เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 119 การเผชิญหน้าครั้งสุดท้าย (2)

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 119 การเผชิญหน้าครั้งสุดท้าย (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ข้าไม่เอาชีวิตของข้ามาเดิมพันใส่ร้ายเจ้าหรอก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใจวูบไหวเล็กน้อย หรือพวกนางจะพบอะไรแปลกๆ เข้าแล้ว? ไม่ก็บางทีชายเสื้อคลุมที่อยู่หลังต้นไม้ในวันนั้นไม่ใช่หนึ่งในพวกนาง? ทว่าใบหน้ากลับไม่ปรากฏท่าทีผิดปกติให้เห็นแม้แต่น้อย เผยเพียงความเรียบนิ่ง “จะเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือก็ต้องดูฝ่ายตรงข้ามด้วย แม้ว่าคุณหนูอวี้จะมีสกุลว่าอวี้(หยก) แต่ก็เป็นเพียงก้อนกรวดเท่านั้น!”

“เจ้า…” อวี้เมิ่งเหยาถูกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ต่อว่าอย่างไม่เกรงใจ หากไม่ใช่เพราะคนบนศาลา นางก็คงบันดาลโทสะไปนานแล้ว แต่ยามนี้นางกลับต้องรักษาท่าทีน่าโมโหนี้เอาไว้

“เจ้าไม่คิดว่าอย่างนั้นหรอกรึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หันหน้าหนีอวี้เมิ่งเหยาที่เผยหน้าบูดบึ้งอย่างรังเกียจ “คุณหนูอวี้ เจ้าบอกว่าตัวเองเป็นคนแบบไหนนะ? คนที่แม้แต่นิสัยที่แท้จริงของตนก็ล้วนไม่กล้าเผยออกมานับเป็นอันใดกัน? ยโสโอหัง? สูงส่งและมีจิตใจงดงาม? ใครก็ดูออกทั้งนั้นว่าที่เจ้าทำมันก็เป็นเพียงการเสแสร้ง ต้องฝืนใช้ชีวิตอยู่เช่นนี้เหนื่อยหรือไม่เล่า?”

“แล้วเจ้าล่ะ? เวลาอยู่ต่อหน้าพี่เจวี๋ยก็แสร้งทำเป็นอ่อนโยนออกมาไม่เหนื่อยหรือไร?” อวี้เมิ่งเหยาเปล่งเสียงดังออกมาอย่างสูญเสียการควบคุม คาดไม่ถึงว่าผู้หญิงจอมปลอมอย่างนางจะกล้าพูดเช่นนี้!

“ผู้หญิงทุกคนก็ล้วนมีด้านที่นุ่มนวลอ่อนโยน แน่นอนว่าผู้หญิงทุกคนก็มีด้านที่ห้าวหาญเช่นกัน สามีดูแลเอาใจใส่ข้าเป็นอย่างดี ข้ามีความจำเป็นต้องทำตัวประหนึ่งเป็นเม่นหรืออย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้ม เผยแววตาที่ดูสูงส่งมองไปยังอวี้เมิ่งเหยา “คุณหนูอวี้ ยามที่อยู่ต่อหน้าชายที่รักของตนเอง ผู้หญิงทุกคนก็ล้วนมีความอ่อนโยนกันทั้งนั้น เจ้าไม่เคยมีคนที่รัก ทั้งไม่เคยถูกคนรักอย่างจริงใจเช่นกัน จะไม่เข้าใจก็ไม่แปลกอันใด”

อวี้เมิ่งเหยาอยากจะกระอักเลือดออกมา ผ่านมาครึ่งค่อนวันแล้ว แม้ปากของเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะพูดออกมาไม่หยุด กระนั้นกลับไม่มีคำพูดที่เป็นประโยชน์สักประโยคเดียว นางถลึงตามองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ อับจนหนทางแล้วจริงๆ

“ขออภัย ข้ามาช้าเสียแล้ว!” การมาถึงของหวงเซียวเซียงนับว่าได้ช่วยอวี้เมิ่งเหยาออกมาจากสถานการณ์เลวร้ายพอดี เมื่อเห็นท่าทีพ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่าของอวี้เมิ่งเหยา นางก็รู้ทันทีว่าเจองานยากเข้าให้แล้ว

“เอาเถิด ทั้งสองท่านมาถึงแล้ว มีอะไรจะพูดก็รีบพูดมาเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่อยากพูดคุยกับพวกนางนานนัก เรื่องพวกนี้ควรพยายามจบเรื่องให้เร็วที่สุด ไม่ควรยืดเยื้อให้เสียเวลา

“พี่มี่เอ๋อร์…” หวงเซียวเซียงคุกเข่าลงไปอย่างคาดไม่ถึง ก่อนจะกล่าวอ้อนวอน “ขอท่านได้โปรดเข้าใจ ยอมเมตตาพวกเราเถิดนะ!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้ปลีกตัวหลบ มองหวงเซียวเซียงด้วยท่าทีสบายๆ “คุณหนูหวงอย่าได้ทำเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควรเช่นนี้เลย ข้าไม่อาจเพียงเพราะว่าเจ้าคุกเข่าก็ไปขอร้องสามีให้รั้งพวกเจ้าไว้ได้หรอก ยิ่งไม่อาจเพราะการคุกเข่านี้ก็ไปขอสามีให้รับพวกเจ้าเข้าตระกูล แม้ข้าจะไม่ได้เป็นคนใจไม้ไส้ระกำ แต่ก็ไม่อาจสร้างปัญหาที่ไม่จบไม่สิ้นให้ตัวเองเพราะความใจอ่อนชั่ววูบหรอก”

หวงเซียวเซียงคุกเข่าอยู่บนพื้น จะลุกก็ไม่ได้ จะนั่งต่อไปก็ดูเหมือนจะไม่ควร อวี้เมิ่งเหยาเห็นดังนั้น จึงดึงนางขึ้นมาทันที “พี่หวง มีคนตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะกำจัดพวกเราออกไป ท่านขอร้องนางไปก็ไม่มีประโยชน์!”

“คุณหนูอวี้โปรดระวังคำพูดด้วย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองทั้งสองคน “เป็นพวกเจ้าที่บุกเข้ามาในครอบครัวของข้า คิดอยาก จะแย่งชิงสามีของข้า เป็นพวกเจ้าที่เอาแต่หยั่งเชิงข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งยังเป็นพวกเจ้าที่แอบลอบวางแผน คิดจะทำร้ายข้าให้ถึงตาย ยามนี้แผนร้ายทั้งหมดไม่อาจทำสำเร็จก็มาพูดว่าข้าอยากจะกำจัดพวกเจ้าเสียอย่างนั้น? ช่างน่าขัน หรือว่าข้าได้วางแผนร้ายอะไรพาพวกเจ้าให้เข้ามาในตระกูลซั่งกวนอย่างนั้นรึ? ข้าใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลดีๆ จะเชิญนางมารร้ายอย่างท่านทั้งสองคนเข้ามาทำไมกัน?”

“พี่มี่เอ๋อร์ พวกเราไม่ได้คิดที่จะทำร้ายท่าน ทั้งไม่มีความคิดที่จะแทนที่ท่านด้วยเช่นกัน พวกเราเพียงแค่ชื่นชอบพี่เจวี๋ย อย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ก็เท่านั้น!” หวงเซียวเซียงขืนตัวออกจากมือของอวี้เมิ่งเหยา คุกเข่าลงไปอีกครั้ง “พวกเราเพียงขอร้องท่านให้พวกเราได้สามารถอยู่ข้างกายพี่เจวี๋ยได้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ได้ต้องการสิ่งอื่นใดมากไปกว่านี้!”

“นี่นับว่าเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จนใจหรือเปล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองใบหน้าที่น่าสงสารของหวงเซียวเซียง นึกไปถึงคำพูดที่ยอมจำนนนั้นของสือหย่าฉีก็ยิ้มเย็นออกมา “คุณหนูหวงไม่ใช่พูดหรือว่าไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย แค่อยากได้ตำแหน่งภรรยารอง? จู่ๆ เหตุใดจึงไม่ขอร้องตำแหน่งนั้น แต่ขอแค่เพียงเข้ามาในตระกูลได้ก็พอแล้วเล่า?”

“พี่มี่เอ๋อร์ ท่านต้องเข้าใจผิดแน่ๆ!” หวงเซียวเซียงจิกไปที่ต้นขาของตนเองอย่างแรง น้ำตาค่อยๆ รินไหลออกมา ร้องไห้ครวญคราง ดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก

“คุณหนูหวง อย่าได้ใช้แรงเกินไปนัก! ผิวของผู้หญิงทุกตารางนิ้วย่อมต้องให้ความดูแลเอาใจใส่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองหวงเซียวเซียงอย่างเรียบเย็น จะร้องไห้ก็ยังต้องใช้วิธีช่วยเช่นนี้ นางจะโง่เกินไปหน่อยแล้วกระมัง!

ซั่งกวนเจวี๋ยพยายามกัดฟันแน่นไม่ให้หัวเราะออกมา มี่เอ๋อร์หลักแหลมเกินไปแล้วจริงๆ!

“เจ้ารังแกคนเกินไปแล้ว แม้แต่ทางเลือกเดียวก็ไม่เหลือให้สักนิด!” อวี้เมิ่งเหยาข่มเสียงกล่าวไปยังเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างโมโห หากไม่ใช่เพราะกังวลว่าสาวใช้พวกนั้นจะพุ่งเข้ามายุ่งวุ่นวาย นางก็คงจะไม่อดกลั้นไว้อย่างนี้หรอก

“ข้ารังแกคนเกินไป? ใช่รึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองทั้งสองคนที่เล่นละครอย่างใจเย็น พวกนางมีท่าทีแตกต่างจากวันปกติโดยสิ้นเชิง แสร้งทำเป็นบอบบางอ่อนโยน ข้อบ่งพร่องมากมายเช่นนี้ แผนที่ไม่มีชั้นเชิงถึงขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่อาจชนะได้

“หากกล่าวว่าข้าไม่มีเมตตา นั่นก็เป็นพวกเจ้าที่รนหาที่เอง การเสียหน้าทั้งหมดในวันนี้ล้วนเป็นเพราะพวกเจ้าที่หาเหาใส่หัวตัวเอง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองทั้งสองคนอย่างขบขัน “ตระกูลซั่งกวนต้องรักษาหน้าตา จำเป็นต้องมีความใจกว้าง ดังนั้นข้าจึงข่มกลั้นความโมโหและความไม่เป็นธรรมเอาไว้ สืบหามือมืดนั้นไม่เจอก็ยอมที่จะปล่อยมือสังหารไป ทั้งไม่ต้องการให้สามีทำเรื่องให้บานปลาย ยิ่งไปกว่านั้นก็ต้องไว้หน้าให้พวกเจ้า ให้พวกเจ้าได้มีเวลาคิด รู้ผิดรู้ถูกด้วยตนเองแล้วจากไป แต่เสียดายที่กลับมีคนไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา”

“พวกเราได้ละทิ้งศักดิ์ศรีไปหมดแล้ว เพียงแค่ขอตำแหน่งที่ว่างอยู่ข้างกายพี่เจวี๋ย เช่นนี้ท่านก็ให้พวกเราไม่ได้หรือ?” หวงเซียวเซียงน้ำตาคลอ แต่นางก็ไม่ได้จิกขาตัวเองอีกแล้ว

“ข้าไม่อาจทำเรื่องดั่งเช่นเลี้ยงลูกเสือลูกตะเข้ได้หรอก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวมองพวกนาง “ข้าไม่ใช่ท่านแม่ที่จะเก็บคนที่มีใจคิดร้ายไว้ข้างกายเพราะความใจอ่อนเพียงชั่ววูบ ทำให้เกิดเป็นภัยต่อตัวเองในภายหลัง ยามนี้เป็นเพราะพวกเจ้าไม่มีทาง เลือกที่ดีกว่านี้ ดังนั้นจึงยอมก้มหน้ารับความต้อยต่ำ แต่ข้านั้นไม่ยินดี! อย่างไรพวกเจ้าก็จากไปอย่างเงียบๆ เถิด ข้าไม่อยากจะฉีกหน้าพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายจนย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี!”

“ฮูหยินใหญ่พูดมามิมีผิด เจ้าเป็นคนใจแคบ ไม่มีจิตใจคิดเมตตา!” ครั้งนี้หวงเซียวเซียงไม่จำเป็นต้องให้อวี้เมิ่งเหยามาพยุงก็ลุกขึ้นเอง เผชิญหน้ากับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ถือทิฐิอย่างไม่ยอม นางไร้ทางที่จะต่อกร

“ไม่มีภรรยาคนไหนที่จะชอบอนุภรรยาของสามีได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยอมรับว่าตนหึงหวง

“เจ้ามันขี้อิจฉา ทำผิดกฎเจ็ดขับ[1] ชัดๆ!” หวงเซียวเซียงกล่าวอย่างดุดัน “หากพี่เจวี๋ยรู้เข้า เขาย่อมต้องผิดหวังเป็นอย่างมากแน่!”

“อย่างนั้นรึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผินหน้าเล็กน้อย กล่าวยิ้มๆ “บางทีอาจจะเป็นเช่นนั้น! แต่ข้าไม่คิดที่จะขัดคำสั่งใจของตนเอง ถึงแม้ว่าสามีจะอยู่ที่นี่ ข้าก็จะพูดเช่นนี้อยู่ดี ข้าคิดว่าสามีย่อมต้องเข้าใจ!”

“ความขี้อิจฉาของภรรยาเอกเป็นเรื่องที่น่ากลัว!” หวงเซียวเซียงมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเยือกเย็น “นางย่อมไม่อาจเมตตาอนุภรรยาหรือเมียบ่าวของสามี สรรหาสารพัดวิธีมาทำร้ายคนที่น่าสงสารเหล่านั้น”

“เจ้ากล่าวผิดแล้ว อิจฉานั้นไม่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวคือปล่อยให้ความอิจฉามาทำลายจิตใจที่ดีของตนเองต่างหาก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองนางที่ประกายสายตาวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผยยิ้มอย่างเรียบนิ่งและงดงามอย่างถึงที่สุด “หากแม้แต่ความอิจฉาหึงหวงก็ยังไม่มี นั่นก็พิสูจน์ได้เพียงว่าสามีภรรยานั้นหมดรักกันแล้ว หากอย่างน้อยที่สุดแม้แต่ความอิจฉาหึงหวงล้วนไม่มี สามีนั้นย่อมไม่ผิดหวัง แต่ควรจะเสียใจ กระนั้นความอิจฉาก็ไม่อาจทำร้ายจิตใจเดิมของข้าได้ นี่จึงจะสำคัญที่สุด! คุณหนูหวง ประสบการณ์ของเจ้านั้นกว้างไกลกว่าข้ามาก แต่ความรู้ของเจ้ากลับตื้นเขินเสียจริง!”

“ดังนั้นเจ้าจึงคิดวิธีบีบน้องหย่าฉีให้จากไป หลังจากนั้นก็ไล่ต้อนพวกเราต่อ!” อวี้เมิ่งเหยามองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเย็นเยียบ “ก็เพราะว่าเจ้าไม่อาจยอมให้ข้างกายของพี่เจวี๋ยมีผู้หญิงคนอื่นได้ใช่หรือไม่?”

“คุณหนูสื่อเพราะว่าจู่ๆ ก็เข้าใจถึงความเป็นจริงขึ้นมาจึงได้ยอมจากไป รักษาหน้าตาตนเองครั้งสุดท้ายเอาไว้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะ “อย่าได้ประเมินตัวเองสูงเกินไป พวกเจ้าไม่มีค่าพอที่จะให้ข้าลงมือ ทั้งไล่ต้อนให้พวกเจ้าออกไปสักนิด! พวกเจ้ารู้หรือไม่? แท้จริงแล้วในยามที่พวกเจ้ายังไม่เข้าตระกูลซั่งกวนมา ข้าก็ได้รับรู้การมีอยู่ของพวกเจ้าแล้ว เวลานั้นหากข้าคิดแค่เพียงประโยคเดียว เกรงว่าแม้แต่ประตูพวกเจ้าก็ยังจะเข้ามาไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการร้องโวยวายต่อหน้าข้า!”

“ดังนั้น ยามนี้เจ้าจะยังคงลงมือต่อกรกับพวกเราอย่างนั้นรึ?” หวงเซียวเซียงรีบคว้าโอกาส

“ไม่ พวกเจ้าไม่คู่ควร!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวทั้งมองพวกนาง “เพราะเหตุผลเดียวง่ายๆ นั่นก็คือในใจของสามีเดิมทีก็ไม่มีพวกเจ้า ข้าไม่มีความจำเป็นต้องทำเรื่องราวใหญ่โตกับผู้หญิงทั้งสองคนที่ไม่ได้สลักสำคัญอันใดกับสามี ให้ตัวเองต้องเสียแรงกายแรงใจโดยเปล่าประโยชน์ ผู้ชายนั้นอยากรู้อยากเห็น หากสามีรู้ว่าข้าลงมือกับผู้หญิงที่แทบเทียบไม่ได้อันใดกับตนเอง เขาจะคิดอย่างไร? จะคิดว่าข้าไม่มีความเมตตา จะอยากรู้อยากเห็นว่าพวกเจ้ามีเสน่ห์อันใดจึงทำให้ข้าคิดดั่งเป็นศัตรูเช่นนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน ก็ล้วนไม่ดีกับข้า ดังนั้นเหตุใดข้าจะต้องทำเป็นคนใจแคบด้วยเล่า?”

พูดได้ดี! ซั่งกวนเจวี๋ยผงกศีรษะ ความคิดและสติปัญญาเช่นนี้จึงจะสามารถอยู่ในตำแหน่งสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนได้!

“หากพูดว่าพี่เจวี๋ยมีท่าทีชอบพวกเราอยู่เล็กน้อย เจ้าก็จะลงมือใช่หรือไม่?” หวงเซียวเซียงคิดไปเองว่าได้จับจุดอ่อนของเยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้ว

“ใช่! หากเวลานั้นสามีแสดงท่าทีออกมาว่าชอบพวกเจ้าเล็กน้อยแล้วล่ะก็ ข้าย่อมไม่อาจมองข้ามพวกเจ้าได้เช่นนี้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดตรงๆ พลางมองพวกนาง นางย่อมทำให้พวกนางฆ่าฟันกันเองก่อน หลังจากนั้นก็จะพยายามบังคับความรู้สึกของตนเอง จากไปโดยไม่เหลือเยื่อใยสักนิด ไม่ทำให้ตนเองตกมาอยู่ในศึกชิงรักที่น่าเบื่อและวนเวียนอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ว่า

ไม่อาจจะพูดเช่นนี้ออกมาได้ ดังนั้น นางจึงกล่าวด้วยแฝงความเสียใจ “ข้าย่อมเป็นฝ่ายรับพวกเจ้าเข้าตระกูล เป็นฝ่ายให้ตำแหน่งอนุภรรยากับพวกเจ้าก่อน…บางทีอาจจะทำให้ข้าเสียใจ ทำให้ข้าเจ็บปวดจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ แต่ข้าไม่เชื่อว่าสามีจะรั้งอยู่ข้างกายพวกเจ้าไม่ยอมไปไหนเสียทีเดียว กลับกัน สามีจะพบถึงความแตกต่างระหว่างพวกเจ้ากับข้าอย่างง่ายดาย ไม่เร็วก็ช้าพวกเจ้าก็จะกลายเป็นคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ผู้ที่สามารถอยู่เคียงข้างกายสามีได้ตลอดไปก็ยังคงเป็นข้าเท่านั้น!”

“ตั้งแต่เริ่มพวกเจ้าก็ถูกกำหนดให้เป็นผู้แพ้แล้ว เพราะว่าในใจของสามีนั้นไม่มีพวกเจ้า และถึงแม้จะมี ก็เป็นเพียงความรู้สึกที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ สิ่งที่พวกเจ้าสนใจก็เป็นเพียงความร่ำรวยและชื่อเสียงที่สามีสามารถเชิดหน้าชูตาพวกเจ้าได้เท่านั้น ข้าคิดว่าสามีกระจ่างใจถึงจุดนี้ดี ดังนั้นแม้ว่าสามีจะรับพวกเจ้าเข้าตระกูล แต่ก็ไม่อาจเป็นเหมือนที่พวกเจ้าคิดเช่นนั้น ที่จะเติมเต็มความโลภของพวกเจ้าได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองพวกนาง เผยใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงจัง “อย่างไรพวกเจ้าก็ควรนึกถึงความเป็นจริง รักษาหน้าครั้งสุดท้ายไว้สักนิดเถิด!”

“พี่หวง ทำอย่างไรดี?” เมื่อเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์หมุนกายออกไปจากศาลา อวี้เมิ่งเหยาก็รู้สึกว่าการกระทำนี้ของทั้งสองคนไม่เพียงแต่จะเปิดโอกาสให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์แสดงความในใจต่อซั่งกวนเจวี๋ย แต่ยังเป็นการกระทำลำบากตนเองแทนคนอื่นอีก

“พวกเจ้ายังอยากจะพูดอะไรอีก?” ซั่งกวนเจวี๋ยเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์จากไปไกลแล้ว ก็กระโดดลงมาจากศาลา “ยามนี้พวกเจ้าคงไม่มีอะไรจะพูดแล้วกระมัง? ก็เหมือนดั่งที่มี่เอ๋อร์ว่า หลงเหลือเกียรติครั้งสุดท้ายให้ตนเอง อย่าได้ทำเรื่องอันใดอีกแล้ว!”

“พี่เจวี๋ย…” ในใจของหวงเซียวเซียงเต็มไปด้วยความขมขื่น “นางต้องรู้ว่าท่านอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงจงใจพูดเช่นนี้!”

“จากนั้นล่ะ?” ซั่งกวนเจวี๋ยสั่นศีรษะ “พวกเจ้าก็พอแค่นี้เถิด อย่าได้ทำจนถึงกระทั่งมิตรภาพระหว่างกันก็ล้วนไม่เหลือเลย พวกเราในยามนี้ยังนับได้ว่าเป็นสหาย!”

“พี่หวง…” อวี้เมิ่งเหยาเห็นแผ่นหลังของซั่งกวนเจวี๋ยที่เดินจากไปอย่างรวดเร็ว ก็กล่าวทั้งทอดถอนหายใจ “ข้าว่า ตั้งแต่แรกพวกเราก็ไม่ควรจะกลับมาที่นี่!”

———————————-

[1] กฎเจ็ดขับ คือเจ็ดเหตุผลในการขับไล่ภรรยาหรือขอหย่าภรรยาในสมัยโบราณ หนึ่งคือไม่เคารพต่อบิดามารดาของสามี สองคือไร้ทายาทสืบสกุล สามคือคบชู้ สี่คือขี้อิจฉาริษยา ห้าคือเป็นโรคร้ายแรง หกคือปากคอเราะร้าย เจ็ดคือชอบลักขโมย

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 119 การเผชิญหน้าครั้งสุดท้าย (2)

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 119 การเผชิญหน้าครั้งสุดท้าย (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ข้าไม่เอาชีวิตของข้ามาเดิมพันใส่ร้ายเจ้าหรอก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใจวูบไหวเล็กน้อย หรือพวกนางจะพบอะไรแปลกๆ เข้าแล้ว? ไม่ก็บางทีชายเสื้อคลุมที่อยู่หลังต้นไม้ในวันนั้นไม่ใช่หนึ่งในพวกนาง? ทว่าใบหน้ากลับไม่ปรากฏท่าทีผิดปกติให้เห็นแม้แต่น้อย เผยเพียงความเรียบนิ่ง “จะเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือก็ต้องดูฝ่ายตรงข้ามด้วย แม้ว่าคุณหนูอวี้จะมีสกุลว่าอวี้(หยก) แต่ก็เป็นเพียงก้อนกรวดเท่านั้น!”

“เจ้า…” อวี้เมิ่งเหยาถูกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ต่อว่าอย่างไม่เกรงใจ หากไม่ใช่เพราะคนบนศาลา นางก็คงบันดาลโทสะไปนานแล้ว แต่ยามนี้นางกลับต้องรักษาท่าทีน่าโมโหนี้เอาไว้

“เจ้าไม่คิดว่าอย่างนั้นหรอกรึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หันหน้าหนีอวี้เมิ่งเหยาที่เผยหน้าบูดบึ้งอย่างรังเกียจ “คุณหนูอวี้ เจ้าบอกว่าตัวเองเป็นคนแบบไหนนะ? คนที่แม้แต่นิสัยที่แท้จริงของตนก็ล้วนไม่กล้าเผยออกมานับเป็นอันใดกัน? ยโสโอหัง? สูงส่งและมีจิตใจงดงาม? ใครก็ดูออกทั้งนั้นว่าที่เจ้าทำมันก็เป็นเพียงการเสแสร้ง ต้องฝืนใช้ชีวิตอยู่เช่นนี้เหนื่อยหรือไม่เล่า?”

“แล้วเจ้าล่ะ? เวลาอยู่ต่อหน้าพี่เจวี๋ยก็แสร้งทำเป็นอ่อนโยนออกมาไม่เหนื่อยหรือไร?” อวี้เมิ่งเหยาเปล่งเสียงดังออกมาอย่างสูญเสียการควบคุม คาดไม่ถึงว่าผู้หญิงจอมปลอมอย่างนางจะกล้าพูดเช่นนี้!

“ผู้หญิงทุกคนก็ล้วนมีด้านที่นุ่มนวลอ่อนโยน แน่นอนว่าผู้หญิงทุกคนก็มีด้านที่ห้าวหาญเช่นกัน สามีดูแลเอาใจใส่ข้าเป็นอย่างดี ข้ามีความจำเป็นต้องทำตัวประหนึ่งเป็นเม่นหรืออย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้ม เผยแววตาที่ดูสูงส่งมองไปยังอวี้เมิ่งเหยา “คุณหนูอวี้ ยามที่อยู่ต่อหน้าชายที่รักของตนเอง ผู้หญิงทุกคนก็ล้วนมีความอ่อนโยนกันทั้งนั้น เจ้าไม่เคยมีคนที่รัก ทั้งไม่เคยถูกคนรักอย่างจริงใจเช่นกัน จะไม่เข้าใจก็ไม่แปลกอันใด”

อวี้เมิ่งเหยาอยากจะกระอักเลือดออกมา ผ่านมาครึ่งค่อนวันแล้ว แม้ปากของเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะพูดออกมาไม่หยุด กระนั้นกลับไม่มีคำพูดที่เป็นประโยชน์สักประโยคเดียว นางถลึงตามองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ อับจนหนทางแล้วจริงๆ

“ขออภัย ข้ามาช้าเสียแล้ว!” การมาถึงของหวงเซียวเซียงนับว่าได้ช่วยอวี้เมิ่งเหยาออกมาจากสถานการณ์เลวร้ายพอดี เมื่อเห็นท่าทีพ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่าของอวี้เมิ่งเหยา นางก็รู้ทันทีว่าเจองานยากเข้าให้แล้ว

“เอาเถิด ทั้งสองท่านมาถึงแล้ว มีอะไรจะพูดก็รีบพูดมาเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่อยากพูดคุยกับพวกนางนานนัก เรื่องพวกนี้ควรพยายามจบเรื่องให้เร็วที่สุด ไม่ควรยืดเยื้อให้เสียเวลา

“พี่มี่เอ๋อร์…” หวงเซียวเซียงคุกเข่าลงไปอย่างคาดไม่ถึง ก่อนจะกล่าวอ้อนวอน “ขอท่านได้โปรดเข้าใจ ยอมเมตตาพวกเราเถิดนะ!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้ปลีกตัวหลบ มองหวงเซียวเซียงด้วยท่าทีสบายๆ “คุณหนูหวงอย่าได้ทำเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควรเช่นนี้เลย ข้าไม่อาจเพียงเพราะว่าเจ้าคุกเข่าก็ไปขอร้องสามีให้รั้งพวกเจ้าไว้ได้หรอก ยิ่งไม่อาจเพราะการคุกเข่านี้ก็ไปขอสามีให้รับพวกเจ้าเข้าตระกูล แม้ข้าจะไม่ได้เป็นคนใจไม้ไส้ระกำ แต่ก็ไม่อาจสร้างปัญหาที่ไม่จบไม่สิ้นให้ตัวเองเพราะความใจอ่อนชั่ววูบหรอก”

หวงเซียวเซียงคุกเข่าอยู่บนพื้น จะลุกก็ไม่ได้ จะนั่งต่อไปก็ดูเหมือนจะไม่ควร อวี้เมิ่งเหยาเห็นดังนั้น จึงดึงนางขึ้นมาทันที “พี่หวง มีคนตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะกำจัดพวกเราออกไป ท่านขอร้องนางไปก็ไม่มีประโยชน์!”

“คุณหนูอวี้โปรดระวังคำพูดด้วย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองทั้งสองคน “เป็นพวกเจ้าที่บุกเข้ามาในครอบครัวของข้า คิดอยาก จะแย่งชิงสามีของข้า เป็นพวกเจ้าที่เอาแต่หยั่งเชิงข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งยังเป็นพวกเจ้าที่แอบลอบวางแผน คิดจะทำร้ายข้าให้ถึงตาย ยามนี้แผนร้ายทั้งหมดไม่อาจทำสำเร็จก็มาพูดว่าข้าอยากจะกำจัดพวกเจ้าเสียอย่างนั้น? ช่างน่าขัน หรือว่าข้าได้วางแผนร้ายอะไรพาพวกเจ้าให้เข้ามาในตระกูลซั่งกวนอย่างนั้นรึ? ข้าใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลดีๆ จะเชิญนางมารร้ายอย่างท่านทั้งสองคนเข้ามาทำไมกัน?”

“พี่มี่เอ๋อร์ พวกเราไม่ได้คิดที่จะทำร้ายท่าน ทั้งไม่มีความคิดที่จะแทนที่ท่านด้วยเช่นกัน พวกเราเพียงแค่ชื่นชอบพี่เจวี๋ย อย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ก็เท่านั้น!” หวงเซียวเซียงขืนตัวออกจากมือของอวี้เมิ่งเหยา คุกเข่าลงไปอีกครั้ง “พวกเราเพียงขอร้องท่านให้พวกเราได้สามารถอยู่ข้างกายพี่เจวี๋ยได้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ได้ต้องการสิ่งอื่นใดมากไปกว่านี้!”

“นี่นับว่าเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จนใจหรือเปล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองใบหน้าที่น่าสงสารของหวงเซียวเซียง นึกไปถึงคำพูดที่ยอมจำนนนั้นของสือหย่าฉีก็ยิ้มเย็นออกมา “คุณหนูหวงไม่ใช่พูดหรือว่าไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย แค่อยากได้ตำแหน่งภรรยารอง? จู่ๆ เหตุใดจึงไม่ขอร้องตำแหน่งนั้น แต่ขอแค่เพียงเข้ามาในตระกูลได้ก็พอแล้วเล่า?”

“พี่มี่เอ๋อร์ ท่านต้องเข้าใจผิดแน่ๆ!” หวงเซียวเซียงจิกไปที่ต้นขาของตนเองอย่างแรง น้ำตาค่อยๆ รินไหลออกมา ร้องไห้ครวญคราง ดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก

“คุณหนูหวง อย่าได้ใช้แรงเกินไปนัก! ผิวของผู้หญิงทุกตารางนิ้วย่อมต้องให้ความดูแลเอาใจใส่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองหวงเซียวเซียงอย่างเรียบเย็น จะร้องไห้ก็ยังต้องใช้วิธีช่วยเช่นนี้ นางจะโง่เกินไปหน่อยแล้วกระมัง!

ซั่งกวนเจวี๋ยพยายามกัดฟันแน่นไม่ให้หัวเราะออกมา มี่เอ๋อร์หลักแหลมเกินไปแล้วจริงๆ!

“เจ้ารังแกคนเกินไปแล้ว แม้แต่ทางเลือกเดียวก็ไม่เหลือให้สักนิด!” อวี้เมิ่งเหยาข่มเสียงกล่าวไปยังเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างโมโห หากไม่ใช่เพราะกังวลว่าสาวใช้พวกนั้นจะพุ่งเข้ามายุ่งวุ่นวาย นางก็คงจะไม่อดกลั้นไว้อย่างนี้หรอก

“ข้ารังแกคนเกินไป? ใช่รึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองทั้งสองคนที่เล่นละครอย่างใจเย็น พวกนางมีท่าทีแตกต่างจากวันปกติโดยสิ้นเชิง แสร้งทำเป็นบอบบางอ่อนโยน ข้อบ่งพร่องมากมายเช่นนี้ แผนที่ไม่มีชั้นเชิงถึงขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่อาจชนะได้

“หากกล่าวว่าข้าไม่มีเมตตา นั่นก็เป็นพวกเจ้าที่รนหาที่เอง การเสียหน้าทั้งหมดในวันนี้ล้วนเป็นเพราะพวกเจ้าที่หาเหาใส่หัวตัวเอง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองทั้งสองคนอย่างขบขัน “ตระกูลซั่งกวนต้องรักษาหน้าตา จำเป็นต้องมีความใจกว้าง ดังนั้นข้าจึงข่มกลั้นความโมโหและความไม่เป็นธรรมเอาไว้ สืบหามือมืดนั้นไม่เจอก็ยอมที่จะปล่อยมือสังหารไป ทั้งไม่ต้องการให้สามีทำเรื่องให้บานปลาย ยิ่งไปกว่านั้นก็ต้องไว้หน้าให้พวกเจ้า ให้พวกเจ้าได้มีเวลาคิด รู้ผิดรู้ถูกด้วยตนเองแล้วจากไป แต่เสียดายที่กลับมีคนไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา”

“พวกเราได้ละทิ้งศักดิ์ศรีไปหมดแล้ว เพียงแค่ขอตำแหน่งที่ว่างอยู่ข้างกายพี่เจวี๋ย เช่นนี้ท่านก็ให้พวกเราไม่ได้หรือ?” หวงเซียวเซียงน้ำตาคลอ แต่นางก็ไม่ได้จิกขาตัวเองอีกแล้ว

“ข้าไม่อาจทำเรื่องดั่งเช่นเลี้ยงลูกเสือลูกตะเข้ได้หรอก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวมองพวกนาง “ข้าไม่ใช่ท่านแม่ที่จะเก็บคนที่มีใจคิดร้ายไว้ข้างกายเพราะความใจอ่อนเพียงชั่ววูบ ทำให้เกิดเป็นภัยต่อตัวเองในภายหลัง ยามนี้เป็นเพราะพวกเจ้าไม่มีทาง เลือกที่ดีกว่านี้ ดังนั้นจึงยอมก้มหน้ารับความต้อยต่ำ แต่ข้านั้นไม่ยินดี! อย่างไรพวกเจ้าก็จากไปอย่างเงียบๆ เถิด ข้าไม่อยากจะฉีกหน้าพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายจนย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี!”

“ฮูหยินใหญ่พูดมามิมีผิด เจ้าเป็นคนใจแคบ ไม่มีจิตใจคิดเมตตา!” ครั้งนี้หวงเซียวเซียงไม่จำเป็นต้องให้อวี้เมิ่งเหยามาพยุงก็ลุกขึ้นเอง เผชิญหน้ากับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ถือทิฐิอย่างไม่ยอม นางไร้ทางที่จะต่อกร

“ไม่มีภรรยาคนไหนที่จะชอบอนุภรรยาของสามีได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยอมรับว่าตนหึงหวง

“เจ้ามันขี้อิจฉา ทำผิดกฎเจ็ดขับ[1] ชัดๆ!” หวงเซียวเซียงกล่าวอย่างดุดัน “หากพี่เจวี๋ยรู้เข้า เขาย่อมต้องผิดหวังเป็นอย่างมากแน่!”

“อย่างนั้นรึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผินหน้าเล็กน้อย กล่าวยิ้มๆ “บางทีอาจจะเป็นเช่นนั้น! แต่ข้าไม่คิดที่จะขัดคำสั่งใจของตนเอง ถึงแม้ว่าสามีจะอยู่ที่นี่ ข้าก็จะพูดเช่นนี้อยู่ดี ข้าคิดว่าสามีย่อมต้องเข้าใจ!”

“ความขี้อิจฉาของภรรยาเอกเป็นเรื่องที่น่ากลัว!” หวงเซียวเซียงมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเยือกเย็น “นางย่อมไม่อาจเมตตาอนุภรรยาหรือเมียบ่าวของสามี สรรหาสารพัดวิธีมาทำร้ายคนที่น่าสงสารเหล่านั้น”

“เจ้ากล่าวผิดแล้ว อิจฉานั้นไม่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวคือปล่อยให้ความอิจฉามาทำลายจิตใจที่ดีของตนเองต่างหาก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองนางที่ประกายสายตาวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผยยิ้มอย่างเรียบนิ่งและงดงามอย่างถึงที่สุด “หากแม้แต่ความอิจฉาหึงหวงก็ยังไม่มี นั่นก็พิสูจน์ได้เพียงว่าสามีภรรยานั้นหมดรักกันแล้ว หากอย่างน้อยที่สุดแม้แต่ความอิจฉาหึงหวงล้วนไม่มี สามีนั้นย่อมไม่ผิดหวัง แต่ควรจะเสียใจ กระนั้นความอิจฉาก็ไม่อาจทำร้ายจิตใจเดิมของข้าได้ นี่จึงจะสำคัญที่สุด! คุณหนูหวง ประสบการณ์ของเจ้านั้นกว้างไกลกว่าข้ามาก แต่ความรู้ของเจ้ากลับตื้นเขินเสียจริง!”

“ดังนั้นเจ้าจึงคิดวิธีบีบน้องหย่าฉีให้จากไป หลังจากนั้นก็ไล่ต้อนพวกเราต่อ!” อวี้เมิ่งเหยามองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเย็นเยียบ “ก็เพราะว่าเจ้าไม่อาจยอมให้ข้างกายของพี่เจวี๋ยมีผู้หญิงคนอื่นได้ใช่หรือไม่?”

“คุณหนูสื่อเพราะว่าจู่ๆ ก็เข้าใจถึงความเป็นจริงขึ้นมาจึงได้ยอมจากไป รักษาหน้าตาตนเองครั้งสุดท้ายเอาไว้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะ “อย่าได้ประเมินตัวเองสูงเกินไป พวกเจ้าไม่มีค่าพอที่จะให้ข้าลงมือ ทั้งไล่ต้อนให้พวกเจ้าออกไปสักนิด! พวกเจ้ารู้หรือไม่? แท้จริงแล้วในยามที่พวกเจ้ายังไม่เข้าตระกูลซั่งกวนมา ข้าก็ได้รับรู้การมีอยู่ของพวกเจ้าแล้ว เวลานั้นหากข้าคิดแค่เพียงประโยคเดียว เกรงว่าแม้แต่ประตูพวกเจ้าก็ยังจะเข้ามาไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการร้องโวยวายต่อหน้าข้า!”

“ดังนั้น ยามนี้เจ้าจะยังคงลงมือต่อกรกับพวกเราอย่างนั้นรึ?” หวงเซียวเซียงรีบคว้าโอกาส

“ไม่ พวกเจ้าไม่คู่ควร!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวทั้งมองพวกนาง “เพราะเหตุผลเดียวง่ายๆ นั่นก็คือในใจของสามีเดิมทีก็ไม่มีพวกเจ้า ข้าไม่มีความจำเป็นต้องทำเรื่องราวใหญ่โตกับผู้หญิงทั้งสองคนที่ไม่ได้สลักสำคัญอันใดกับสามี ให้ตัวเองต้องเสียแรงกายแรงใจโดยเปล่าประโยชน์ ผู้ชายนั้นอยากรู้อยากเห็น หากสามีรู้ว่าข้าลงมือกับผู้หญิงที่แทบเทียบไม่ได้อันใดกับตนเอง เขาจะคิดอย่างไร? จะคิดว่าข้าไม่มีความเมตตา จะอยากรู้อยากเห็นว่าพวกเจ้ามีเสน่ห์อันใดจึงทำให้ข้าคิดดั่งเป็นศัตรูเช่นนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน ก็ล้วนไม่ดีกับข้า ดังนั้นเหตุใดข้าจะต้องทำเป็นคนใจแคบด้วยเล่า?”

พูดได้ดี! ซั่งกวนเจวี๋ยผงกศีรษะ ความคิดและสติปัญญาเช่นนี้จึงจะสามารถอยู่ในตำแหน่งสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนได้!

“หากพูดว่าพี่เจวี๋ยมีท่าทีชอบพวกเราอยู่เล็กน้อย เจ้าก็จะลงมือใช่หรือไม่?” หวงเซียวเซียงคิดไปเองว่าได้จับจุดอ่อนของเยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้ว

“ใช่! หากเวลานั้นสามีแสดงท่าทีออกมาว่าชอบพวกเจ้าเล็กน้อยแล้วล่ะก็ ข้าย่อมไม่อาจมองข้ามพวกเจ้าได้เช่นนี้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดตรงๆ พลางมองพวกนาง นางย่อมทำให้พวกนางฆ่าฟันกันเองก่อน หลังจากนั้นก็จะพยายามบังคับความรู้สึกของตนเอง จากไปโดยไม่เหลือเยื่อใยสักนิด ไม่ทำให้ตนเองตกมาอยู่ในศึกชิงรักที่น่าเบื่อและวนเวียนอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ว่า

ไม่อาจจะพูดเช่นนี้ออกมาได้ ดังนั้น นางจึงกล่าวด้วยแฝงความเสียใจ “ข้าย่อมเป็นฝ่ายรับพวกเจ้าเข้าตระกูล เป็นฝ่ายให้ตำแหน่งอนุภรรยากับพวกเจ้าก่อน…บางทีอาจจะทำให้ข้าเสียใจ ทำให้ข้าเจ็บปวดจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ แต่ข้าไม่เชื่อว่าสามีจะรั้งอยู่ข้างกายพวกเจ้าไม่ยอมไปไหนเสียทีเดียว กลับกัน สามีจะพบถึงความแตกต่างระหว่างพวกเจ้ากับข้าอย่างง่ายดาย ไม่เร็วก็ช้าพวกเจ้าก็จะกลายเป็นคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ผู้ที่สามารถอยู่เคียงข้างกายสามีได้ตลอดไปก็ยังคงเป็นข้าเท่านั้น!”

“ตั้งแต่เริ่มพวกเจ้าก็ถูกกำหนดให้เป็นผู้แพ้แล้ว เพราะว่าในใจของสามีนั้นไม่มีพวกเจ้า และถึงแม้จะมี ก็เป็นเพียงความรู้สึกที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ สิ่งที่พวกเจ้าสนใจก็เป็นเพียงความร่ำรวยและชื่อเสียงที่สามีสามารถเชิดหน้าชูตาพวกเจ้าได้เท่านั้น ข้าคิดว่าสามีกระจ่างใจถึงจุดนี้ดี ดังนั้นแม้ว่าสามีจะรับพวกเจ้าเข้าตระกูล แต่ก็ไม่อาจเป็นเหมือนที่พวกเจ้าคิดเช่นนั้น ที่จะเติมเต็มความโลภของพวกเจ้าได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองพวกนาง เผยใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงจัง “อย่างไรพวกเจ้าก็ควรนึกถึงความเป็นจริง รักษาหน้าครั้งสุดท้ายไว้สักนิดเถิด!”

“พี่หวง ทำอย่างไรดี?” เมื่อเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์หมุนกายออกไปจากศาลา อวี้เมิ่งเหยาก็รู้สึกว่าการกระทำนี้ของทั้งสองคนไม่เพียงแต่จะเปิดโอกาสให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์แสดงความในใจต่อซั่งกวนเจวี๋ย แต่ยังเป็นการกระทำลำบากตนเองแทนคนอื่นอีก

“พวกเจ้ายังอยากจะพูดอะไรอีก?” ซั่งกวนเจวี๋ยเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์จากไปไกลแล้ว ก็กระโดดลงมาจากศาลา “ยามนี้พวกเจ้าคงไม่มีอะไรจะพูดแล้วกระมัง? ก็เหมือนดั่งที่มี่เอ๋อร์ว่า หลงเหลือเกียรติครั้งสุดท้ายให้ตนเอง อย่าได้ทำเรื่องอันใดอีกแล้ว!”

“พี่เจวี๋ย…” ในใจของหวงเซียวเซียงเต็มไปด้วยความขมขื่น “นางต้องรู้ว่าท่านอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงจงใจพูดเช่นนี้!”

“จากนั้นล่ะ?” ซั่งกวนเจวี๋ยสั่นศีรษะ “พวกเจ้าก็พอแค่นี้เถิด อย่าได้ทำจนถึงกระทั่งมิตรภาพระหว่างกันก็ล้วนไม่เหลือเลย พวกเราในยามนี้ยังนับได้ว่าเป็นสหาย!”

“พี่หวง…” อวี้เมิ่งเหยาเห็นแผ่นหลังของซั่งกวนเจวี๋ยที่เดินจากไปอย่างรวดเร็ว ก็กล่าวทั้งทอดถอนหายใจ “ข้าว่า ตั้งแต่แรกพวกเราก็ไม่ควรจะกลับมาที่นี่!”

———————————-

[1] กฎเจ็ดขับ คือเจ็ดเหตุผลในการขับไล่ภรรยาหรือขอหย่าภรรยาในสมัยโบราณ หนึ่งคือไม่เคารพต่อบิดามารดาของสามี สองคือไร้ทายาทสืบสกุล สามคือคบชู้ สี่คือขี้อิจฉาริษยา ห้าคือเป็นโรคร้ายแรง หกคือปากคอเราะร้าย เจ็ดคือชอบลักขโมย

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+