เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 193 ปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้า

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 193 ปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เจวี๋ยเอ๋อร์ ทำไมมี่เอ๋อร์ไม่มาด้วยเล่า? ยังโกรธย่าอยู่อีกหรือ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยแสร้งถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ทั้งหมดนี้ต้องโทษข้าเหมือนกัน ฟังคำนินทาของพวกบ่าวไพร่ก็เชื่อเป็นตุเป็นตะ ไม่สามารถระงับความโกรธได้จนไปก่อปัญหาให้มี่เอ๋อร์…แต่สองแม่นมที่อยู่ข้างกายนางนั่นพาให้หงุดหงิดจริงๆ ข้าถึงได้…ไม่ได้คาดคิดว่ามี่เอ๋อร์จะโกรธถึงขนาดนั้น นึกไม่ถึงพอเช้าวันรุ่งขึ้นก็พาคนรับใช้จากไป! นางอยู่ข้างนอกสบายดีไหม? ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกระมัง?”

ห้องครัวนำอาหารมาตั้งโต๊ะ ทั่วป๋าซู่เยวี่ยดึงซั่งกวนเจวี๋ยมาพูดในสิ่งที่ต้องการจะพูด นางรู้ดีว่าถ้ารอให้ทานอาหารเสร็จ ซั่งกวนเจวี๋ยจะหาโอกาสออกไป นางอาจไม่มีโอกาสพูดด้วยซ้ำ

แม้ทุกคนจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เรื่องที่ควรพูดก็ยังคงต้องพูดอยู่ดี ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่จะคลี่คลายลงได้หรือไม่ การสมควรพูดหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

“ท่านย่าเป็นห่วงเกินไปแล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยพูดอย่างเย็นชาว่า “มี่เอ๋อร์ออกไปข้างนอกเพราะหลานได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้วก่อนจะจากไป นางรู้สึกหดหู่อยู่สองสามวัน หลานจึงจัดให้นางไปพักอยู่ที่เรือนหิมะสุขใจสักสองสามวัน เพียงแต่บังเอิญที่ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันเท่านั้นเอง!”

“แล้วเหตุใดมี่เอ๋อร์ไม่มาเล่า? ยังมีอิงเอ๋อร์ด้วย ยามนี้ก็ยังไม่มาที่นี่” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยบ่นคิดถึงสองสามคำแล้วพูดว่า “ข้าก็รู้ว่าข้าแก่แล้ว ไม่มีใครเห็นข้าอยู่ในสายตา จะเรียกลูกหลานมาทานข้าวเย็นพร้อมหน้าพร้อมตากันช่างยากเหลือเกิน…”

“ที่แท้ท่านย่าอยากพบมี่เอ๋อร์” ซั่งกวนเจวี๋ยมองนางด้วยสีหน้าอ่อนลงแล้วพูดว่า “เจียจือบอกเพียงว่าท่านย่าอยากพบข้า ให้ข้ามาทานอาหารเย็น ข้าคิดว่ามี่เอ๋อร์ไม่สบาย จึงให้อิงเอ๋อร์มากินข้าวเป็นเพื่อนกับมี่เอ๋อร์ด้วย”

“นางไม่สบายหรือ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยแกล้งพูดจาแปลกๆ ว่า “มี่เอ๋อร์เป็นอะไรหรือ? แต่ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง ไม่เคยออกกำลังกายเลยตั้งแต่ยังเด็ก สุขภาพย่อมอ่อนแอมากเป็นธรรมดา แม่นมหนิง เดี๋ยวส่งยาบำรุงไปให้สะใภ้ใหญ่สักหน่อย ดูแลนางพักผ่อนให้ดี”

“เจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่” แม่นมหนิงตอบอย่างเคารพนบนอบ

“ไม่ต้องหรอก” ซั่งกวนเจวี๋ยเฝ้าดูพวกนางเล่นละครด้วยสายตาเย็นชา ยามที่พูดถึงมี่เอ๋อร์ไม่สบาย ในดวงตาของทั่ว ป๋าฉินซินไม่สามารถซ่อนความหึงหวงและแค้นเคืองได้ หากพวกนางไม่รู้ว่ามี่เอ๋อร์ไม่สบายนั่นแหละถึงจะแปลก

“หรือเจวี๋ยเอ๋อร์คิดว่าย่าเรื่องมากไปไหม?” เสียงของทั่วป๋าซู่เยวี่ยสูงขึ้นเล็กน้อย นางดูโกรธหลานชายคนนี้ซึ่งค่อนข้างห่างเหินมากขึ้นเรื่อยๆ

“มี่เอ๋อร์ตั้งท้อง จึงต้องพักผ่อนให้เพียงพอ” สีหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยเบาลงพลางกล่าวว่า “ท่านลุงอินบอกว่าเด็กสุขภาพแข็งแรงดี แต่ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ควรพักผ่อนให้เพียงพอจะดีที่สุด ซึ่งสำคัญมากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนยาบำรุงอะไรนั่น ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากลุงอิน มี่เอ๋อร์กินส่งเดชไม่ได้ ท่านย่าไม่ต้องห่วง”

“มี่เอ๋อร์ท้องหรือ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยแสร้งทำเป็นตกใจพูดว่า “นี่เป็นข่าวมงคลเชียวนะ ทำไมกลับมาตั้งเจ็ดแปดวันแล้ว ไม่มีใครบอกข้าล่ะ? แม่นมหนิง เตรียมของขวัญ ทานข้าวเย็นเสร็จข้าจะไปหามี่เอ๋อร์เอง”

“ท่านย่าใจเย็นๆ หน่อย” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่อยากเห็นนางปรากฏตัวในเรือนมีคู่เลยแม้แต่น้อย หากนางไปก็จะเพิ่มความอึดอัดให้มี่เอ๋อร์ หรือไปดูว่ามีจุดไหนที่ลงมือได้เท่านั้นเอง ราวกับพังพอนมาอวยพรปีใหม่ไก่ [1]ซึ่งไม่หวังดีมุ่งร้ายเป็นแน่ จึงพูดอย่างเย็นเยียบว่า “เด็กอายุแค่สี่สิบกว่าวัน ยังเล็กบอบบางมาก อย่าให้คนรู้มากเกินไปจะดีที่สุด ไม่เหมาะจะให้มี่เอ๋อร์คุยกับผู้คนตลอดทั้งวัน รอสักสองสามเดือนก่อน ข้าย่อมจะให้มี่เอ๋อร์มาน้อมทักทายท่านย่าแน่นอน!”

“แบบนั้นก็ดี!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรู้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยคิดจะกีดกันตนมากที่สุดในตอนนี้ จึงไม่ได้บังคับ แต่พูดด้วยความห่วงใยว่า “ถ้าอย่างนั้นหมู่นี้เจวี๋ยเอ๋อร์พักที่เรือนมีคู่หรือกลับไปพักที่เรือนไร้เดี่ยวเล่า?”

มาถึงประเด็นสำคัญ! ซั่งกวนเจวี๋ยหลุบตาลงเล็กน้อย ปิดซ่อนอาการประชดประชันที่เปี่ยมล้นอยู่ในแววตาแล้วพูดเรียบเฉยว่า “มี่เอ๋อร์ตั้งท้องลูก หลานกังวลว่านางจะอยู่คนเดียว ดังนั้นจึงมาอยู่กับนาง”

“นั่นไม่ดีเลย!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยพูดตรงๆ ว่า “ยามนี้มี่เอ๋อร์ตั้งท้องแล้ว สามีภรรยาอย่างพวกเจ้าต้องนอนแยกห้องกัน ไม่เช่นนั้นถ้าเจ้าหุนหันพลันแล่นทำร้ายมี่เอ๋อร์และลูกจะเกิดอะไรขึ้น ข้าเห็นว่าในห้องเจ้าไม่มีสาวใช้รู้ใจสักคน เจ้ารู้จักเจียจือที่ อยู่ตรงหน้าข้าเสียสิ ทั้งเฉลียวฉลาดและขยันขันแข็ง เดี๋ยวเจ้าก็พานางกลับไปด้วยกัน ข้าคิดว่ามี่เอ๋อร์เป็นผู้หญิงที่มีความรู้มาตลอด คงจะไม่โกรธเพราะเพียงเรื่องเท่านี้กระมัง”

“เจียจือเป็นคนโปรดที่ติดตามท่านย่า หลานแย่งคนของท่านย่าไม่ได้ต่อให้จะไม่มีสาวใช้ดูแลก็ตาม” ซั่งกวนเจวี๋ยเหลือบมองทั่วป๋าฉินซินผู้มีความหวัง จากนั้นก็มองทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่ใบหน้าคาดหวัง แล้วกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “ยิ่งไปกว่านั้นหลานไม่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนกำลังคน ปล่อยให้เจียจือรับใช้อยู่ข้างกายท่านย่าต่อไปเถอะ”

“ข้ารู้ว่าเจวี๋ยเอ๋อร์เป็นคนกตัญญู” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยดูซั่งกวนเจวี๋ยแสร้งทำเป็นโง่ จึงกัดฟันกรอดด้วยความโมโห แต่ก็ต้องแย้มยิ้มแล้วพูดว่า “แต่เจวี๋ยเอ๋อร์เข้าใจความหมายของย่าผิดไป ย่าไม่ได้ให้เจียจือไปเป็นสาวใช้ใหญ่ของเจ้า แต่เตรียมแต่งหน้าแต่งตาให้นาง เพื่อที่นางจะได้ปรนนิบัติเจ้าไปตลอดชีวิต จะเป็นสาวใช้เมียบ่าวหรืออนุภรรยาก็ขึ้นอยู่กับโชควาสนาของนาง”

“ผู้ใหญ่มอบของให้ย่อมมิกล้าปฏิเสธ” ทันทีที่ซั่งกวนเจวี๋ยพูดประโยคนี้ ก็มองเห็นชัยชนะในดวงตาของทั่วป๋าซู่เยวี่ยและรอยยิ้มที่แท้จริงบนใบหน้าของนาง เขาจึงเปลี่ยนน้ำเสียงพูดว่า “แต่ประโยคนี้จำเป็นต้องดูผู้คนและเวลาเช่นกัน ตอนนี้มี่เอ๋อร์ตั้งครรภ์ รับสาวใช้เมียบ่าวในช่วงเวลานี้ มันไม่ใจร้ายกับมี่เอ๋อร์อย่างนั้นหรือ? อีกอย่าง ตระกูลซั่งกวนไม่เคยมีกฎรับอนุภรรยาหรือรับเมียบ่าวโดยตัวเองไม่เหลียวแลว่าห้องหลักตั้งท้องอยู่ ถ้าท่านพ่อรู้เข้า จะต้องตีขาหลานหักคามือแน่ๆ ถ้าให้เหล่าผู้อาวุโสทราบเรื่อง ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องมากมายตามมาขนาดไหน”

ทั่วป๋าซู่เยวี่ยยังไม่ทันจะได้ฉีกยิ้มแฉ่งก็แข็งทื่อเช่นนี้แล้ว ในปีนั้นก็เป็นเยี่ยงนี้ ลูกชายที่ดื้อรั้นอย่างซั่งกวนฮ่าว พอเอ่ยคำนี้ให้เขารับอนุภรรยาและเมียบ่าว เขาก็รื้อกฎระเบียบออกมามากมาย ตนบังคับยัดเยียดคนเข้าไปในห้องของเขา เขาก็จับโยนทิ้งออกมาต่อหน้าต่อตาโดยไม่ให้เกียรติ ทำให้ตนถูกนายท่านผู้เฒ่าดุว่าใส่หน้าเต็มเปาไปหนหนึ่ง ตอนนี้ถึงตาของเจวี๋ยเอ๋อร์ เขาปฏิเสธตรงๆ ไม่ว่า ยังลากบรรดาผู้อาวุโสออกมาด้วย มันช่างน่าเดือดดาล…เสียจริง!

“หากข้ายืนกรานล่ะ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองซั่งกวนเจวี๋ยอย่างเมินเฉย นางแต่งหน้าทำผมและส่งคนไปที่ห้องของเขาได้เลยโดยตรง แล้วนางก็อยากดูว่าเขาจะทำอะไรได้บ้าง!

“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่ท่านย่าเลย” ซั่งกวนเจวี๋ยพูดเบาๆ ว่า “หลานจำได้ว่าเจียจือเป็นทาสในเรือนเบี้ยของตระกูลซั่งกวน ก็ไม่เป็นไร! หากเปลี่ยนเป็นผู้หญิงดีๆ มาให้หลานจะขอบคุณเสียด้วยซ้ำ”

“เจ้าหมายความว่าอะไร!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองซั่งกวนเจวี๋ยด้วยใบหน้าโกรธขึ้ง

“ท่านย่าก็รู้ หลานเป็นคนฝึกยุทธ์ บางครั้งมือเท้าไม่รู้จักหนักเบา หากไม่ระวัง ทั้งหมัดทั้งเตะก็อาจฆ่าคนได้ เจียจือเป็นทาสในเรือนเบี้ย ตีจนตายก็ได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้หญิงดีๆ แม้จะไม่ต้องถูกฟ้องร้องว่าฆ่าใครสักคนตาย แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่เดือดร้อนอยู่ดี!” ซั่งกวนเจวี๋ยมองทั่วป๋าฉินซินที่ประกายไฟในดวงตาดับลงทันทีอย่างหมางเมิน แล้วพูดอย่างเย็นเยียบว่า “ถ้าท่านย่าไม่กังวลว่าหลานจะทำซี้ซั้ว ก็บอกเจียจือให้แต่งตัวเถอะ! พรุ่งนี้…อ้อ เป็นวันมะรืนแล้วกัน ขอให้ท่านย่าแจ้งครอบครัวของเจียจือให้เข้าจวนมาเก็บศพนางในวันมะรืนนี้ก็ได้ ณ ที่แห่งนี้ท่านย่าใจดีเสมอ หลานคงมิบังอาจปฏิเสธตรงๆ ได้สินะ!”

“เจ้ามันคนอกตัญญู! เจ้าคิดจะยั่วโมโหข้าให้ตายใช่ไหม!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยคาดหวังอยู่แล้วว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะบอกปัด แต่ไม่คาดคิดว่าเขาจะปฏิเสธด้วยคำพูดที่แฝงการคุกคามเช่นนี้ ไม่เหลือที่ว่างเลยแม้แต่น้อย ในปีนั้นซั่งกวนฮ่าวก็แค่ปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากที่ตนแข็งข้อหนักขึ้น เขาก็สะบัดแขนเสื้อจากไป ไม่กล้าพูดคำขู่แบบนี้!

“หลานมิกล้า!” ซั่งกวนเจวี๋ยตอบอย่างเฉยเมยว่า “ถ้าบอกว่าคนที่ทำให้ท่านย่ามีน้ำโห ไม่ใช่ลูกผู้น้องตระกูลทั่วป๋าหรอกหรือ? ได้ยินมาว่าท่านย่าอาเจียนเป็นเลือดสองครั้งในวันเดียว บังเอิญท่านลุงอินอยู่ที่จวนพอดีไม่ได้ออกไปไหน แล้วจะหาเวลาให้เขามาดูอาการของท่านย่าว่าเป็นอย่างไรบ้าง ดีหรือไม่?”

อินหงหลันยังไม่ไปอีกหรือ? ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก แม้นางจะไม่กระจ่างแจ้งถึงเรื่องที่ยุ่งเหยิงในปีนั้น แต่ก็รู้ว่าอินหงหลันตามหาใครสักคนมาตลอดหลายปีนี้ ออกเดินทางเสาะหาไปทุกแห่งอยู่เรื่อยมา ไม่นึกว่ายามนี้จะไม่จากไปไหน? เป็นเพราะเจวี๋ยเอ๋อร์ขอร้อง ทำให้เขาตัดสินใจจะอยู่ดูแลผู้หญิงคนนั้น? หรือเป็นเพราะการแต่งงานของหลิงหลงในเดือนเก้ากันแน่?

“ตราบใดที่เจ้าสัญญากับย่า รับเจียจือเป็นเมียบ่าวจะมีประโยชน์มากกว่า!” ความคิดของทั่วป๋าซู่เยวี่ยเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แต่ยังจำจุดประสงค์หลักของวันนี้ได้

“ถ้าอย่างนั้นท่านย่าโปรดจัดการเองเถอะ” ซั่งกวนเจวี๋ยพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน เขายืนขึ้นอย่างไม่คิดสนใจแล้วพูดว่า “แต่ท่านย่าอย่าลืมคำที่หลานพูดไว้ ขอให้ท่านย่าจัดการทุกอย่างสำเร็จด้วยดี”

“เจ้าจะทำอะไร!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองซั่งกวนเจวี๋ยพูดจบก็สะบัดก้นเดินออกไปไม่ไว้หน้า นางโกรธมากจนเส้นเลือดปูดโปนอย่างเห็นได้ชัด ชี้ก่นด่าตะกุกตะกักไล่ตามหลังซั่งกวนเจวี๋ยไป

“ข้าคิดว่าจุดประสงค์ที่ท่านย่าเรียกหลานมาไม่ใช่เพื่อทานข้าว แต่คิดจะเพิ่มความกดดันให้หลาน เช่นนั้นท่านย่าก็บรรลุจุดประสงค์แล้ว หลานจะได้ไม่ต้องอยู่ที่นี่ให้เสียเวลา ท่านย่าคิดอะไรก็ทำอย่างนั้น หลานจะอยู่รอ!” ซั่งกวนเจวี๋ยหยุดนิ่งอย่างไม่แยแส แล้วตอบกลับอย่างสาแก่ใจมากขึ้น หลังจากพูดจบก็หมุนตัวจากไป บางทีมี่เอ๋อร์กับอิงเอ๋อร์อาจยังไม่ได้เริ่มรับประทานอาหาร เขากลับไปทานอาหารเย็นที่อบอุ่นกับพวกเขาดีกว่าจะเพิ่มความอึดอัดใจเมื่ออยู่ที่นี่ ส่วนเจียจือหรือลี่จือผู้นั้น ถ้าทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล้าส่งมา เขาก็กล้าฆ่าหนึ่งคนเพื่อเตือนร้อยคน หากสาวใช้ผู้นั้นรู้จักกาลเทศะ ก็จะออกไปแต่งงานกับคนอื่นทันที แต่ถ้าไม่รู้ความ เขายังกังวลว่าไม่อยากเชือด ‘ไก่’ ให้ลิงดู!

“เหอะ!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยโกรธจนหอบหายใจพูดอะไรไม่ออกสักคำ แต่พิงถิงที่เห็นสถานการณ์ไม่ดีอยู่ก่อนแล้วกลับเอาแต่นั่งก้มหน้าลงต่ำอยู่ข้างๆ โดยไม่เอื้อนเอ่ยอะไรเลย คิดว่าตัวเองเป็นท่อนไม้ ในขณะที่อวี่ไข่เคลื่อนตัวไปหาทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างอึดอัดใจ จับมือของทั่วป๋าซู่เยวี่ยไว้แล้วพูดว่า “ท่านย่า ท่านควรพักผ่อนสักสองสามวัน ตอนนี้พี่ใหญ่โกรธจัด ถ้าไปยั่วให้เขารำคาญจริงๆ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจความแตกต่างระหว่างภรรยาเอกกับอนุภรรยา มันเป็นเพียงคำพูดหนึ่งของซั่งกวนเจวี๋ยที่จะโบยและไล่ออกเขาไปได้โดยไม่ต้องถามอะไรเลย จึงส่งอนุภรรยาหนิงไปที่วัดประจำตระกูลได้โดยตรง แต่เขาใจร้อนยิ่งกว่า เขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อแต่งงานกับภรรยาผู้สูงศักดิ์และเปลี่ยนข้อบกพร่องในด้านฐานะของเขา

“ไม่ได้!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล้ำกลืนความรู้สึกนี้ไม่ไหว ต่อให้จะตาย ก็จะต้องส่งเจียจือไป นางอยากจะเห็นว่าลูกชายที่ไม่เชื่อฟังอย่างซั่งกวนฮ่าวไม่กล้าทำอะไรในตอนนั้น หลานชายที่ไม่เชื่อฟังอย่างเขาจะกล้าทำอะไรได้!

“แม่นมหนิง แต่งหน้าทำผมให้เจียจือ เมื่อยามที่สีท้องฟ้ามืดลงให้ส่งคนตรงไปที่เรือนมีคู่ให้ข้าที แล้วบอกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ว่านี่คือสาวใช้เมียบ่าวที่ข้ามอบให้เจวี๋ยเอ๋อร์ ข้าอยากเห็นพวกเขาสองสามีภรรยาจะกล้าทำอะไรบ้าง!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยยังคงไม่กล้าจะส่งคนไปที่เรือนไร้เดี่ยวโดยตรง ในกรณีนี้ซั่งกวนเจวี๋ยจะทำร้ายเจียจือโดยไม่ปล่อยให้น้ำกระเซ็นแพร่งพรายออกไป แต่ถ้าส่งไปเรือนมีคู่ย่อมต่างกัน นางไม่เชื่อว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะกล้าหาญชาญชัยเฝ้าดูสาวใช้เมียบ่าวที่นางส่งมาถูกตีตายคามือ!

———————————-

[1] พังพอนมาอวยพรปีใหม่ไก่ ความหมาย แกล้งทำดี แต่จริงๆ แล้ว มีเจตนาร้ายแอบแฝง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 193 ปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้า

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 193 ปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เจวี๋ยเอ๋อร์ ทำไมมี่เอ๋อร์ไม่มาด้วยเล่า? ยังโกรธย่าอยู่อีกหรือ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยแสร้งถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ทั้งหมดนี้ต้องโทษข้าเหมือนกัน ฟังคำนินทาของพวกบ่าวไพร่ก็เชื่อเป็นตุเป็นตะ ไม่สามารถระงับความโกรธได้จนไปก่อปัญหาให้มี่เอ๋อร์…แต่สองแม่นมที่อยู่ข้างกายนางนั่นพาให้หงุดหงิดจริงๆ ข้าถึงได้…ไม่ได้คาดคิดว่ามี่เอ๋อร์จะโกรธถึงขนาดนั้น นึกไม่ถึงพอเช้าวันรุ่งขึ้นก็พาคนรับใช้จากไป! นางอยู่ข้างนอกสบายดีไหม? ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกระมัง?”

ห้องครัวนำอาหารมาตั้งโต๊ะ ทั่วป๋าซู่เยวี่ยดึงซั่งกวนเจวี๋ยมาพูดในสิ่งที่ต้องการจะพูด นางรู้ดีว่าถ้ารอให้ทานอาหารเสร็จ ซั่งกวนเจวี๋ยจะหาโอกาสออกไป นางอาจไม่มีโอกาสพูดด้วยซ้ำ

แม้ทุกคนจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เรื่องที่ควรพูดก็ยังคงต้องพูดอยู่ดี ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่จะคลี่คลายลงได้หรือไม่ การสมควรพูดหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

“ท่านย่าเป็นห่วงเกินไปแล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยพูดอย่างเย็นชาว่า “มี่เอ๋อร์ออกไปข้างนอกเพราะหลานได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้วก่อนจะจากไป นางรู้สึกหดหู่อยู่สองสามวัน หลานจึงจัดให้นางไปพักอยู่ที่เรือนหิมะสุขใจสักสองสามวัน เพียงแต่บังเอิญที่ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันเท่านั้นเอง!”

“แล้วเหตุใดมี่เอ๋อร์ไม่มาเล่า? ยังมีอิงเอ๋อร์ด้วย ยามนี้ก็ยังไม่มาที่นี่” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยบ่นคิดถึงสองสามคำแล้วพูดว่า “ข้าก็รู้ว่าข้าแก่แล้ว ไม่มีใครเห็นข้าอยู่ในสายตา จะเรียกลูกหลานมาทานข้าวเย็นพร้อมหน้าพร้อมตากันช่างยากเหลือเกิน…”

“ที่แท้ท่านย่าอยากพบมี่เอ๋อร์” ซั่งกวนเจวี๋ยมองนางด้วยสีหน้าอ่อนลงแล้วพูดว่า “เจียจือบอกเพียงว่าท่านย่าอยากพบข้า ให้ข้ามาทานอาหารเย็น ข้าคิดว่ามี่เอ๋อร์ไม่สบาย จึงให้อิงเอ๋อร์มากินข้าวเป็นเพื่อนกับมี่เอ๋อร์ด้วย”

“นางไม่สบายหรือ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยแกล้งพูดจาแปลกๆ ว่า “มี่เอ๋อร์เป็นอะไรหรือ? แต่ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง ไม่เคยออกกำลังกายเลยตั้งแต่ยังเด็ก สุขภาพย่อมอ่อนแอมากเป็นธรรมดา แม่นมหนิง เดี๋ยวส่งยาบำรุงไปให้สะใภ้ใหญ่สักหน่อย ดูแลนางพักผ่อนให้ดี”

“เจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่” แม่นมหนิงตอบอย่างเคารพนบนอบ

“ไม่ต้องหรอก” ซั่งกวนเจวี๋ยเฝ้าดูพวกนางเล่นละครด้วยสายตาเย็นชา ยามที่พูดถึงมี่เอ๋อร์ไม่สบาย ในดวงตาของทั่ว ป๋าฉินซินไม่สามารถซ่อนความหึงหวงและแค้นเคืองได้ หากพวกนางไม่รู้ว่ามี่เอ๋อร์ไม่สบายนั่นแหละถึงจะแปลก

“หรือเจวี๋ยเอ๋อร์คิดว่าย่าเรื่องมากไปไหม?” เสียงของทั่วป๋าซู่เยวี่ยสูงขึ้นเล็กน้อย นางดูโกรธหลานชายคนนี้ซึ่งค่อนข้างห่างเหินมากขึ้นเรื่อยๆ

“มี่เอ๋อร์ตั้งท้อง จึงต้องพักผ่อนให้เพียงพอ” สีหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยเบาลงพลางกล่าวว่า “ท่านลุงอินบอกว่าเด็กสุขภาพแข็งแรงดี แต่ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ควรพักผ่อนให้เพียงพอจะดีที่สุด ซึ่งสำคัญมากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนยาบำรุงอะไรนั่น ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากลุงอิน มี่เอ๋อร์กินส่งเดชไม่ได้ ท่านย่าไม่ต้องห่วง”

“มี่เอ๋อร์ท้องหรือ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยแสร้งทำเป็นตกใจพูดว่า “นี่เป็นข่าวมงคลเชียวนะ ทำไมกลับมาตั้งเจ็ดแปดวันแล้ว ไม่มีใครบอกข้าล่ะ? แม่นมหนิง เตรียมของขวัญ ทานข้าวเย็นเสร็จข้าจะไปหามี่เอ๋อร์เอง”

“ท่านย่าใจเย็นๆ หน่อย” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่อยากเห็นนางปรากฏตัวในเรือนมีคู่เลยแม้แต่น้อย หากนางไปก็จะเพิ่มความอึดอัดให้มี่เอ๋อร์ หรือไปดูว่ามีจุดไหนที่ลงมือได้เท่านั้นเอง ราวกับพังพอนมาอวยพรปีใหม่ไก่ [1]ซึ่งไม่หวังดีมุ่งร้ายเป็นแน่ จึงพูดอย่างเย็นเยียบว่า “เด็กอายุแค่สี่สิบกว่าวัน ยังเล็กบอบบางมาก อย่าให้คนรู้มากเกินไปจะดีที่สุด ไม่เหมาะจะให้มี่เอ๋อร์คุยกับผู้คนตลอดทั้งวัน รอสักสองสามเดือนก่อน ข้าย่อมจะให้มี่เอ๋อร์มาน้อมทักทายท่านย่าแน่นอน!”

“แบบนั้นก็ดี!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรู้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยคิดจะกีดกันตนมากที่สุดในตอนนี้ จึงไม่ได้บังคับ แต่พูดด้วยความห่วงใยว่า “ถ้าอย่างนั้นหมู่นี้เจวี๋ยเอ๋อร์พักที่เรือนมีคู่หรือกลับไปพักที่เรือนไร้เดี่ยวเล่า?”

มาถึงประเด็นสำคัญ! ซั่งกวนเจวี๋ยหลุบตาลงเล็กน้อย ปิดซ่อนอาการประชดประชันที่เปี่ยมล้นอยู่ในแววตาแล้วพูดเรียบเฉยว่า “มี่เอ๋อร์ตั้งท้องลูก หลานกังวลว่านางจะอยู่คนเดียว ดังนั้นจึงมาอยู่กับนาง”

“นั่นไม่ดีเลย!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยพูดตรงๆ ว่า “ยามนี้มี่เอ๋อร์ตั้งท้องแล้ว สามีภรรยาอย่างพวกเจ้าต้องนอนแยกห้องกัน ไม่เช่นนั้นถ้าเจ้าหุนหันพลันแล่นทำร้ายมี่เอ๋อร์และลูกจะเกิดอะไรขึ้น ข้าเห็นว่าในห้องเจ้าไม่มีสาวใช้รู้ใจสักคน เจ้ารู้จักเจียจือที่ อยู่ตรงหน้าข้าเสียสิ ทั้งเฉลียวฉลาดและขยันขันแข็ง เดี๋ยวเจ้าก็พานางกลับไปด้วยกัน ข้าคิดว่ามี่เอ๋อร์เป็นผู้หญิงที่มีความรู้มาตลอด คงจะไม่โกรธเพราะเพียงเรื่องเท่านี้กระมัง”

“เจียจือเป็นคนโปรดที่ติดตามท่านย่า หลานแย่งคนของท่านย่าไม่ได้ต่อให้จะไม่มีสาวใช้ดูแลก็ตาม” ซั่งกวนเจวี๋ยเหลือบมองทั่วป๋าฉินซินผู้มีความหวัง จากนั้นก็มองทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่ใบหน้าคาดหวัง แล้วกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “ยิ่งไปกว่านั้นหลานไม่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนกำลังคน ปล่อยให้เจียจือรับใช้อยู่ข้างกายท่านย่าต่อไปเถอะ”

“ข้ารู้ว่าเจวี๋ยเอ๋อร์เป็นคนกตัญญู” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยดูซั่งกวนเจวี๋ยแสร้งทำเป็นโง่ จึงกัดฟันกรอดด้วยความโมโห แต่ก็ต้องแย้มยิ้มแล้วพูดว่า “แต่เจวี๋ยเอ๋อร์เข้าใจความหมายของย่าผิดไป ย่าไม่ได้ให้เจียจือไปเป็นสาวใช้ใหญ่ของเจ้า แต่เตรียมแต่งหน้าแต่งตาให้นาง เพื่อที่นางจะได้ปรนนิบัติเจ้าไปตลอดชีวิต จะเป็นสาวใช้เมียบ่าวหรืออนุภรรยาก็ขึ้นอยู่กับโชควาสนาของนาง”

“ผู้ใหญ่มอบของให้ย่อมมิกล้าปฏิเสธ” ทันทีที่ซั่งกวนเจวี๋ยพูดประโยคนี้ ก็มองเห็นชัยชนะในดวงตาของทั่วป๋าซู่เยวี่ยและรอยยิ้มที่แท้จริงบนใบหน้าของนาง เขาจึงเปลี่ยนน้ำเสียงพูดว่า “แต่ประโยคนี้จำเป็นต้องดูผู้คนและเวลาเช่นกัน ตอนนี้มี่เอ๋อร์ตั้งครรภ์ รับสาวใช้เมียบ่าวในช่วงเวลานี้ มันไม่ใจร้ายกับมี่เอ๋อร์อย่างนั้นหรือ? อีกอย่าง ตระกูลซั่งกวนไม่เคยมีกฎรับอนุภรรยาหรือรับเมียบ่าวโดยตัวเองไม่เหลียวแลว่าห้องหลักตั้งท้องอยู่ ถ้าท่านพ่อรู้เข้า จะต้องตีขาหลานหักคามือแน่ๆ ถ้าให้เหล่าผู้อาวุโสทราบเรื่อง ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องมากมายตามมาขนาดไหน”

ทั่วป๋าซู่เยวี่ยยังไม่ทันจะได้ฉีกยิ้มแฉ่งก็แข็งทื่อเช่นนี้แล้ว ในปีนั้นก็เป็นเยี่ยงนี้ ลูกชายที่ดื้อรั้นอย่างซั่งกวนฮ่าว พอเอ่ยคำนี้ให้เขารับอนุภรรยาและเมียบ่าว เขาก็รื้อกฎระเบียบออกมามากมาย ตนบังคับยัดเยียดคนเข้าไปในห้องของเขา เขาก็จับโยนทิ้งออกมาต่อหน้าต่อตาโดยไม่ให้เกียรติ ทำให้ตนถูกนายท่านผู้เฒ่าดุว่าใส่หน้าเต็มเปาไปหนหนึ่ง ตอนนี้ถึงตาของเจวี๋ยเอ๋อร์ เขาปฏิเสธตรงๆ ไม่ว่า ยังลากบรรดาผู้อาวุโสออกมาด้วย มันช่างน่าเดือดดาล…เสียจริง!

“หากข้ายืนกรานล่ะ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองซั่งกวนเจวี๋ยอย่างเมินเฉย นางแต่งหน้าทำผมและส่งคนไปที่ห้องของเขาได้เลยโดยตรง แล้วนางก็อยากดูว่าเขาจะทำอะไรได้บ้าง!

“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่ท่านย่าเลย” ซั่งกวนเจวี๋ยพูดเบาๆ ว่า “หลานจำได้ว่าเจียจือเป็นทาสในเรือนเบี้ยของตระกูลซั่งกวน ก็ไม่เป็นไร! หากเปลี่ยนเป็นผู้หญิงดีๆ มาให้หลานจะขอบคุณเสียด้วยซ้ำ”

“เจ้าหมายความว่าอะไร!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองซั่งกวนเจวี๋ยด้วยใบหน้าโกรธขึ้ง

“ท่านย่าก็รู้ หลานเป็นคนฝึกยุทธ์ บางครั้งมือเท้าไม่รู้จักหนักเบา หากไม่ระวัง ทั้งหมัดทั้งเตะก็อาจฆ่าคนได้ เจียจือเป็นทาสในเรือนเบี้ย ตีจนตายก็ได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้หญิงดีๆ แม้จะไม่ต้องถูกฟ้องร้องว่าฆ่าใครสักคนตาย แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่เดือดร้อนอยู่ดี!” ซั่งกวนเจวี๋ยมองทั่วป๋าฉินซินที่ประกายไฟในดวงตาดับลงทันทีอย่างหมางเมิน แล้วพูดอย่างเย็นเยียบว่า “ถ้าท่านย่าไม่กังวลว่าหลานจะทำซี้ซั้ว ก็บอกเจียจือให้แต่งตัวเถอะ! พรุ่งนี้…อ้อ เป็นวันมะรืนแล้วกัน ขอให้ท่านย่าแจ้งครอบครัวของเจียจือให้เข้าจวนมาเก็บศพนางในวันมะรืนนี้ก็ได้ ณ ที่แห่งนี้ท่านย่าใจดีเสมอ หลานคงมิบังอาจปฏิเสธตรงๆ ได้สินะ!”

“เจ้ามันคนอกตัญญู! เจ้าคิดจะยั่วโมโหข้าให้ตายใช่ไหม!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยคาดหวังอยู่แล้วว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะบอกปัด แต่ไม่คาดคิดว่าเขาจะปฏิเสธด้วยคำพูดที่แฝงการคุกคามเช่นนี้ ไม่เหลือที่ว่างเลยแม้แต่น้อย ในปีนั้นซั่งกวนฮ่าวก็แค่ปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากที่ตนแข็งข้อหนักขึ้น เขาก็สะบัดแขนเสื้อจากไป ไม่กล้าพูดคำขู่แบบนี้!

“หลานมิกล้า!” ซั่งกวนเจวี๋ยตอบอย่างเฉยเมยว่า “ถ้าบอกว่าคนที่ทำให้ท่านย่ามีน้ำโห ไม่ใช่ลูกผู้น้องตระกูลทั่วป๋าหรอกหรือ? ได้ยินมาว่าท่านย่าอาเจียนเป็นเลือดสองครั้งในวันเดียว บังเอิญท่านลุงอินอยู่ที่จวนพอดีไม่ได้ออกไปไหน แล้วจะหาเวลาให้เขามาดูอาการของท่านย่าว่าเป็นอย่างไรบ้าง ดีหรือไม่?”

อินหงหลันยังไม่ไปอีกหรือ? ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก แม้นางจะไม่กระจ่างแจ้งถึงเรื่องที่ยุ่งเหยิงในปีนั้น แต่ก็รู้ว่าอินหงหลันตามหาใครสักคนมาตลอดหลายปีนี้ ออกเดินทางเสาะหาไปทุกแห่งอยู่เรื่อยมา ไม่นึกว่ายามนี้จะไม่จากไปไหน? เป็นเพราะเจวี๋ยเอ๋อร์ขอร้อง ทำให้เขาตัดสินใจจะอยู่ดูแลผู้หญิงคนนั้น? หรือเป็นเพราะการแต่งงานของหลิงหลงในเดือนเก้ากันแน่?

“ตราบใดที่เจ้าสัญญากับย่า รับเจียจือเป็นเมียบ่าวจะมีประโยชน์มากกว่า!” ความคิดของทั่วป๋าซู่เยวี่ยเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แต่ยังจำจุดประสงค์หลักของวันนี้ได้

“ถ้าอย่างนั้นท่านย่าโปรดจัดการเองเถอะ” ซั่งกวนเจวี๋ยพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน เขายืนขึ้นอย่างไม่คิดสนใจแล้วพูดว่า “แต่ท่านย่าอย่าลืมคำที่หลานพูดไว้ ขอให้ท่านย่าจัดการทุกอย่างสำเร็จด้วยดี”

“เจ้าจะทำอะไร!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองซั่งกวนเจวี๋ยพูดจบก็สะบัดก้นเดินออกไปไม่ไว้หน้า นางโกรธมากจนเส้นเลือดปูดโปนอย่างเห็นได้ชัด ชี้ก่นด่าตะกุกตะกักไล่ตามหลังซั่งกวนเจวี๋ยไป

“ข้าคิดว่าจุดประสงค์ที่ท่านย่าเรียกหลานมาไม่ใช่เพื่อทานข้าว แต่คิดจะเพิ่มความกดดันให้หลาน เช่นนั้นท่านย่าก็บรรลุจุดประสงค์แล้ว หลานจะได้ไม่ต้องอยู่ที่นี่ให้เสียเวลา ท่านย่าคิดอะไรก็ทำอย่างนั้น หลานจะอยู่รอ!” ซั่งกวนเจวี๋ยหยุดนิ่งอย่างไม่แยแส แล้วตอบกลับอย่างสาแก่ใจมากขึ้น หลังจากพูดจบก็หมุนตัวจากไป บางทีมี่เอ๋อร์กับอิงเอ๋อร์อาจยังไม่ได้เริ่มรับประทานอาหาร เขากลับไปทานอาหารเย็นที่อบอุ่นกับพวกเขาดีกว่าจะเพิ่มความอึดอัดใจเมื่ออยู่ที่นี่ ส่วนเจียจือหรือลี่จือผู้นั้น ถ้าทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล้าส่งมา เขาก็กล้าฆ่าหนึ่งคนเพื่อเตือนร้อยคน หากสาวใช้ผู้นั้นรู้จักกาลเทศะ ก็จะออกไปแต่งงานกับคนอื่นทันที แต่ถ้าไม่รู้ความ เขายังกังวลว่าไม่อยากเชือด ‘ไก่’ ให้ลิงดู!

“เหอะ!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยโกรธจนหอบหายใจพูดอะไรไม่ออกสักคำ แต่พิงถิงที่เห็นสถานการณ์ไม่ดีอยู่ก่อนแล้วกลับเอาแต่นั่งก้มหน้าลงต่ำอยู่ข้างๆ โดยไม่เอื้อนเอ่ยอะไรเลย คิดว่าตัวเองเป็นท่อนไม้ ในขณะที่อวี่ไข่เคลื่อนตัวไปหาทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างอึดอัดใจ จับมือของทั่วป๋าซู่เยวี่ยไว้แล้วพูดว่า “ท่านย่า ท่านควรพักผ่อนสักสองสามวัน ตอนนี้พี่ใหญ่โกรธจัด ถ้าไปยั่วให้เขารำคาญจริงๆ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจความแตกต่างระหว่างภรรยาเอกกับอนุภรรยา มันเป็นเพียงคำพูดหนึ่งของซั่งกวนเจวี๋ยที่จะโบยและไล่ออกเขาไปได้โดยไม่ต้องถามอะไรเลย จึงส่งอนุภรรยาหนิงไปที่วัดประจำตระกูลได้โดยตรง แต่เขาใจร้อนยิ่งกว่า เขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อแต่งงานกับภรรยาผู้สูงศักดิ์และเปลี่ยนข้อบกพร่องในด้านฐานะของเขา

“ไม่ได้!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล้ำกลืนความรู้สึกนี้ไม่ไหว ต่อให้จะตาย ก็จะต้องส่งเจียจือไป นางอยากจะเห็นว่าลูกชายที่ไม่เชื่อฟังอย่างซั่งกวนฮ่าวไม่กล้าทำอะไรในตอนนั้น หลานชายที่ไม่เชื่อฟังอย่างเขาจะกล้าทำอะไรได้!

“แม่นมหนิง แต่งหน้าทำผมให้เจียจือ เมื่อยามที่สีท้องฟ้ามืดลงให้ส่งคนตรงไปที่เรือนมีคู่ให้ข้าที แล้วบอกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ว่านี่คือสาวใช้เมียบ่าวที่ข้ามอบให้เจวี๋ยเอ๋อร์ ข้าอยากเห็นพวกเขาสองสามีภรรยาจะกล้าทำอะไรบ้าง!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยยังคงไม่กล้าจะส่งคนไปที่เรือนไร้เดี่ยวโดยตรง ในกรณีนี้ซั่งกวนเจวี๋ยจะทำร้ายเจียจือโดยไม่ปล่อยให้น้ำกระเซ็นแพร่งพรายออกไป แต่ถ้าส่งไปเรือนมีคู่ย่อมต่างกัน นางไม่เชื่อว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะกล้าหาญชาญชัยเฝ้าดูสาวใช้เมียบ่าวที่นางส่งมาถูกตีตายคามือ!

———————————-

[1] พังพอนมาอวยพรปีใหม่ไก่ ความหมาย แกล้งทำดี แต่จริงๆ แล้ว มีเจตนาร้ายแอบแฝง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+