแกได้ง่าย”

“มี่เอ๋อร์รู้ว่าท่านแม่เอ็นดูข้า ไม่อาจทนเห็นข้าลำบากได้ แต่ว่าการที่ครอบครัวรักใคร่ปรองดองทุกอย่างจึงจะสามารถราบรื่นได้ หากทำเรื่องนี้ให้ใหญ่โต ใช่ว่าจะดีเสมอไป” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มพลางดึงมือของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ “หากเรื่องบานปลาย พวกนางคิดจะทำต่อไปโดยไม่สนใจอันใด ให้ฮูหยินใหญ่ตัดสินใจให้รู้แล้วรู้รอด รับพวกนางเข้ามาเป็นอนุภรรยาให้สามี ถึงเวลานั้นหากมี่เอ๋อร์จะร้องไห้ เกรงว่าแม้แต่ที่ให้ร้องไห้ก็ยังจะร้องไม่ออกเสียด้วยซ้ำ!”

“นางกล้ารึ!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อร้องเสียงดังขึ้นมา ถลึงตามองซั่งกวนเจวี๋ยอย่างดุดัน “หากเจ้ากล้ารับหญิงสาวสามคนนั้นเข้าตระกูล ข้าจะพามี่เอ๋อร์กลับฝูโจวไม่กลับมาที่นี่อีก!”

ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มอย่างขมขื่น เขาได้พูดอย่างนั้นรึ? เอาเถิด ก่อนหน้านี้เขาเคยมีความคิดที่จะใช้หญิงสาวทั้งสามมาก่อกวนเรื่องงานแต่งงาน แต่เขากล้าสาบานต่อฟ้าดิน แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ได้คิดเกินเลยกับหญิงสาวสามคนนั้นแม้แต่น้อย ที่หญิงสาวทั้งสามสนใจก็คือตำแหน่งของลูกชายคนโตของตระกูลซั่งกวนต่างหาก หาใช่ตัวเขาไม่ เขาไม่คิดจะเอาผู้หญิงที่เห็นแก่ได้มาเป็นคู่ครองอยู่แล้ว

“อะแฮ่ม…” เสียงไอของซั่งกวนฮ่าวทำให้สติของทั้งสามคนหวนกลับมา เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดิ้นขลุกขลักคิดอยากจะปลีกกายจากอ้อมอกของซั่งกวนเจวี๋ย แต่ก็จนใจเพราะคนผู้นี้จงใจกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นไปอีก ไร้หนทางที่จะหลุดออกไปอย่างสิ้นเชิง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทั้งรู้สึกหวานซึ้งทั้งเหนียมอายไปพร้อมกัน

“มี่เอ๋อร์ เจ้าเพิ่งจะฟื้น ชีพจรได้รับการกระทบกระเทือนหนัก อยู่แบบนี้ก็ดีแล้ว!” ซั่งกวนฮ่าวกล่าวยิ้มๆ “เจวี๋ยเอ๋อร์ เจ้าคอยดูแลมี่เอ๋อร์ดีๆ เถิด อาหารเย็นข้าจะให้คนส่งเข้ามาในห้องเอง”

“เข้าใจแล้ว ท่านพ่อ” ซั่งกวนเจวี๋ยผงกศีรษะ มองซั่งกวนฮ่าวที่สกัดจุดหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออย่างเบิกบานใจ ไม่สนใจการขัดขืนของนาง ก็ลากหวงฝู่เยวี่ยเอ้อออกไป ทิ้งเวลาให้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน

“นี่…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตะลึงไป คาดไม่ถึงว่าซั่งกวนฮ่าวจะทำเช่นนั้นกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ แต่ว่า นางหลุดยิ้มออกมา นี่จึงเรียกแพ้ทางกันสินะ!

“มี่เอ๋อร์ ทำให้เจ้าลำบากแล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยปล่อยตัวเยี่ยนมี่เอ๋อร์ให้กลับไปนอนบนเตียง ส่วนเขาเอนกายขึ้นมา มองใบหน้าที่ไร้เครื่องประทินโฉมของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ กล่าวทั้งน้ำสียงที่เต็มไปด้วยความเสียใจ “ข้านึกไม่ถึงว่าพวกนางจะกล้าทำกับเจ้าเช่นนี้ เรื่องนี้ข้าย่อมต้องหาคำตอบที่น่าพอใจมาให้เจ้าแน่!”

“สามี…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขยับตัวอย่างไม่สบายตัวอยู่บ้าง “ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนลอบวางแผนกับข้า แต่ข้าหวังว่าท่านจะไม่ลากคนมาเกี่ยวพันมากเกินไป ไม่ว่าจะพูดอย่างไร พวกอวี้เมิ่งเหยาก็ล้วนเป็นคนที่ฮูหยินใหญ่เชิญกลับมา

ยามที่ยังหาหลักฐานที่กระจ่างชัดไม่ได้ ก็อย่าได้ตัดสินโทษตามอารมณ์เลย ข้ายอมปล่อยคนผู้นั้นไป แต่ไม่ยอมที่จะเห็นท่านและฮูหยินใหญ่บาดหมางอะไรกัน!”

“มี่เอ๋อร์…” ซั่งกวนเจวี๋ยซาบซึ้งใจอยู่บ้าง แต่ที่มากไปกว่านั้นคือความกังวล กล่าวทั้งมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ “แม้ว่าท่านแม่จะมีอคติอยู่บ้าง แต่คำพูดที่นางกล่าวมาก็ไม่ผิดแม้แต่น้อย บางครั้งยอมประนีประนอมใช่ว่าจะดีเสมอไป เจ้าเป็นเช่นนี้รั้งแต่จะทำให้พวกนางคิดว่าเจ้าอ่อนแอรังแกได้ง่าย!”

“ข้าเข้าใจความหมายของสามี” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยื่นมือไปจับมือของซั่งกวนเจวี๋ย กล่าวอย่างจริงจัง “ข้าไม่ได้คิดจะปล่อยคนผู้นั้นไป หากมีหลักฐานที่แน่ชัดข้าย่อมไม่ปล่อยคนที่ทำร้ายข้าไป แต่ว่า…ข้าไม่อยากให้เรื่องนี้บานปลาย ทั้งไม่อยากให้ท่านและฮูหยินใหญ่มีความขุ่นข้องใจอะไรกันเพราะเรื่องนี้!”

“หากว่าคนที่ทำร้ายเจ้าก็คือหญิงสาวหนึ่งในสามคนนั้นเจ้าจะทำอย่างไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แม้ว่าม่านเหลียนยังจะไม่ได้ส่งคำตอบกลับมา แต่เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าย่อมไม่พ้นข้องเกี่ยวกับหญิงสาวทั้งสองคนนั้นแน่

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจ ค่อยๆ ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ข้าไม่อาจปล่อยนางไป และก็ไม่อาจปล่อยให้นางอยู่ทำอะไรในตระกูลซั่งกวนต่อเช่นกัน ข้าจะขับไล่นางออกไป หลังจากนั้นก็สุดแล้วแต่ชะตากรรมของนาง!”

ซั่งกวนเจวี๋ยชื่นชมอยู่ในใจ กระนั้นกลับแสร้งไม่เข้าใจ “มี่เอ๋อร์ไม่ใช่กล่าวหรือว่าไม่อยากปล่อยคนผู้นั้นไป? ทำไมล่ะ? เพียงแค่ไล่นางออกไปก็เพียงพอแล้วรึ?”

“นี่สามีกำลังทดสอบข้าอย่างนั้นรึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลอกตามองซั่งกวนเจวี๋ยไปที กลับลืมไปว่านางในยามนี้ไม่ได้แต่งหน้า ท่าทางน่าเอ็นดูที่เกิดขึ้น ทั้งเปล่งประกายออกมานับครั้งไม่ถ้วน ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยตกตะลึง เผยความลึกซึ้งส่งผ่านสายตา ลืมทุกอย่างจนหมดสิ้น จมดิ่งไปกับท่าทีนั้นของนาง ก่อนจะโอบกอดเยี่ยนมี่เอ๋อร์เอาไว้ พรมจูบตั้งแต่ดวงตาลงมาถึงจมูก ท้ายที่สุดก็หยุดที่ริมฝีปากซึ่งปรารถนามาเนิ่นนาน…

ริมฝีปากของนางนั้นอ่อนนุ่ม แฝงไปด้วยความเย็นเล็กน้อย เมื่อได้จูบแผ่วเบาบนริมฝีปาก การสัมผัสอย่างตื้นเขินเช่นนี้ไม่อาจทำให้เขาพอใจได้ เรียวลิ้นสอดผ่านเข้าไปในริมฝีปากของนางอย่างคล่องแคล่ว กลิ่นหอมที่บางเบาผสมกับรสชาติของขิงทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยมึนเมาไม่น้อย ใช้ลิ้นนั้นหยอกเย้ากับเรียวลิ้นหวานหอมของนางที่หลบหลีกอย่างเขินอายด้วยความช่ำชอง…

ร่างของเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นอ่อนยวบอย่างคาดไม่ถึง คล้ายกับสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิ ผสานเข้ากับอ้อมกอดที่อบอุ่นและหนาของซั่งกวนเจวี๋ย นางล้วนแต่สับสนมึนงงไปหมด ราวกับล่องลอยอยู่บนปุยเมฆ ทั้งคล้ายกับถูกอบด้วยไฟในเตา ทั่วร่างร้อนรุ่มจนทนไม่ไหว และริมฝีปากของซั่งกวนเจวี๋ย รวมถึงมือของเขาที่ร้อนผ่าวดั่งเปลวไฟ ทำให้ร่างของนางล้วนอุณหภูมิสูงขึ้นตาม…

มือของซั่งกวนเจวี๋ยค่อยๆ เคลื่อนไปอยู่ที่เอวของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ก่อนจะลากผ่านเสื้อตัวในเข้าไป ผิวที่ขาวใสเนียนละเอียดทำให้เขาไม่อาจละมือออกไปได้ คล้อยหลังก็ค่อยๆ เคลื่อนไปด้านบน…

 “อ๊ะ…” ความเจ็บที่เอวกระจายออกมา ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่มัวเมาในรสจูบร้อนรุ่มของซั่งกวนเจวี๋ยได้สติ ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมา ซั่งกวนเจวี๋ยชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะละจากริมฝีปากหอมของคนงาม มองเห็นแววตาที่คุกรุ่นด้วยความปรารถนา ทั้งยังไม่คืนสติเต็มนักของมี่เอ๋อร์ ปรากฏความเจ็บปวดที่ยากจะปกปิดออกมา ก็กล่าวอย่างเอ็นดู “เป็นอะไร ที่รัก?”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยากจะหาสักที่มุดตัวลงไป แต่ความเจ็บปวดจู่ๆ ก็คล้ายราวกับติดปีก บินหายไปทันที นางฝังตัวเองลงกับผ้าห่มด้วยความรวดเร็วเป็นอย่างมาก ทั่วทั้งตัวล้วนร้อนรุ่มไปหมด…นางคาดไม่ถึงว่าตนเองจะคล้อยตามจูบของซั่งกวนเจวี๋ย ถ้าไม่ใช่ว่าเจ็บที่เอวขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น? อีกอย่าง เขา เขาเรียกตัวเองว่าที่รักออกมา เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดึงผ้าห่มไว้แน่น นางไม่อยากมองหน้าเขา…

เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ฝังตัวเองในผ้าห่มคล้ายกับนกกระจอกเทศตัวหนึ่ง ในใจของซั่งกวนเจวี๋ยนอกจากความอ่อนโยนแล้ว ก็ยังเต็มไปด้วยความกังวล นางคงไม่ใช่คลุมจนตัวเองไม่มีอากาศหายใจหรอกกระมัง…

“มี่เอ๋อร์ เด็กดี…” ซั่งกวนเจวี๋ยร้องเรียกแผ่วเบาคล้ายกับตะล่อมเด็กก็มิปาน ค่อยๆ ดึงผ้าห่ม คิดอยากจะเปิดมันออก แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับกำไว้อย่างแน่น อย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือ ซั่งกวนเจวี๋ยไม่อาจใช้แรงมาก กังวลว่าจะทำให้ภรรยาตัวน้อยบาดเจ็บ แต่ว่า…

เขาเผยยิ้มอย่างชั่วร้าย ริมฝีปากร้อนผ่าวนั้นประทับลงบนมืออ่อนนุ่มของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางหดมืออย่างรวดเร็ว การป้องกันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง!

ผมสีดำขลับที่ไม่ได้หวีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์กระจัดกระจายอยู่บนหมอน แววตาสองคู่ที่เผยความปรารถนาอยู่บ้างนั้นแฝงไปด้วยการตำหนิ ริมฝีปากเรียวบางน่าลิ้มลองแดงก่ำไปอยู่บ้าง ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยต้องข่มความปรารถนาที่พุ่งขึ้นมาลงไปอย่างยากลำบาก

“เอาเถิด เด็กดี อย่าคลุมตัวเองอุดอู้อยู่ในนั้นเลย…” ซั่งกวนเจวี๋ยดึงผ้าห่ม ถึงขนาดดึงทั้งคนทั้งผ้าห่มเข้าสู่อ้อมกอด กล่าวอย่างกังวล “รู้สึกไม่ดีอย่างนั้นรึ?”

“ท่าน ท่านมาเรียกคนอื่นว่าอย่างนั้นได้อย่างไรกันเล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตำหนิด้วยความขวยเขิน นางมั่นใจเป็นอย่างมากว่ากระทั่งนิ้วเท้าของตนก็คงต้องแดงไปหมดแล้วแน่ ยามนี้หากมีน้ำหยดลงบนใบหน้าหนึ่งหยด ย่อมเกิดเป็นเสียง ‘ชี่’ ก่อนจะตามมาด้วยควันสีขาวพวยพุ่งเป็นแน่

ที่แท้ก็เขินนี่เอง! ซั่งกวนเจวี๋ยกระจ่างแจ้งขึ้นมา กระนั้นกลับไม่ได้มีความรู้สึกขบขันออกมา แต่ใช้ปลายจมูกไปประชิดกับจมูกของเยี่ยนมี่เอ๋อร์แทน กล่าวยิ้มๆ “มี่เอ๋อร์ เจ้าก็คือที่รักของข้า!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขบริมฝีปาก ทั้งอายทั้งหงุดหงิด ทว่ามุมปากกลับยกขึ้นยิ้มอย่างไม่อาจควบคุมได้เสียอย่างนั้น ในใจคล้ายกับตกเข้าไปอยู่ในถังน้ำผึ้งก็มิปาน หวานเลี่ยนเสียอย่างกับอะไรดี…

“เมื่อครู่เป็นอะไรไป? เจ็บตรงไหนหรือไม่?” แม้ว่าอยากจะบรรเลงจูบที่ยังไม่หายอยากนั้นต่อ แต่ซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่ได้ลืมว่านางร้องเพราะเจ็บปวด ยิ่งไม่ลืมอีกว่านางยังคงเป็นคนป่วย

“เจ็บตรงเอว…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าควรจะดีใจที่ตนเองลงมือหนัก เพราะความเจ็บได้หยุดยั้งจูบดูดดื่มที่เร่าร้อนนั้นได้ หรือจะหงุดหงิดที่ความเจ็บนั้นได้ขัดจังหวะความใกล้ชิดของทั้งสองคนดี ในใจรู้สึกขัดแย้งเป็นอย่างมาก

“ข้าดูหน่อย!” ซั่งกวนเจวี๋ยปรับสีหน้า ไม่สนใจการต่อต้านของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แหวกผ้าห่มออก ก็สกัดจุดเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างว่องไว ไม่ให้นางเคลื่อนไหว จากนั้นก็เปิดเสื้อตัวในของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ออก รอยฟกช้ำเท่ากำปั้นทำให้ดวงตาของซั่งกวนเจวี๋ยมืดมนจนดูน่ากลัว…

“เจ็บมากสินะ” ซั่งกวนเจวี๋ยสวมชุดคืนก่อนคลุมผ้าห่มตามเดิม กักเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ทั้งโกรธทั้งหงุดหงิดทั้งเขินอายสู่ในอ้อมกอดอย่างแผ่วเบา ราวกับว่านางเป็นสิ่งของที่อาจจะแตกสลายหายไปได้ก็มิปาน

“ไม่ได้เจ็บมาก” การดิ้นรนของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เป็นผล ทำได้เพียงยอมนอนอยู่ในอ้อมกอดของเขาแต่โดยดี กล่าวอธิบายอย่างปลอบใจ “ผิวของข้าก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด แค่แตะนิดๆ หน่อย ๆ ก็เป็นรอยแล้ว ดูเหมือนจะร้ายแรงมาก แต่จริงๆ สักวันสองวันก็ไม่เป็นอะไรแล้ว!”

“ข้าย่อมไม่ให้เจ้าเจ็บตัวโดยเปล่าประโยชน์แน่ ทั้งไม่อาจทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บเช่นนี้อีก!” ซั่งกวนเจวี๋ยคล้ายกับกล่าวยืนยันข้างๆ หูของเยี่ยนมี่เอ๋อร์

“อื้ม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูดกลืนความอบอุ่นของเขา จู่ๆ ก็รู้สึกง่วงขึ้นมา มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะหลับไปอย่างมั่นคง…

————————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+