เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 299 คืนหนี้

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 299 คืนหนี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เขาซื่อสัตย์ขนาดนั้นเชียว?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองตั๋วเงินสามแสนตำลึงในมืออย่างไม่กล้าเชื่อ คนของตระกูลซั่งกวนเพิ่งเอามาส่งถึงมือนาง ให้นางมอบให้นายท่านเยี่ยนอีกที ทั้งเป็นหนี้ที่ค้างอยู่ของหยางมู่หลิน

“เขาจะซื่อสัตย์ขนาดนั้นได้อย่างไร” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง “คนที่พวกเราส่งไป เก็บไม่ได้แม้แต่แดงเดียว ยามนี้หยางมู่หลินเกลียดชังคนของตระกูลซั่งกวนเป็นที่สุด แม้ว่าจะต่อสู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง เขาก็ไม่อาจคืนเงินนี้แต่โดยดีหรอก”

“หากเป็นข้าก็คงเหมือนกัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดกลอกตาใส่เขาไม่ได้ นางกระจ่างชัดว่าซั่งกวนเจวี๋ยดำเนินแผนไล่ล่าอย่างไร ปล่อยให้หยางมู่หลินมีชีวิตรอด แต่กลับสังหารหยางรุ่ยหนานให้ตายหน้าประตูเมืองอวิ้น หากหยางมู่หลินยอมคืนเงินให้แต่โดยดีจะนับว่าแปลกมากกว่า

“เงินนี้เอามาจากทางฮ่องเต้ ข้าเป็นคนตัดสินใจเอง ขาดไปอยู่ห้าหมื่นตำลึง” ตั้งแต่แรกซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่ได้คิดจะเอาเงินนี้มาจากหยางมู่หลินอยู่แล้ว เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าให้คนส่งหนังสือรับรองหนี้สินไปเซิ่งจิงตรงๆ ตั้งนานแล้ว เมื่อฮ่องเต้เห็นหนังสือรับรองหนี้ฉบับนี้ก็ชิงจ่ายเงินก้อนนี้ก่อนทันที”

“จากนั้นเขาก็จะเอาหนังสือรับรองหนี้คิดบัญชีกับเซียวเหยาโหวช้าๆ อีกที ใช่หรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะจนเอวแทบเคล็ด หนังสือรับรองหนี้อยู่ในมือฮ่องเต้ หากไม่เพิ่มเงินอีกหลายเท่าตัวหรือกระทั่งสิบเท่าเพื่อดึงเงินมาจากหยางมู่หลินก็ย่อมเป็นเรื่องแปลก หรือบางทีฮ่องเต้อาจจะตามหาของเช่นนี้มาโดยตลอด แต่กลับไม่อาจหาพบได้ ซั่งกวนเจวี๋ยส่งหนังสือรับรองหนี้ให้เขา ก็เป็นเพียงการมอบหมอนให้ฮ่องเต้ที่กำลังจะหลับเท่านั้น ทุกคนต่างก็พึงพอใจ

“ดังนั้นเขาย่อมไม่มีเวลาและกำลังมาสร้างปัญหาให้ตระกูลซั่งกวนแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยยอมรับว่าตัวเองทำเช่นนี้มีจุดประสงค์อื่น แต่เขารู้สึกว่าเขาทำเช่นนี้ไม่ได้มีอะไรแย่แม้แต่น้อย จงเสวี่ยฉิงไม่มีความคิดจะแก้แค้นเขา มี่เอ๋อร์ล้วนไม่ชัดเจนกับการมีอยู่ของเขาทั้งเรื่องในอดีต แต่ตัวเขาเองกลับคิดที่จะใช้ประโยชน์จากมี่เอ๋อร์ เขามีจุดจบเช่นใดล้วนเป็นเพราะหาเรื่องใส่ตัวเอง

“นั่นก็ดี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เคยนึกถึงปัญหานี้เช่นกัน ความแค้นของหยางมู่หลินและตัวเองนับว่าสิ้นสุดต่อกัน ส่วนตระกูลซั่งกวนยิ่งจบลงยามที่ธนูทะลุหัวใจหยางรุ่ยหนาน กล่าวว่าตีเสือไม่ตายย่อมกลายเป็นศัตรูก็คือเช่นนี้ หากมีวันหนึ่งที่หยางมู่หลินไม่ออกจากบ้าน เขาก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะลอบวางแผนตัวเอง ทั้งคิดจัดการตระกูลซั่งกวน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องคิดจะขจัดอะไรอีกแล้ว

“ข้าคิดว่าฮ่องเต้อาจจะจัดการคนที่เป็นดั่งตะปูในตาผู้นี้ภายในสามปีหรือห้าปี…” ซั่งกวนเจวี๋ยทำท่าปาดคอหอยตัวเอง จากนั้นก็กล่าวยิ้มๆ “แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือกล่าวว่า ฮ่องเต้มีวี่แววว่าจะจากไปเร็วๆ นี้ เขาย่อมไม่อาจเหลือภัยร้ายให้ลูกชายตัวเองหลังจากที่ตายไปหรอก ดังนั้นเขาคงจะแก้ไขเรื่องทุกอย่างให้เสร็จสรรพก่อนที่จะตายเป็นแน่”

“เจ้าไม่ได้วางแผนดึงอ๋องรุ่ยและตระกูลจงเข้าไปด้วยหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มหรี่ตาถาม นางรู้สึกว่าปีสองปีมานี้ นับวันซั่งกวนเจวี๋ยก็ยิ่งเป็นชายหนุ่มที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะตัวเอง แต่เป็นเพราะเขาเป็นพ่อคนแล้ว

“เรื่องหยางรุ่ยเฟิงและจงฉิงเฟิงย่อมเล่าให้ฮ่องเต้ฟังอย่างไม่ตกหล่น ก็ต้องดูเขาแล้วว่าจะสามารถลงมือกับลูกชายตัวเองได้หรือไม่!” สิ่งที่ซั่งกวนเจวี๋ยไม่ได้กล่าวคือการทำเช่นนี้ยังมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งเช่นกัน นั่นก็คือแสดงท่าทีที่ชัดเจนให้ฮ่องเต้เห็นว่า ตระกูลซั่งกวนย่อมไม่สอดมือยุ่งเรื่องในราชสำนัก ไม่ว่าจะเซียวเหยาโหวก็ดี อ๋องรุ่ยก็ดี ตระกูลซั่งกวนล้วนไม่คิดจะยอมรับผู้ใด ดังนั้นเจ้าก็อย่าได้ส่งคนมาลงมือกับคนของตระกูลซั่งกวนอีก

“ใช่แล้ว มี่เอ๋อร์!” ซั่งกวนเจวี๋ยคลี่ยิ้มบาง “คนที่ไปเซิ่งจิงยังนำของขวัญบางอย่างที่ฮ่องเต้มอบให้เจ้ากลับมาด้วย ข้าให้คนไปตรวจสอบก่อนจึงค่อยเข้ามาให้เจ้า อย่างอื่นล้วนไม่ใช่ของหายาก แต่มีสร้อยเส้นมุกที่ไม่เลวเส้นหนึ่ง สดใสพร่างพราวเป็นอย่างมาก เจ้าเห็นแล้วอาจจะชอบ”

นั่นเป็นการขอโทษจากฮ่องเต้ การขอโทษเช่นนี้มอบให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่กลับต้องการแสดงให้ตระกูลซั่งกวนเห็น ดูท่าที่ตระกูลซั่งกวนรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของมือลอบสังหารในปีนั้นจากรัชทายาท คงเป็นข่าวของเขา ไม่อย่างนั้นเขาก็จงใจให้รัชทายาทเปิดเผย หรือมิเช่นนั้นก็อาจจะได้ยินความลับจากคนที่เขาส่งไปอยู่ข้างกายรัชทายาท แต่เรื่องนี้ล้วนผ่านไปแล้ว เอาเรื่องเก่ามาพูดล้วนไม่เป็นผลดีต่อทุกคน ดังนั้นจึงแสร้งโง่อย่างรู้กัน

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงมีของขวัญหรืออาจจะกล่าวว่าประทานให้นาง แต่เห็นรอยยิ้มเบิกบานและอบอุ่นของซั่งกวนเจวี๋ย นางก็เข้าใจทันที คงจะมีความผิดปกติอะไรภายใน แต่นางเชื่อว่าซั่งกวนเจวี๋ยทำเพื่อปกป้องนาง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

“ข้าจะนำตั๋วเงินนี้ไปส่งให้นายท่านเยี่ยนก่อนแล้วกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยิบตั๋วเงินขึ้นมา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เขาพาหมิงเอ๋อร์ไปเดินเล่นในสวนดอกไม้อีกแล้ว ข้าไม่อาจเข้าใจได้ หมิงเอ๋อร์ เจ้าตัวเล็กจู้จี้จุกจิกถึงเพียงนั้น เหตุใดจู่ๆ จึงเข้ากับนายท่านเยี่ยนได้ดีขนาดนี้ คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจจริงๆ!”

ซั่งกวนเจวี๋ยส่ายศีรษะหลุดยิ้ม ที่จริงเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหมิงเอ๋อร์จึงถูกชะตากับนายท่านเยี่ยนขนาดนั้น นายท่านเยี่ยนนับว่ายอมรับคำเชิญของตระกูลซั่งกวนจึงรั้งอยู่ที่ลี่โจวเรื่อยมา (ย่อมไม่ใช่รั้งอยู่ที่เรือนพำนักอวี้ฉิง วันที่สองหลังจากจัดการเรื่องพ่อลูกหยางมู่หลินก็ออกจากเรือนพำนักอวี้ฉิงทันที) และเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ยังคงปฏิบัติตามกฎ พักที่เรือนพำนักอวี้ฉิง สามวัน อยู่ที่ตระกูลซั่งกวนสามวันและสามวันนี้ที่อยู่ตระกูลซั่งกวน นอกจากเรียนวิชาทุกวันแล้ว เวลาอื่นๆ ล้วนคลุกตัวอยู่กับนายท่านเยี่ยน ใครก็ไม่เข้าใจว่าคนแก่คนหนึ่งกับเด็กคนหนึ่งเหตุใดจึงถูกชะตากันขนาดนี้ สิ่งที่ทำให้คนยิ่งงุนงงก็คือ ช่วงเวลาเดือนกว่านี้ เสี่ยวหมิงเอ๋อร์สุขุมกับเรื่องราวต่างๆ ลงมาก คล้ายกับว่าจู่ๆ ก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา

“แม้ว่ายามนี้อู๋โจวจะปลอดภัยแล้ว แต่อย่างไรเจ้าลองเกลี้ยกล่อมพ่อตาอีกครั้งเถิด ให้เขาย้ายมาที่ลี่โจว!” ซั่งกวนเจวี๋ยคลี่ยิ้ม “หากเป็นเช่นนั้น เขาก็สามารถพบหน้าหมิงเอ๋อร์บ่อยๆ ได้”

“ข้าจะลองดูอีกครั้งแล้วกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจอย่างไม่มั่นใจนัก ซั่งกวนเจวี๋ยยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ จึงจากไป เยี่ยนมี่เอ๋อร์พาสาวใช้สองคนเข้าไปตามหาเด็กและคนแก่สองคนนั้นทันที

“คงใช้วิธีไปไม่น้อยกระมัง!” นายท่านเยี่ยนตากระจ่างขึ้นมา แม้จะไม่ได้แปลกใจมาก แต่สามารถได้เงินขนาดนี้กลับมาก็ยังคงทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอยู่ดี

“แน่นอนอยู่แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้เล่าเรื่องภายใน จากประสบการณ์ของนายท่านเยี่ยน เดิมทีนางไม่จำเป็นต้องพูดมาก เขาก็สามารถเดาได้ถึงห้าหกส่วนแล้ว นางไม่อยากพูดด้านมืดของมนุษย์ออกมาต่อหน้าลูกชาย

“หมิงเอ๋อร์ ท่านตากับแม่มีเรื่องที่ต้องคุยกัน เจ้าเล่นคนเดียวไปก่อนได้หรือไม่?” นายท่านเยี่ยนเผยยิ้ม จูงมือเสี่ยวหมิงเอ๋อร์มอบให้กับจื่อหลัว เสี่ยวหมิงเอ๋อร์ไม่เต็มใจนัก แต่ก็ตามจื่อหลัวไปทางนั้นอย่างเชื่อฟัง

“เสี่ยวหมิงเอ๋อร์เชื่อฟังท่านไม่น้อย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดมาตลอดว่าคนที่ทำให้ลูกชายเชื่อฟังแต่โดยดีได้มีเพียงซั่งกวนเจวี๋ยคนเดียว คาดไม่ถึงว่าจะมีนายท่านเยี่ยนอีกคน

“ไม่ใช่เชื่อฟัง แต่เขายอมเชื่อข้าต่างหาก!” นายท่านเยี่ยนแย้มยิ้ม “แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยใช้น้ำเสียงออกคำสั่งคุยกับเขา แต่ใช้น้ำเสียงที่เท่าเทียมกัน เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความเคารพที่ข้ามีต่อเขา ย่อมยินดีที่จะให้ความเคารพกับข้ามากขึ้น เด็กคนนี้เหมือนเจ้ามาก เพียงแต่ยังปลิ้นปล้อนไม่พอ”

ที่จริงเยี่ยนมี่เอ๋อร์เองก็ไม่ได้ปลิ้นปล้อนอะไรมากมาย แต่นางเป็นผู้หญิง สามารถใช้นิสัยอ่อนโยนของผู้หญิงมาแก้ไขเรื่องนั้นได้ ดังนั้นจึงไม่ได้เห็นชัดเจนมาก

“ท่านพ่อ ท่านเก็บตั๋วเงินพวกนี้ไว้ ภายหลังแม้ท่านจะไม่ทำงาน ชั่วชีวิตนี้ก็ย่อมมีเงินให้พอใช้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยัดตั๋วเงินในมือให้นายท่านเยี่ยน เงินสำหรับนางในยามนี้ไม่ได้สำคัญเหมือนเมื่อก่อนแล้ว และนางเองก็มีแหล่งทำมาหากินที่เพียงพอ…ปีนั้นตระกูลซั่งกวนให้เงินเป็นสินเจ้าสาวเพื่อไว้หน้านางล้วนนับเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของนาง ทั้งนางก็ไม่มีที่ให้จับจ่ายเงินมากมาย ยามนี้จึงนับเป็นหญิงสาวที่ร่ำรวยคนหนึ่ง

“พอนั้นย่อมพอให้ใช้ แต่ข้าทำงานยุ่งเป็นนิสัยอยู่แล้ว หากว่างขึ้นมาข้าย่อมทนไม่ได้” นายท่านเยี่ยนคลี่ยิ้มบาง ไม่ได้ปฏิเสธอันใด เก็บตั๋วเงินนั้นไว้

“หากนายท่านยินดีจะย้ายมาอยู่ลี่โจว แค่อยู่เป็นเพื่อนหมิงเอ๋อร์ก็คงทำให้ท่านยุ่งพอแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์นับว่าเอาเรื่องเก่ามาพูดอีกครั้ง ช่วงเวลาที่นายท่านเยี่ยนอยู่ที่ตระกูลซั่งกวน นางนั้นหว่านล้อมมาหลายครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนถูกนายท่านเยี่ยน ปฏิเสธ

“เรื่องนี้อย่างไรอย่าพูดดีกว่า!” นายท่านเยี่ยนส่ายศีรษะเหมือนอย่างเคย “ข้าน่ะ พอถึงครึ่งเดือนก็จะกลับอู๋โจว ภายหลังจะมาเยี่ยมพวกเจ้าบ่อยๆ”

“ท่านพ่อ…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เข้าใจจริงๆ อู๋โจวมีอะไรที่ทำให้เขาอาลัยอาวรณ์กันแน่ แต่ผลลัพธ์เช่นนี้ นางก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อยเช่นกัน หลังจากซั่งกวนเจวี๋ยกลับมาจากเรือนพำนักอวี้ฉิงก็จัดการพื้นที่ในอู๋โจวทันที ภายหลังตระกูลเยี่ยนย่อมไม่อาจถูกคนควบคุมและข่มขู่อย่างง่ายดายเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว

“มี่เอ๋อร์ หากข้าย้ายมาที่ลี่โจว ไท่ไท่ย่อมจะตามมาด้วย เจ้าและนางเจอกันจะเข้ากันได้อย่างไร? อย่าเพิ่มปัญหาเลยดีกว่า!” นายท่านเยี่ยนหัวเราะ “อีกอย่าง สุสานของแม่เจ้า ทั้งตาและยายเจ้าล้วนอยู่ที่อู๋โจว หากข้าจากอู๋โจวมา ใครจะดูแลพวกเขากัน?”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เงียบไปพักใหญ่ ถอนลมหายใจ “เช่นนั้นเมื่อท่านกลับอู๋โจวไปแล้ว คิดจะทำอย่างไรต่อ?”

“เรื่องของเจ้าแปด พวกเราสองคนกระจ่างชัดก็พอแล้ว ข้าจะบอกไท่ไท่ว่าเจ้าแปดถูกคนที่ลักพาตัวไปสังหาร” ยามที่นายท่านเยี่ยนออกจากอู๋โจว คำพูดเดิมที่บอกไท่ไท่เยี่ยนก็คือมีคนจับตัวเจ้าแปดไป และเขาออกไปเพื่อไถ่ตัว คำอธิบายเช่นนี้นับว่าเข้ากับคำโกหกก่อนหน้า

“ไท่ไท่ย่อมจงเกลียดจงชังข้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับไม่สนใจความแค้นของไท่ไท่เยี่ยนแม้แต่น้อย ตั้งแต่นางกำเนิดมาก็เป็นดั่งตะปูในตาของไท่ไท่เยี่ยนแล้ว ถูกคนเกลียดชังจนชินแล้ว จึงไม่ใส่ใจอะไร

“พี่สาวคนโตของเจ้ามีลูกชายสามคน ข้าเตรียมให้หนึ่งในนั้นใช้สกุลตามมารดา สืบทอดกิจการทั้งหมดของตระกูลเยี่ยน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ไท่ไท่เยี่ยนย่อมไม่อะไรมาก” นายท่านเยี่ยนเผยยิ้มเล็กน้อย ลูกสาวคนโตและคนรองล้วนเป็นบุตรสาวของไท่ไท่เยี่ยน เรื่องเช่นนี้ ไท่ไท่เยี่ยนย่อมพึงพอใจ “แต่ว่า ตั๋วเงินพวกนี้เจ้าอย่าได้เอาไปบอกไท่ไท่เชียว เงินพวกนี้เป็นเงินส่วนตัวของข้า!”

“เข้าใจแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเขาแม้แต่น้อย หลังจากสนิทสนมกันมากขึ้นนางก็ไร้วิธีที่จะจัดการกับนายท่านเยี่ยนขึ้นเรื่อยๆ แต่นางชอบความรู้สึกเช่นนี้ ยามนี้พวกเขาไม่ต่างอะไรจากพ่อลูกที่สนิทสนมกันทั่วไปแล้ว นี่เป็นเรื่องที่แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

“หลังจากนี้สามวันข้าก็จะกลับอู๋โจวแล้ว เจ้าให้เจวี๋ยเอ๋อร์จัดการหน่อยเถิด!” นายท่านเยี่ยนไม่คิดรั้งตัวอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว เขายอมรับอย่างจนใจว่าตัวเองเป็นเหมือนที่จงเสวี่ยฉิงด่าเช่นนั้น เดิมทีก็ไม่เข้าใจว่าอะไรคือความรู้สึกอ่อนไหว เขายังคิดว่าความสัมพันธ์เมื่อก่อนนั้นทำให้เขาเป็นตัวเองมากกว่า มี่เอ๋อร์ในยามนี้ให้ความเคารพและสนิทสนมกับเขา ทว่ากลับทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัว เขายอมให้มี่เอ๋อร์ใช้ท่าทีเหมือนเมื่อก่อนกับเขา เห็นเขาเป็นพ่อค้าหน้าเลือด ทั้งไร้อารยะธรรมยังจะดีกว่า

“เข้าใจแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำได้เพียงเชื่อฟัง ยามนี้นางเข้าใจแล้วว่า บางทีที่ตัวเองมีนิสัยดื้อรั้นนั้นมาจากไหน ที่แท้แม้จะไม่ได้สนิทสนม แต่กลับสามารถสืบทอดกันได้

———————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 299 คืนหนี้

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 299 คืนหนี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เขาซื่อสัตย์ขนาดนั้นเชียว?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองตั๋วเงินสามแสนตำลึงในมืออย่างไม่กล้าเชื่อ คนของตระกูลซั่งกวนเพิ่งเอามาส่งถึงมือนาง ให้นางมอบให้นายท่านเยี่ยนอีกที ทั้งเป็นหนี้ที่ค้างอยู่ของหยางมู่หลิน

“เขาจะซื่อสัตย์ขนาดนั้นได้อย่างไร” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง “คนที่พวกเราส่งไป เก็บไม่ได้แม้แต่แดงเดียว ยามนี้หยางมู่หลินเกลียดชังคนของตระกูลซั่งกวนเป็นที่สุด แม้ว่าจะต่อสู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง เขาก็ไม่อาจคืนเงินนี้แต่โดยดีหรอก”

“หากเป็นข้าก็คงเหมือนกัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดกลอกตาใส่เขาไม่ได้ นางกระจ่างชัดว่าซั่งกวนเจวี๋ยดำเนินแผนไล่ล่าอย่างไร ปล่อยให้หยางมู่หลินมีชีวิตรอด แต่กลับสังหารหยางรุ่ยหนานให้ตายหน้าประตูเมืองอวิ้น หากหยางมู่หลินยอมคืนเงินให้แต่โดยดีจะนับว่าแปลกมากกว่า

“เงินนี้เอามาจากทางฮ่องเต้ ข้าเป็นคนตัดสินใจเอง ขาดไปอยู่ห้าหมื่นตำลึง” ตั้งแต่แรกซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่ได้คิดจะเอาเงินนี้มาจากหยางมู่หลินอยู่แล้ว เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าให้คนส่งหนังสือรับรองหนี้สินไปเซิ่งจิงตรงๆ ตั้งนานแล้ว เมื่อฮ่องเต้เห็นหนังสือรับรองหนี้ฉบับนี้ก็ชิงจ่ายเงินก้อนนี้ก่อนทันที”

“จากนั้นเขาก็จะเอาหนังสือรับรองหนี้คิดบัญชีกับเซียวเหยาโหวช้าๆ อีกที ใช่หรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะจนเอวแทบเคล็ด หนังสือรับรองหนี้อยู่ในมือฮ่องเต้ หากไม่เพิ่มเงินอีกหลายเท่าตัวหรือกระทั่งสิบเท่าเพื่อดึงเงินมาจากหยางมู่หลินก็ย่อมเป็นเรื่องแปลก หรือบางทีฮ่องเต้อาจจะตามหาของเช่นนี้มาโดยตลอด แต่กลับไม่อาจหาพบได้ ซั่งกวนเจวี๋ยส่งหนังสือรับรองหนี้ให้เขา ก็เป็นเพียงการมอบหมอนให้ฮ่องเต้ที่กำลังจะหลับเท่านั้น ทุกคนต่างก็พึงพอใจ

“ดังนั้นเขาย่อมไม่มีเวลาและกำลังมาสร้างปัญหาให้ตระกูลซั่งกวนแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยยอมรับว่าตัวเองทำเช่นนี้มีจุดประสงค์อื่น แต่เขารู้สึกว่าเขาทำเช่นนี้ไม่ได้มีอะไรแย่แม้แต่น้อย จงเสวี่ยฉิงไม่มีความคิดจะแก้แค้นเขา มี่เอ๋อร์ล้วนไม่ชัดเจนกับการมีอยู่ของเขาทั้งเรื่องในอดีต แต่ตัวเขาเองกลับคิดที่จะใช้ประโยชน์จากมี่เอ๋อร์ เขามีจุดจบเช่นใดล้วนเป็นเพราะหาเรื่องใส่ตัวเอง

“นั่นก็ดี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เคยนึกถึงปัญหานี้เช่นกัน ความแค้นของหยางมู่หลินและตัวเองนับว่าสิ้นสุดต่อกัน ส่วนตระกูลซั่งกวนยิ่งจบลงยามที่ธนูทะลุหัวใจหยางรุ่ยหนาน กล่าวว่าตีเสือไม่ตายย่อมกลายเป็นศัตรูก็คือเช่นนี้ หากมีวันหนึ่งที่หยางมู่หลินไม่ออกจากบ้าน เขาก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะลอบวางแผนตัวเอง ทั้งคิดจัดการตระกูลซั่งกวน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องคิดจะขจัดอะไรอีกแล้ว

“ข้าคิดว่าฮ่องเต้อาจจะจัดการคนที่เป็นดั่งตะปูในตาผู้นี้ภายในสามปีหรือห้าปี…” ซั่งกวนเจวี๋ยทำท่าปาดคอหอยตัวเอง จากนั้นก็กล่าวยิ้มๆ “แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือกล่าวว่า ฮ่องเต้มีวี่แววว่าจะจากไปเร็วๆ นี้ เขาย่อมไม่อาจเหลือภัยร้ายให้ลูกชายตัวเองหลังจากที่ตายไปหรอก ดังนั้นเขาคงจะแก้ไขเรื่องทุกอย่างให้เสร็จสรรพก่อนที่จะตายเป็นแน่”

“เจ้าไม่ได้วางแผนดึงอ๋องรุ่ยและตระกูลจงเข้าไปด้วยหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มหรี่ตาถาม นางรู้สึกว่าปีสองปีมานี้ นับวันซั่งกวนเจวี๋ยก็ยิ่งเป็นชายหนุ่มที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะตัวเอง แต่เป็นเพราะเขาเป็นพ่อคนแล้ว

“เรื่องหยางรุ่ยเฟิงและจงฉิงเฟิงย่อมเล่าให้ฮ่องเต้ฟังอย่างไม่ตกหล่น ก็ต้องดูเขาแล้วว่าจะสามารถลงมือกับลูกชายตัวเองได้หรือไม่!” สิ่งที่ซั่งกวนเจวี๋ยไม่ได้กล่าวคือการทำเช่นนี้ยังมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งเช่นกัน นั่นก็คือแสดงท่าทีที่ชัดเจนให้ฮ่องเต้เห็นว่า ตระกูลซั่งกวนย่อมไม่สอดมือยุ่งเรื่องในราชสำนัก ไม่ว่าจะเซียวเหยาโหวก็ดี อ๋องรุ่ยก็ดี ตระกูลซั่งกวนล้วนไม่คิดจะยอมรับผู้ใด ดังนั้นเจ้าก็อย่าได้ส่งคนมาลงมือกับคนของตระกูลซั่งกวนอีก

“ใช่แล้ว มี่เอ๋อร์!” ซั่งกวนเจวี๋ยคลี่ยิ้มบาง “คนที่ไปเซิ่งจิงยังนำของขวัญบางอย่างที่ฮ่องเต้มอบให้เจ้ากลับมาด้วย ข้าให้คนไปตรวจสอบก่อนจึงค่อยเข้ามาให้เจ้า อย่างอื่นล้วนไม่ใช่ของหายาก แต่มีสร้อยเส้นมุกที่ไม่เลวเส้นหนึ่ง สดใสพร่างพราวเป็นอย่างมาก เจ้าเห็นแล้วอาจจะชอบ”

นั่นเป็นการขอโทษจากฮ่องเต้ การขอโทษเช่นนี้มอบให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่กลับต้องการแสดงให้ตระกูลซั่งกวนเห็น ดูท่าที่ตระกูลซั่งกวนรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของมือลอบสังหารในปีนั้นจากรัชทายาท คงเป็นข่าวของเขา ไม่อย่างนั้นเขาก็จงใจให้รัชทายาทเปิดเผย หรือมิเช่นนั้นก็อาจจะได้ยินความลับจากคนที่เขาส่งไปอยู่ข้างกายรัชทายาท แต่เรื่องนี้ล้วนผ่านไปแล้ว เอาเรื่องเก่ามาพูดล้วนไม่เป็นผลดีต่อทุกคน ดังนั้นจึงแสร้งโง่อย่างรู้กัน

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงมีของขวัญหรืออาจจะกล่าวว่าประทานให้นาง แต่เห็นรอยยิ้มเบิกบานและอบอุ่นของซั่งกวนเจวี๋ย นางก็เข้าใจทันที คงจะมีความผิดปกติอะไรภายใน แต่นางเชื่อว่าซั่งกวนเจวี๋ยทำเพื่อปกป้องนาง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

“ข้าจะนำตั๋วเงินนี้ไปส่งให้นายท่านเยี่ยนก่อนแล้วกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยิบตั๋วเงินขึ้นมา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เขาพาหมิงเอ๋อร์ไปเดินเล่นในสวนดอกไม้อีกแล้ว ข้าไม่อาจเข้าใจได้ หมิงเอ๋อร์ เจ้าตัวเล็กจู้จี้จุกจิกถึงเพียงนั้น เหตุใดจู่ๆ จึงเข้ากับนายท่านเยี่ยนได้ดีขนาดนี้ คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจจริงๆ!”

ซั่งกวนเจวี๋ยส่ายศีรษะหลุดยิ้ม ที่จริงเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหมิงเอ๋อร์จึงถูกชะตากับนายท่านเยี่ยนขนาดนั้น นายท่านเยี่ยนนับว่ายอมรับคำเชิญของตระกูลซั่งกวนจึงรั้งอยู่ที่ลี่โจวเรื่อยมา (ย่อมไม่ใช่รั้งอยู่ที่เรือนพำนักอวี้ฉิง วันที่สองหลังจากจัดการเรื่องพ่อลูกหยางมู่หลินก็ออกจากเรือนพำนักอวี้ฉิงทันที) และเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ยังคงปฏิบัติตามกฎ พักที่เรือนพำนักอวี้ฉิง สามวัน อยู่ที่ตระกูลซั่งกวนสามวันและสามวันนี้ที่อยู่ตระกูลซั่งกวน นอกจากเรียนวิชาทุกวันแล้ว เวลาอื่นๆ ล้วนคลุกตัวอยู่กับนายท่านเยี่ยน ใครก็ไม่เข้าใจว่าคนแก่คนหนึ่งกับเด็กคนหนึ่งเหตุใดจึงถูกชะตากันขนาดนี้ สิ่งที่ทำให้คนยิ่งงุนงงก็คือ ช่วงเวลาเดือนกว่านี้ เสี่ยวหมิงเอ๋อร์สุขุมกับเรื่องราวต่างๆ ลงมาก คล้ายกับว่าจู่ๆ ก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา

“แม้ว่ายามนี้อู๋โจวจะปลอดภัยแล้ว แต่อย่างไรเจ้าลองเกลี้ยกล่อมพ่อตาอีกครั้งเถิด ให้เขาย้ายมาที่ลี่โจว!” ซั่งกวนเจวี๋ยคลี่ยิ้ม “หากเป็นเช่นนั้น เขาก็สามารถพบหน้าหมิงเอ๋อร์บ่อยๆ ได้”

“ข้าจะลองดูอีกครั้งแล้วกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจอย่างไม่มั่นใจนัก ซั่งกวนเจวี๋ยยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ จึงจากไป เยี่ยนมี่เอ๋อร์พาสาวใช้สองคนเข้าไปตามหาเด็กและคนแก่สองคนนั้นทันที

“คงใช้วิธีไปไม่น้อยกระมัง!” นายท่านเยี่ยนตากระจ่างขึ้นมา แม้จะไม่ได้แปลกใจมาก แต่สามารถได้เงินขนาดนี้กลับมาก็ยังคงทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอยู่ดี

“แน่นอนอยู่แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้เล่าเรื่องภายใน จากประสบการณ์ของนายท่านเยี่ยน เดิมทีนางไม่จำเป็นต้องพูดมาก เขาก็สามารถเดาได้ถึงห้าหกส่วนแล้ว นางไม่อยากพูดด้านมืดของมนุษย์ออกมาต่อหน้าลูกชาย

“หมิงเอ๋อร์ ท่านตากับแม่มีเรื่องที่ต้องคุยกัน เจ้าเล่นคนเดียวไปก่อนได้หรือไม่?” นายท่านเยี่ยนเผยยิ้ม จูงมือเสี่ยวหมิงเอ๋อร์มอบให้กับจื่อหลัว เสี่ยวหมิงเอ๋อร์ไม่เต็มใจนัก แต่ก็ตามจื่อหลัวไปทางนั้นอย่างเชื่อฟัง

“เสี่ยวหมิงเอ๋อร์เชื่อฟังท่านไม่น้อย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดมาตลอดว่าคนที่ทำให้ลูกชายเชื่อฟังแต่โดยดีได้มีเพียงซั่งกวนเจวี๋ยคนเดียว คาดไม่ถึงว่าจะมีนายท่านเยี่ยนอีกคน

“ไม่ใช่เชื่อฟัง แต่เขายอมเชื่อข้าต่างหาก!” นายท่านเยี่ยนแย้มยิ้ม “แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยใช้น้ำเสียงออกคำสั่งคุยกับเขา แต่ใช้น้ำเสียงที่เท่าเทียมกัน เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความเคารพที่ข้ามีต่อเขา ย่อมยินดีที่จะให้ความเคารพกับข้ามากขึ้น เด็กคนนี้เหมือนเจ้ามาก เพียงแต่ยังปลิ้นปล้อนไม่พอ”

ที่จริงเยี่ยนมี่เอ๋อร์เองก็ไม่ได้ปลิ้นปล้อนอะไรมากมาย แต่นางเป็นผู้หญิง สามารถใช้นิสัยอ่อนโยนของผู้หญิงมาแก้ไขเรื่องนั้นได้ ดังนั้นจึงไม่ได้เห็นชัดเจนมาก

“ท่านพ่อ ท่านเก็บตั๋วเงินพวกนี้ไว้ ภายหลังแม้ท่านจะไม่ทำงาน ชั่วชีวิตนี้ก็ย่อมมีเงินให้พอใช้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยัดตั๋วเงินในมือให้นายท่านเยี่ยน เงินสำหรับนางในยามนี้ไม่ได้สำคัญเหมือนเมื่อก่อนแล้ว และนางเองก็มีแหล่งทำมาหากินที่เพียงพอ…ปีนั้นตระกูลซั่งกวนให้เงินเป็นสินเจ้าสาวเพื่อไว้หน้านางล้วนนับเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของนาง ทั้งนางก็ไม่มีที่ให้จับจ่ายเงินมากมาย ยามนี้จึงนับเป็นหญิงสาวที่ร่ำรวยคนหนึ่ง

“พอนั้นย่อมพอให้ใช้ แต่ข้าทำงานยุ่งเป็นนิสัยอยู่แล้ว หากว่างขึ้นมาข้าย่อมทนไม่ได้” นายท่านเยี่ยนคลี่ยิ้มบาง ไม่ได้ปฏิเสธอันใด เก็บตั๋วเงินนั้นไว้

“หากนายท่านยินดีจะย้ายมาอยู่ลี่โจว แค่อยู่เป็นเพื่อนหมิงเอ๋อร์ก็คงทำให้ท่านยุ่งพอแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์นับว่าเอาเรื่องเก่ามาพูดอีกครั้ง ช่วงเวลาที่นายท่านเยี่ยนอยู่ที่ตระกูลซั่งกวน นางนั้นหว่านล้อมมาหลายครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนถูกนายท่านเยี่ยน ปฏิเสธ

“เรื่องนี้อย่างไรอย่าพูดดีกว่า!” นายท่านเยี่ยนส่ายศีรษะเหมือนอย่างเคย “ข้าน่ะ พอถึงครึ่งเดือนก็จะกลับอู๋โจว ภายหลังจะมาเยี่ยมพวกเจ้าบ่อยๆ”

“ท่านพ่อ…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เข้าใจจริงๆ อู๋โจวมีอะไรที่ทำให้เขาอาลัยอาวรณ์กันแน่ แต่ผลลัพธ์เช่นนี้ นางก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อยเช่นกัน หลังจากซั่งกวนเจวี๋ยกลับมาจากเรือนพำนักอวี้ฉิงก็จัดการพื้นที่ในอู๋โจวทันที ภายหลังตระกูลเยี่ยนย่อมไม่อาจถูกคนควบคุมและข่มขู่อย่างง่ายดายเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว

“มี่เอ๋อร์ หากข้าย้ายมาที่ลี่โจว ไท่ไท่ย่อมจะตามมาด้วย เจ้าและนางเจอกันจะเข้ากันได้อย่างไร? อย่าเพิ่มปัญหาเลยดีกว่า!” นายท่านเยี่ยนหัวเราะ “อีกอย่าง สุสานของแม่เจ้า ทั้งตาและยายเจ้าล้วนอยู่ที่อู๋โจว หากข้าจากอู๋โจวมา ใครจะดูแลพวกเขากัน?”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เงียบไปพักใหญ่ ถอนลมหายใจ “เช่นนั้นเมื่อท่านกลับอู๋โจวไปแล้ว คิดจะทำอย่างไรต่อ?”

“เรื่องของเจ้าแปด พวกเราสองคนกระจ่างชัดก็พอแล้ว ข้าจะบอกไท่ไท่ว่าเจ้าแปดถูกคนที่ลักพาตัวไปสังหาร” ยามที่นายท่านเยี่ยนออกจากอู๋โจว คำพูดเดิมที่บอกไท่ไท่เยี่ยนก็คือมีคนจับตัวเจ้าแปดไป และเขาออกไปเพื่อไถ่ตัว คำอธิบายเช่นนี้นับว่าเข้ากับคำโกหกก่อนหน้า

“ไท่ไท่ย่อมจงเกลียดจงชังข้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับไม่สนใจความแค้นของไท่ไท่เยี่ยนแม้แต่น้อย ตั้งแต่นางกำเนิดมาก็เป็นดั่งตะปูในตาของไท่ไท่เยี่ยนแล้ว ถูกคนเกลียดชังจนชินแล้ว จึงไม่ใส่ใจอะไร

“พี่สาวคนโตของเจ้ามีลูกชายสามคน ข้าเตรียมให้หนึ่งในนั้นใช้สกุลตามมารดา สืบทอดกิจการทั้งหมดของตระกูลเยี่ยน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ไท่ไท่เยี่ยนย่อมไม่อะไรมาก” นายท่านเยี่ยนเผยยิ้มเล็กน้อย ลูกสาวคนโตและคนรองล้วนเป็นบุตรสาวของไท่ไท่เยี่ยน เรื่องเช่นนี้ ไท่ไท่เยี่ยนย่อมพึงพอใจ “แต่ว่า ตั๋วเงินพวกนี้เจ้าอย่าได้เอาไปบอกไท่ไท่เชียว เงินพวกนี้เป็นเงินส่วนตัวของข้า!”

“เข้าใจแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเขาแม้แต่น้อย หลังจากสนิทสนมกันมากขึ้นนางก็ไร้วิธีที่จะจัดการกับนายท่านเยี่ยนขึ้นเรื่อยๆ แต่นางชอบความรู้สึกเช่นนี้ ยามนี้พวกเขาไม่ต่างอะไรจากพ่อลูกที่สนิทสนมกันทั่วไปแล้ว นี่เป็นเรื่องที่แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

“หลังจากนี้สามวันข้าก็จะกลับอู๋โจวแล้ว เจ้าให้เจวี๋ยเอ๋อร์จัดการหน่อยเถิด!” นายท่านเยี่ยนไม่คิดรั้งตัวอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว เขายอมรับอย่างจนใจว่าตัวเองเป็นเหมือนที่จงเสวี่ยฉิงด่าเช่นนั้น เดิมทีก็ไม่เข้าใจว่าอะไรคือความรู้สึกอ่อนไหว เขายังคิดว่าความสัมพันธ์เมื่อก่อนนั้นทำให้เขาเป็นตัวเองมากกว่า มี่เอ๋อร์ในยามนี้ให้ความเคารพและสนิทสนมกับเขา ทว่ากลับทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัว เขายอมให้มี่เอ๋อร์ใช้ท่าทีเหมือนเมื่อก่อนกับเขา เห็นเขาเป็นพ่อค้าหน้าเลือด ทั้งไร้อารยะธรรมยังจะดีกว่า

“เข้าใจแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำได้เพียงเชื่อฟัง ยามนี้นางเข้าใจแล้วว่า บางทีที่ตัวเองมีนิสัยดื้อรั้นนั้นมาจากไหน ที่แท้แม้จะไม่ได้สนิทสนม แต่กลับสามารถสืบทอดกันได้

———————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+