เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 142 ประลองชาดวลสุรา (2)

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 142 ประลองชาดวลสุรา (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เจวี๋ย เจ้าว่าพวกนางยังมีแผนอันใดอีก?” มู่หรงปั๋วเย่ถามทั้งรอยยิ้ม ตั้งไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีงานชมดอกบัวครั้งไหนที่คึกคักเช่นนี้มาก่อน อิ๋งอี้หังที่น่าสงสาร ไม่รู้ว่าเป็นคำถามของสาวน้อยไร้จริยธรรมคนใด จึงเกือบจะถูกพวกชายหนุ่มโห่ร้องจับแก้ผ้าอยู่รอมร่อ เขาพยายามหาคนที่สนิทด้วยมายืนรอที่ริมฝั่ง หลังจากตอบคำถามที่พวกคุณหนูส่งมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่คำถามเดียวก็ยังแนบคำพูดยั่วโมโหไปอีก ในยามที่อีกฝ่ายเริ่มประลองชาขึ้นก็เป็นฝ่ายได้คะแนนเต็มนำหน้าไปก่อน เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นมีคนที่ใช้ความฉลาดแกมโกง เริ่มใส่ส่วนผสมบางอย่างลงในน้ำชาบริสุทธิ์ ทำให้อิ๋งอี้หังเริ่มที่จะจริงจังขึ้นมา

“ข้าก็เดาไม่ถูกเช่นกัน” ซั่งกวนเจวี๋ยส่ายศีรษะ ความคิดของมี่เอ๋อร์นั้นเดายาก นางเป็นคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวคนหนึ่ง คาดว่าน้ำชาที่ส่งมาภายหลังนี้คงจะเป็นความคิดของนาง

“มาอีกแล้ว!” อิ๋งอี้หังตะโกนเสียงดัง ยากที่จะได้เห็นเขาที่เป็นคนสุขุมข่มอารมณ์โกรธไม่อยู่เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าถูก ‘เรื่องของกางเกงตัวใน’ กระตุ้นเข้าให้แล้ว ซั่งกวนเจวี๋ยและมู่หรงปั๋วเย่ยิ้มให้แก่กัน ก่อนจะไปเบียดเสียดอยู่ด้านหน้าสุดเช่นกัน

“เชิญพี่ชายทั้งสอง!” ยากที่จะเห็นพวกเขาทั้งสองเข้ามาร่วมสนุกด้วย อิ๋งอี้หังจึงมอบอภิสิทธิ์ให้ทั้งสองคนก่อน

ซั่งกวนเจวี๋ยสุ่มหยิบขวดเล็กขวดหนึ่งขึ้นมา เปิดฝาขวดออก กลิ่นเบาบางก็ตีขึ้นจมูกมาทันที นั่นเป็นกลิ่นของชาหลงจิ่ง เพียงแต่ มี่เอ๋อร์จะปล่อยคำถามที่ง่ายเช่นนี้ออกมาอย่างนั้นหรือ? ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกกังวลใจ ทว่าใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้ม “ขวดนี้ของข้าคือชาหลงจิ่ง พี่ใหญ่มู่หรง ของเจ้าเล่า?”

ไม่ถูก! รอยยิ้มของเขาดูผิดปกติ! มู่หรงปั๋วเย่เหลือบมองไปที ไม่ชิมชาก็รีบด่วนสรุปไม่เหมือนนิสัยของเจวี๋ยเลย แต่มู่หรงปั๋วเย่ก็ไม่ได้กล่าวอันใด ดึงเปิดขวดของตนเองแทน พบว่าเป็นกลิ่นอ่อนๆ ของชาหลงจิ่งเช่นกัน เขาทำท่ายกขวดขึ้นจิบชา ทว่าปลายลิ้นกลับอุดตรงที่ปากขวดเล็กนั้นไว้ รสเค็มและเปรี้ยวแผ่กระจายไปทั่วลิ้น ใบหน้าเขาแข็งทื่อไปเล็กน้อย ค่อยๆ วางขวดลง กล่าวยิ้มๆ “ขวดนี้เป็นกลิ่นของจิ่งหลง ทว่าน้ำชากลับเป็นผู่เอ๋อร์ ดูเหมือนว่าจะใช้ชาผู่เอ๋อร์ที่ไร้กลิ่นผสมกับกลิ่นหอมของจิ่งหลงลงไป ช่างคิดเสียจริง!”

“อย่างนั้นหรือ?” ซั่งกวนอวี่ฮ่าวรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง เพราะต้องการลอบฟังข่าวคราวของชิงหวั่น ไม่กี่วันมานี้เขาจึงเอาแต่ตามติดอยู่ข้างกายมู่หรงปั๋วเย่ ดังนั้นยามนี้ก็ถูกยัดขวดหนึ่งในมือเช่นกัน เขาเปิดขวดออก จู่ๆ ก็กังวลใจขึ้นมา เหตุใดยังเป็นกลิ่นของหลงจิ่งอีกล่ะ แต่พอเห็นพวกคนเหล่านั้นกำลังมองมาที่เขาอยู่ เขาจึงดื่มไปหนึ่งคำอย่างระวัง รสชาติของหลงจิ่งผสมกับซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูแผ่กระจายไปทั่วทั้งปาก เขาพยายามข่มกลั้นไม่พ่นออกมา ฝืนใจกลืนมันลงไป ก่อนจะกล่าวยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ “ของข้าเป็นน้ำเย็นที่พรมหลงจิ่งลงไปเล็กน้อย รสชาติจืดจางจนแทบทายไม่ออก!”

“มา ดื่มพร้อมกันเถอะ!” อวี่ฮ่าวคล้ายกับมีอารมณ์คึกเป็นอย่างมาก กล่าวด้วยรอยยิ้มกับเจ็ดแปดคนที่ถือขวดอยู่ในมือ

“ได้ พร้อมกัน!” พวกอิ๋งอี้หังยิ้มให้แก่กัน ขวดในมือนั้นล้วนเปิดฝาออกหมดแล้ว ก่อนจะดื่มเข้าไปคำใหญ่(อวี่ฮ่าวยิ้มอย่างมีเลศนัยใช้ปากปิดปากขวดเอาไว้ ไม่ได้ดื่มเข้าไปสักหยดเดียว) จากนั้นคนทั้งหมดก็พร้อมใจกันพ่นออกมาโดยไม่ได้นัดหมาย…

“อี๋…พวกเจ้าทำอะไรกันนี่?” คนที่อยู่ด้านหน้าหรือไม่ก็อยู่ด้านข้างล้วนแต่ได้รับ ‘การชำระล้าง’ ไปตามๆ กัน ร้องเรียกขึ้นมาอย่างโมโห ส่วนอวี่ฮ่าวนั้นหายตัวหลบไปอยู่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว ยกสุราถ้วยหนึ่งขึ้นมาล้างปาก…มีคนรับกรรมเป็นเพื่อนเขาแล้ว เขาไม่มีความจำเป็นต้องทนต่อไป

“เจ้าเป็นรสชาติอะไร?” หลังจากพวกอิ๋งอี้หังล้างปากแล้วก็ต่างฝ่ายต่างถามกัน พวกเขาไม่ได้ล้างปากด้วยสุรา แต่อวี่ฮ่าวนั้นให้คนไปยกน้ำชามาให้พวกเขาอย่างเอาใจใส่

“เกลือ น้ำส้มสายชู พริกไทย!” คนอื่นๆ เผยใบหน้าดำคล้ำถ่มน้ำลายออกมาติดต่อกันอย่างทนไม่ไหว ยามนี้ในปากยังคงมีรสชาติทั้งเปรี้ยวทั้งเค็มแปลกๆ นั้นอยู่ พวกเขาไม่ได้ระวังขนาดนั้น จึงดื่มกันเข้าไปอึกใหญ่ ในลำคอตอนนี้ยังเปรี้ยวๆ เค็มๆ อยู่เลย!

“น้ำดี แหวะ…” คนที่น่าสงสารคนนั้นขมจนหน้าบิดเบี้ยวไปหมด ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่า ‘ความทุกข์ทน’ นั้นเป็นเช่นไร

“เจ้าช่างโชคดีจริงๆ! ของข้านั้นเป็นน้ำจากพริกฮวาเจียว[1]ด้วยซ้ำ!” คนผู้นั้นจ้องไปที่อีกฝั่งอย่างโมโห ปลายลิ้นนั้นชาจนไม่รู้รสชาติอะไรอีกแล้ว ในเมื่อไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร เช่นนั้นก็เหมารวมแล้วกัน

“ดีกว่าข้าเถอะ!” หลี่ลั่วเผยทำตาแดงน้ำตาคลอเบ้า “ของข้าเป็นน้ำพริก…ฮึก…ฮึก…แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยกินเผ็ดมาก่อน…”

“ดีที่ข้ายังโชคดีอยู่!” มีคนตบหน้าอกรู้สึกสะพรึงกลัวไม่หายจากเหตุการณ์เมื่อครู่ “ของข้าเป็นเพียงเกลือและน้ำตาลผสมกันเท่านั้น!”

“หญิงสาวโหดเหี้ยมพวกนี้!” หลี่ลั่วเผยใบหน้าทั้งน้ำตาคลอพยายามใช้น้ำเย็นล้างปากตัวเอง ทว่าความรู้สึกเผ็ดร้อนนั้นกลับไม่ลดลงแม้แต่น้อย น้ำหูน้ำตาพากันไหลอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่ว่าจะอย่างไรก็น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง จะหลงเหลือท่าทีเคร่งขรึมดั่งเช่นวันปกติได้อีกอย่างไรกัน

“ย่อมต้องล้างแค้น!” อิ๋งอี้หังเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร เขาไม่รู้ว่าตนเองควรจะเข้ามาหรือไม่เข้ามาด้วยซ้ำ ในขวดนั้นของเขาใส่น้ำส้มสายชู น้ำตาล พริกฮวาเจียว น้ำพริก น้ำขิง เกลือ กระทั่งยังเหมือนมีสิ่งที่คล้ายน้ำดีอยู่ด้วย เปรี้ยวหวานขมเผ็ดผสมปนเปไป ถูกรับเคราะห์ไม่ต่างจากหลี่ลั่วเผยเลย

“ใช่!” ในที่สุดก็มีคนอาเจียนเสร็จแล้ว เดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่ซีดขาว เขาไม่เข้าใจ เหตุใดในขวดนั้นของเขาจึงมีกลิ่นคาวได้ ทั้งยังเป็นกลิ่นคาวที่ทำให้คนยากจะรับได้ยิ่งกว่ากลิ่นของปลาตายเสียอีก

“ไม่ถูก! พวกนางหมายความว่าอย่างไรกันแน่?” จู่ๆ ก็มีคนร้องขึ้นมา เห็นพวกคุณหนูที่อีกฝั่งไกลๆ นั้นคล้ายกับพากันล่าถอย จากนั้นก็มีกระดาษแผ่นหนึ่งถูกส่งมา บนนั้นเขียนตัวอักษรเรียงกันอย่างกำเริบเสิบสานเป็นอย่างยิ่ง ‘พวกเจ้าค่อยๆ เล่นเถิด พวกข้าไม่เล่นสนุกด้วยแล้ว!’

“ทำพอหอมปากหอมคอก็เลิก ดูท่าครั้งนี้พวกนางคงมีคนคอยช่วยจัดการ” มู่หรงปั๋วเย่หัวเราะจนตัวงอ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่ายังจะมีคนลอบวางแผนเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าพวกคุณหนูที่อ่อนหวานเหล่านั้นจะมีด้านที่ซุกซนเช่นนี้ด้วย ทั้งนึกไม่ถึงว่าพอพวกนางเห็นว่าหอมปากหอมคอแล้วก็หยุดแค่นี้ ทำให้กลุ่มคนที่โห่ร้องจะเอาคืนพวกนั้นต่างก็พากันยืนงงเป็นไก่ตาแตก เพียงแต่…การรวมกลุ่มเช่นนี้ทำให้คึกคักกว่าปีก่อนๆ เป็นไหนๆ…

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?” อิ๋งอี้หังอยากร้องไห้อยู่บ้าง แต่หลี่ลั่วเผยที่ยืนอยู่ด้านข้างเขาได้ร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่แล้ว

“ฮ่าๆ…” ไม่รู้ว่าเป็นใครที่เริ่มหัวเราะขึ้นมาเป็นคนแรก คล้อยหลังก็คล้ายกับแพร่เป็นวงกว้าง ต่างก็เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้าแล้วหัวเราะกันขึ้นมา พวกเขาล้วนไม่รู้ว่านานเท่าใดแล้วที่ไม่ได้สนุกสนานอย่างจริงๆ จังๆ ผ่อนคลายโดยไม่ต้องสนใจอันใดเช่นนี้…

“คุณชาย!” เยี่ยนเซียงมองรอยยิ้มที่แปลกๆ เหล่านั้นอย่างแปลกใจ พวกคุณชายแทบไม่มีท่าทีสง่าผ่าเผยเหมือนยามที่เห็นเป็นครั้งแรก คงไม่ใช่ว่าพวกเขาถูกยั่วยุอะไรเข้าแล้วกระมัง?

“มีเรื่องอันใด?” ซั่งกวนเจวี๋ยถามออกไป เขารู้ในใจคร่าวๆ อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ย่อมเป็นความคิดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ คุณหนูเหล่านั้นพากันใช้จินตนาการของตนอย่างเต็มเปี่ยม จากนั้นก็เนรมิตรสชาติน้ำชาแปลกๆ พวกนี้ออกมา ผลลัพธ์ช่างแตกต่างกันจริงๆ ก็เหมือนที่นางเสนอแนวคิดขึ้นมาอย่างจวนตัว ตระเตรียมธนูไว้บนเรือสำราญ ให้พวกคุณหนูคุณชายที่จมดิ่งในการช่วงชิงไหวพริบและเอาแต่คิดวางแผนพวกนั้นได้รับความสนุกสนานอย่างแท้จริง มองจากจุดนี้ งานชมดอกบัวในปีนี้ย่อมทำให้คนสนุกสนานอยู่พักใหญ่อย่างแน่นอน

“สะใภ้ใหญ่ให้ทางครัวจัดเตรียมเนื้อย่างแต่ละประเภทแล้วขอรับ จะให้พวกพ่อครัวเข้ามาที่นี่ ย่างไปพลางกินไปพลางหรือจะให้ย่างเสร็จก่อนแล้วค่อยยกเข้ามาดีขอรับ!” เยี่ยนเซียงได้รับคำสั่งมาจากเซียงชุ่ยจึงตั้งใจเข้ามา

“เนื้อย่าง? มีเนื้อย่างอะไรบ้าง?” จู่ๆ มู่หรงปั๋วเย่ก็เกิดความสนใจขึ้นมา ดื่มสุรากินเนื้อย่างกลางธรรมชาติ ดูคล้ายกับจะเป็นเรื่องที่เพลิดเพลินและครื้นเครงเป็นอย่างยิ่ง

“เนื้อกวาง เนื้อเก้ง เนื้อหมูป่า วัว แพะ ไก่ เป็ด ปลาล้วนมีทุกอย่างขอรับ หมักไว้ตั้งแต่ตอนเย็นของเมื่อวาน ทั้งยังมีแกงดอกบัวสดมาตัดเลี่ยน นอกจากสุราเหลิ่งกานแล้ว ก็มีสุราจอหงวนแดง สุราฮวาเตี้ยว และสุราเฝินจิ่วขอรับ สะใภ้ใหญ่กล่าวว่าแต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน อย่างไรจัดเตรียมให้มากจะดีกว่าขอรับ!” เยี่ยนเซียงรีบตอบ

“ดูท่าแล้วน้องสะใภ้จะรอบคอบทุกด้านจริงๆ ให้พวกพ่อครัวเข้ามาจัดการที่นี่เลยเถิด!” มู่หรงปั๋วเย่กล่าวชม

ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้าอย่างเป็นประกายด้วย เห็นเยี่ยนเซียงยังยืนไม่ไปไหนก็กล่าวถาม “ยังมีเรื่องอันใดอีก?”

“สะใภ้ใหญ่ให้คนไปเชิญเยวี่ยเจียวหนู แม่นางเสวี่ยอวี้ หูเม่ยเหนียงจื่อ(นางจิ้งจอกร้อยเล่ห์) และคณะหูจีขึ้นเกาะ พวกนางเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว จะให้พวกนางเข้ามาทำแสดงให้พวกคุณชายชมกันเลยหรือไม่ขอรับ?” เยวี่ยเจียวหนูเป็นนางระบำที่มีชื่อเสียงในลี่โจว แม่นางเสวี่ยอวี้นั้นเป็นพี่น้องฝาแฝดที่ขับร้องและบรรเลงเพลงได้ยอดเยี่ยมด้วยกันทั้งคู่ ส่วนหูเม่ยเหนียงจื่อมีเอกลักษณ์ในการยั่วยวนมากมาย ฝีมือการบรรเลงพิณที่น่าตกตะลึงทำให้คุณชายจำนวนไม่น้อยล้มลงแนบชายกระโปรงไปไม่รู้กี่คนต่อกี่คนแล้ว แต่คณะหูจีกลับมีชื่อเสียงมากกว่า ล้วนเป็นสาวงามต่างแดนที่มาจากทางตะวันตก แม้ว่าผมสีทองตาสีฟ้าของพวกนางจะไม่เข้ากับความงามของต้าเหยียน แต่ผิวที่ขาวราวกับหิมะ และรูปร่างที่อวบอิ่มล้วนแต่ทำให้ชายหนุ่มพากันหลงใหล เยี่ยนเซียงไม่เข้าใจว่าเหตุใดสะใภ้ใหญ่จึงต้องเชิญผู้หญิงพวกนั้นมา สะใภ้ใหญ่ไม่กลัวว่าพวกคุณชายจะว้าวุ่นขึ้นมากันหรืออย่างไร?

“รอผ่านไปสักครึ่งชั่วยามค่อยเชิญพวกนางเข้ามา! ให้แม่นางเสวี่ยอวี้แสดงก่อน ตามด้วยเยวี่ยเจียวหนู หูเม่ยเหนียงจื่อ และคณะหูจีรั้งท้าย!” ซั่งกวนเจวี๋ยเหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก แต่ก็ประหลาดใจ เขาเคยมีความคิดนี้เช่นกัน ไม่ใช่ว่ามักมากในกามหรืออะไร เพียงแต่กลุ่มผู้ชายอยู่บนเกาะนั้นยากที่หลีกเลี่ยงความเบื่อหน่าย หากมีหญิงสาวมาร่วมทำการแสดง ย่อมต้องทำให้บรรยากาศดีขึ้นมา ในทางตรงกันข้ามเวลาก็จะผ่านไปไว บรรยากาศก็จะเหมาะสมขึ้นมาเช่นกัน ความคิดของมี่เอ๋อร์ทำให้คนนึกไม่ถึงจริงๆ

“ดูเหมือนว่าน้องสะใภ้จะไม่เพียงหลักแหลมรู้ความ แต่ยังเข้าใจจิตใจชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี!” มู่หรงปั๋วเย่ยอมจริงๆ แม้ว่าใครต่างก็รู้ว่าการเข้าสังคมของพวกผู้ชายมักจะต้องเข้าออกแหล่งจรรโลงใจ แต่คนที่ตระหนักถึงจุดนี้ได้จริงๆ กลับมีไม่มาก พวกนางมักจะเอาการแสดงศิลปะพวกนี้ไปมัดรวมกับเรื่องหอนางโลม แยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นอันไหน แต่การแสดงศิลปะนั้นกลับไม่ได้ง่ายดายดั่งเช่นงานในหอนางโลมขนาดนั้น

ไม่กี่วันนี้ล้วนเชิญนักร่ายรำที่มีชื่อเสียงในลี่โจวหรือแม้กระทั่งในใต้หล้าแห่งนี้มา นอกจากคณะหูจีที่ทำการแสดงในหอสุราแล้ว คนอื่นๆ ก็ล้วนมีเรือนพำนักของตนเอง คนธรรมดาหากไม่ได้รับเชิญเข้ามา แม้ว่าจะมีเงินพันตำลึงก็ย่อมไม่ได้พบพวกนาง บางทีพวกนางก็อาจจะยอมค้างคืนด้วย แต่นั่นต้องเป็นคนที่นางชอบมากเท่านั้น ไม่ใช่ว่ามีเงินก็สามารถขึ้นเตียงได้

“บรรยากาศไม่เลวเลย!” อวี่ฮ่าวไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ประชิดอยู่ข้างกายมู่หรงปั๋วเย่ หัวเราะดังขึ้นมา “ดูท่าแล้ว บางทีสนุกเช่นนี้บ้างก็ไม่เลวเลย”

“สนุกจริงๆ!” มู่หรงปั๋วเย่ตบอวี่ฮ่าว ท่าทีของเขาในวันนี้ไม่เลวเลย หากไม่ได้เขา ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนได้รับเคราะห์ไปกี่คนกัน ทั้งความสนุกก็คงลดน้อยลงไปมาก เพียงแต่เขาก็ฉลาดไม่น้อย ในยามที่ทำเรื่องยุ่งก็ไม่รู้ว่าไปหลบที่ใด ยามนี้จึงเพิ่งโผล่หัวออกมา

“ไม่รู้ว่ายังมีเรื่องสนุกๆ อะไรอีกบ้าง พี่ใหญ่ เปิดเผยสักหน่อยได้หรือไม่?” อวี่ฮ่าวนับถือจริงๆ คาดไม่ถึงว่าคนที่อ่อนโยนอย่างพี่สะใภ้จะคิดเรื่องสนุก เล่นอย่างเด็กๆ ทั้งยังไม่กระทบต่อความสง่างามและความเหมาะสมของงานได้แม้แต่น้อย ดูท่าแล้วนับเป็นคนที่มีมารยาทรู้ถูกผิดเป็นอย่างดี!

“ก็นี่ไม่ใช่หรือไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยยกคางชี้ไปเล็กน้อย กลับเห็นพ่อครัว สาวใช้และคนงานทยอยเดินตามกันเข้ามายาวเป็นหางว่าว ในมือล้วนถืออุปกรณ์ต่างๆ

ไม่นาน ใกล้ศาลาริมน้ำก็ตั้งเตาย่างเนื้อ เนื้อขากวางชิ้นใหญ่ เนื้อเก้ง เนื้อวัวเสียบไม้ เนื้อหมูป่า ทั้งพวกเนื้อแพะไก่เป็ดปลาก็ยกเข้ามา ก่อนจะย่างกันกลางแจ้ง กลิ่นหอมกรุ่นผสมกับกลิ่นย่างน้ำมันลอยอบอวลไปทั่วเกาะสะท้อนเงาจันทร์ รวมกับกลิ่นสดชื่นของธรรมชาติ คุณชายมีอันจะกินเหล่านี้ต่างก็ใช้มือหนึ่งยกสุราขึ้นมาอย่างครื้นเครง อีกมือหนึ่งก็ส่งเนื้อย่างที่หอมกรุ่นนั้นเข้าปาก ทั้งยังมีพวกที่ไม่เคยสัมผัสการย่างเนื้อมาก่อน ก็ไล่พ่อครัวไปอยู่ด้านข้าง ก่อนจะลงมือทำเอง ผลลัพธ์ก็คือย่างออกมาจนไหม้เกรียมไปหมด…

จากนั้นการปรากฏตัวของแม่นางเสวี่ยอวี้ก็ทำให้บรรยากาศค่อยๆ อบอุ่นขึ้นมา คล้อยหลัง ‘ระบำเอว’ ของเยวี่ยเจียวหนูก็จบลงไปพร้อมกับเสียงปรบมือชุดใหญ่ การบรรเลงพิณของหูเม่ยเหนียงจื่อดึงเสน่ห์ออกมาอย่างยอดเยี่ยม เรียกเสียงร้องตะโกนของผู้คนเป็นอย่างมาก การเริงระบำที่งดงามของคณะหูจียิ่งทำให้บรรยากาศคึกคักยิ่งขึ้นไปอีก…

———————————-

[1] พริกฮวาเจียว หรือพริกไทยเสฉวน มีรสร้อนแรง และเผ็ดชา

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 142 ประลองชาดวลสุรา (2)

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 142 ประลองชาดวลสุรา (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เจวี๋ย เจ้าว่าพวกนางยังมีแผนอันใดอีก?” มู่หรงปั๋วเย่ถามทั้งรอยยิ้ม ตั้งไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีงานชมดอกบัวครั้งไหนที่คึกคักเช่นนี้มาก่อน อิ๋งอี้หังที่น่าสงสาร ไม่รู้ว่าเป็นคำถามของสาวน้อยไร้จริยธรรมคนใด จึงเกือบจะถูกพวกชายหนุ่มโห่ร้องจับแก้ผ้าอยู่รอมร่อ เขาพยายามหาคนที่สนิทด้วยมายืนรอที่ริมฝั่ง หลังจากตอบคำถามที่พวกคุณหนูส่งมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่คำถามเดียวก็ยังแนบคำพูดยั่วโมโหไปอีก ในยามที่อีกฝ่ายเริ่มประลองชาขึ้นก็เป็นฝ่ายได้คะแนนเต็มนำหน้าไปก่อน เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นมีคนที่ใช้ความฉลาดแกมโกง เริ่มใส่ส่วนผสมบางอย่างลงในน้ำชาบริสุทธิ์ ทำให้อิ๋งอี้หังเริ่มที่จะจริงจังขึ้นมา

“ข้าก็เดาไม่ถูกเช่นกัน” ซั่งกวนเจวี๋ยส่ายศีรษะ ความคิดของมี่เอ๋อร์นั้นเดายาก นางเป็นคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวคนหนึ่ง คาดว่าน้ำชาที่ส่งมาภายหลังนี้คงจะเป็นความคิดของนาง

“มาอีกแล้ว!” อิ๋งอี้หังตะโกนเสียงดัง ยากที่จะได้เห็นเขาที่เป็นคนสุขุมข่มอารมณ์โกรธไม่อยู่เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าถูก ‘เรื่องของกางเกงตัวใน’ กระตุ้นเข้าให้แล้ว ซั่งกวนเจวี๋ยและมู่หรงปั๋วเย่ยิ้มให้แก่กัน ก่อนจะไปเบียดเสียดอยู่ด้านหน้าสุดเช่นกัน

“เชิญพี่ชายทั้งสอง!” ยากที่จะเห็นพวกเขาทั้งสองเข้ามาร่วมสนุกด้วย อิ๋งอี้หังจึงมอบอภิสิทธิ์ให้ทั้งสองคนก่อน

ซั่งกวนเจวี๋ยสุ่มหยิบขวดเล็กขวดหนึ่งขึ้นมา เปิดฝาขวดออก กลิ่นเบาบางก็ตีขึ้นจมูกมาทันที นั่นเป็นกลิ่นของชาหลงจิ่ง เพียงแต่ มี่เอ๋อร์จะปล่อยคำถามที่ง่ายเช่นนี้ออกมาอย่างนั้นหรือ? ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกกังวลใจ ทว่าใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้ม “ขวดนี้ของข้าคือชาหลงจิ่ง พี่ใหญ่มู่หรง ของเจ้าเล่า?”

ไม่ถูก! รอยยิ้มของเขาดูผิดปกติ! มู่หรงปั๋วเย่เหลือบมองไปที ไม่ชิมชาก็รีบด่วนสรุปไม่เหมือนนิสัยของเจวี๋ยเลย แต่มู่หรงปั๋วเย่ก็ไม่ได้กล่าวอันใด ดึงเปิดขวดของตนเองแทน พบว่าเป็นกลิ่นอ่อนๆ ของชาหลงจิ่งเช่นกัน เขาทำท่ายกขวดขึ้นจิบชา ทว่าปลายลิ้นกลับอุดตรงที่ปากขวดเล็กนั้นไว้ รสเค็มและเปรี้ยวแผ่กระจายไปทั่วลิ้น ใบหน้าเขาแข็งทื่อไปเล็กน้อย ค่อยๆ วางขวดลง กล่าวยิ้มๆ “ขวดนี้เป็นกลิ่นของจิ่งหลง ทว่าน้ำชากลับเป็นผู่เอ๋อร์ ดูเหมือนว่าจะใช้ชาผู่เอ๋อร์ที่ไร้กลิ่นผสมกับกลิ่นหอมของจิ่งหลงลงไป ช่างคิดเสียจริง!”

“อย่างนั้นหรือ?” ซั่งกวนอวี่ฮ่าวรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง เพราะต้องการลอบฟังข่าวคราวของชิงหวั่น ไม่กี่วันมานี้เขาจึงเอาแต่ตามติดอยู่ข้างกายมู่หรงปั๋วเย่ ดังนั้นยามนี้ก็ถูกยัดขวดหนึ่งในมือเช่นกัน เขาเปิดขวดออก จู่ๆ ก็กังวลใจขึ้นมา เหตุใดยังเป็นกลิ่นของหลงจิ่งอีกล่ะ แต่พอเห็นพวกคนเหล่านั้นกำลังมองมาที่เขาอยู่ เขาจึงดื่มไปหนึ่งคำอย่างระวัง รสชาติของหลงจิ่งผสมกับซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูแผ่กระจายไปทั่วทั้งปาก เขาพยายามข่มกลั้นไม่พ่นออกมา ฝืนใจกลืนมันลงไป ก่อนจะกล่าวยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ “ของข้าเป็นน้ำเย็นที่พรมหลงจิ่งลงไปเล็กน้อย รสชาติจืดจางจนแทบทายไม่ออก!”

“มา ดื่มพร้อมกันเถอะ!” อวี่ฮ่าวคล้ายกับมีอารมณ์คึกเป็นอย่างมาก กล่าวด้วยรอยยิ้มกับเจ็ดแปดคนที่ถือขวดอยู่ในมือ

“ได้ พร้อมกัน!” พวกอิ๋งอี้หังยิ้มให้แก่กัน ขวดในมือนั้นล้วนเปิดฝาออกหมดแล้ว ก่อนจะดื่มเข้าไปคำใหญ่(อวี่ฮ่าวยิ้มอย่างมีเลศนัยใช้ปากปิดปากขวดเอาไว้ ไม่ได้ดื่มเข้าไปสักหยดเดียว) จากนั้นคนทั้งหมดก็พร้อมใจกันพ่นออกมาโดยไม่ได้นัดหมาย…

“อี๋…พวกเจ้าทำอะไรกันนี่?” คนที่อยู่ด้านหน้าหรือไม่ก็อยู่ด้านข้างล้วนแต่ได้รับ ‘การชำระล้าง’ ไปตามๆ กัน ร้องเรียกขึ้นมาอย่างโมโห ส่วนอวี่ฮ่าวนั้นหายตัวหลบไปอยู่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว ยกสุราถ้วยหนึ่งขึ้นมาล้างปาก…มีคนรับกรรมเป็นเพื่อนเขาแล้ว เขาไม่มีความจำเป็นต้องทนต่อไป

“เจ้าเป็นรสชาติอะไร?” หลังจากพวกอิ๋งอี้หังล้างปากแล้วก็ต่างฝ่ายต่างถามกัน พวกเขาไม่ได้ล้างปากด้วยสุรา แต่อวี่ฮ่าวนั้นให้คนไปยกน้ำชามาให้พวกเขาอย่างเอาใจใส่

“เกลือ น้ำส้มสายชู พริกไทย!” คนอื่นๆ เผยใบหน้าดำคล้ำถ่มน้ำลายออกมาติดต่อกันอย่างทนไม่ไหว ยามนี้ในปากยังคงมีรสชาติทั้งเปรี้ยวทั้งเค็มแปลกๆ นั้นอยู่ พวกเขาไม่ได้ระวังขนาดนั้น จึงดื่มกันเข้าไปอึกใหญ่ ในลำคอตอนนี้ยังเปรี้ยวๆ เค็มๆ อยู่เลย!

“น้ำดี แหวะ…” คนที่น่าสงสารคนนั้นขมจนหน้าบิดเบี้ยวไปหมด ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่า ‘ความทุกข์ทน’ นั้นเป็นเช่นไร

“เจ้าช่างโชคดีจริงๆ! ของข้านั้นเป็นน้ำจากพริกฮวาเจียว[1]ด้วยซ้ำ!” คนผู้นั้นจ้องไปที่อีกฝั่งอย่างโมโห ปลายลิ้นนั้นชาจนไม่รู้รสชาติอะไรอีกแล้ว ในเมื่อไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร เช่นนั้นก็เหมารวมแล้วกัน

“ดีกว่าข้าเถอะ!” หลี่ลั่วเผยทำตาแดงน้ำตาคลอเบ้า “ของข้าเป็นน้ำพริก…ฮึก…ฮึก…แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยกินเผ็ดมาก่อน…”

“ดีที่ข้ายังโชคดีอยู่!” มีคนตบหน้าอกรู้สึกสะพรึงกลัวไม่หายจากเหตุการณ์เมื่อครู่ “ของข้าเป็นเพียงเกลือและน้ำตาลผสมกันเท่านั้น!”

“หญิงสาวโหดเหี้ยมพวกนี้!” หลี่ลั่วเผยใบหน้าทั้งน้ำตาคลอพยายามใช้น้ำเย็นล้างปากตัวเอง ทว่าความรู้สึกเผ็ดร้อนนั้นกลับไม่ลดลงแม้แต่น้อย น้ำหูน้ำตาพากันไหลอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่ว่าจะอย่างไรก็น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง จะหลงเหลือท่าทีเคร่งขรึมดั่งเช่นวันปกติได้อีกอย่างไรกัน

“ย่อมต้องล้างแค้น!” อิ๋งอี้หังเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร เขาไม่รู้ว่าตนเองควรจะเข้ามาหรือไม่เข้ามาด้วยซ้ำ ในขวดนั้นของเขาใส่น้ำส้มสายชู น้ำตาล พริกฮวาเจียว น้ำพริก น้ำขิง เกลือ กระทั่งยังเหมือนมีสิ่งที่คล้ายน้ำดีอยู่ด้วย เปรี้ยวหวานขมเผ็ดผสมปนเปไป ถูกรับเคราะห์ไม่ต่างจากหลี่ลั่วเผยเลย

“ใช่!” ในที่สุดก็มีคนอาเจียนเสร็จแล้ว เดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่ซีดขาว เขาไม่เข้าใจ เหตุใดในขวดนั้นของเขาจึงมีกลิ่นคาวได้ ทั้งยังเป็นกลิ่นคาวที่ทำให้คนยากจะรับได้ยิ่งกว่ากลิ่นของปลาตายเสียอีก

“ไม่ถูก! พวกนางหมายความว่าอย่างไรกันแน่?” จู่ๆ ก็มีคนร้องขึ้นมา เห็นพวกคุณหนูที่อีกฝั่งไกลๆ นั้นคล้ายกับพากันล่าถอย จากนั้นก็มีกระดาษแผ่นหนึ่งถูกส่งมา บนนั้นเขียนตัวอักษรเรียงกันอย่างกำเริบเสิบสานเป็นอย่างยิ่ง ‘พวกเจ้าค่อยๆ เล่นเถิด พวกข้าไม่เล่นสนุกด้วยแล้ว!’

“ทำพอหอมปากหอมคอก็เลิก ดูท่าครั้งนี้พวกนางคงมีคนคอยช่วยจัดการ” มู่หรงปั๋วเย่หัวเราะจนตัวงอ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่ายังจะมีคนลอบวางแผนเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าพวกคุณหนูที่อ่อนหวานเหล่านั้นจะมีด้านที่ซุกซนเช่นนี้ด้วย ทั้งนึกไม่ถึงว่าพอพวกนางเห็นว่าหอมปากหอมคอแล้วก็หยุดแค่นี้ ทำให้กลุ่มคนที่โห่ร้องจะเอาคืนพวกนั้นต่างก็พากันยืนงงเป็นไก่ตาแตก เพียงแต่…การรวมกลุ่มเช่นนี้ทำให้คึกคักกว่าปีก่อนๆ เป็นไหนๆ…

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?” อิ๋งอี้หังอยากร้องไห้อยู่บ้าง แต่หลี่ลั่วเผยที่ยืนอยู่ด้านข้างเขาได้ร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่แล้ว

“ฮ่าๆ…” ไม่รู้ว่าเป็นใครที่เริ่มหัวเราะขึ้นมาเป็นคนแรก คล้อยหลังก็คล้ายกับแพร่เป็นวงกว้าง ต่างก็เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้าแล้วหัวเราะกันขึ้นมา พวกเขาล้วนไม่รู้ว่านานเท่าใดแล้วที่ไม่ได้สนุกสนานอย่างจริงๆ จังๆ ผ่อนคลายโดยไม่ต้องสนใจอันใดเช่นนี้…

“คุณชาย!” เยี่ยนเซียงมองรอยยิ้มที่แปลกๆ เหล่านั้นอย่างแปลกใจ พวกคุณชายแทบไม่มีท่าทีสง่าผ่าเผยเหมือนยามที่เห็นเป็นครั้งแรก คงไม่ใช่ว่าพวกเขาถูกยั่วยุอะไรเข้าแล้วกระมัง?

“มีเรื่องอันใด?” ซั่งกวนเจวี๋ยถามออกไป เขารู้ในใจคร่าวๆ อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ย่อมเป็นความคิดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ คุณหนูเหล่านั้นพากันใช้จินตนาการของตนอย่างเต็มเปี่ยม จากนั้นก็เนรมิตรสชาติน้ำชาแปลกๆ พวกนี้ออกมา ผลลัพธ์ช่างแตกต่างกันจริงๆ ก็เหมือนที่นางเสนอแนวคิดขึ้นมาอย่างจวนตัว ตระเตรียมธนูไว้บนเรือสำราญ ให้พวกคุณหนูคุณชายที่จมดิ่งในการช่วงชิงไหวพริบและเอาแต่คิดวางแผนพวกนั้นได้รับความสนุกสนานอย่างแท้จริง มองจากจุดนี้ งานชมดอกบัวในปีนี้ย่อมทำให้คนสนุกสนานอยู่พักใหญ่อย่างแน่นอน

“สะใภ้ใหญ่ให้ทางครัวจัดเตรียมเนื้อย่างแต่ละประเภทแล้วขอรับ จะให้พวกพ่อครัวเข้ามาที่นี่ ย่างไปพลางกินไปพลางหรือจะให้ย่างเสร็จก่อนแล้วค่อยยกเข้ามาดีขอรับ!” เยี่ยนเซียงได้รับคำสั่งมาจากเซียงชุ่ยจึงตั้งใจเข้ามา

“เนื้อย่าง? มีเนื้อย่างอะไรบ้าง?” จู่ๆ มู่หรงปั๋วเย่ก็เกิดความสนใจขึ้นมา ดื่มสุรากินเนื้อย่างกลางธรรมชาติ ดูคล้ายกับจะเป็นเรื่องที่เพลิดเพลินและครื้นเครงเป็นอย่างยิ่ง

“เนื้อกวาง เนื้อเก้ง เนื้อหมูป่า วัว แพะ ไก่ เป็ด ปลาล้วนมีทุกอย่างขอรับ หมักไว้ตั้งแต่ตอนเย็นของเมื่อวาน ทั้งยังมีแกงดอกบัวสดมาตัดเลี่ยน นอกจากสุราเหลิ่งกานแล้ว ก็มีสุราจอหงวนแดง สุราฮวาเตี้ยว และสุราเฝินจิ่วขอรับ สะใภ้ใหญ่กล่าวว่าแต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน อย่างไรจัดเตรียมให้มากจะดีกว่าขอรับ!” เยี่ยนเซียงรีบตอบ

“ดูท่าแล้วน้องสะใภ้จะรอบคอบทุกด้านจริงๆ ให้พวกพ่อครัวเข้ามาจัดการที่นี่เลยเถิด!” มู่หรงปั๋วเย่กล่าวชม

ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้าอย่างเป็นประกายด้วย เห็นเยี่ยนเซียงยังยืนไม่ไปไหนก็กล่าวถาม “ยังมีเรื่องอันใดอีก?”

“สะใภ้ใหญ่ให้คนไปเชิญเยวี่ยเจียวหนู แม่นางเสวี่ยอวี้ หูเม่ยเหนียงจื่อ(นางจิ้งจอกร้อยเล่ห์) และคณะหูจีขึ้นเกาะ พวกนางเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว จะให้พวกนางเข้ามาทำแสดงให้พวกคุณชายชมกันเลยหรือไม่ขอรับ?” เยวี่ยเจียวหนูเป็นนางระบำที่มีชื่อเสียงในลี่โจว แม่นางเสวี่ยอวี้นั้นเป็นพี่น้องฝาแฝดที่ขับร้องและบรรเลงเพลงได้ยอดเยี่ยมด้วยกันทั้งคู่ ส่วนหูเม่ยเหนียงจื่อมีเอกลักษณ์ในการยั่วยวนมากมาย ฝีมือการบรรเลงพิณที่น่าตกตะลึงทำให้คุณชายจำนวนไม่น้อยล้มลงแนบชายกระโปรงไปไม่รู้กี่คนต่อกี่คนแล้ว แต่คณะหูจีกลับมีชื่อเสียงมากกว่า ล้วนเป็นสาวงามต่างแดนที่มาจากทางตะวันตก แม้ว่าผมสีทองตาสีฟ้าของพวกนางจะไม่เข้ากับความงามของต้าเหยียน แต่ผิวที่ขาวราวกับหิมะ และรูปร่างที่อวบอิ่มล้วนแต่ทำให้ชายหนุ่มพากันหลงใหล เยี่ยนเซียงไม่เข้าใจว่าเหตุใดสะใภ้ใหญ่จึงต้องเชิญผู้หญิงพวกนั้นมา สะใภ้ใหญ่ไม่กลัวว่าพวกคุณชายจะว้าวุ่นขึ้นมากันหรืออย่างไร?

“รอผ่านไปสักครึ่งชั่วยามค่อยเชิญพวกนางเข้ามา! ให้แม่นางเสวี่ยอวี้แสดงก่อน ตามด้วยเยวี่ยเจียวหนู หูเม่ยเหนียงจื่อ และคณะหูจีรั้งท้าย!” ซั่งกวนเจวี๋ยเหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก แต่ก็ประหลาดใจ เขาเคยมีความคิดนี้เช่นกัน ไม่ใช่ว่ามักมากในกามหรืออะไร เพียงแต่กลุ่มผู้ชายอยู่บนเกาะนั้นยากที่หลีกเลี่ยงความเบื่อหน่าย หากมีหญิงสาวมาร่วมทำการแสดง ย่อมต้องทำให้บรรยากาศดีขึ้นมา ในทางตรงกันข้ามเวลาก็จะผ่านไปไว บรรยากาศก็จะเหมาะสมขึ้นมาเช่นกัน ความคิดของมี่เอ๋อร์ทำให้คนนึกไม่ถึงจริงๆ

“ดูเหมือนว่าน้องสะใภ้จะไม่เพียงหลักแหลมรู้ความ แต่ยังเข้าใจจิตใจชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี!” มู่หรงปั๋วเย่ยอมจริงๆ แม้ว่าใครต่างก็รู้ว่าการเข้าสังคมของพวกผู้ชายมักจะต้องเข้าออกแหล่งจรรโลงใจ แต่คนที่ตระหนักถึงจุดนี้ได้จริงๆ กลับมีไม่มาก พวกนางมักจะเอาการแสดงศิลปะพวกนี้ไปมัดรวมกับเรื่องหอนางโลม แยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นอันไหน แต่การแสดงศิลปะนั้นกลับไม่ได้ง่ายดายดั่งเช่นงานในหอนางโลมขนาดนั้น

ไม่กี่วันนี้ล้วนเชิญนักร่ายรำที่มีชื่อเสียงในลี่โจวหรือแม้กระทั่งในใต้หล้าแห่งนี้มา นอกจากคณะหูจีที่ทำการแสดงในหอสุราแล้ว คนอื่นๆ ก็ล้วนมีเรือนพำนักของตนเอง คนธรรมดาหากไม่ได้รับเชิญเข้ามา แม้ว่าจะมีเงินพันตำลึงก็ย่อมไม่ได้พบพวกนาง บางทีพวกนางก็อาจจะยอมค้างคืนด้วย แต่นั่นต้องเป็นคนที่นางชอบมากเท่านั้น ไม่ใช่ว่ามีเงินก็สามารถขึ้นเตียงได้

“บรรยากาศไม่เลวเลย!” อวี่ฮ่าวไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ประชิดอยู่ข้างกายมู่หรงปั๋วเย่ หัวเราะดังขึ้นมา “ดูท่าแล้ว บางทีสนุกเช่นนี้บ้างก็ไม่เลวเลย”

“สนุกจริงๆ!” มู่หรงปั๋วเย่ตบอวี่ฮ่าว ท่าทีของเขาในวันนี้ไม่เลวเลย หากไม่ได้เขา ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนได้รับเคราะห์ไปกี่คนกัน ทั้งความสนุกก็คงลดน้อยลงไปมาก เพียงแต่เขาก็ฉลาดไม่น้อย ในยามที่ทำเรื่องยุ่งก็ไม่รู้ว่าไปหลบที่ใด ยามนี้จึงเพิ่งโผล่หัวออกมา

“ไม่รู้ว่ายังมีเรื่องสนุกๆ อะไรอีกบ้าง พี่ใหญ่ เปิดเผยสักหน่อยได้หรือไม่?” อวี่ฮ่าวนับถือจริงๆ คาดไม่ถึงว่าคนที่อ่อนโยนอย่างพี่สะใภ้จะคิดเรื่องสนุก เล่นอย่างเด็กๆ ทั้งยังไม่กระทบต่อความสง่างามและความเหมาะสมของงานได้แม้แต่น้อย ดูท่าแล้วนับเป็นคนที่มีมารยาทรู้ถูกผิดเป็นอย่างดี!

“ก็นี่ไม่ใช่หรือไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยยกคางชี้ไปเล็กน้อย กลับเห็นพ่อครัว สาวใช้และคนงานทยอยเดินตามกันเข้ามายาวเป็นหางว่าว ในมือล้วนถืออุปกรณ์ต่างๆ

ไม่นาน ใกล้ศาลาริมน้ำก็ตั้งเตาย่างเนื้อ เนื้อขากวางชิ้นใหญ่ เนื้อเก้ง เนื้อวัวเสียบไม้ เนื้อหมูป่า ทั้งพวกเนื้อแพะไก่เป็ดปลาก็ยกเข้ามา ก่อนจะย่างกันกลางแจ้ง กลิ่นหอมกรุ่นผสมกับกลิ่นย่างน้ำมันลอยอบอวลไปทั่วเกาะสะท้อนเงาจันทร์ รวมกับกลิ่นสดชื่นของธรรมชาติ คุณชายมีอันจะกินเหล่านี้ต่างก็ใช้มือหนึ่งยกสุราขึ้นมาอย่างครื้นเครง อีกมือหนึ่งก็ส่งเนื้อย่างที่หอมกรุ่นนั้นเข้าปาก ทั้งยังมีพวกที่ไม่เคยสัมผัสการย่างเนื้อมาก่อน ก็ไล่พ่อครัวไปอยู่ด้านข้าง ก่อนจะลงมือทำเอง ผลลัพธ์ก็คือย่างออกมาจนไหม้เกรียมไปหมด…

จากนั้นการปรากฏตัวของแม่นางเสวี่ยอวี้ก็ทำให้บรรยากาศค่อยๆ อบอุ่นขึ้นมา คล้อยหลัง ‘ระบำเอว’ ของเยวี่ยเจียวหนูก็จบลงไปพร้อมกับเสียงปรบมือชุดใหญ่ การบรรเลงพิณของหูเม่ยเหนียงจื่อดึงเสน่ห์ออกมาอย่างยอดเยี่ยม เรียกเสียงร้องตะโกนของผู้คนเป็นอย่างมาก การเริงระบำที่งดงามของคณะหูจียิ่งทำให้บรรยากาศคึกคักยิ่งขึ้นไปอีก…

———————————-

[1] พริกฮวาเจียว หรือพริกไทยเสฉวน มีรสร้อนแรง และเผ็ดชา

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+