เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 296 ชดใช้และจัดการ

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 296 ชดใช้และจัดการ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่ว่าพ่อลูกหยางมู่หลินจะเต็มใจหรือไม่ พวกเขาก็ยังคงต้องลงนามในจดหมายเลือดท่ามกลางสายตาของทุกคนในตระกูลซั่งกวน…ตามคำขอของนายท่านเยี่ยน เขียนถึงลำดับเหตุการณ์คร่าวๆ ที่พวกเขาข่มขู่บังคับนายท่านเยี่ยน ทั้งอธิบายถึงเหตุผลการชดใช้ ทั้งแยกตระกูลซั่งกวนออกมาและจำนวนเงินที่ชดใช้ก็มากเพียงพอ ห้าแสนตำลึงเต็มๆ สำหรับหยางมู่หลิงไม่นับว่ามากมาย แต่ก็ถือว่าถูกลอกหนังออกไปชั้นหนึ่งเช่นกัน หนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงก่อนหน้านี้คิดจะเก็บคืน จึงไม่ปวดใจแม้แต่น้อย ยามนี้กลับปวดใจเจียนตาย…เงินพวกนี้ล้วนเป็นเงินที่เขาเก็บสะสมมาอย่างยากลำบาก เผื่อภายหลังมีวันหนึ่งที่ตัวเองหรือลูกชายสามารถขึ้นเป็นใหญ่ในบัลลังก์ได้ เงินทุกตำลึงล้วนมีค่า แต่ว่า…พวกเขาก็จำต้องยอมรับ ใครใช้ให้พวกเขาฆ่าคนเล่า?

ค้นตัวสองพ่อลูกหยางมู่หลินมีตั๋วเงินติดกายอยู่ประมาณหนึ่งแสนห้าหนึ่งแสนหกตำลึง จึงมอบให้นายท่านเยี่ยนหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงในขณะนั้น ส่วนที่เหลือให้สองพ่อลูกกรีดนิ้วใช้เลือดเขียนหนังสือรับรองหนี้สิน ประทับรอยนิ้วมือก่อนจะมอบให้นายท่านเยี่ยนเก็บไว้

“ยามนี้ เรื่องนี้เป็นอันเสร็จสิ้นชั่วคราว!” ท่านบรรพชนพยักหน้าอย่างพอใจ “เงินสามแสนห้าหมื่นตำลึงที่เหลือ หวังว่าหลังจากท่านโหวกลับไปเมืองอวิ้นแล้ว จะเตรียมเงินให้พร้อมในเวลาครึ่งเดือน ข้าจะส่งคนไปรับที่จวน!”

“พวกเราไปได้หรือยัง?” หยางมู่หลินย้อนถามด้วยใบหน้าดำคล้ำ ยามนี้นอกจากเขาขโมยไก่ไม่ได้ ยังเสียข้าวสารอีกกำมือ[1] ไหนเลยจะมีใจมาพูดอะไร ตอนนี้เขาคิดเพียงอยากออกจากเรือนพำนักอวี้ฉิงให้เร็วๆ เท่านั้น

“ท่านโหวและท่านโหวน้อยเดินทางระวังด้วย ข้าไม่ส่งแล้ว!” ท่านบรรพชนไม่ใส่ใจสีหน้าดำคล้ำของหยางมู่หลินแม้แต่น้อย กลับเปลี่ยนอีกประเด็นทันที กล่าวเรียบนิ่ง “เพียงแต่ข้าอยากให้ท่านโหวและท่านโหวน้อยกลับเมืองอวิ้นให้เร็วๆ หน่อยจะดีที่สุด หากเดินทางจากลี่โจวไปเมืองอวิ้น อย่างช้าก็ใช้เวลาประมาณยี่สิบวัน หากเร็วหน่อย สิบสี่สิบห้าวันก็ถึงแล้ว ตระกูลซั่งกวนจะให้เวลาท่านโหวสามวัน หลังจากสามวัน ท่านโหวจะต้องระมัดระวังให้ดี!”

“หมายความว่าอย่างไร?” หยางมู่หลินใจสั่นไหว ยังไม่ทันได้พูดอะไร หยางรุ่ยหนานก็ถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวขึ้นมา แม้เขาจะรู้ว่าไม่อาจจะดูถูกตระกูลใหญ่ได้ แต่อย่างไรยังมีสายตาและความคิดของคนที่สูงกว่าคนอื่นหนึ่งขั้น แต่ไหนแต่ไรก็คิดว่าราชวงศ์นั้นอยู่สูงค้ำฟ้า หรือตระกูลซั่งกวนไม่พอใจ ยังคิดจะทำอะไรอย่างนั้นหรือ?

“ตระกูลซั่งกวนไม่ใช่ใครที่ไหนก็สามารถวางแผนตามใจได้ หนังสือเลือดและเงินเป็นเพียงการชดใช้ให้นายท่านเยี่ยนเท่านั้น ข้าไม่ได้พูดว่าจะให้อภัยการกระทำของพวกเจ้าเพราะเรื่องแค่นี้!” ท่านบรรพชนใช้แววตาที่ราวกับมองคนตายมองหยางรุ่ยหนานดังนั้นเขาจึงไม่สนใจกับน้ำเสียงไม่มีมารยาทของหยางรุ่ยหนานแม้แต่น้อย ไม่มีความจำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยกับคนที่กำลังจะตายมากมาย

“มีอะไรจะชี้แนะได้โปรดพูดออกมาตรงๆ!” หยางมู่หลินไม่ใช่หยางรุ่ยหนาน เขาย่อมฟังออกถึงการข่มขู่ของท่านบรรพชน ยามนี้เขาเสียใจในการกระทำของตัวเองมาก หากคิดรอบคอบกว่านี้หน่อยก็คงจะดี

“เริ่มนับตั้งแต่พวกเจ้าออกจากเรือนพำนักอวี้ฉิง ภายในเวลาสามวันตระกูลซั่งกวนย่อมไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แต่หลังจากสามวัน ตระกูลซั่งกวนจะส่งหน่วยพลีชีพไล่ตามสังหารไปตลอดทาง จวบจนพวกเจ้ากลับถึงเมืองอวิ้นหรือไม่ก็พวกเจ้าทั้งสองคนตาย ไม่ว่าพวกเจ้าจะตายหรือรอดชีวิตกลับเมืองอวิ้น เรื่องนี้ก็นับว่าเป็นอันคลี่คลาย ภายหลังพบหน้ากันย่อมไม่พูดถึงความแค้นอันใดอีก” คำพูดของท่านบรรพชนทำให้หยางมู่หลินเหน็บหนาวไปทั้งสรรพางค์กาย พวกเขาจะสามารถรอดจากการตามล่าของตระกูลซั่งกวน กลับเมืองอวิ้นได้อย่างปลอดภัยอย่างนั้นหรือ?

“ท่านบรรพชน เรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการเถิด!” น้ำเสียงผู้อาวุโสเถาดังขึ้นราวกับฟ้าผ่า เขามองสองพ่อลูกผู้นี้ราวกับมองซากศพ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้ยืดเส้นยืดสายมาหลายปี รู้สึกราวกับสนิมจะขึ้นแล้ว”

“เรื่องนี้ไม่จำเป็นให้เจ้าต้องสอดมือยุ่ง” ท่านบรรพชนกล่าวด่าขำๆ “ยังมีเด็กอีกมากมายที่ไม่มีโอกาสได้ฝึกฝนดีๆ ก็ให้พวกเขาฝึกปรือฝีมือหน่อยเถิด คนจะได้ไม่คิดว่าตระกูลซั่งกวนรุ่นนี้สู้รุ่นเก่าๆ ไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ล้วนปั่นหัว มาหลอกลวงถึงหน้าประตูได้”

ก็หมายความว่าเขาต้องการเลือดของพวกเขาพ่อลูกมาสร้างความเกรงขาม! จู่ๆ หยางมู่หลินก็นึกถึงชื่อเสียงด้านความเกรงขามของตระกูลซั่งกวน แต่ไหนแต่ไรชื่อเสียงของตระกูลซั่งกวนล้วนใช้เลือดเนื้อหลอมรวมขึ้นมาและคาดไม่ถึงว่าตัวเองถูกภูตผีอะไรมาดลใจ ให้คิดวางแผนกับตระกูลที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เขาไม่ได้มากความอันใดอีก ดึงหยางรุ่ยหนานที่คิดจะพูดอะไรอีกออกไป เซียงหลิงตามไปข้างกายเขาติดๆ ทันที นางรู้ดี หากตัวเองรั้งอยู่ต่อ ย่อมต้องตายกระทั่งกระดูกก็ยังไม่เหลือ

“ช้าก่อน!” เสียงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้ทั้งสามคนชะงักฝีเท้า ทั้งทำให้คนทั้งหมดมองมาที่นาง หรือนางยังไม่พอใจการลงโทษของท่านบรรพชนอีก?

“สะใภ้ใหญ่มีอะไรจะกำชับ?” หยางมู่หลินมองใบหน้าที่คล้ายกับจงเสวี่ยฉิงในความทรงจำอย่างเรียบเย็น ทว่ากลับดูไม่เหมือนกัน ยามที่จงเสวี่ยฉิงออกจากเซิ่งจิงในปีนั้นยังเป็นเพียงเด็กสาวหน้าตาพริ้มเพราคนหนึ่ง เดิมทีก็ไม่ได้เป็นสาวเต็มไว ทั้งไม่ได้งามล่มเมืองอะไรขนาดนั้น

“ไม่กล้ากำชับอันใดหรอก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มอย่างเบิกบาน แต่แววตากลับไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อย “ท่านโหวและท่านโหวน้อยจากไปย่อมเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่ว่าเซียงหลิงจำเป็นต้องรั้งตัวไว้”

“ท่านอ๋อง…” เซียงหลิงร้องอย่างวิงวอน นางรั้งอยู่ต่อก็เหลือเพียงทางตายเท่านั้น กระทั่งตัวเลือกยังไม่มี นางไม่อาจอยู่ต่อได้

“นางเป็นคนของจวนเซียวเหยาโหว พวกเจ้าไม่ใช่ยืนยันแล้วหรอกหรือ?” หยางมู่หลินกลับไม่อยากพาเซียงหลิงไป นางไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว แต่ก็ไม่อาจทิ้งนางไว้ที่ตระกูลซั่งกวนเช่นนี้ได้ เขาสามารถพานางออกไปทิ้งข้างนอก หรืออาจจะพานางไปฆ่าปิดปาก แต่ย่อมไม่อาจมอบนางให้ตระกูลซั่งกวน

“นางเป็นคนจวนเซียวเหยาโหวของเจ้า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แสร้งกล่าวอย่างตกใจ “ข้ายังคิดว่านางเป็นเพียงบ่าวที่ขายเจ้านายเพราะอยากได้ผลประโยชน์เสียอีก ไม่ทราบว่าท่านโหวมีหลักฐานอะไรที่สามารถพิสูจน์ได้หรือไม่?”

“คำพูดของข้าก็คือหลักฐาน!” หยางมู่หลินไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวปัญหานี้อยู่นานนัก ยามนี้เขาแทบอยากจะติดปีกบินกลับไปที่เมืองอวิ้นแล้ว

“แต่ข้ามีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่านางเป็นบ่าวใช้ของครอบครัวข้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ควักกระเป๋าที่ปักลายดอกไม้ใบไม่ใหญ่มากออกมา ค่อยๆ หยิบเอากำไลข้อมือหยกแดง สวมไว้ที่มือ ต่างหูหยกเลี่ยมทองคู่หนึ่ง ส่งให้ซั่งกวนเจวี๋ยถือไว้ ปิ่นหงส์ทอง ปักไว้ที่ผมของตัวเอง…นอกจากนายท่านเยี่ยนแล้ว คนอื่นๆ ล้วนนิ่งอึ้ง นี่เหมือนกับเครื่องประดับที่หยางมู่หลินใช้เป็นหลักฐานชุดนั้นอย่างไม่ผิดเพี้ยน ที่แท้เครื่องประดับชุดนั้นเป็นของปลอมจริงๆ ของแท้นั้นอยู่ในมือของมี่เอ๋อร์!ง

หยางมู่หลินถมึงตามองเซียงหลิง นางไม่ได้กล่าวอย่างน่าเชื่อถือหรือว่าเครื่องประดับชุดนั้นหายไป แต่ย่อมไม่อาจอยู่ในมือเยี่ยนมี่เอ๋อร์แน่?

“ท่านโหวเชิญดูสิ่งนี้!” สิ่งที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยากให้พวกเขาดูไม่ใช่เครื่องประดับพวกนั้น ยามที่หยางมู่หลินเอาเครื่องประดับออกมา นางก็รู้แล้วว่านายท่านเยี่ยนมีแผนการอยู่ในใจ เครื่องประดับชุดนี้ก่อนที่ตัวเองแต่งงาน นายท่านเยี่ยนได้มอบให้ตัวเองกับมือของเขา เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร

“นั่นคืออะไร?” หยางมู่หลินในยามนี้เกลียดชังเซียงหลิง ผู้หญิงที่มือไม่พายเอาแต่เท้าราน้ำผู้นี้มาก นางอยู่ข้างกายแม่ลูกจงเสวี่ยฉิงมายี่สิบกว่าปี มัวแต่ทำอะไรอยู่!

“สัญญาขายตัวของเซียงหลิง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์โบกกระดาษในมือ “เป็นนางที่เขียนสัญญาขายตัวด้วยตนเอง บนนั้นยังมีรอยประทับนิ้วมือของนาง พิสูจน์ว่านางเป็นบ่าวของครอบครัวข้า ดังนั้นนางไม่อาจตามเจ้าออกไปได้!”

“ข้าเปล่านะเจ้าคะ!” เซียงหลิงเห็นหยางมู่หลินมองนาง ก็กล่าวแก้ตัวทันที “เจ็ดปีก่อนข้าได้ออกจากการเป็นทาส มีฐานะเป็นบุคคลธรรมดา สิ่งนี้ย่อมไม่ใช่ของข้า!”

“เจ็ดปีก่อน ท่านแม่เมตตากรุณาให้เจ้าออกจากการเป็นทาสนั้นมิผิด แต่สามปีก่อนเพื่อที่จะไม่ถูกฮูหยินใหญ่ขับไล่ออกจากตระกูลซั่งกวน ไม่ใช่เขียนสัญญาขายตัวอีกครั้งหรอกหรือ?” รอยยิ้มของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เมื่อตกอยู่ในสายตาเซียงหลิงกลับคล้ายดั่งรอยยิ้มของปีศาจ

“สามปีก่อน…” เซียงหลิงนึกถึงครั้งแรกและเป็นครั้งเดียวตั้งแต่อยู่ในตระกูลซั่งกวนที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถูกฮูหยินใหญ่ไล่ต้อนอย่างจนใจ หรือยามนั้นนางก็วางแผนกับตัวเองแล้ว?

“เซียงหลิงนึกออกแล้วหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มเล็กน้อย กางกระดาษในมือเบาๆ “ยามที่ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่เอาแต่บอกข้าว่ากันไว้ดีกว่าแก้เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก กล่าวว่าเป็นมนุษย์ต้องเดินหนึ่งก้าว พิจารณาอีกสิบก้าว ไม่อาจจะสนใจแต่เบื้องหน้า ข้าคิดว่า ข้าไม่ได้เพิกเฉยต่อคำสั่งสอนของท่านแม่!”

“เจ้าไม่ใช่เผาไปแล้วหรือ?” เซียงหลิงจำได้อย่างชัดเจน สัญญาขายตัวฉบับนั้นถัดมาอีกวันก็ถูกเยี่ยนมี่เอ๋อร์เผาเป็นเถ้าถ่านต่อหน้าทุกคน เวลานั้นนางตั้งใจมองเป็นอย่างมาก มั่นใจว่าเป็นสัญญาของตัวเองไม่ผิดแน่!

“เซียงหลิง เจ้าว่าหากข้าทำลายสัญญาขายตัวอย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ เหตุใดไม่มอบให้เจ้าจัดการเอง แต่กลับนำมันไปเผาไฟเล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่นศีรษะ กล่าวอย่างเจ็บใจที่คนของตัวเองไม่เป็นดั่งที่หวัง “เจ้าสะเพร่าถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?”

“ก็หมายความว่าเจ้าสงสัยนางตั้งนานแล้ว?” ยามนี้หยางมู่หลินรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองทำกลับไปกลับมาเป็นเพียงการแสดงละครลิงเท่านั้น ของที่ตัวเองใช้เป็นหลักฐานอยู่ในมือนาง เซียงหลิง คนที่ตัวเองใช้เป็นพยานก็ถูกคนสงสัยตั้งนานแล้ว ช่าง…

“ข้ากลับไม่ชัดเจนว่าเจ้าและท่านแม่มีความแค้นและเรื่องในอดีตอันใด ไหนเลยจะมีความแคลงใจ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่นศีรษะ กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เพียงแต่ท่านแม่รู้ว่านางมีเจตนาแอบแฝง เตือนให้ข้าระมัดระวังเท่านั้น!”

เซียงหลิงเผยใบหน้าซีดเผือด ที่แท้ตัวเองก็ถูกคนสงสัยตั้งนานแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ตัวเองเห็นทั้งหมดล้วนอาจจะเป็นของปลอม ทั้งแผนที่วางไว้สิบปียี่สิบปีของหยางมู่หลินกลับต้องกลายเป็นเรื่องตลกร้ายหรือกระทั่งหายนะเพราะตัวเอง?

“ท่านโหวถึงเวลาที่ต้องไปแล้วหรือเปล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่งแขกอย่างเรียบนิ่ง หยางมู่หลินไม่รั้งกายอยู่อีก พยุงหยางรุ่ยหนานที่เดินกะโผลกกะเผลกออกไป ด้านเซียงหลิงทำได้เพียงต้องรั้งตัวอยู่ เห็นสีหน้าที่เรียบเย็นของผู้คน นางก็คุกเข่าเสียงดังลงเบื้องหน้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ กล่าววิงวอน “คุณหนู เห็นแก่ข้าที่รับใช้คุณหนูฉิงมาชั่วชีวิต ทั้งเห็นแก่ข้าที่เห็นท่านมาแต่เล็กแต่น้อย ท่านไว้ชีวิตข้าเถิด!”

“เซียงหลิง ข้าเคยให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่งแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองนางอย่างเยือกเย็น “ท่านแม่รู้ว่าเจ้ามีการติดต่อกับเขาตั้งนานแล้ว แต่กลับยังเห็นเจ้าเป็นเหมือนพี่เหมือนน้อง ทั้งยามที่ตัวเองเริ่มจะไม่ไหว ก็ปล่อยเจ้าให้เป็นอิสระ หวังว่าเจ้าจะสามารถกลับตัวเพราะเหตุนี้ได้ แต่เจ้าก็ไม่ทำ ครั้งนั้นยามที่คนชุดดำจับเจ้าและแม่นมฉินเป็นตัวประกัน เพื่อความปลอดภัยของพวกเจ้า ข้าจึงไม่สนใจกระทั่งชีวิตของตัวเอง เพราะหวังให้เจ้าสามารถกลับตัวกลับใจ แต่เจ้าก็ยังเป็นเหมือนเดิม เจ้าร่วมมือกับเหยาเซียวโหวพูดคำพวกนั้น ทำลายชื่อเสียงของท่านแม่ให้เสื่อมเสีย ทำลายความบริสุทธิ์ของข้า ยิ่งคิดจะทำให้ข้าแบกรับชื่อที่ฉาวโฉ่ไปตลอดชีวิต ยามที่เจ้าทำเรื่องพวกนี้ พูดคำเหล่านี้เคยนึกถึงคำว่าความผูกพันบ้างหรือไม่? ยามนี้พูดอะไรล้วนสายไปแล้ว ข้าไม่อาจอภัยให้เจ้า เพื่อแม่ของข้า เพื่อน้องชายที่ยังไม่ทันได้เติบโตผู้นั้น ทั้งเพื่อตัวข้าเองล้วนไม่อาจอภัยให้เจ้าได้!”

“มี่เอ๋อร์ บ่าวนิสัยเสียเช่นนี้ไม่อาจปล่อยไปได้จริงๆ แต่ว่า…เจ้าในยามนี้ไม่อาจจะแตะต้องเรื่องคาวเลือดได้ ให้เจวี๋ยเอ๋อร์จัดการนางแทนเถิด!” ซั่งกวนฮ่าวกล่าวด้วยรอยยิ้มเรียบนิ่ง “อย่างไรเจ้าไปพูดคุยเป็นเพื่อนายท่านเยี่ยนเถิด ให้หมิงเอ๋อร์ได้พบตาของเขาเสียหน่อย”

“เข้าใจแล้วท่านพ่อ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าเซียงหลิงตกอยู่ในมือพวกเขาย่อมจะต้องอเนจอนาถยิ่งกว่าเดิม ย่อมไม่คัดค้านอันใด พยักหน้า จากนั้นก็พยุงนายท่านเยี่ยนอย่างระมัดระวัง กล่าวลาต่อทุกคน ก่อนจะค่อยๆ ออกไปจากห้องโถง

“เจวี๋ยเอ๋อร์ จัดการบ่าวนิสัยเสียผู้นี้เสร็จแล้ว ก็สั่งการด้วยตัวเอง จำต้องให้หยางมู่หลินพ่อลูกได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า การคิดจะใช้ประโยชน์ตระกูลซั่งกวนนั้นมีจุดจบอย่างไร!” ท่านบรรพชนในยามนี้พึงพอใจเยี่ยนมี่เอ๋อร์จนถึงขั้นไม่อาจพึงพอใจได้อีกแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็เป็นเพียงบททดสอบสำหรับซั่งกวนเจวี๋ยแล้ว

“ท่านบรรพชนวางใจ เจวี๋ยเอ๋อร์ย่อมทำเรื่องนี้ออกมาเป็นอย่างดี!” ซั่งกวนเจวี๋ยรับภารกิจเรื่องนี้อย่างเบิกบานใจ เขาย่อมต้องทำคะแนนเต็มออกมาให้เห็นเป็นแน่

———————————–

[1] ขโมยไก่ไม่ได้ ยังเสียข้าวสารอีกกำมือ อุปมาว่า เดิมทีคิดจะเอารัดเอาเปรียบ แต่กลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบแทน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 296 ชดใช้และจัดการ

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 296 ชดใช้และจัดการ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่ว่าพ่อลูกหยางมู่หลินจะเต็มใจหรือไม่ พวกเขาก็ยังคงต้องลงนามในจดหมายเลือดท่ามกลางสายตาของทุกคนในตระกูลซั่งกวน…ตามคำขอของนายท่านเยี่ยน เขียนถึงลำดับเหตุการณ์คร่าวๆ ที่พวกเขาข่มขู่บังคับนายท่านเยี่ยน ทั้งอธิบายถึงเหตุผลการชดใช้ ทั้งแยกตระกูลซั่งกวนออกมาและจำนวนเงินที่ชดใช้ก็มากเพียงพอ ห้าแสนตำลึงเต็มๆ สำหรับหยางมู่หลิงไม่นับว่ามากมาย แต่ก็ถือว่าถูกลอกหนังออกไปชั้นหนึ่งเช่นกัน หนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงก่อนหน้านี้คิดจะเก็บคืน จึงไม่ปวดใจแม้แต่น้อย ยามนี้กลับปวดใจเจียนตาย…เงินพวกนี้ล้วนเป็นเงินที่เขาเก็บสะสมมาอย่างยากลำบาก เผื่อภายหลังมีวันหนึ่งที่ตัวเองหรือลูกชายสามารถขึ้นเป็นใหญ่ในบัลลังก์ได้ เงินทุกตำลึงล้วนมีค่า แต่ว่า…พวกเขาก็จำต้องยอมรับ ใครใช้ให้พวกเขาฆ่าคนเล่า?

ค้นตัวสองพ่อลูกหยางมู่หลินมีตั๋วเงินติดกายอยู่ประมาณหนึ่งแสนห้าหนึ่งแสนหกตำลึง จึงมอบให้นายท่านเยี่ยนหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงในขณะนั้น ส่วนที่เหลือให้สองพ่อลูกกรีดนิ้วใช้เลือดเขียนหนังสือรับรองหนี้สิน ประทับรอยนิ้วมือก่อนจะมอบให้นายท่านเยี่ยนเก็บไว้

“ยามนี้ เรื่องนี้เป็นอันเสร็จสิ้นชั่วคราว!” ท่านบรรพชนพยักหน้าอย่างพอใจ “เงินสามแสนห้าหมื่นตำลึงที่เหลือ หวังว่าหลังจากท่านโหวกลับไปเมืองอวิ้นแล้ว จะเตรียมเงินให้พร้อมในเวลาครึ่งเดือน ข้าจะส่งคนไปรับที่จวน!”

“พวกเราไปได้หรือยัง?” หยางมู่หลินย้อนถามด้วยใบหน้าดำคล้ำ ยามนี้นอกจากเขาขโมยไก่ไม่ได้ ยังเสียข้าวสารอีกกำมือ[1] ไหนเลยจะมีใจมาพูดอะไร ตอนนี้เขาคิดเพียงอยากออกจากเรือนพำนักอวี้ฉิงให้เร็วๆ เท่านั้น

“ท่านโหวและท่านโหวน้อยเดินทางระวังด้วย ข้าไม่ส่งแล้ว!” ท่านบรรพชนไม่ใส่ใจสีหน้าดำคล้ำของหยางมู่หลินแม้แต่น้อย กลับเปลี่ยนอีกประเด็นทันที กล่าวเรียบนิ่ง “เพียงแต่ข้าอยากให้ท่านโหวและท่านโหวน้อยกลับเมืองอวิ้นให้เร็วๆ หน่อยจะดีที่สุด หากเดินทางจากลี่โจวไปเมืองอวิ้น อย่างช้าก็ใช้เวลาประมาณยี่สิบวัน หากเร็วหน่อย สิบสี่สิบห้าวันก็ถึงแล้ว ตระกูลซั่งกวนจะให้เวลาท่านโหวสามวัน หลังจากสามวัน ท่านโหวจะต้องระมัดระวังให้ดี!”

“หมายความว่าอย่างไร?” หยางมู่หลินใจสั่นไหว ยังไม่ทันได้พูดอะไร หยางรุ่ยหนานก็ถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวขึ้นมา แม้เขาจะรู้ว่าไม่อาจจะดูถูกตระกูลใหญ่ได้ แต่อย่างไรยังมีสายตาและความคิดของคนที่สูงกว่าคนอื่นหนึ่งขั้น แต่ไหนแต่ไรก็คิดว่าราชวงศ์นั้นอยู่สูงค้ำฟ้า หรือตระกูลซั่งกวนไม่พอใจ ยังคิดจะทำอะไรอย่างนั้นหรือ?

“ตระกูลซั่งกวนไม่ใช่ใครที่ไหนก็สามารถวางแผนตามใจได้ หนังสือเลือดและเงินเป็นเพียงการชดใช้ให้นายท่านเยี่ยนเท่านั้น ข้าไม่ได้พูดว่าจะให้อภัยการกระทำของพวกเจ้าเพราะเรื่องแค่นี้!” ท่านบรรพชนใช้แววตาที่ราวกับมองคนตายมองหยางรุ่ยหนานดังนั้นเขาจึงไม่สนใจกับน้ำเสียงไม่มีมารยาทของหยางรุ่ยหนานแม้แต่น้อย ไม่มีความจำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยกับคนที่กำลังจะตายมากมาย

“มีอะไรจะชี้แนะได้โปรดพูดออกมาตรงๆ!” หยางมู่หลินไม่ใช่หยางรุ่ยหนาน เขาย่อมฟังออกถึงการข่มขู่ของท่านบรรพชน ยามนี้เขาเสียใจในการกระทำของตัวเองมาก หากคิดรอบคอบกว่านี้หน่อยก็คงจะดี

“เริ่มนับตั้งแต่พวกเจ้าออกจากเรือนพำนักอวี้ฉิง ภายในเวลาสามวันตระกูลซั่งกวนย่อมไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แต่หลังจากสามวัน ตระกูลซั่งกวนจะส่งหน่วยพลีชีพไล่ตามสังหารไปตลอดทาง จวบจนพวกเจ้ากลับถึงเมืองอวิ้นหรือไม่ก็พวกเจ้าทั้งสองคนตาย ไม่ว่าพวกเจ้าจะตายหรือรอดชีวิตกลับเมืองอวิ้น เรื่องนี้ก็นับว่าเป็นอันคลี่คลาย ภายหลังพบหน้ากันย่อมไม่พูดถึงความแค้นอันใดอีก” คำพูดของท่านบรรพชนทำให้หยางมู่หลินเหน็บหนาวไปทั้งสรรพางค์กาย พวกเขาจะสามารถรอดจากการตามล่าของตระกูลซั่งกวน กลับเมืองอวิ้นได้อย่างปลอดภัยอย่างนั้นหรือ?

“ท่านบรรพชน เรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการเถิด!” น้ำเสียงผู้อาวุโสเถาดังขึ้นราวกับฟ้าผ่า เขามองสองพ่อลูกผู้นี้ราวกับมองซากศพ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้ยืดเส้นยืดสายมาหลายปี รู้สึกราวกับสนิมจะขึ้นแล้ว”

“เรื่องนี้ไม่จำเป็นให้เจ้าต้องสอดมือยุ่ง” ท่านบรรพชนกล่าวด่าขำๆ “ยังมีเด็กอีกมากมายที่ไม่มีโอกาสได้ฝึกฝนดีๆ ก็ให้พวกเขาฝึกปรือฝีมือหน่อยเถิด คนจะได้ไม่คิดว่าตระกูลซั่งกวนรุ่นนี้สู้รุ่นเก่าๆ ไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ล้วนปั่นหัว มาหลอกลวงถึงหน้าประตูได้”

ก็หมายความว่าเขาต้องการเลือดของพวกเขาพ่อลูกมาสร้างความเกรงขาม! จู่ๆ หยางมู่หลินก็นึกถึงชื่อเสียงด้านความเกรงขามของตระกูลซั่งกวน แต่ไหนแต่ไรชื่อเสียงของตระกูลซั่งกวนล้วนใช้เลือดเนื้อหลอมรวมขึ้นมาและคาดไม่ถึงว่าตัวเองถูกภูตผีอะไรมาดลใจ ให้คิดวางแผนกับตระกูลที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เขาไม่ได้มากความอันใดอีก ดึงหยางรุ่ยหนานที่คิดจะพูดอะไรอีกออกไป เซียงหลิงตามไปข้างกายเขาติดๆ ทันที นางรู้ดี หากตัวเองรั้งอยู่ต่อ ย่อมต้องตายกระทั่งกระดูกก็ยังไม่เหลือ

“ช้าก่อน!” เสียงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้ทั้งสามคนชะงักฝีเท้า ทั้งทำให้คนทั้งหมดมองมาที่นาง หรือนางยังไม่พอใจการลงโทษของท่านบรรพชนอีก?

“สะใภ้ใหญ่มีอะไรจะกำชับ?” หยางมู่หลินมองใบหน้าที่คล้ายกับจงเสวี่ยฉิงในความทรงจำอย่างเรียบเย็น ทว่ากลับดูไม่เหมือนกัน ยามที่จงเสวี่ยฉิงออกจากเซิ่งจิงในปีนั้นยังเป็นเพียงเด็กสาวหน้าตาพริ้มเพราคนหนึ่ง เดิมทีก็ไม่ได้เป็นสาวเต็มไว ทั้งไม่ได้งามล่มเมืองอะไรขนาดนั้น

“ไม่กล้ากำชับอันใดหรอก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มอย่างเบิกบาน แต่แววตากลับไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อย “ท่านโหวและท่านโหวน้อยจากไปย่อมเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่ว่าเซียงหลิงจำเป็นต้องรั้งตัวไว้”

“ท่านอ๋อง…” เซียงหลิงร้องอย่างวิงวอน นางรั้งอยู่ต่อก็เหลือเพียงทางตายเท่านั้น กระทั่งตัวเลือกยังไม่มี นางไม่อาจอยู่ต่อได้

“นางเป็นคนของจวนเซียวเหยาโหว พวกเจ้าไม่ใช่ยืนยันแล้วหรอกหรือ?” หยางมู่หลินกลับไม่อยากพาเซียงหลิงไป นางไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว แต่ก็ไม่อาจทิ้งนางไว้ที่ตระกูลซั่งกวนเช่นนี้ได้ เขาสามารถพานางออกไปทิ้งข้างนอก หรืออาจจะพานางไปฆ่าปิดปาก แต่ย่อมไม่อาจมอบนางให้ตระกูลซั่งกวน

“นางเป็นคนจวนเซียวเหยาโหวของเจ้า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แสร้งกล่าวอย่างตกใจ “ข้ายังคิดว่านางเป็นเพียงบ่าวที่ขายเจ้านายเพราะอยากได้ผลประโยชน์เสียอีก ไม่ทราบว่าท่านโหวมีหลักฐานอะไรที่สามารถพิสูจน์ได้หรือไม่?”

“คำพูดของข้าก็คือหลักฐาน!” หยางมู่หลินไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวปัญหานี้อยู่นานนัก ยามนี้เขาแทบอยากจะติดปีกบินกลับไปที่เมืองอวิ้นแล้ว

“แต่ข้ามีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่านางเป็นบ่าวใช้ของครอบครัวข้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ควักกระเป๋าที่ปักลายดอกไม้ใบไม่ใหญ่มากออกมา ค่อยๆ หยิบเอากำไลข้อมือหยกแดง สวมไว้ที่มือ ต่างหูหยกเลี่ยมทองคู่หนึ่ง ส่งให้ซั่งกวนเจวี๋ยถือไว้ ปิ่นหงส์ทอง ปักไว้ที่ผมของตัวเอง…นอกจากนายท่านเยี่ยนแล้ว คนอื่นๆ ล้วนนิ่งอึ้ง นี่เหมือนกับเครื่องประดับที่หยางมู่หลินใช้เป็นหลักฐานชุดนั้นอย่างไม่ผิดเพี้ยน ที่แท้เครื่องประดับชุดนั้นเป็นของปลอมจริงๆ ของแท้นั้นอยู่ในมือของมี่เอ๋อร์!ง

หยางมู่หลินถมึงตามองเซียงหลิง นางไม่ได้กล่าวอย่างน่าเชื่อถือหรือว่าเครื่องประดับชุดนั้นหายไป แต่ย่อมไม่อาจอยู่ในมือเยี่ยนมี่เอ๋อร์แน่?

“ท่านโหวเชิญดูสิ่งนี้!” สิ่งที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยากให้พวกเขาดูไม่ใช่เครื่องประดับพวกนั้น ยามที่หยางมู่หลินเอาเครื่องประดับออกมา นางก็รู้แล้วว่านายท่านเยี่ยนมีแผนการอยู่ในใจ เครื่องประดับชุดนี้ก่อนที่ตัวเองแต่งงาน นายท่านเยี่ยนได้มอบให้ตัวเองกับมือของเขา เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร

“นั่นคืออะไร?” หยางมู่หลินในยามนี้เกลียดชังเซียงหลิง ผู้หญิงที่มือไม่พายเอาแต่เท้าราน้ำผู้นี้มาก นางอยู่ข้างกายแม่ลูกจงเสวี่ยฉิงมายี่สิบกว่าปี มัวแต่ทำอะไรอยู่!

“สัญญาขายตัวของเซียงหลิง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์โบกกระดาษในมือ “เป็นนางที่เขียนสัญญาขายตัวด้วยตนเอง บนนั้นยังมีรอยประทับนิ้วมือของนาง พิสูจน์ว่านางเป็นบ่าวของครอบครัวข้า ดังนั้นนางไม่อาจตามเจ้าออกไปได้!”

“ข้าเปล่านะเจ้าคะ!” เซียงหลิงเห็นหยางมู่หลินมองนาง ก็กล่าวแก้ตัวทันที “เจ็ดปีก่อนข้าได้ออกจากการเป็นทาส มีฐานะเป็นบุคคลธรรมดา สิ่งนี้ย่อมไม่ใช่ของข้า!”

“เจ็ดปีก่อน ท่านแม่เมตตากรุณาให้เจ้าออกจากการเป็นทาสนั้นมิผิด แต่สามปีก่อนเพื่อที่จะไม่ถูกฮูหยินใหญ่ขับไล่ออกจากตระกูลซั่งกวน ไม่ใช่เขียนสัญญาขายตัวอีกครั้งหรอกหรือ?” รอยยิ้มของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เมื่อตกอยู่ในสายตาเซียงหลิงกลับคล้ายดั่งรอยยิ้มของปีศาจ

“สามปีก่อน…” เซียงหลิงนึกถึงครั้งแรกและเป็นครั้งเดียวตั้งแต่อยู่ในตระกูลซั่งกวนที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถูกฮูหยินใหญ่ไล่ต้อนอย่างจนใจ หรือยามนั้นนางก็วางแผนกับตัวเองแล้ว?

“เซียงหลิงนึกออกแล้วหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มเล็กน้อย กางกระดาษในมือเบาๆ “ยามที่ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่เอาแต่บอกข้าว่ากันไว้ดีกว่าแก้เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก กล่าวว่าเป็นมนุษย์ต้องเดินหนึ่งก้าว พิจารณาอีกสิบก้าว ไม่อาจจะสนใจแต่เบื้องหน้า ข้าคิดว่า ข้าไม่ได้เพิกเฉยต่อคำสั่งสอนของท่านแม่!”

“เจ้าไม่ใช่เผาไปแล้วหรือ?” เซียงหลิงจำได้อย่างชัดเจน สัญญาขายตัวฉบับนั้นถัดมาอีกวันก็ถูกเยี่ยนมี่เอ๋อร์เผาเป็นเถ้าถ่านต่อหน้าทุกคน เวลานั้นนางตั้งใจมองเป็นอย่างมาก มั่นใจว่าเป็นสัญญาของตัวเองไม่ผิดแน่!

“เซียงหลิง เจ้าว่าหากข้าทำลายสัญญาขายตัวอย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ เหตุใดไม่มอบให้เจ้าจัดการเอง แต่กลับนำมันไปเผาไฟเล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่นศีรษะ กล่าวอย่างเจ็บใจที่คนของตัวเองไม่เป็นดั่งที่หวัง “เจ้าสะเพร่าถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?”

“ก็หมายความว่าเจ้าสงสัยนางตั้งนานแล้ว?” ยามนี้หยางมู่หลินรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองทำกลับไปกลับมาเป็นเพียงการแสดงละครลิงเท่านั้น ของที่ตัวเองใช้เป็นหลักฐานอยู่ในมือนาง เซียงหลิง คนที่ตัวเองใช้เป็นพยานก็ถูกคนสงสัยตั้งนานแล้ว ช่าง…

“ข้ากลับไม่ชัดเจนว่าเจ้าและท่านแม่มีความแค้นและเรื่องในอดีตอันใด ไหนเลยจะมีความแคลงใจ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่นศีรษะ กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เพียงแต่ท่านแม่รู้ว่านางมีเจตนาแอบแฝง เตือนให้ข้าระมัดระวังเท่านั้น!”

เซียงหลิงเผยใบหน้าซีดเผือด ที่แท้ตัวเองก็ถูกคนสงสัยตั้งนานแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ตัวเองเห็นทั้งหมดล้วนอาจจะเป็นของปลอม ทั้งแผนที่วางไว้สิบปียี่สิบปีของหยางมู่หลินกลับต้องกลายเป็นเรื่องตลกร้ายหรือกระทั่งหายนะเพราะตัวเอง?

“ท่านโหวถึงเวลาที่ต้องไปแล้วหรือเปล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่งแขกอย่างเรียบนิ่ง หยางมู่หลินไม่รั้งกายอยู่อีก พยุงหยางรุ่ยหนานที่เดินกะโผลกกะเผลกออกไป ด้านเซียงหลิงทำได้เพียงต้องรั้งตัวอยู่ เห็นสีหน้าที่เรียบเย็นของผู้คน นางก็คุกเข่าเสียงดังลงเบื้องหน้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ กล่าววิงวอน “คุณหนู เห็นแก่ข้าที่รับใช้คุณหนูฉิงมาชั่วชีวิต ทั้งเห็นแก่ข้าที่เห็นท่านมาแต่เล็กแต่น้อย ท่านไว้ชีวิตข้าเถิด!”

“เซียงหลิง ข้าเคยให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่งแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองนางอย่างเยือกเย็น “ท่านแม่รู้ว่าเจ้ามีการติดต่อกับเขาตั้งนานแล้ว แต่กลับยังเห็นเจ้าเป็นเหมือนพี่เหมือนน้อง ทั้งยามที่ตัวเองเริ่มจะไม่ไหว ก็ปล่อยเจ้าให้เป็นอิสระ หวังว่าเจ้าจะสามารถกลับตัวเพราะเหตุนี้ได้ แต่เจ้าก็ไม่ทำ ครั้งนั้นยามที่คนชุดดำจับเจ้าและแม่นมฉินเป็นตัวประกัน เพื่อความปลอดภัยของพวกเจ้า ข้าจึงไม่สนใจกระทั่งชีวิตของตัวเอง เพราะหวังให้เจ้าสามารถกลับตัวกลับใจ แต่เจ้าก็ยังเป็นเหมือนเดิม เจ้าร่วมมือกับเหยาเซียวโหวพูดคำพวกนั้น ทำลายชื่อเสียงของท่านแม่ให้เสื่อมเสีย ทำลายความบริสุทธิ์ของข้า ยิ่งคิดจะทำให้ข้าแบกรับชื่อที่ฉาวโฉ่ไปตลอดชีวิต ยามที่เจ้าทำเรื่องพวกนี้ พูดคำเหล่านี้เคยนึกถึงคำว่าความผูกพันบ้างหรือไม่? ยามนี้พูดอะไรล้วนสายไปแล้ว ข้าไม่อาจอภัยให้เจ้า เพื่อแม่ของข้า เพื่อน้องชายที่ยังไม่ทันได้เติบโตผู้นั้น ทั้งเพื่อตัวข้าเองล้วนไม่อาจอภัยให้เจ้าได้!”

“มี่เอ๋อร์ บ่าวนิสัยเสียเช่นนี้ไม่อาจปล่อยไปได้จริงๆ แต่ว่า…เจ้าในยามนี้ไม่อาจจะแตะต้องเรื่องคาวเลือดได้ ให้เจวี๋ยเอ๋อร์จัดการนางแทนเถิด!” ซั่งกวนฮ่าวกล่าวด้วยรอยยิ้มเรียบนิ่ง “อย่างไรเจ้าไปพูดคุยเป็นเพื่อนายท่านเยี่ยนเถิด ให้หมิงเอ๋อร์ได้พบตาของเขาเสียหน่อย”

“เข้าใจแล้วท่านพ่อ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าเซียงหลิงตกอยู่ในมือพวกเขาย่อมจะต้องอเนจอนาถยิ่งกว่าเดิม ย่อมไม่คัดค้านอันใด พยักหน้า จากนั้นก็พยุงนายท่านเยี่ยนอย่างระมัดระวัง กล่าวลาต่อทุกคน ก่อนจะค่อยๆ ออกไปจากห้องโถง

“เจวี๋ยเอ๋อร์ จัดการบ่าวนิสัยเสียผู้นี้เสร็จแล้ว ก็สั่งการด้วยตัวเอง จำต้องให้หยางมู่หลินพ่อลูกได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า การคิดจะใช้ประโยชน์ตระกูลซั่งกวนนั้นมีจุดจบอย่างไร!” ท่านบรรพชนในยามนี้พึงพอใจเยี่ยนมี่เอ๋อร์จนถึงขั้นไม่อาจพึงพอใจได้อีกแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็เป็นเพียงบททดสอบสำหรับซั่งกวนเจวี๋ยแล้ว

“ท่านบรรพชนวางใจ เจวี๋ยเอ๋อร์ย่อมทำเรื่องนี้ออกมาเป็นอย่างดี!” ซั่งกวนเจวี๋ยรับภารกิจเรื่องนี้อย่างเบิกบานใจ เขาย่อมต้องทำคะแนนเต็มออกมาให้เห็นเป็นแน่

———————————–

[1] ขโมยไก่ไม่ได้ ยังเสียข้าวสารอีกกำมือ อุปมาว่า เดิมทีคิดจะเอารัดเอาเปรียบ แต่กลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบแทน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+