เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 277 เผยตัวตน

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 277 เผยตัวตน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พี่ใหญ่มู่หรง มาดื่มสุราคลายทุกข์อยู่ที่นี่หรือ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คาดไม่ถึงว่าจะพบมู่หรงปั๋วเย่ดื่มสุราคลายทุกข์ในสวนดอกไม้ มองไปรอบๆ ก็ไม่มีคนอื่นอยู่ เผยยิ้มบางออกมา รู้ได้ทันทีว่าเพราะเรื่องอันใด

“น้องสะใภ้เจวี๋ย” มู่หรงปั๋วเย่อารมณ์ไม่ดีเอามากๆ เขารู้ว่าเฉินเยียนอวี่ทำเกินไป ไม่ว่าเฉินอวี้จะเปิดโปงออกมายามใด นางก็ย่อมหนีไม่พ้น กระนั้นเขาก็ไม่อาจจะใช้ท่าทีและใบหน้าที่ปกติเผชิญหน้ากับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ ดังนั้นรอยยิ้มเขาจึงดูฝืนๆ ไปอยู่บ้าง

“ท่านจะโทษข้าหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองออกว่ามู่หรงปั๋วเย่ไม่มีใจอยากจะพูดคุยกับตัวเองมากนัก เปลี่ยนเป็นคนอื่นนางก็คงไม่เข้ามาทักทายหรอก แต่สำหรับนางแล้ว มู่หรงปั๋วเย่ไม่เหมือนคนอื่น เขาเป็นคนแรกทั้งเป็นคนเดียวที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพี่ชายนาง มู่หรงปั๋วเย่ยามที่ไม่เผยท่าทีตามอกตามใจอันใดก็ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นมากเช่นกัน

“จะเป็นไปได้อย่างไร!” มู่หรงปั๋วเย่คาดไม่ถึงว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะพูดตรงๆ เช่นนี้ รู้สึกตกใจทั้งประหลาดใจ แม้ว่าจะมีโอกาสพบเจอเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่มาก พูดคุยก็น้อยครั้ง แต่หลังจากปฏิสัมพันธ์กันหลายครั้ง จึงทำให้เขารู้ว่านางเป็นคนที่เก่งกาจ ทั้งชอบสำบัดสำนวน จะพูดอะไรกับนางต้องระวังให้มาก

“แต่ข้ารู้ว่าในใจท่านย่อมกำลังตำหนิข้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์นั่งลงตรงข้ามมู่หรงปั๋วเย่ จื่อหลัวครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะกลืนคำพูดที่จะกล่าวออกมาขัดขวางลงไป กระนั้นกลับเฝ้าอยู่ด้านข้างเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ห่างไปไหน

มู่หรงปั๋วเย่ปวดหัวเป็นอย่างมาก เขาอยากจะเชิญแขกออกไปตรงๆ แต่ในฐานะที่เป็นเจ้าบ้าน ไม่อาจจะกล่าวไล่แขกออกไปอย่างเรื่อยเปื่อยได้

“ที่จริงเรื่องนี้สามารถไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้โดยสิ้นเชิง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มเล็กน้อย “เจวี๋ยบอกกับท่านอย่างลับๆ ได้ ให้ท่านลอบจัดการกับเฉินอวี้ หากเป็นเช่นนั้นก็คงไม่อาจลากอนุภรรยาเฉินมาเกี่ยวพัน ทำให้ท่านจำต้องตัดสินใจอย่างเจ็บปวดเช่นนี้กระมัง”

มู่หรงปั๋วเย่ไม่ได้ปริปากพูด เขาคิดแบบนี้เช่นกัน ทั้งคิดว่าซั่งกวนเจวี๋ยทำเช่นนี้ไม่ไว้หน้าผู้อื่นอยู่บ้าง แต่เขาไม่อาจจะต่อว่าออกมาได้ ผู้ที่ริเริ่มคือเฉินเยียนอวี่ ซั่งกวนเจวี๋ยก็เป็นผู้ถูกกระทำคนหนึ่ง ไม่มีความจำเป็นต้องครุ่นคิดหรือปิดบังอะไรเพื่อนาง

“หากเป็นเช่นนั้นท่านอาจจะลงโทษอนุภรรยาเฉิน แต่ย่อมไม่อาจทำเรื่องอย่างเด็ดขาดแน่นอน และอนุภรรยาเฉินก็จะไม่ได้รับบทเรียนอยู่วันยังค่ำ นางมีแต่จะเปลี่ยนเป็นทำเรื่องที่เกินเลยขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวยิ้มๆ อย่างเรียบง่าย “ไม่ใช่ว่าก่อนที่จะเจอนาง ข้าก็ได้พูดไปแล้วหรอกหรือว่า นางเป็นผู้หญิงเจ้าแผนการคนหนึ่ง แต่ท่านก็ไม่เชื่ออยู่เรื่อยมา เอาแต่คิดว่านางเป็นคนจิตใจดี ยอมกล้ำกลืนฝืนทนเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่ายไว้…ยามนี้ท่านรู้ว่านางไม่ใช่คนดีอะไร กระนั้นกลับไม่ยอมเชื่อว่านางเป็นคนเลว เพราะว่าหากเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่าเวลาห้าหกปีที่ผ่านมา ไม่สิ แปดเก้าปี ท่านถูกผู้หญิงคนนั้นหลอกลวงมาโดยตลอด”

นางเคยกล่าวว่าเยียนอวี่เจ้าแผนการหรือ? มู่หรงปั๋วเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเป็นคนที่ชอบพูดเรื่องของอนุคนโปรดกับผู้อื่นไปทั่วหรืออย่างไร? คนเดียวที่เขาเคยพูดเรื่องเยียนอวี่ด้วยก็คือ…ไม่ถูก จู่ๆ เขาก็เบิกตากว้างมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ผู้หญิงที่มักจะเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ทั้งมีกิริยาท่าทางนุ่มนวลทุกย่างก้าวตรงหน้านี้เป็นเด็กแสบที่ใจกล้าเหิมเกริมผู้นั้น?

“ว่าอย่างไร? นึกอะไรขึ้นมาได้?” แต่ไหนแต่ไรเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รู้ว่ามู่หรงปั๋วเย่เป็นคนที่เก่งกาจผู้หนึ่ง แต่ตัวเองและคุณหนูสุราแตกต่างกันมากจริงๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมองออกอยู่แล้ว

“น้องสะใภ้เจวี๋ยดื่มด้วยกันหนึ่งถ้วยเถิด” จู่ๆ มู่หรงปั๋วเย่ก็ยกถ้วยสุราในมือขึ้นอย่างไม่เหมาะสมนัก “นี่คือจุ้ยเสวี่ย สุราชั้นยอดของตระกูลมู่หรง ไม่รู้ว่าน้องสะใภ้เจวี๋ยเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “แล้วอย่างไรเล่า? คุณชายใหญ่มู่หรงไม่มีอะไรที่เลิศรสกว่านี้แล้วหรือ ข้านั้นได้เคยลิ้มลองมาตั้งนานแล้ว!”

“เจ้าก็คือ…” แม้ว่าในใจจะคาดเดาเช่นนั้น แต่เมื่อการคาดเดากลายเป็นความจริงก็ยังคงทำให้มู่หรงปั๋วเย่ตกใจเป็นอย่างมาก คาดไม่ถึงว่าคนสองคนที่แทบจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกลับกลายเป็นคนเดียวกัน เขารู้สึกสับสนมึนนงงอยู่บ้าง

“ก็เป็นดั่งที่ท่านคาดเดานั่นแหละ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบาง จากนั้นก็กล่าวยิ้มๆ “หากไม่อย่างนั้น ข้าก็คงไม่พุ่งเป้าไปที่อนุภรรยาคนนั้นของท่านหรอก ตลอดมาข้าไม่ชอบนางเท่าไรนัก ยามที่ยังไม่ได้เจอก็ไม่ชอบ หลังจากพบหน้าแล้วยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่ มีภรรยาคุณธรรมในบ้านย่อมไร้เภทภัย ท่านมีพี่สะใภ้ใหญ่เป็นภรรยาเปี่ยมคุณธรรมถึงเพียงนั้นกลับไม่รู้จักคุณค่า จึงได้ถูกเยียนอวี่ปั่นหัว หากนางเป็นคนที่จริงใจซื่อสัตย์ก็แล้วไป แต่นางนั้นมีใจทะเยอทะยาน ทะเยอทะยานจนเกินเลยความจริงไปมาก!”

เยียนอวี่มีใจทะเยอทะยาน? มู่หรงปั๋วเย่ขมวดคิ้ว ไฉนเขาจึงมองไม่ออกแม้แต่น้อย!

“นางฉวยทุกโอกาสเพื่อส่งคนเข้าไปข้างกายคุณชายตระกูลใหญ่ คุณชายหลายตระกูลไม่มีความสนใจต่อคนเหล่านั้น แต่อุปสรรคกลับเป็นเพราะว่านั่นเป็นคนที่นางเป็นผู้แนะนำให้ ต้องรักษาน้ำใจ ไม่อาจจะไล่ออกไปตรงๆ ได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้มเล็กน้อย “ข้าเพียงเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้างเท่านั้น แต่ข้าคิดว่าทางด้านพี่สะใภ้ใหญ่ย่อมมีข้อมูลเรื่องนี้อยู่แล้ว เพียงแค่พี่สะใภ้ใหญ่รู้ดีว่า เรื่องนี้ทำได้เพียงให้คนอื่นเป็นคนพูดเท่านั้น หากให้นางพูดเอง อนุภรรยาเฉินก็แทบที่จะมีความสามารถใช้การร้องไห้ของตัวเองหลีกหนีจากการกระทำนั้น คล้อยหลัง ท่านยังอาจจะตราหน้าพี่สะใภ้ใหญ่ว่าเป็นคนขี้อิจฉาคนหนึ่ง”

“หากทุกตระกูลล้วนมีน้องๆ ของตัวเอง ทั้งบรรดาน้องๆ พวกนั้นล้วนได้รับประโยชน์จากนาง ยามนี้บางทีอาจจะยังไม่มีผลพลอยได้อะไร แต่ห้าปีหลังจากนี้? หรือสิบปีหลังจากนี้เล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองมู่หรงปั๋วเย่ที่เผยสีหน้าราวกับเห็นต่าง “ข้าคิดว่าท่านย่อมรู้ได้ว่าหลังจากนั้นจะเกิดผลกระทบอย่างไร”

“เหตุใดนางต้องใช้วิธีเช่นนั้นส่งคนให้มาอยู่ข้างกายมู่หรงปั๋วอวี่ เพียงเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องโดดเดี่ยวไร้การช่วยเหลือในตระกูลมู่หรงอีกต่อไปอย่างนั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่นศีรษะ “หากเป็นเช่นนั้น แม้ว่าเฉินอวี้ไม่ต้องสวมรอยก็มีโอกาส แต่ว่า สิ่งที่นางต้องการไม่ใช่คนที่กลายเป็นผู้ช่วยนางได้ แต่เป็นคนที่สามารถพลิกเปลี่ยนสถานการณ์ของนางในยามนี้ได้ นางคงจะกระจ่างใจดีว่าท่านปกป้องและเอ็นดูคุณหนูสุราเหมือนเป็นพี่ชาย ทั้งรู้ว่ามู่หรงปั๋วอวี่ยังหลงใหลอย่างไม่ลืมหูลืมตา หากมีคนเช่นนั้นยืนอยู่ข้างนาง ย่อมดีกว่าอะไรทั้งสิ้น น่าเสียดายที่นางใคร่ครวญวางแผนเสียดิบดี กลับไม่ได้วางแผนถึงการมีอยู่ของข้า”

“น้องเจวี๋ยรู้เรื่องเจ้าหรือไม่?” มู่หรงปั๋วเย่ไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว เขาต้องการเวลาเพื่อปรับตัวกับเรื่องราวที่ประดังประเดเข้ามา จึงเปลี่ยนเรื่องถามเยี่ยนมี่เอ๋อร์

“รู้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มบาง “แต่ว่ามีเพียงเขาและลุงอินที่รู้เท่านั้น คนอื่นๆ ล้วนไม่ทราบ ข้าไม่อยากทำลายชีวิตในยามนี้ แม้ว่าการทำลายอาจจะดีกว่า แต่ก็อาจจะเลวร้ายกว่าได้เช่นกัน ท่านรู้นี่ว่าข้าไม่ชอบทำเรื่องที่ตัวเองไม่มั่นใจ”

“เช่นนั้นเจ้าสามารถละทิ้งตัวตนที่ยิ้มได้อย่างอาจหาญ ทั้งไม่ต้องมีสีหน้ายำเกรงผู้ใดนั้นได้หรือ?” แม้จะรู้ว่าทั้งสองฐานะคือคนเดียวกัน แต่มู่หรงปั๋วเย่กลับยินดีที่จะเผชิญกับน้องสาวที่ทำให้ตัวเองชื่นชอบด้วยใจจริงคนนั้นมากกว่า

“บางครั้งก็จำเป็นต้องละทิ้ง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จนใจอยู่บ้าง กล่าวทั้งยักไหล่ “ข้าจำเป็นต้องเลือก จะเป็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ภรรยาของซั่งกวนเจวี๋ย สะใภ้ใหญ่ตระกูลซั่งกวนไปชั่วชีวิต หรือจะเป็นคนที่เหิมเกริมทำตัวตามใจผู้นั้นไปตลอด หากสามปีก่อน ข้าอาจจะเลือกอย่างหลัง แต่ยามนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ข้าไม่ใช่คนที่ไม่มีบ่วงหรือพันธะอะไรอีกแล้ว ข้ามีพ่อแม่สามีที่รักและเอ็นดู มีสามีที่จะอยู่ร่วมกันไปตลอดชีวิต มีลูกชายที่ชอบขี้ใจน้อย มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ พวกเขาดีกับข้ามาก สามารถยอมรับข้อดีข้อเสียของข้า ทั้งทำให้ข้าที่อยู่แต่ในห้องหับมีอิสระอย่างไม่เคยมีมาก่อนได้ แล้วจะให้ข้าโลภมากทิ้งสิ่งสำคัญเช่นนี้ทำไม”

“เจ้าในตอนนี้ต่างกับเมื่อก่อนลิบลับ!” ในความทรงจำของมู่หรงปั๋วเย่คุณหนูสุรานั้นฉลาดเจ้าเล่ห์ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็เต็มไปด้วยความสงสัย นางสามารถ ‘ข้ามแม่น้ำแล้วก็รื้อสะพานทิ้ง’ ได้อย่างสิ้นเชิง ตัวเองไม่ใช่ว่าถูกใช้ประโยชน์อย่างไม่เกรงใจแล้วจึงถูกทิ้งหรอกหรือ!

“แน่นอนว่าไม่เหมือน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์นึกถึงครั้งแรกที่พบกับมู่หรงปั๋วเย่ก็รู้สึกขบขันขึ้นมา “ยามที่เพิ่งรู้จักท่าน เป็นครั้งแรกที่ข้าออกจากบ้าน ไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดถึงความเป็นกุลสตรี ไม่จำเป็นต้องทำตามกฎระเบียบที่เข้มงวดเหล่านั้น ก็เหมือน กับนกน้อยตัวหนึ่งที่ถูกขังอยู่ในกรง จู่ๆ มีโอกาสได้กางปีกโผบินอย่างอิสระ เช่นนั้นทำไมยังไม่รีบทำตามใจเสียล่ะ! ใครจะรู้ว่ายังสามารถมีโอกาสแบบนั้นอีกหรือเปล่า! และยามนี้ ข้ายังคงเป็นนกน้อยตัวหนึ่ง แต่กรงที่ขังข้ากลับไม่มีแล้ว ข้าบินสูงเท่าใดบินไกลเท่าใดก็ไม่อาจจะลืมรังของตัวเองได้”

“นี่เรียกว่าเติบโตกระมัง” มู่หรงปั๋วเย่ส่ายศีรษะ “เจ้าเป็นแม่คนแล้ว ไม่ใช่คุณหนูตัวน้อยอีกต่อไป!”

“ใช่แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มบาง จากนั้นก็เห็นภาพที่แปลกประหลาดทั้งดูเหมือนจะเข้ากัน จึงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ มู่หรงปั๋วเย่หันไปมอง กลับพบซั่งกวนเจวี๋ยกำลังแย่งผมมาจากลูกชายไปพลาง ทั้งเดินเข้ามาทางนี้ไปพลาง

“เจวี๋ยเอ๋อร์อุ้มลูก?” มู่หรงปั๋วเย่ไม่เคยอุ้มลูกชายหรือลูกสาวของตัวเองมาก่อน ไม่ใช่เพราะเขาไม่ชอบ แต่หนึ่งคือเขาไม่รู้ว่าควรจะเผชิญกับลูกทั้งสองคนที่มีสายสัมพันธ์กลมเกลียวที่สุดแต่ก็เหมือนแปลกหน้าที่สุดอย่างไร สองคือเด็กน้อยตัวนุ่มนิ่มเช่นนั้น เขากลัวว่าจะเผลอไปทำให้ลูกบาดเจ็บเข้า

“หมิงเอ๋อร์และพ่อของเขาสนิทกันที่สุด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่แม้แต่จะหยัดกายขึ้นต้อนรับสักนิด กล่าวยิ้มๆ “ยามที่เขายังอยู่ในท้องก็คุ้นชินที่จะฟังเสียงของเจวี๋ย หลังจากกำเนิดแล้วยังความรู้สึกไวต่อเสียงของเจวี๋ยอีก ยามที่เพิ่งจะจำคนได้ เขาก็ติดพ่อที่สุด กลับไม่ใช่ข้าเสียอย่างนั้น”

“พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่?” มู่หรงปั๋วเย่เห็นสองพ่อลูกยื้อยุดกันไปมา รู้สึกอบอุ่นทั้งรู้สึกแปลกตาเช่นกัน

“เสี่ยวหมิงเอ๋อร์กำลังโกรธ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าลูกชายโกรธเพราะสาเหตุอันใด กล่าวยิ้มๆ “เขาไม่ได้พบเจวี๋ยมาหลายวันแล้ว เขาไม่รู้เหตุผล ทั้งไม่อาจสนใจเหตุผลพวกนั้น กลับกันถือว่าเป็นความผิดของคนอื่น คนที่ทำผิดต้องถูกดึงผม นี่คือตรรกะของเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ เด็กน้อยล้วนมีความคิดที่ไม่เหมือนกับผู้อื่น อี้เฉินก็เหมือนกัน”

ช่างเป็นตรรกะที่แปลกประหลาด! หรือเด็กน้อยก็มีด้านที่แปลกประหลาดเช่นนี้เหมือนกัน? เขาไร้ความรับผิดชอบคนหนึ่ง

“หมิงเอ๋อร์ มาหาแม่เร็ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นพ่อลูกเดินมาถึงด้านข้าง ก็หยัดกายขึ้นอุ้มลูกชาย เสี่ยวหมิงเอ๋อร์เห็นมารดายื่นมือออกมา ก็ปัดทิ้งอย่างไม่ไว้หน้าทันที จากนั้นก็หลบอยู่ในอ้อมกอดซั่งกวนเจวี๋ย จะอย่างไรก็ไม่ยอมออกมา

“คุยอะไรกับพี่ใหญ่รหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมต้องเห็นมู่หรงปั๋วเย่อารมณ์ไม่ดี จึงเข้ามาคุยกับเขา ความสัมพันธ์พิเศษของมู่หรงปั๋วเย่และคุณหนูสุรานั้นเขากระจ่างใจดี

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นท่าทางของลูกชายก็รู้ว่าคงจะอุ้มไม่ได้ กล่าวทั้งเผยยิ้ม “ข้าเห็นพี่ใหญ่ดื่มสุราคลายทุกข์อยู่ที่นี่จึงเข้ามาทักทาย!”

“พี่ใหญ่อารมณ์ไม่ดี?” ซั่งกวนเจวี๋ยถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว “หากอารมณ์ไม่ดีก็กลับไปหยอกล้อกับลูกได้ ฟังคำพูดเจื้อยแจ้วของพวกเขา ไม่ว่าจะอารมณ์ไม่ดีอย่างไรก็ย่อมหายไปแน่!”

อย่างนั้นหรือ? มู่หรงปั๋วเย่ไม่รู้เรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่เห็นพ่อลูกที่สนิทสนมกันคู่นี้ ก็อดที่จะไปดูลูกชายของตัวเองบ้างไม่ได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 277 เผยตัวตน

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 277 เผยตัวตน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พี่ใหญ่มู่หรง มาดื่มสุราคลายทุกข์อยู่ที่นี่หรือ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คาดไม่ถึงว่าจะพบมู่หรงปั๋วเย่ดื่มสุราคลายทุกข์ในสวนดอกไม้ มองไปรอบๆ ก็ไม่มีคนอื่นอยู่ เผยยิ้มบางออกมา รู้ได้ทันทีว่าเพราะเรื่องอันใด

“น้องสะใภ้เจวี๋ย” มู่หรงปั๋วเย่อารมณ์ไม่ดีเอามากๆ เขารู้ว่าเฉินเยียนอวี่ทำเกินไป ไม่ว่าเฉินอวี้จะเปิดโปงออกมายามใด นางก็ย่อมหนีไม่พ้น กระนั้นเขาก็ไม่อาจจะใช้ท่าทีและใบหน้าที่ปกติเผชิญหน้ากับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ ดังนั้นรอยยิ้มเขาจึงดูฝืนๆ ไปอยู่บ้าง

“ท่านจะโทษข้าหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองออกว่ามู่หรงปั๋วเย่ไม่มีใจอยากจะพูดคุยกับตัวเองมากนัก เปลี่ยนเป็นคนอื่นนางก็คงไม่เข้ามาทักทายหรอก แต่สำหรับนางแล้ว มู่หรงปั๋วเย่ไม่เหมือนคนอื่น เขาเป็นคนแรกทั้งเป็นคนเดียวที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพี่ชายนาง มู่หรงปั๋วเย่ยามที่ไม่เผยท่าทีตามอกตามใจอันใดก็ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นมากเช่นกัน

“จะเป็นไปได้อย่างไร!” มู่หรงปั๋วเย่คาดไม่ถึงว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะพูดตรงๆ เช่นนี้ รู้สึกตกใจทั้งประหลาดใจ แม้ว่าจะมีโอกาสพบเจอเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่มาก พูดคุยก็น้อยครั้ง แต่หลังจากปฏิสัมพันธ์กันหลายครั้ง จึงทำให้เขารู้ว่านางเป็นคนที่เก่งกาจ ทั้งชอบสำบัดสำนวน จะพูดอะไรกับนางต้องระวังให้มาก

“แต่ข้ารู้ว่าในใจท่านย่อมกำลังตำหนิข้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์นั่งลงตรงข้ามมู่หรงปั๋วเย่ จื่อหลัวครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะกลืนคำพูดที่จะกล่าวออกมาขัดขวางลงไป กระนั้นกลับเฝ้าอยู่ด้านข้างเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ห่างไปไหน

มู่หรงปั๋วเย่ปวดหัวเป็นอย่างมาก เขาอยากจะเชิญแขกออกไปตรงๆ แต่ในฐานะที่เป็นเจ้าบ้าน ไม่อาจจะกล่าวไล่แขกออกไปอย่างเรื่อยเปื่อยได้

“ที่จริงเรื่องนี้สามารถไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้โดยสิ้นเชิง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มเล็กน้อย “เจวี๋ยบอกกับท่านอย่างลับๆ ได้ ให้ท่านลอบจัดการกับเฉินอวี้ หากเป็นเช่นนั้นก็คงไม่อาจลากอนุภรรยาเฉินมาเกี่ยวพัน ทำให้ท่านจำต้องตัดสินใจอย่างเจ็บปวดเช่นนี้กระมัง”

มู่หรงปั๋วเย่ไม่ได้ปริปากพูด เขาคิดแบบนี้เช่นกัน ทั้งคิดว่าซั่งกวนเจวี๋ยทำเช่นนี้ไม่ไว้หน้าผู้อื่นอยู่บ้าง แต่เขาไม่อาจจะต่อว่าออกมาได้ ผู้ที่ริเริ่มคือเฉินเยียนอวี่ ซั่งกวนเจวี๋ยก็เป็นผู้ถูกกระทำคนหนึ่ง ไม่มีความจำเป็นต้องครุ่นคิดหรือปิดบังอะไรเพื่อนาง

“หากเป็นเช่นนั้นท่านอาจจะลงโทษอนุภรรยาเฉิน แต่ย่อมไม่อาจทำเรื่องอย่างเด็ดขาดแน่นอน และอนุภรรยาเฉินก็จะไม่ได้รับบทเรียนอยู่วันยังค่ำ นางมีแต่จะเปลี่ยนเป็นทำเรื่องที่เกินเลยขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวยิ้มๆ อย่างเรียบง่าย “ไม่ใช่ว่าก่อนที่จะเจอนาง ข้าก็ได้พูดไปแล้วหรอกหรือว่า นางเป็นผู้หญิงเจ้าแผนการคนหนึ่ง แต่ท่านก็ไม่เชื่ออยู่เรื่อยมา เอาแต่คิดว่านางเป็นคนจิตใจดี ยอมกล้ำกลืนฝืนทนเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่ายไว้…ยามนี้ท่านรู้ว่านางไม่ใช่คนดีอะไร กระนั้นกลับไม่ยอมเชื่อว่านางเป็นคนเลว เพราะว่าหากเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่าเวลาห้าหกปีที่ผ่านมา ไม่สิ แปดเก้าปี ท่านถูกผู้หญิงคนนั้นหลอกลวงมาโดยตลอด”

นางเคยกล่าวว่าเยียนอวี่เจ้าแผนการหรือ? มู่หรงปั๋วเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเป็นคนที่ชอบพูดเรื่องของอนุคนโปรดกับผู้อื่นไปทั่วหรืออย่างไร? คนเดียวที่เขาเคยพูดเรื่องเยียนอวี่ด้วยก็คือ…ไม่ถูก จู่ๆ เขาก็เบิกตากว้างมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ผู้หญิงที่มักจะเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ทั้งมีกิริยาท่าทางนุ่มนวลทุกย่างก้าวตรงหน้านี้เป็นเด็กแสบที่ใจกล้าเหิมเกริมผู้นั้น?

“ว่าอย่างไร? นึกอะไรขึ้นมาได้?” แต่ไหนแต่ไรเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รู้ว่ามู่หรงปั๋วเย่เป็นคนที่เก่งกาจผู้หนึ่ง แต่ตัวเองและคุณหนูสุราแตกต่างกันมากจริงๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมองออกอยู่แล้ว

“น้องสะใภ้เจวี๋ยดื่มด้วยกันหนึ่งถ้วยเถิด” จู่ๆ มู่หรงปั๋วเย่ก็ยกถ้วยสุราในมือขึ้นอย่างไม่เหมาะสมนัก “นี่คือจุ้ยเสวี่ย สุราชั้นยอดของตระกูลมู่หรง ไม่รู้ว่าน้องสะใภ้เจวี๋ยเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “แล้วอย่างไรเล่า? คุณชายใหญ่มู่หรงไม่มีอะไรที่เลิศรสกว่านี้แล้วหรือ ข้านั้นได้เคยลิ้มลองมาตั้งนานแล้ว!”

“เจ้าก็คือ…” แม้ว่าในใจจะคาดเดาเช่นนั้น แต่เมื่อการคาดเดากลายเป็นความจริงก็ยังคงทำให้มู่หรงปั๋วเย่ตกใจเป็นอย่างมาก คาดไม่ถึงว่าคนสองคนที่แทบจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกลับกลายเป็นคนเดียวกัน เขารู้สึกสับสนมึนนงงอยู่บ้าง

“ก็เป็นดั่งที่ท่านคาดเดานั่นแหละ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบาง จากนั้นก็กล่าวยิ้มๆ “หากไม่อย่างนั้น ข้าก็คงไม่พุ่งเป้าไปที่อนุภรรยาคนนั้นของท่านหรอก ตลอดมาข้าไม่ชอบนางเท่าไรนัก ยามที่ยังไม่ได้เจอก็ไม่ชอบ หลังจากพบหน้าแล้วยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่ มีภรรยาคุณธรรมในบ้านย่อมไร้เภทภัย ท่านมีพี่สะใภ้ใหญ่เป็นภรรยาเปี่ยมคุณธรรมถึงเพียงนั้นกลับไม่รู้จักคุณค่า จึงได้ถูกเยียนอวี่ปั่นหัว หากนางเป็นคนที่จริงใจซื่อสัตย์ก็แล้วไป แต่นางนั้นมีใจทะเยอทะยาน ทะเยอทะยานจนเกินเลยความจริงไปมาก!”

เยียนอวี่มีใจทะเยอทะยาน? มู่หรงปั๋วเย่ขมวดคิ้ว ไฉนเขาจึงมองไม่ออกแม้แต่น้อย!

“นางฉวยทุกโอกาสเพื่อส่งคนเข้าไปข้างกายคุณชายตระกูลใหญ่ คุณชายหลายตระกูลไม่มีความสนใจต่อคนเหล่านั้น แต่อุปสรรคกลับเป็นเพราะว่านั่นเป็นคนที่นางเป็นผู้แนะนำให้ ต้องรักษาน้ำใจ ไม่อาจจะไล่ออกไปตรงๆ ได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้มเล็กน้อย “ข้าเพียงเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้างเท่านั้น แต่ข้าคิดว่าทางด้านพี่สะใภ้ใหญ่ย่อมมีข้อมูลเรื่องนี้อยู่แล้ว เพียงแค่พี่สะใภ้ใหญ่รู้ดีว่า เรื่องนี้ทำได้เพียงให้คนอื่นเป็นคนพูดเท่านั้น หากให้นางพูดเอง อนุภรรยาเฉินก็แทบที่จะมีความสามารถใช้การร้องไห้ของตัวเองหลีกหนีจากการกระทำนั้น คล้อยหลัง ท่านยังอาจจะตราหน้าพี่สะใภ้ใหญ่ว่าเป็นคนขี้อิจฉาคนหนึ่ง”

“หากทุกตระกูลล้วนมีน้องๆ ของตัวเอง ทั้งบรรดาน้องๆ พวกนั้นล้วนได้รับประโยชน์จากนาง ยามนี้บางทีอาจจะยังไม่มีผลพลอยได้อะไร แต่ห้าปีหลังจากนี้? หรือสิบปีหลังจากนี้เล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองมู่หรงปั๋วเย่ที่เผยสีหน้าราวกับเห็นต่าง “ข้าคิดว่าท่านย่อมรู้ได้ว่าหลังจากนั้นจะเกิดผลกระทบอย่างไร”

“เหตุใดนางต้องใช้วิธีเช่นนั้นส่งคนให้มาอยู่ข้างกายมู่หรงปั๋วอวี่ เพียงเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องโดดเดี่ยวไร้การช่วยเหลือในตระกูลมู่หรงอีกต่อไปอย่างนั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่นศีรษะ “หากเป็นเช่นนั้น แม้ว่าเฉินอวี้ไม่ต้องสวมรอยก็มีโอกาส แต่ว่า สิ่งที่นางต้องการไม่ใช่คนที่กลายเป็นผู้ช่วยนางได้ แต่เป็นคนที่สามารถพลิกเปลี่ยนสถานการณ์ของนางในยามนี้ได้ นางคงจะกระจ่างใจดีว่าท่านปกป้องและเอ็นดูคุณหนูสุราเหมือนเป็นพี่ชาย ทั้งรู้ว่ามู่หรงปั๋วอวี่ยังหลงใหลอย่างไม่ลืมหูลืมตา หากมีคนเช่นนั้นยืนอยู่ข้างนาง ย่อมดีกว่าอะไรทั้งสิ้น น่าเสียดายที่นางใคร่ครวญวางแผนเสียดิบดี กลับไม่ได้วางแผนถึงการมีอยู่ของข้า”

“น้องเจวี๋ยรู้เรื่องเจ้าหรือไม่?” มู่หรงปั๋วเย่ไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว เขาต้องการเวลาเพื่อปรับตัวกับเรื่องราวที่ประดังประเดเข้ามา จึงเปลี่ยนเรื่องถามเยี่ยนมี่เอ๋อร์

“รู้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มบาง “แต่ว่ามีเพียงเขาและลุงอินที่รู้เท่านั้น คนอื่นๆ ล้วนไม่ทราบ ข้าไม่อยากทำลายชีวิตในยามนี้ แม้ว่าการทำลายอาจจะดีกว่า แต่ก็อาจจะเลวร้ายกว่าได้เช่นกัน ท่านรู้นี่ว่าข้าไม่ชอบทำเรื่องที่ตัวเองไม่มั่นใจ”

“เช่นนั้นเจ้าสามารถละทิ้งตัวตนที่ยิ้มได้อย่างอาจหาญ ทั้งไม่ต้องมีสีหน้ายำเกรงผู้ใดนั้นได้หรือ?” แม้จะรู้ว่าทั้งสองฐานะคือคนเดียวกัน แต่มู่หรงปั๋วเย่กลับยินดีที่จะเผชิญกับน้องสาวที่ทำให้ตัวเองชื่นชอบด้วยใจจริงคนนั้นมากกว่า

“บางครั้งก็จำเป็นต้องละทิ้ง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จนใจอยู่บ้าง กล่าวทั้งยักไหล่ “ข้าจำเป็นต้องเลือก จะเป็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ภรรยาของซั่งกวนเจวี๋ย สะใภ้ใหญ่ตระกูลซั่งกวนไปชั่วชีวิต หรือจะเป็นคนที่เหิมเกริมทำตัวตามใจผู้นั้นไปตลอด หากสามปีก่อน ข้าอาจจะเลือกอย่างหลัง แต่ยามนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ข้าไม่ใช่คนที่ไม่มีบ่วงหรือพันธะอะไรอีกแล้ว ข้ามีพ่อแม่สามีที่รักและเอ็นดู มีสามีที่จะอยู่ร่วมกันไปตลอดชีวิต มีลูกชายที่ชอบขี้ใจน้อย มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ พวกเขาดีกับข้ามาก สามารถยอมรับข้อดีข้อเสียของข้า ทั้งทำให้ข้าที่อยู่แต่ในห้องหับมีอิสระอย่างไม่เคยมีมาก่อนได้ แล้วจะให้ข้าโลภมากทิ้งสิ่งสำคัญเช่นนี้ทำไม”

“เจ้าในตอนนี้ต่างกับเมื่อก่อนลิบลับ!” ในความทรงจำของมู่หรงปั๋วเย่คุณหนูสุรานั้นฉลาดเจ้าเล่ห์ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็เต็มไปด้วยความสงสัย นางสามารถ ‘ข้ามแม่น้ำแล้วก็รื้อสะพานทิ้ง’ ได้อย่างสิ้นเชิง ตัวเองไม่ใช่ว่าถูกใช้ประโยชน์อย่างไม่เกรงใจแล้วจึงถูกทิ้งหรอกหรือ!

“แน่นอนว่าไม่เหมือน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์นึกถึงครั้งแรกที่พบกับมู่หรงปั๋วเย่ก็รู้สึกขบขันขึ้นมา “ยามที่เพิ่งรู้จักท่าน เป็นครั้งแรกที่ข้าออกจากบ้าน ไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดถึงความเป็นกุลสตรี ไม่จำเป็นต้องทำตามกฎระเบียบที่เข้มงวดเหล่านั้น ก็เหมือน กับนกน้อยตัวหนึ่งที่ถูกขังอยู่ในกรง จู่ๆ มีโอกาสได้กางปีกโผบินอย่างอิสระ เช่นนั้นทำไมยังไม่รีบทำตามใจเสียล่ะ! ใครจะรู้ว่ายังสามารถมีโอกาสแบบนั้นอีกหรือเปล่า! และยามนี้ ข้ายังคงเป็นนกน้อยตัวหนึ่ง แต่กรงที่ขังข้ากลับไม่มีแล้ว ข้าบินสูงเท่าใดบินไกลเท่าใดก็ไม่อาจจะลืมรังของตัวเองได้”

“นี่เรียกว่าเติบโตกระมัง” มู่หรงปั๋วเย่ส่ายศีรษะ “เจ้าเป็นแม่คนแล้ว ไม่ใช่คุณหนูตัวน้อยอีกต่อไป!”

“ใช่แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มบาง จากนั้นก็เห็นภาพที่แปลกประหลาดทั้งดูเหมือนจะเข้ากัน จึงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ มู่หรงปั๋วเย่หันไปมอง กลับพบซั่งกวนเจวี๋ยกำลังแย่งผมมาจากลูกชายไปพลาง ทั้งเดินเข้ามาทางนี้ไปพลาง

“เจวี๋ยเอ๋อร์อุ้มลูก?” มู่หรงปั๋วเย่ไม่เคยอุ้มลูกชายหรือลูกสาวของตัวเองมาก่อน ไม่ใช่เพราะเขาไม่ชอบ แต่หนึ่งคือเขาไม่รู้ว่าควรจะเผชิญกับลูกทั้งสองคนที่มีสายสัมพันธ์กลมเกลียวที่สุดแต่ก็เหมือนแปลกหน้าที่สุดอย่างไร สองคือเด็กน้อยตัวนุ่มนิ่มเช่นนั้น เขากลัวว่าจะเผลอไปทำให้ลูกบาดเจ็บเข้า

“หมิงเอ๋อร์และพ่อของเขาสนิทกันที่สุด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่แม้แต่จะหยัดกายขึ้นต้อนรับสักนิด กล่าวยิ้มๆ “ยามที่เขายังอยู่ในท้องก็คุ้นชินที่จะฟังเสียงของเจวี๋ย หลังจากกำเนิดแล้วยังความรู้สึกไวต่อเสียงของเจวี๋ยอีก ยามที่เพิ่งจะจำคนได้ เขาก็ติดพ่อที่สุด กลับไม่ใช่ข้าเสียอย่างนั้น”

“พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่?” มู่หรงปั๋วเย่เห็นสองพ่อลูกยื้อยุดกันไปมา รู้สึกอบอุ่นทั้งรู้สึกแปลกตาเช่นกัน

“เสี่ยวหมิงเอ๋อร์กำลังโกรธ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าลูกชายโกรธเพราะสาเหตุอันใด กล่าวยิ้มๆ “เขาไม่ได้พบเจวี๋ยมาหลายวันแล้ว เขาไม่รู้เหตุผล ทั้งไม่อาจสนใจเหตุผลพวกนั้น กลับกันถือว่าเป็นความผิดของคนอื่น คนที่ทำผิดต้องถูกดึงผม นี่คือตรรกะของเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ เด็กน้อยล้วนมีความคิดที่ไม่เหมือนกับผู้อื่น อี้เฉินก็เหมือนกัน”

ช่างเป็นตรรกะที่แปลกประหลาด! หรือเด็กน้อยก็มีด้านที่แปลกประหลาดเช่นนี้เหมือนกัน? เขาไร้ความรับผิดชอบคนหนึ่ง

“หมิงเอ๋อร์ มาหาแม่เร็ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นพ่อลูกเดินมาถึงด้านข้าง ก็หยัดกายขึ้นอุ้มลูกชาย เสี่ยวหมิงเอ๋อร์เห็นมารดายื่นมือออกมา ก็ปัดทิ้งอย่างไม่ไว้หน้าทันที จากนั้นก็หลบอยู่ในอ้อมกอดซั่งกวนเจวี๋ย จะอย่างไรก็ไม่ยอมออกมา

“คุยอะไรกับพี่ใหญ่รหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมต้องเห็นมู่หรงปั๋วเย่อารมณ์ไม่ดี จึงเข้ามาคุยกับเขา ความสัมพันธ์พิเศษของมู่หรงปั๋วเย่และคุณหนูสุรานั้นเขากระจ่างใจดี

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นท่าทางของลูกชายก็รู้ว่าคงจะอุ้มไม่ได้ กล่าวทั้งเผยยิ้ม “ข้าเห็นพี่ใหญ่ดื่มสุราคลายทุกข์อยู่ที่นี่จึงเข้ามาทักทาย!”

“พี่ใหญ่อารมณ์ไม่ดี?” ซั่งกวนเจวี๋ยถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว “หากอารมณ์ไม่ดีก็กลับไปหยอกล้อกับลูกได้ ฟังคำพูดเจื้อยแจ้วของพวกเขา ไม่ว่าจะอารมณ์ไม่ดีอย่างไรก็ย่อมหายไปแน่!”

อย่างนั้นหรือ? มู่หรงปั๋วเย่ไม่รู้เรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่เห็นพ่อลูกที่สนิทสนมกันคู่นี้ ก็อดที่จะไปดูลูกชายของตัวเองบ้างไม่ได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+