เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 188 อินหงหลันหยั่งเชิงทดสอบ

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 188 อินหงหลันหยั่งเชิงทดสอบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในตอนรุ่งเช้ามีคนพบว่าเรือนเล็กแห่งหนึ่งในเมืองลี่โจวกลายเป็นนรกบนดินในชั่วข้ามคืน มีคนตายล้มลงกองกับพื้นทั้งในและนอกเรือน…ดูเหมือนจะไม่มากนัก แค่ยี่สิบหกคนเท่านั้นเอง เรือนหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ ผู้คนทั้งยี่สิบหกคนอาศัยอยู่ในเรือนนั้นดูแออัดเล็กน้อย และคนพวกนี้นอนอยู่ในเรือนซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่เกินไปกลายเป็นซากศพที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ทุกหนทุกแห่ง เรือนแห่งนี้ตั้งอยู่ในย่านที่เจริญรุ่งเรืองของลี่โจว และรายล้อมไปด้วยผู้คนที่ร่ำรวยและมีทรัพย์สินมากมาย ทว่าเมื่อคืนพวกเขากลับไม่ได้ยินอะไรเลย

การเสียชีวิตที่น่าอเนจอนาถยังทำให้เมืองลี่โจวเดือดพล่านถึงสองวัน ส่วนปิ่นปักผมที่หน้าอกทำให้หอยุทธภพอี้สื่อรจนาเขียน ‘ปีศาจปิ่นทอง’ ซึ่งไม่เป็นความจริงขึ้นและแตกแขนงเป็นชุดเรื่องราวความอาฆาตพยาบาท แน่นอนไม่ว่าจะเป็นผู้คนในยุทธภพหรือชาวบ้านร้านตลาด ล้วนเพียงแค่ฟังเรื่องราวที่หอยุทธภพอี้สื่อเล่าเป็นตำนานก็เท่านั้นเอง แต่ไม่มีใครถือเป็นจริงเป็นจัง

ทุกคนต่างคาดเดาว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร และใครเป็นฆาตกร มีคนไม่กี่คนที่สงสัยว่าเป็นตระกูลซั่งกวนด้วยอยู่แล้ว ถึงอย่างไรที่นี่คือลี่โจว เป็นเขตอิทธิพลที่ตระกูลซั่งกวนใช้มือปิดฟ้าควบคุมอยู่ กระนั้นจึงไม่มีใครในตระกูลซั่งกวนแสดงความคิด เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้และไม่ได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลซั่งกวน…คนเหล่านี้บุกทะลวงเข้าไปในเรือนหิมะสุขใจราวกับไม่มีคนอยู่ และเรื่องที่บังคับให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฆ่าตัวตายนั้นนอกจากคนที่ปฏิบัติหน้าที่เข้าเวรในเรือนหิมะสุขใจแล้วก็ไม่มีใครรู้ แม้แต่คนที่มาร่ำสุราและพูดคุยกับซั่งกวนเจวี๋ยในวันนั้นก็รู้เพียงว่าสะใภ้ใหญ่มีอาการป่วยกะทันหันเท่านั้น

ช่วงที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์หลับสลบไปพวกเขาก็มาเยี่ยมเยียนตามประสามิตรภาพ แต่ถูกอินหงหลันที่อยู่หน้าประตูไล่ออกไป พวกเขาล้วนรู้จักอินหงหลัน ต่างจงใจย่อมอ่อนข้อให้เขา…คนที่กินแต่พืชผักจะต้องปวดหัวตัวร้อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขุ่นเคืองใครก็ได้แต่อย่าทำให้แพทย์ขุ่นเคือง โดยเฉพาะแพทย์ที่มีตำแหน่งเป็น ‘หมอเทวดา’ แต่ก็ยังลอบสืบข่าวเองเป็นการส่วนตัว จึงได้ทราบว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ตั้งครรภ์ แต่น่าเสียดายที่บังเอิญสะดุดล้มในวันนั้น จำเป็นต้องพักผ่อนซึ่งทำให้พวกเขาเข้าใจว่าทำไมถึงไม่เห็นซั่งกวนเจวี๋ยเป็นเวลาสองวัน

ส่วนผู้คนที่รู้เรื่องนี้ต่างตกตะลึงกับวิธีการของตระกูลซั่งกวน…พวกเขาไม่คาดคิดว่าตระกูลซั่งกวนจะลงมือรวดเร็วขนาดนี้ จัดการคนเหล่านั้นรวดเดียวโดยไม่ต้องให้สัญญาณใดๆ เลย และให้พวกเขาแน่ใจว่าเป็นฝีมือของตระกูลซั่งกวนเพราะมีปิ่นปักผมเสียบที่หน้าอก ไม่ว่าจะถูกฆ่าตายแล้วหรือเหลือเพียงลมหายใจรวยรินก็ตาม จะถูกคนของตระกูลซั่งกวนเสียบปิ่นปักผมเข้าไปตรงหน้าอกโดยไม่มีข้อยกเว้น เนื่องจากปิ่นปักผมนั่นจะทำให้พวกเขารู้ว่า ตระกูลซั่งกวนเล่นงานคนเหล่านี้ที่ได้บุกเข้าไปในเรือนหิมะสุขใจแล้ว

ไม่มีใครเคยคิดจะล้างแค้นแบบนี้…คนพวกนั้นคิดแค่ว่าตระกูลซั่งกวนจะรู้หรือไม่ว่าตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย และพวกเขาจะหนีไปได้หรือไม่ ที่จริงพวกเขาไม่มีใครคิดริอ่านจะหลบหนี เพียงรอคำตัดสินที่ยังไม่รู้อย่างเงียบๆ แต่สิ่งที่พวกเขาประหลาดใจคือตระกูลซั่งกวนดูเหมือนจะพอใจแล้วหลังจากสังหารผู้คนในเรือนหลังเล็กจนเกลี้ยง ไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นใด ดังนั้นพวกเขาจึงคาดเดาอีกครั้ง…สะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนดูท่าจะไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบอย่างที่ข่าวเล่าลือกัน แต่มันก็เป็นความจริงเช่นกันเมื่อคนมอดม้วยตะเกียงดับลง นางตายไปแล้ว ตระกูลซั่งกวนจะต่อสู้เพื่อคนตายได้อย่างไรเล่า? ในวันที่เกิดเหตุ คนรับใช้ของตระกูลซั่งกวนมาเชิญซั่งกวนเจวี๋ยกลับไปที่เรือนหิมะสุขใจโดยอ้างว่าสะใภ้ใหญ่ป่วยกะทันหัน บางทีข่าวการเสียชีวิตของสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนจะออกมาในอีกสองวันกระมัง!

ก่อนที่พวกเขาจะแพร่สะพัดข่าวการเสียชีวิตของตระกูลซั่งกวน ก็ได้เตรียมตัวเตรียมใจจะไปแสดงความเสียใจ ขณะเดียวกันซั่งกวนเจวี๋ยก็พาภรรยาเดินผ่านถนนที่พลุกพล่านที่สุดของเมืองลี่โจวเพื่อเป็นการประโคมข่าว แล้วเมื่อกลับไปที่จวนชั้นในของตระกูลซั่งกวนข่าวก็แพร่ออกมา พวกเขาล้วนตกตะลึงอยู่พักใหญ่ จนได้ข้อสรุปว่า…คนโง่เง่าผู้นั้นต้องเป็นตัวแทนหรือสาวใช้ที่ถูกบังคับให้ตายเป็นแน่ ไม่เพียงเสียโอกาสที่หายากนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่ยังทำให้คนที่หนีไม่ทันเสียชีวิตอย่างน่าสังเวช ทั้งยังทำให้ตระกูลซั่งกวนเตรียมการป้องกันและความเป็นปรปักษ์ด้วย คนผู้นั้นน่าจะฆ่าตัวตายเป็นการไถ่โทษ

ดังนั้น จดหมายลับฉบับหนึ่งจึงออกมาจากลี่โจวไปถึงเซิ่งจิง ในขณะเดียวกันผู้ที่คิดว่าตนทำคุณงามความชอบก็ไปขอรางวัลกับเจ้านายเช่นเดียวกัน ส่วนคนที่ไปประทานรางวัลก็ได้มอบยาพิษที่ถูกผสมในจอกสุราให้

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้เรื่องนี้เหล่านี้ ต่อให้รู้ก็ทำได้เพียงแค่หัวเราะเท่านั้น ตอนนี้นางอยู่ในศาลาของสวนดอกไม้ เฝ้าดูหมอเทวดาจับชีพจรให้นางอย่างตื่นเต้น เขาพันไหมใสแวววาวสามเส้นไว้ที่ข้อมือตน อินหงหลันคิดว่ามีคนอื่นขวางหูขวางตา จึงไล่ทุกคนออกไป ส่วนนางจ้องมองด้วยดวงตาคู่โตที่สับสน สีหน้าท่าทางดูไร้เดียงสาอย่างยิ่ง นางพูดอย่างอธิบายไม่ถูกว่า “ท่านลุงอินพูดเรื่องอะไรกันแน่? เหตุใดข้าถึงฟังไม่เข้าใจเลยล่ะ?”

อินหงหลันอยากจะกระโดดเตะ อยากจะโกรธเกรี้ยว อยากจะบีบคอของเด็กสาวที่แสร้งโง่คนนี้ แล้วถามอย่างดุเดือด แต่เขาทำไม่ได้ สาวใช้เหล่านั้นไม่ได้ไปไหนไกล หากเขาขยับเขยื้อนท่าทางแปลกๆ มันจะส่งผลกระทบต่อนางแน่นอน ในท้าย ที่สุดเขาก็แค่ถอนหายใจแล้วพูดเน้นย้ำว่า “ใครถ่ายทอดวิชาหยกหอมให้แก่เจ้ากันแน่?”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกสับสนมากขึ้น และพูดอย่างค่อนข้างโง่เขลาว่า “วิชาหยกหอมอะไร มีไว้เพื่ออันใดกัน?”

“เจ้า!” อินหงหลันกัดฟันกรอดแล้วจ้องเขม็งมองนางอย่างดุดันว่า “ข้ารู้และเข้าใจเอกลักษณ์ของวิชาหยกหอมดีที่สุด รู้จักพลิกแพลงเส้นเอ็นและลักษณะพิเศษของลมปราณ ข้ารู้เหมือนหลับตาเห็น วิชาหยกหอมเป็นกำลังภายในที่ผู้หญิงฝึกฝนจะเหมาะสมที่สุด หลังจากฝึกได้ผลสำเร็จ ยามที่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงจะไม่มีการเดินลมปราณ ฉะนั้นร่างกายก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป นอกจากนี้ยังมีลมปราณเล็กน้อยซ่อนอยู่ใกล้กับอวัยวะสำคัญของร่างกาย เพื่อป้องกันการโจมตีอย่างกะทันหันระหว่างร่างกายบาดเจ็บ ตอนที่ไม่ได้สติสัมปชัญญะจะเริ่มซ่อมแซมบาดแผลให้เอง ก่อนที่เจ้าจะได้รับบาดเจ็บ ได้เดินลมปราณเหล่านี้ไปที่ท้องน้อย เพื่อป้องกันทารกในครรภ์ที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างในช่องท้อง แต่หลังจากสลบไสล ยังคงมีลมปราณกลุ่มหนึ่งไหล วนไปรอบๆ หน้าอกทางซ้ายโดยทันที เพื่อซ่อมแซมจุดที่บาดเจ็บ ข้าพูดถูกหรือไม่?”

ถูก! แต่ไฉนต้องยอมรับล่ะ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างขมขื่นพลางกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าท่านลุงอินพูดถึงอะไร? ข้าไม่เข้าใจเลย ข้ารู้ว่าท่านลุงอินช่วยข้าไว้ ข้าซาบซึ้งในพระคุณของท่านมากที่ช่วยชีวิต ถ้าข้ารู้ล่ะก็จะบอกท่านเป็นแน่!”

“ถ้าข้าไม่มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตเจ้า เจ้าก็จะไม่พูดใช่ไหม?” อินหงหลันขบฟัน นางรู้ดีว่าต่อให้จะไม่มีตน นางก็รอดพ้นจากอันตรายมาได้อย่างราบรื่น การจะมีตนหรือไม่ มันเป็นเพียงความแตกต่างของความทุกข์ในช่วงต้นกับที่นางจะทุกข์ทรมานมากขึ้นเท่านั้นเอง ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะตนใช้กำลังภายในของทั้งร่างจนเกือบหมด แล้วใช้เข็มทองทะลวงผ่านจุดชีพจรอย่างระมัดระวัง เพื่อให้เดินลมปราณในร่างกายของนางได้อย่างเรียบเนียน ทำให้นางดูดซับลมปราณจากตนที่ถ่ายเทให้นางในระหว่างหลับใหลไปจนหมดเกลี้ยง นางจะไม่สลบไปสองวันสองคืนเช่นนี้แน่

เขารู้ว่าตนทำเป็นเรื่องมาก เขาไม่เพียงให้นางจำความดีของตน แต่จะยอมรับตนได้ง่ายขึ้น แล้วบอกความจริงกับตน เพื่อจะพบนางที่เที่ยวพเนจรไปทั่วยุทธภพ เขาจึงไปร่วมสนุกที่งานประลองยุทธ์ประจำปี ในที่สุดก็ได้เบาะแสบางอย่าง…ฉะนั้นเขาจะไม่ใช้พลังงานทั้งหมดได้อย่างไรกันเล่า?

แล้วเป็นอย่างไรเล่า? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ค้อนกลอกตาในใจ สีหน้าขมขื่นมากขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าไม่ทราบจริงๆ ว่าท่านลุงอินอยากรู้อะไรกันแน่? ยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมท่านลุงอินมั่นใจนักและเอาแต่ถามว่าข้าเคยร่ำเรียนวรยุทธ์หรือเปล่า? ใครๆ ล้วนรู้ว่าข้าเป็นเพียงหญิงสาวผู้อ่อนแอที่ไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่ แต่ถ้ามีวรยุทธ์สักหน่อยก็คงจะไม่ถูกบังคับให้ฆ่าตัวตายหรอก”

“เจ้ายังจะปากแข็ง? เจ้าจะไม่บอกใช่ไหม?” อินหงหลันร้อนใจหัวหมุนติ้ว เป็นเวลาสิบสี่ปี สิบสี่ปีเต็มๆ! เหตุใดเบาะแสจึงดันมาตกอยู่กับคนผู้นี้ที่แสร้งทำเป็นเก่งได้มากกว่าเขากัน?

“ข้าไม่ทราบว่าท่านลุงอินตกลงจะถามอะไรข้า แล้วท่านจะให้ข้าบอกได้อย่างไรกันเล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยืนกรานกลยุทธ์แสร้งทำตัวทึ่ม นางไม่เข้าใจที่ท่านป้าเคยพูดไว้อย่างชัดเจนว่า วิชาหยกหอมเป็นทักษะที่นางช่ำชอง มีคนรู้จักเพียงเล็กน้อยไม่เกินสิบคน เหตุใดจึงมาพบคนหนึ่งในตระกูลซั่งกวนได้ และเข้าใจคุณสมบัติของวิชาหยกหอมอย่างลึกซึ้งเช่นนี้

“ก็เห็นอยู่ว่าข้ารักษาเจ้า หากไม่มีที่มาที่ไปก็จะรักษาลำบากเจ้าแค่บอกข้ามาเถอะ!” อินหงหลันแทบจะอ้อนวอนว่า “ใครเป็นคนสอนวิชาหยกหอมให้เจ้ากันแน่ เป็นหญิงแซ่อวี๋หรือเปล่า?”

แซ่อวี๋? ท่านป้าแซ่โม่ ไม่นะ! เยี่ยนมี่เอ๋อร์ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่เขาจะรู้จักกับท่านป้าอยู่ในใจ ใคร่ครวญแล้วก็น่าจะใช่ ถ้าท่านป้ายังมีชีวิตก็จะอยู่ในวัยสี่สิบต้นๆ แล้ว ในขณะที่อินหงหลันดูไม่ถึงสามสิบ อย่างน้อยก็ห่างกันสิบกว่าปี ไม่น่าจะเป็นคนรู้จักกระมัง!

“ใช่พี่อวี๋ฮวนหรือไม่?” อินหงหลันไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำอย่างไรดีกับผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ที่ถือทิฐิอย่างไม่ยอมลดละคนนี้ จะใช้ไม้แข็งดีหรือไม่? แต่นางกำลังตั้งครรภ์ และนางอาจจะเป็นลูกศิษย์ของผู้นั้น ต่อให้เขาจะใจกล้าบ้าบิ่นประหนึ่งเสือดาวสักสิบตัวก็ไม่กล้าแตะต้องนางแม้แต่ปลายก้อย หรือจะใช้ไม้อ่อน? แต่นางใช้วิชาแสร้งโง่ในระดับยอดเยี่ยม และเห็นได้ชัดว่าไม่อยากยอมรับ แล้วเขาจะพูดอะไรได้?

อวี๋ฮวน? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตกตะลึงจริงๆ ท่านป้าไม่ได้บอกชื่อแซ่กับใครนอกจากตน แม้แต่มารดาก็รู้แค่ว่าท่านป้าแซ่โม่ หรือว่าท่านป้าอาจจะไม่ได้แซ่โม่ แต่แซ่อวี๋ ตนก็ถูกท่านป้าหลอกด้วยหรือ?

“เป็นพี่อวี๋ฮวนจริงๆ ใช่ไหม?” อินหงหลันไม่พลาดสีหน้าแววตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ จึงถามด้วยความดีใจลิงโลด เขาจะปล่อยให้โอกาสใดๆ หลุดลอยไปไม่ได้ ถ้าไม่สามารถใช้โอกาสนี้ดึงอะไรบางอย่างออกมาจากหญิงสาวปากแข็งคนนี้ แล้วรอนางตั้งตัวได้ทันก็ยิ่งยากจะพูดตีสนิทด้วย

“ข้าไม่รู้จักคนแซ่อวี๋!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ยอมบอกความจริง ดูเหมือนจะไม่มีใครที่แซ่อวี๋อยู่รอบตัวนาง ทั้งเซียงเสวี่ยและตงอวี่เป็นเด็กที่ท่านป้ารับมาอุปการะตั้งแต่ยังเล็กมาก เซียงเสวี่ยใช้แซ่เยี่ยนตามตน ตงอวี่ใช้แซ่โม่ตามท่านป้า ไม่ได้แซ่อวี๋

“ข้าไม่มีเจตนาร้าย ไม่มีเจตนาร้ายแต่อย่างใดเลย! ไฉนเจ้าถึงเชื่อข้าไม่ได้ ไหนๆ ก็บอกความจริงมาสักหน่อยเถิด?” อินหงหลันอยากจะร้องไห้ ดวงตาของเขาแดงฉานจริงๆ แล้วพูดแกมเศร้าสร้อยว่า “พี่อวี๋ฮวนต่อให้จะไม่อยากเจอเพื่อนเก่าเลยก็ตาม กระนั้นก็อยากเจอข้า จริงๆ นะ!”

“แต่ข้าไม่รู้ว่าใครแซ่อวี๋จริงๆ นะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบแบบแฝงความจนใจและเจือความจริงใจอยู่บ้าง

“ไม่อย่างนั้นเอาแบบนี้…” อินหงหลันหยุดชั่วคราวพลางกล่าวว่า “ข้ารู้เคล็ดวิชากำลังภายในของวิชาหยกหอม ข้าท่องให้เจ้าฟังดีไหม? อีกอย่าง ข้ายังมีสูตรยาต่างๆ ของพรรคสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ในตอนนั้นอีกด้วย ซึ่งเป็นพี่อวี๋ฮวนที่ถ่ายทอดให้ข้าทั้ง หมดนั้นเลย ข้าเอามาให้เจ้าดูก็ได้ จริงสิ รายการสูตรยาเหล่านั้นพี่อวี๋ฮวนเขียนเองกับมือ เจ้าลองดูว่าจำลายมือได้หรือไม่?”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตกตะลึงพรึงเพริด พรรคสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์? อวี๋ฮวนที่เขาพร่ำพูดอยู่ในปากนั่นจะเป็นท่านป้าจริงหรือ?

“ท่านพ่อ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เคยเห็นหลายครั้งว่าซินหรันพาเด็กสองคนอายุเจ็ดแปดขวบเข้าไปในเรือนมีคู่ เด็กทั้งสองร้องเรียกอยู่ตั้งไกลแล้วรีบวิ่งเข้ามา ซินหรันระบายยิ้มแล้วเดินตามมาข้างหลังอย่างช้าๆ และเด็กคู่นี้ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นภาพลวงตาในทันใด รู้สึกว่าตนดูเหมือนจะเคยเห็นฉากแบบนี้ที่ไหนสักแห่ง แต่จำไม่ได้ชัดเจน

อินหงหลันรู้ว่าเขาไม่มีเวลาค้นหาความจริงแล้วจึงถอนหายใจบอกว่า “เจ้าลองคิดดูให้ดี ข้าจะอยู่ที่เรือนทางใต้ตลอด รอจนกว่าเจ้าจะเอ่ยปากพูด!”

“ท่านพ่อ ท่านพูดอะไรกับพี่สาวคนสวยผู้นี้ล่ะ?” เด็กหญิงตัวน้อยกระโจนตัวเข้าไปในอ้อมแขนของอินหงหลัน แล้วหัวเราะเฮฮา

“เรียกพี่สาวไม่ได้ ต้องเรียกว่าพี่สะใภ้สิ” อินหงหลันกระตุกมือเล็กน้อย เส้นไหมบนมือของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็กลับคืนสู่มือของเขาอย่างง่ายดาย เขาเก็บเส้นไหมตามปกติแล้วพูดว่า “หลานสะใภ้ไม่ต้องกังวล เจ้าไม่มีอาการรุนแรงใดๆ ทารกในครรภ์ก็ปกติ เพียงแต่เวลามีน้อย ข้าจะเอามาให้เจ้าดูในอีกสองสามวัน”

“ขอบคุณท่านลุงอิน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวขอบคุณแล้วทำตามคำพูดของเขา

“นี่คือลูกสาวของข้า ฮวนรั่ว ส่วนลูกชาย ฮวนเซิง เป็นฝาแฝดที่น่ารักที่สุด” อินหงหลันแนะนำลูกๆ ของตนกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ปีนี้ พวกเขาอายุเจ็ดขวบ พอสามขวบก็เดินตามข้าไปต้อยๆ ตอนนี้จับชีพจรเป็นแล้ว! รอสักสองสามวันเพื่อให้ชีพจรปรากฏขึ้นชัด จะลองให้พวกเขาจับดูก็ได้”

“ชีพจรอะไรกัน” ฮวนรั่วมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างน่ารักน่าเอ็นดูแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ดูดีมาก สีหน้าแดงก่ำมีเลือดฝาด จุดอิ้นถังตรงหว่างคิ้วก็เป็นประกาย ดูไม่เหมือนคนป่วยเลย!”

“พี่สะใภ้ไม่ได้ป่วย แต่มีลูกน้อย” หนุ่มน้อยฮวนเซิงเอ่ยว่า “เจ้าไม่ได้ฟังที่ท่านพ่อบอกหรือ ทารกในครรภ์เป็นปกติ หมายความว่าพี่สะใภ้กำลังจะเป็นแม่”

“ลูกน้อยจะเหมือนพี่สะใภ้ไหม?” ฮวนรั่วถามอย่างสงสัย จากนั้นก็มองตัวเองและพี่ชายแล้วพูดว่า “จะเหมือนข้ากับพี่ชายหรือไม่ และก็มีลูกน้อยสองคนด้วยหรือเปล่า?”

“เอ่อ…ยามนี้ยังมองไม่ออก ต้องรออีกหนึ่งเดือนถึงจะได้รู้” อินหงหลันวางลูกสาวลงแล้วพูดว่า “อีกสองวันข้าจะมาใหม่ หลานสะใภ้พักผ่อนให้สบาย จริงสิ เจ้ากับเจวี๋ยเอ๋อร์จะร่วมหลับนอนไม่ได้ในช่วงสองเดือน เรื่องนี้เจ้าเองก็วางใจได้ แล้วข้าจะคุยกับเจวี๋ยเอ๋อร์ให้อีกแรง”

เขาตั้งใจ! ใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ร้อนราวกับไฟ หน้าแดงฉานทันที ผงกศีรษะไม่กล้าจะส่งเสียง

“เราไปกันเถอะ!” ในที่สุดอินหงหลันก็ผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก จูงเด็กไว้ในมือข้างหนึ่ง แล้วทักทายภรรยาที่มองเขาอยู่ในสายตา ก่อนที่นางจะพูดอะไร เขาก็ทำไม้ทำมือให้ลูกชายจับมือแม่ไว้ ทั้งสี่คนก็ออกจากเรือนมีคู่ไปอย่างเชื่องช้า…

———————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 188 อินหงหลันหยั่งเชิงทดสอบ

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 188 อินหงหลันหยั่งเชิงทดสอบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในตอนรุ่งเช้ามีคนพบว่าเรือนเล็กแห่งหนึ่งในเมืองลี่โจวกลายเป็นนรกบนดินในชั่วข้ามคืน มีคนตายล้มลงกองกับพื้นทั้งในและนอกเรือน…ดูเหมือนจะไม่มากนัก แค่ยี่สิบหกคนเท่านั้นเอง เรือนหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ ผู้คนทั้งยี่สิบหกคนอาศัยอยู่ในเรือนนั้นดูแออัดเล็กน้อย และคนพวกนี้นอนอยู่ในเรือนซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่เกินไปกลายเป็นซากศพที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ทุกหนทุกแห่ง เรือนแห่งนี้ตั้งอยู่ในย่านที่เจริญรุ่งเรืองของลี่โจว และรายล้อมไปด้วยผู้คนที่ร่ำรวยและมีทรัพย์สินมากมาย ทว่าเมื่อคืนพวกเขากลับไม่ได้ยินอะไรเลย

การเสียชีวิตที่น่าอเนจอนาถยังทำให้เมืองลี่โจวเดือดพล่านถึงสองวัน ส่วนปิ่นปักผมที่หน้าอกทำให้หอยุทธภพอี้สื่อรจนาเขียน ‘ปีศาจปิ่นทอง’ ซึ่งไม่เป็นความจริงขึ้นและแตกแขนงเป็นชุดเรื่องราวความอาฆาตพยาบาท แน่นอนไม่ว่าจะเป็นผู้คนในยุทธภพหรือชาวบ้านร้านตลาด ล้วนเพียงแค่ฟังเรื่องราวที่หอยุทธภพอี้สื่อเล่าเป็นตำนานก็เท่านั้นเอง แต่ไม่มีใครถือเป็นจริงเป็นจัง

ทุกคนต่างคาดเดาว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร และใครเป็นฆาตกร มีคนไม่กี่คนที่สงสัยว่าเป็นตระกูลซั่งกวนด้วยอยู่แล้ว ถึงอย่างไรที่นี่คือลี่โจว เป็นเขตอิทธิพลที่ตระกูลซั่งกวนใช้มือปิดฟ้าควบคุมอยู่ กระนั้นจึงไม่มีใครในตระกูลซั่งกวนแสดงความคิด เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้และไม่ได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลซั่งกวน…คนเหล่านี้บุกทะลวงเข้าไปในเรือนหิมะสุขใจราวกับไม่มีคนอยู่ และเรื่องที่บังคับให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฆ่าตัวตายนั้นนอกจากคนที่ปฏิบัติหน้าที่เข้าเวรในเรือนหิมะสุขใจแล้วก็ไม่มีใครรู้ แม้แต่คนที่มาร่ำสุราและพูดคุยกับซั่งกวนเจวี๋ยในวันนั้นก็รู้เพียงว่าสะใภ้ใหญ่มีอาการป่วยกะทันหันเท่านั้น

ช่วงที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์หลับสลบไปพวกเขาก็มาเยี่ยมเยียนตามประสามิตรภาพ แต่ถูกอินหงหลันที่อยู่หน้าประตูไล่ออกไป พวกเขาล้วนรู้จักอินหงหลัน ต่างจงใจย่อมอ่อนข้อให้เขา…คนที่กินแต่พืชผักจะต้องปวดหัวตัวร้อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขุ่นเคืองใครก็ได้แต่อย่าทำให้แพทย์ขุ่นเคือง โดยเฉพาะแพทย์ที่มีตำแหน่งเป็น ‘หมอเทวดา’ แต่ก็ยังลอบสืบข่าวเองเป็นการส่วนตัว จึงได้ทราบว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ตั้งครรภ์ แต่น่าเสียดายที่บังเอิญสะดุดล้มในวันนั้น จำเป็นต้องพักผ่อนซึ่งทำให้พวกเขาเข้าใจว่าทำไมถึงไม่เห็นซั่งกวนเจวี๋ยเป็นเวลาสองวัน

ส่วนผู้คนที่รู้เรื่องนี้ต่างตกตะลึงกับวิธีการของตระกูลซั่งกวน…พวกเขาไม่คาดคิดว่าตระกูลซั่งกวนจะลงมือรวดเร็วขนาดนี้ จัดการคนเหล่านั้นรวดเดียวโดยไม่ต้องให้สัญญาณใดๆ เลย และให้พวกเขาแน่ใจว่าเป็นฝีมือของตระกูลซั่งกวนเพราะมีปิ่นปักผมเสียบที่หน้าอก ไม่ว่าจะถูกฆ่าตายแล้วหรือเหลือเพียงลมหายใจรวยรินก็ตาม จะถูกคนของตระกูลซั่งกวนเสียบปิ่นปักผมเข้าไปตรงหน้าอกโดยไม่มีข้อยกเว้น เนื่องจากปิ่นปักผมนั่นจะทำให้พวกเขารู้ว่า ตระกูลซั่งกวนเล่นงานคนเหล่านี้ที่ได้บุกเข้าไปในเรือนหิมะสุขใจแล้ว

ไม่มีใครเคยคิดจะล้างแค้นแบบนี้…คนพวกนั้นคิดแค่ว่าตระกูลซั่งกวนจะรู้หรือไม่ว่าตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย และพวกเขาจะหนีไปได้หรือไม่ ที่จริงพวกเขาไม่มีใครคิดริอ่านจะหลบหนี เพียงรอคำตัดสินที่ยังไม่รู้อย่างเงียบๆ แต่สิ่งที่พวกเขาประหลาดใจคือตระกูลซั่งกวนดูเหมือนจะพอใจแล้วหลังจากสังหารผู้คนในเรือนหลังเล็กจนเกลี้ยง ไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นใด ดังนั้นพวกเขาจึงคาดเดาอีกครั้ง…สะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนดูท่าจะไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบอย่างที่ข่าวเล่าลือกัน แต่มันก็เป็นความจริงเช่นกันเมื่อคนมอดม้วยตะเกียงดับลง นางตายไปแล้ว ตระกูลซั่งกวนจะต่อสู้เพื่อคนตายได้อย่างไรเล่า? ในวันที่เกิดเหตุ คนรับใช้ของตระกูลซั่งกวนมาเชิญซั่งกวนเจวี๋ยกลับไปที่เรือนหิมะสุขใจโดยอ้างว่าสะใภ้ใหญ่ป่วยกะทันหัน บางทีข่าวการเสียชีวิตของสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนจะออกมาในอีกสองวันกระมัง!

ก่อนที่พวกเขาจะแพร่สะพัดข่าวการเสียชีวิตของตระกูลซั่งกวน ก็ได้เตรียมตัวเตรียมใจจะไปแสดงความเสียใจ ขณะเดียวกันซั่งกวนเจวี๋ยก็พาภรรยาเดินผ่านถนนที่พลุกพล่านที่สุดของเมืองลี่โจวเพื่อเป็นการประโคมข่าว แล้วเมื่อกลับไปที่จวนชั้นในของตระกูลซั่งกวนข่าวก็แพร่ออกมา พวกเขาล้วนตกตะลึงอยู่พักใหญ่ จนได้ข้อสรุปว่า…คนโง่เง่าผู้นั้นต้องเป็นตัวแทนหรือสาวใช้ที่ถูกบังคับให้ตายเป็นแน่ ไม่เพียงเสียโอกาสที่หายากนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่ยังทำให้คนที่หนีไม่ทันเสียชีวิตอย่างน่าสังเวช ทั้งยังทำให้ตระกูลซั่งกวนเตรียมการป้องกันและความเป็นปรปักษ์ด้วย คนผู้นั้นน่าจะฆ่าตัวตายเป็นการไถ่โทษ

ดังนั้น จดหมายลับฉบับหนึ่งจึงออกมาจากลี่โจวไปถึงเซิ่งจิง ในขณะเดียวกันผู้ที่คิดว่าตนทำคุณงามความชอบก็ไปขอรางวัลกับเจ้านายเช่นเดียวกัน ส่วนคนที่ไปประทานรางวัลก็ได้มอบยาพิษที่ถูกผสมในจอกสุราให้

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้เรื่องนี้เหล่านี้ ต่อให้รู้ก็ทำได้เพียงแค่หัวเราะเท่านั้น ตอนนี้นางอยู่ในศาลาของสวนดอกไม้ เฝ้าดูหมอเทวดาจับชีพจรให้นางอย่างตื่นเต้น เขาพันไหมใสแวววาวสามเส้นไว้ที่ข้อมือตน อินหงหลันคิดว่ามีคนอื่นขวางหูขวางตา จึงไล่ทุกคนออกไป ส่วนนางจ้องมองด้วยดวงตาคู่โตที่สับสน สีหน้าท่าทางดูไร้เดียงสาอย่างยิ่ง นางพูดอย่างอธิบายไม่ถูกว่า “ท่านลุงอินพูดเรื่องอะไรกันแน่? เหตุใดข้าถึงฟังไม่เข้าใจเลยล่ะ?”

อินหงหลันอยากจะกระโดดเตะ อยากจะโกรธเกรี้ยว อยากจะบีบคอของเด็กสาวที่แสร้งโง่คนนี้ แล้วถามอย่างดุเดือด แต่เขาทำไม่ได้ สาวใช้เหล่านั้นไม่ได้ไปไหนไกล หากเขาขยับเขยื้อนท่าทางแปลกๆ มันจะส่งผลกระทบต่อนางแน่นอน ในท้าย ที่สุดเขาก็แค่ถอนหายใจแล้วพูดเน้นย้ำว่า “ใครถ่ายทอดวิชาหยกหอมให้แก่เจ้ากันแน่?”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกสับสนมากขึ้น และพูดอย่างค่อนข้างโง่เขลาว่า “วิชาหยกหอมอะไร มีไว้เพื่ออันใดกัน?”

“เจ้า!” อินหงหลันกัดฟันกรอดแล้วจ้องเขม็งมองนางอย่างดุดันว่า “ข้ารู้และเข้าใจเอกลักษณ์ของวิชาหยกหอมดีที่สุด รู้จักพลิกแพลงเส้นเอ็นและลักษณะพิเศษของลมปราณ ข้ารู้เหมือนหลับตาเห็น วิชาหยกหอมเป็นกำลังภายในที่ผู้หญิงฝึกฝนจะเหมาะสมที่สุด หลังจากฝึกได้ผลสำเร็จ ยามที่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงจะไม่มีการเดินลมปราณ ฉะนั้นร่างกายก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป นอกจากนี้ยังมีลมปราณเล็กน้อยซ่อนอยู่ใกล้กับอวัยวะสำคัญของร่างกาย เพื่อป้องกันการโจมตีอย่างกะทันหันระหว่างร่างกายบาดเจ็บ ตอนที่ไม่ได้สติสัมปชัญญะจะเริ่มซ่อมแซมบาดแผลให้เอง ก่อนที่เจ้าจะได้รับบาดเจ็บ ได้เดินลมปราณเหล่านี้ไปที่ท้องน้อย เพื่อป้องกันทารกในครรภ์ที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างในช่องท้อง แต่หลังจากสลบไสล ยังคงมีลมปราณกลุ่มหนึ่งไหล วนไปรอบๆ หน้าอกทางซ้ายโดยทันที เพื่อซ่อมแซมจุดที่บาดเจ็บ ข้าพูดถูกหรือไม่?”

ถูก! แต่ไฉนต้องยอมรับล่ะ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างขมขื่นพลางกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าท่านลุงอินพูดถึงอะไร? ข้าไม่เข้าใจเลย ข้ารู้ว่าท่านลุงอินช่วยข้าไว้ ข้าซาบซึ้งในพระคุณของท่านมากที่ช่วยชีวิต ถ้าข้ารู้ล่ะก็จะบอกท่านเป็นแน่!”

“ถ้าข้าไม่มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตเจ้า เจ้าก็จะไม่พูดใช่ไหม?” อินหงหลันขบฟัน นางรู้ดีว่าต่อให้จะไม่มีตน นางก็รอดพ้นจากอันตรายมาได้อย่างราบรื่น การจะมีตนหรือไม่ มันเป็นเพียงความแตกต่างของความทุกข์ในช่วงต้นกับที่นางจะทุกข์ทรมานมากขึ้นเท่านั้นเอง ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะตนใช้กำลังภายในของทั้งร่างจนเกือบหมด แล้วใช้เข็มทองทะลวงผ่านจุดชีพจรอย่างระมัดระวัง เพื่อให้เดินลมปราณในร่างกายของนางได้อย่างเรียบเนียน ทำให้นางดูดซับลมปราณจากตนที่ถ่ายเทให้นางในระหว่างหลับใหลไปจนหมดเกลี้ยง นางจะไม่สลบไปสองวันสองคืนเช่นนี้แน่

เขารู้ว่าตนทำเป็นเรื่องมาก เขาไม่เพียงให้นางจำความดีของตน แต่จะยอมรับตนได้ง่ายขึ้น แล้วบอกความจริงกับตน เพื่อจะพบนางที่เที่ยวพเนจรไปทั่วยุทธภพ เขาจึงไปร่วมสนุกที่งานประลองยุทธ์ประจำปี ในที่สุดก็ได้เบาะแสบางอย่าง…ฉะนั้นเขาจะไม่ใช้พลังงานทั้งหมดได้อย่างไรกันเล่า?

แล้วเป็นอย่างไรเล่า? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ค้อนกลอกตาในใจ สีหน้าขมขื่นมากขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าไม่ทราบจริงๆ ว่าท่านลุงอินอยากรู้อะไรกันแน่? ยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมท่านลุงอินมั่นใจนักและเอาแต่ถามว่าข้าเคยร่ำเรียนวรยุทธ์หรือเปล่า? ใครๆ ล้วนรู้ว่าข้าเป็นเพียงหญิงสาวผู้อ่อนแอที่ไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่ แต่ถ้ามีวรยุทธ์สักหน่อยก็คงจะไม่ถูกบังคับให้ฆ่าตัวตายหรอก”

“เจ้ายังจะปากแข็ง? เจ้าจะไม่บอกใช่ไหม?” อินหงหลันร้อนใจหัวหมุนติ้ว เป็นเวลาสิบสี่ปี สิบสี่ปีเต็มๆ! เหตุใดเบาะแสจึงดันมาตกอยู่กับคนผู้นี้ที่แสร้งทำเป็นเก่งได้มากกว่าเขากัน?

“ข้าไม่ทราบว่าท่านลุงอินตกลงจะถามอะไรข้า แล้วท่านจะให้ข้าบอกได้อย่างไรกันเล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยืนกรานกลยุทธ์แสร้งทำตัวทึ่ม นางไม่เข้าใจที่ท่านป้าเคยพูดไว้อย่างชัดเจนว่า วิชาหยกหอมเป็นทักษะที่นางช่ำชอง มีคนรู้จักเพียงเล็กน้อยไม่เกินสิบคน เหตุใดจึงมาพบคนหนึ่งในตระกูลซั่งกวนได้ และเข้าใจคุณสมบัติของวิชาหยกหอมอย่างลึกซึ้งเช่นนี้

“ก็เห็นอยู่ว่าข้ารักษาเจ้า หากไม่มีที่มาที่ไปก็จะรักษาลำบากเจ้าแค่บอกข้ามาเถอะ!” อินหงหลันแทบจะอ้อนวอนว่า “ใครเป็นคนสอนวิชาหยกหอมให้เจ้ากันแน่ เป็นหญิงแซ่อวี๋หรือเปล่า?”

แซ่อวี๋? ท่านป้าแซ่โม่ ไม่นะ! เยี่ยนมี่เอ๋อร์ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่เขาจะรู้จักกับท่านป้าอยู่ในใจ ใคร่ครวญแล้วก็น่าจะใช่ ถ้าท่านป้ายังมีชีวิตก็จะอยู่ในวัยสี่สิบต้นๆ แล้ว ในขณะที่อินหงหลันดูไม่ถึงสามสิบ อย่างน้อยก็ห่างกันสิบกว่าปี ไม่น่าจะเป็นคนรู้จักกระมัง!

“ใช่พี่อวี๋ฮวนหรือไม่?” อินหงหลันไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำอย่างไรดีกับผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ที่ถือทิฐิอย่างไม่ยอมลดละคนนี้ จะใช้ไม้แข็งดีหรือไม่? แต่นางกำลังตั้งครรภ์ และนางอาจจะเป็นลูกศิษย์ของผู้นั้น ต่อให้เขาจะใจกล้าบ้าบิ่นประหนึ่งเสือดาวสักสิบตัวก็ไม่กล้าแตะต้องนางแม้แต่ปลายก้อย หรือจะใช้ไม้อ่อน? แต่นางใช้วิชาแสร้งโง่ในระดับยอดเยี่ยม และเห็นได้ชัดว่าไม่อยากยอมรับ แล้วเขาจะพูดอะไรได้?

อวี๋ฮวน? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตกตะลึงจริงๆ ท่านป้าไม่ได้บอกชื่อแซ่กับใครนอกจากตน แม้แต่มารดาก็รู้แค่ว่าท่านป้าแซ่โม่ หรือว่าท่านป้าอาจจะไม่ได้แซ่โม่ แต่แซ่อวี๋ ตนก็ถูกท่านป้าหลอกด้วยหรือ?

“เป็นพี่อวี๋ฮวนจริงๆ ใช่ไหม?” อินหงหลันไม่พลาดสีหน้าแววตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ จึงถามด้วยความดีใจลิงโลด เขาจะปล่อยให้โอกาสใดๆ หลุดลอยไปไม่ได้ ถ้าไม่สามารถใช้โอกาสนี้ดึงอะไรบางอย่างออกมาจากหญิงสาวปากแข็งคนนี้ แล้วรอนางตั้งตัวได้ทันก็ยิ่งยากจะพูดตีสนิทด้วย

“ข้าไม่รู้จักคนแซ่อวี๋!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ยอมบอกความจริง ดูเหมือนจะไม่มีใครที่แซ่อวี๋อยู่รอบตัวนาง ทั้งเซียงเสวี่ยและตงอวี่เป็นเด็กที่ท่านป้ารับมาอุปการะตั้งแต่ยังเล็กมาก เซียงเสวี่ยใช้แซ่เยี่ยนตามตน ตงอวี่ใช้แซ่โม่ตามท่านป้า ไม่ได้แซ่อวี๋

“ข้าไม่มีเจตนาร้าย ไม่มีเจตนาร้ายแต่อย่างใดเลย! ไฉนเจ้าถึงเชื่อข้าไม่ได้ ไหนๆ ก็บอกความจริงมาสักหน่อยเถิด?” อินหงหลันอยากจะร้องไห้ ดวงตาของเขาแดงฉานจริงๆ แล้วพูดแกมเศร้าสร้อยว่า “พี่อวี๋ฮวนต่อให้จะไม่อยากเจอเพื่อนเก่าเลยก็ตาม กระนั้นก็อยากเจอข้า จริงๆ นะ!”

“แต่ข้าไม่รู้ว่าใครแซ่อวี๋จริงๆ นะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบแบบแฝงความจนใจและเจือความจริงใจอยู่บ้าง

“ไม่อย่างนั้นเอาแบบนี้…” อินหงหลันหยุดชั่วคราวพลางกล่าวว่า “ข้ารู้เคล็ดวิชากำลังภายในของวิชาหยกหอม ข้าท่องให้เจ้าฟังดีไหม? อีกอย่าง ข้ายังมีสูตรยาต่างๆ ของพรรคสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ในตอนนั้นอีกด้วย ซึ่งเป็นพี่อวี๋ฮวนที่ถ่ายทอดให้ข้าทั้ง หมดนั้นเลย ข้าเอามาให้เจ้าดูก็ได้ จริงสิ รายการสูตรยาเหล่านั้นพี่อวี๋ฮวนเขียนเองกับมือ เจ้าลองดูว่าจำลายมือได้หรือไม่?”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตกตะลึงพรึงเพริด พรรคสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์? อวี๋ฮวนที่เขาพร่ำพูดอยู่ในปากนั่นจะเป็นท่านป้าจริงหรือ?

“ท่านพ่อ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เคยเห็นหลายครั้งว่าซินหรันพาเด็กสองคนอายุเจ็ดแปดขวบเข้าไปในเรือนมีคู่ เด็กทั้งสองร้องเรียกอยู่ตั้งไกลแล้วรีบวิ่งเข้ามา ซินหรันระบายยิ้มแล้วเดินตามมาข้างหลังอย่างช้าๆ และเด็กคู่นี้ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นภาพลวงตาในทันใด รู้สึกว่าตนดูเหมือนจะเคยเห็นฉากแบบนี้ที่ไหนสักแห่ง แต่จำไม่ได้ชัดเจน

อินหงหลันรู้ว่าเขาไม่มีเวลาค้นหาความจริงแล้วจึงถอนหายใจบอกว่า “เจ้าลองคิดดูให้ดี ข้าจะอยู่ที่เรือนทางใต้ตลอด รอจนกว่าเจ้าจะเอ่ยปากพูด!”

“ท่านพ่อ ท่านพูดอะไรกับพี่สาวคนสวยผู้นี้ล่ะ?” เด็กหญิงตัวน้อยกระโจนตัวเข้าไปในอ้อมแขนของอินหงหลัน แล้วหัวเราะเฮฮา

“เรียกพี่สาวไม่ได้ ต้องเรียกว่าพี่สะใภ้สิ” อินหงหลันกระตุกมือเล็กน้อย เส้นไหมบนมือของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็กลับคืนสู่มือของเขาอย่างง่ายดาย เขาเก็บเส้นไหมตามปกติแล้วพูดว่า “หลานสะใภ้ไม่ต้องกังวล เจ้าไม่มีอาการรุนแรงใดๆ ทารกในครรภ์ก็ปกติ เพียงแต่เวลามีน้อย ข้าจะเอามาให้เจ้าดูในอีกสองสามวัน”

“ขอบคุณท่านลุงอิน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวขอบคุณแล้วทำตามคำพูดของเขา

“นี่คือลูกสาวของข้า ฮวนรั่ว ส่วนลูกชาย ฮวนเซิง เป็นฝาแฝดที่น่ารักที่สุด” อินหงหลันแนะนำลูกๆ ของตนกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ปีนี้ พวกเขาอายุเจ็ดขวบ พอสามขวบก็เดินตามข้าไปต้อยๆ ตอนนี้จับชีพจรเป็นแล้ว! รอสักสองสามวันเพื่อให้ชีพจรปรากฏขึ้นชัด จะลองให้พวกเขาจับดูก็ได้”

“ชีพจรอะไรกัน” ฮวนรั่วมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างน่ารักน่าเอ็นดูแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ดูดีมาก สีหน้าแดงก่ำมีเลือดฝาด จุดอิ้นถังตรงหว่างคิ้วก็เป็นประกาย ดูไม่เหมือนคนป่วยเลย!”

“พี่สะใภ้ไม่ได้ป่วย แต่มีลูกน้อย” หนุ่มน้อยฮวนเซิงเอ่ยว่า “เจ้าไม่ได้ฟังที่ท่านพ่อบอกหรือ ทารกในครรภ์เป็นปกติ หมายความว่าพี่สะใภ้กำลังจะเป็นแม่”

“ลูกน้อยจะเหมือนพี่สะใภ้ไหม?” ฮวนรั่วถามอย่างสงสัย จากนั้นก็มองตัวเองและพี่ชายแล้วพูดว่า “จะเหมือนข้ากับพี่ชายหรือไม่ และก็มีลูกน้อยสองคนด้วยหรือเปล่า?”

“เอ่อ…ยามนี้ยังมองไม่ออก ต้องรออีกหนึ่งเดือนถึงจะได้รู้” อินหงหลันวางลูกสาวลงแล้วพูดว่า “อีกสองวันข้าจะมาใหม่ หลานสะใภ้พักผ่อนให้สบาย จริงสิ เจ้ากับเจวี๋ยเอ๋อร์จะร่วมหลับนอนไม่ได้ในช่วงสองเดือน เรื่องนี้เจ้าเองก็วางใจได้ แล้วข้าจะคุยกับเจวี๋ยเอ๋อร์ให้อีกแรง”

เขาตั้งใจ! ใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ร้อนราวกับไฟ หน้าแดงฉานทันที ผงกศีรษะไม่กล้าจะส่งเสียง

“เราไปกันเถอะ!” ในที่สุดอินหงหลันก็ผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก จูงเด็กไว้ในมือข้างหนึ่ง แล้วทักทายภรรยาที่มองเขาอยู่ในสายตา ก่อนที่นางจะพูดอะไร เขาก็ทำไม้ทำมือให้ลูกชายจับมือแม่ไว้ ทั้งสี่คนก็ออกจากเรือนมีคู่ไปอย่างเชื่องช้า…

———————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+