เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 276 จัดการลงโทษ

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 276 จัดการลงโทษ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เทียบกับเฉินเยียนอวี่ที่น้ำตานองหน้า เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ฝืนกลั้นน้ำตาทั้งเผยรอยยิ้มออกมากลับทำให้คนรู้สึกถึงความแตกต่างยิ่งกว่า มู่หรงปั๋วเย่ที่เดิมทีคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูบอบบาง ทั้งสามารถร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเฉินเยียนอวี่อดชะงักไปไม่ได้…ที่แท้ไม่ใช่ว่าหญิงสาวที่ดูอ่อนแอบอบบางทั้งหมดจะชอบร้องไห้! จู่ๆ เขาก็เข้าใจขึ้นมาว่าเหตุใดเมื่อท่านพ่อเห็นเฉินเยียนอวี่มักจะอดขมวดคิ้วไม่ได้ ตำหนิว่านางไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้ เทียบกันแล้วช่าง…

“ข้าไหนเลยจะกล้ากล่าวถึงสะใภ้ใหญ่ซั่งกวน” เฉินเยียนอวี่มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเกรงกลัว “ข้าเพียงอยากขอให้สะใภ้ใหญ่ซั่งกวนเมตตาน้องอวี้เอ๋อร์ ให้ข้าได้รับผิดชอบความผิดทั้งหมด…”

“เมตตาหรือไม่เมตตาไม่ใช่สิ่งที่ข้าตัดสินใจได้ ทั้งไม่ใช่สิ่งที่อนุภรรยาเฉินจะรับผิดชอบได้ อนุภรรยาเฉินไม่มีความจำเป็นต้องดึงภาระมาให้ตัวเอง ทั้งไม่มีความจำเป็นต้องผลักอำนาจการลงโทษมาให้ข้า! ที่นี่มีผู้อาวุโส จะลงโทษอย่างไรเรื่องนี้ผู้อาวุโสย่อมมีคำตอบอยู่แล้ว ไฉนอนุภรรยาเฉินไม่เก็บน้ำตาของเจ้าเสีย ฟังคำลงโทษของผู้อาวุโสอย่างเงียบๆ ดีกว่า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มเล็กน้อย “อยากจะแนะนำอนุภรรยาเฉินสักหนึ่งประโยค น้ำตาเมื่อมีมากไป นอกจากทำให้คนรำคาญใจ ก็ไม่ได้มีประโยชน์อย่างอื่นแล้ว!”

หยางหานหยวนพยายามขบริมฝีปากของตัวเองจึงค่อยอดกลั้นไม่ให้ยิ้มออกมา…คำพูดนี้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ช่างกล่าวได้…นอกจากน้ำตาที่ไหลออกมากลบเกลื่อนความผิดแล้ว นางยังมีท่าไม้ตายอะไรอีก? ที่น่าเสียดายคือ…นางเหลือบมู่หรงปั๋วเย่ไปทีโดยที่ไม่มีใครทันสังเกต เขาคล้ายกับถูกน้ำตาของเฉินเยียนอวี่ทำให้ใจอ่อนและสับสนอยู่ทุกครั้ง

“ข้าไม่ได้ตั้งใจ…” เฉินเยียนอวี่ไม่อาจอดกลั้นน้ำตาไว้ได้ รวมกับใบหน้าที่เศร้าโศกเสียใจ ทำให้คนที่ไม่รู้เรื่องราวยังจะคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปรังแกอะไรนางเสียอีก

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นอกเห็นใจที่นางอยู่ในสถานการณ์ลำบาก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่านี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ล้วนเป็นความผิดของซั่งกวนเจวี๋ย เขาไม่ควรตรวจสอบเรื่องราวของคุณหนูเฉินให้ออกมาชัดเจนขนาดนี้ ทำให้เจ้าไร้ทางที่จะพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ทั้งไร้ข้อโต้แย้งได้ นอกจากใช้การร้องไห้มาหลีกเลี่ยงการซักถามแล้ว ก็ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว! ไม่เป็นไร เจ้าร้องไห้ไปเถิด ร้องให้พอแล้วค่อยพูด! ท่านลุงมู่หรงและพี่ใหญ่มู่หรงล้วนเป็นผู้สูงส่งองอาจ คงไม่ซักไซ้ไล่ต้อนยามที่เจ้าร้องไห้หรอก!”

เอ่อ…คนทั้งหมด รวมถึงซั่งกวนเจี๋ยล้วนแต่ตกตะลึงเพราะคำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ มีคำพูดเช่นนี้ด้วยหรือ? เฉินเยียนอวี่ยิ่งแล้วใหญ่ อ้ำอึ้งจนร้องไห้ไม่ออก มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างตะลึงงัน

หยางหานหยวนรู้สึกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาเพื่อทดสอบความอดทนของตัวเองโดยเฉพาะ นางพยายามจิกขาตัวเองสุดชีวิต ให้ความเจ็บที่ขามาคอยยับยั้งความอยากหัวเราะของตัวเอง แต่ว่า…นางมองใบหน้าของเฉินเยียนอวี่ที่จู่ๆ ก็คล้ายมีน้ำแข็งปกคลุมขึ้นมาชั่วพริบตา กลับยังคงอดรอยยิ้มไว้ไม่ได้

“อนุภรรยาเฉินไม่ร้องแล้วหรือ? พวกเราไม่รีบ รอได้อยู่แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยใบหน้าไร้เดียงสาและไม่เข้าใจมองเฉินเยียนอวี่ที่จู่ๆ ก็หยุดร้องไห้ไป กล่าวทั้งแสดงสีหน้านับถือ “อนุภรรยาเฉินช่างมีความสามารถจริงๆ น้ำตานี้สั่งให้ไหลก็ไหล สั่งให้หยุดก็หยุดได้ทันที ฝีมือชั้นยอดเช่นนี้ยากที่จะได้พบจริงๆ!”

“แค่กๆ…” ในที่สุดหยางหานหยวนก็อดไม่ไหว นางรู้ว่าหากตัวเองหัวเราะขึ้นมาจะน่าเกลียดขนาดไหน ทำได้เพียงแสร้งไอออกมากลบเกลื่อนเท่านั้น ด้านฮูหยินมู่หรงและหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็แลกเปลี่ยนสายตาอย่างรู้กันดี

แน่นอนว่า ไม่ใช่คนทั้งหมดที่รู้สึกตลกขบขัน เฉินเยียนอวี่ในยามนี้อยากจะถลาไปบีบคอเยี่ยนมี่เอ๋อร์ให้ตายเป็นอย่างยิ่ง ด้านมู่หรงปั๋วเย่ยิ่งปรารถนาที่จะหาสักรูหนึ่งมุดเข้าไป จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเฉินเยียนอวี่มักจะร้องไห้อย่างเศร้าโศกเสียใจ ทุกครั้งไม่ว่าจะพบกับเรื่องอะไร ท้ายที่สุดก็จะใช้น้ำตาของนางจบปัญหาทั้งหมด เขาในยามนี้ไม่ได้คล้อยตามเฉินเยียนอวี่เหมือนเมื่อก่อนขนาดนั้นแล้ว ทั้งนับวันก็ยิ่งอยู่กับนางน้อยลง ก็เพราะว่าไม่อยากเห็นท่าทีน้ำตานองหน้าเช่นนี้ของนางหรอกหรือ?

“ร้องสิ? ไฉนจึงไม่ร้องแล้ว?” มู่หรงปั๋วเย่ในเวลานี้รู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกปั่นหัว บางทีอาจจะเหมือนที่โม่จิ้ง เด็กคนนั้นกล่าวไว้ตั้งแต่ต้น นอกจากร้องไห้สะอึกสะอื้นกล่าวว่าจะรับความผิดทั้งหมดแล้ว อย่างอื่นนางก็ไม่สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น เรื่องทั้งหมดเมื่อถึงท้ายที่สุดก็ยังคงเป็นคนอื่นที่เป็นผู้กระทำ

“คุณชายใหญ่…” ครั้งนี้เฉินเยียนอวี่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรจริงๆ หากไม่ร้องไห้ นางก็ไร้ทางที่จะหลีกหนีจากการซักไซ้ความจริง แต่หากร้องไห้ต่อไป เยี่ยนมี่เอ๋อร์ล้วนพูดถึงขนาดนั้นแล้ว การร้องไห้ของตัวเองก็เป็นเพียงเรื่องตลกฉากหนึ่งเท่านั้น แล้วนางควรจะทำอย่างไรดี?

“พี่ใหญ่มู่หรง นี่เจ้าก็ไม่ถูกแล้ว!” หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยละก็ ซั่งกวนเจวี๋ยคงจะดึงเยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้ามาจูบสักทีแล้ว นางช่างร้ายกาจจริงๆ!

มู่หรงปั๋วเย่มองซั่งกวนเจวี๋ย อยากฟังว่าเขามีคำแนะนำดีๆ อะไรอีก ในสายตาของเขา สองสามีภรรยาคู่นี้ล้วนเป็นพวกเดียวกัน ตั้งใจส่งมาเพื่อเหน็บแนมเขาโดยเฉพาะ

“มี่เอ๋อร์ล้วนพูดแล้วว่าไม่รีบ เจ้าจะรีบร้อนไปทำไมเล่า?” ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มตาหยี “ข้าว่ามิสู้เอาเช่นนี้ ข้าและท่านพ่อจะไปอาบน้ำสางผม จัดการคราบฝุ่นบนร่างและความอ่อนเพลียเสียหน่อย ส่วนพวกเจ้า ให้พวกบ่าวใช้ยกพวกผลไม้หลากไม้ของว่างเข้ามาเพิ่มหน่อย ดื่มชาไปพลาง รอไปพลาง อนุภรรยาเฉินร้องไห้พอแล้ว ค่อยๆ ซักไซ้ไล่เลี่ยก็ไม่สาย”

กินผลไม้ของว่าง จิบชาไปพลาง รอนางร้องไห้ไปพลาง ดูละครลิงก็ไม่ใช่ดูเช่นนี้หรอกหรือ! มู่หรงปั๋วเย่รู้เช่นกันว่าเขาคงไม่พูดอะไรดีๆ ออกมาหรอก แต่ก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแดกดันถึงขนาดนี้

“แค่กๆ…” มู่หรงฉวีกุยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างชื่นชมไปทีหนึ่ง ดูท่าทางเหมือนจะบอบบางแต่คาดไม่ถึงว่าจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ เพียงไม่กี่ประโยคก็ทำให้เฉินเยียนอวี่เก็บน้ำตาที่มักจะไหลออกมาตลอดเวลาได้ มิน่าเล่ายามที่ชิงหวั่นเอ่ยถึงนางจึงกล่าวว่านางร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่า พวกเขาก็ไม่ใช่ว่างไม่มีอะไรทำจนต้องเข้ามาดูละครลิงเสียหน่อย ถลึงตาใส่ซั่งกวนเจวี๋ยไปที ก่อนกล่าว “คุณหนูเฉินอวี้ ความหมายของเจ้าคืออนุภรรยาเฉินบงการเจ้าให้สวมรอยเป็นคุณหนูสุราโม่จิ้ง จากนั้นก็ใช้ตัวตนนี้เข้าใกล้ปั๋วอวี่ หาวิธีที่จะแต่งเข้าตระกูลมู่หรง กลายเป็นผู้ช่วยของนาง เช่นนั้นข้าอยากรู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงไม่ได้พบกับปั๋วอวี่อย่างบังเอิญ ตรงกันข้ามกลับเป็นฝ่ายไปหาเจวี๋ยเอ๋อร์เล่า?”

“พี่เยียนอวี่เคยบอกไว้ คุณหนูสุราไม่มีสีหน้าดีๆ ให้มู่หรงปั๋วอวี่มาโดยตลอด แต่กับซั่งกวนเจวี๋ย นางกลับมีใจชมชอบ หากเป็นฝ่ายไปหามู่หรงปั๋วอวี่ย่อมจะทำให้คนอื่นเกิดความสงสัย ยังมิสู้เข้าใกล้ซั่งกวนเจวี๋ย ให้มู่หรงปั๋วอวี่ที่ระแวดระวังคุณหนูสุราตลอดเวลาว่าจะปรากฏตัวขึ้นมารอบกายซั่งกวนเจวี๋ยหรือไม่เป็นฝ่ายมาหาข้า เข้าใกล้ข้าก่อน” เฉินอวี่ในยามนี้พูดหมดเปลือก แม้ว่าจะไม่สามารถเอาความดีลบล้างความผิดได้ ก็ไม่อาจลากครอบครัวให้มาเกี่ยวพันได้ “เรื่องนี้มีเพียงพี่เยียนอวี่และข้าที่รู้ คนอื่นๆ ล้วนถูกปิดบัง พี่เยียนอวี่ยังเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า กล่าวว่าคุณหนูสุราไม่สนิทสนมกับคนอื่น หากข้าสามารถแต่งเข้าตระกูลมู่หรงได้ ก็ไม่อาจจะคบค้าสมาคมกับผู้ใด มิเช่นนั้นจะความแตกเอาได้ นางยังกล่าวว่าภายหลังหากข้าคิดถึงบ้าน นางสามารถจัดการให้ข้าและครอบครัวของข้าพบกันได้…สรุปคือเรื่องราวทั้งหมดได้คิดเผื่อข้าไว้ดีแล้ว ข้ายังมีอะไรให้ต้องกังวล!”

“เช่นนั้นเหตุใดจู่ๆ เจ้าก็เปลี่ยนแปลงความคิดอย่างฉับพลัน ไม่ได้ทำตามแผนเดิม แต่กลับตัดสินใจจะแต่งให้เจวี๋ยเอ๋อร์แทนเล่า?” มู่หรงฉวีกุยมองใบหน้าที่ซีดเผือดทั้งไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ของเฉินเยียนอวี่อย่างเยือกเย็น “เป็นเพราะความทะเยอทะยานของเจ้าหรือเพราะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันอันใดเกิดขึ้นระหว่างทาง?”

“หลังจากข้าใกล้ชิดกับซั่งกวนเจวี๋ยจึงได้ทราบว่าคุณหนูสุรามีอีกฐานะหนึ่งที่กระทั่งพี่เยียนอวี่ก็ยังไม่รู้ คาดไม่ถึงว่านางจะเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของสหายเก่ารู้ใจของนายท่านซั่งกวน นายท่านซั่งกวนเอาใจใส่อย่างเกรงใจ ซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่ได้เย็นชาอย่างที่คาดคิดขนาดนั้น เวลานั้นข้าจึงคิดว่า แทนที่จะแต่งเข้าตระกูลมู่หรงถูกพี่เยียนอวี่ควบคุมทั้งชั่วชีวิต ยังมิสู้แต่งให้ตระกูลซั่งกวน” เฉินอวี้กล่าวด้วยความขมขื่น “แต่เวลานั้นก็มีเพียงความคิดเช่นนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ข้าตัดสินใจทรยศพี่เยียนอวี่จริงๆ คือ ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวว่าข้าคู่ควรที่จะได้รับตำแหน่งภรรยา ข้าจึงตัดสินใจอย่างไม่สนอันใดเพื่ออนาคตที่ดีของตัวเอง”

“แล้วแต่งให้ปั๋วอวี่จะแต่งในฐานะภรรยาไม่ได้หรือ?” มู่หรงฉวีกุยชัดเจนถึงความผิดปกติภายในดี เฉินเยียนอวี่ไม่ได้ฉลาดหลักแหลมถึงเพียงนั้น นางไม่ได้ใช้ปัญญามาหลอกลวงมู่หรงปั๋วเย่ แต่จู่โจมด้วยน้ำตาและความรู้สึกของนางที่มีต่อมู่หรงปั๋วเย่ มู่หรงปั๋วเย่คิดว่าตัวเองไม่ได้ให้ตำแหน่งภรรยาแก่นางก็เป็นเรื่องที่ผิดต่อนางมากแล้ว จึงมีความละอายใจและความเมตตาต่อนางอยู่มาก หยางหานหยวนที่อยู่ในตำแหน่งภรรยาเอกกลับทำได้เพียงหลับหูหลับตาต่อการกระทำทั้งหมดของนาง ก็ได้แสดงให้เห็นถึงปัญหามากมายแล้ว

“พี่เยียนอวี่ไม่อาจยอมให้ข้ามีตำแหน่งที่สูงกว่านางในตระกูลมู่หรงได้หรอก ข้าทำได้เพียงเป็นอนุภรรยาเหมือนนางเท่านั้น” เฉินอวี้มองใบหน้าที่ดำคล้ำลงเรื่อยๆ ของเฉินเยียนอวี่ “นางสามารถให้ข้าแอบอ้างตัวตนของคุณหนูสุราแต่งเข้าตระกูลมู่หรงได้ ก็ย่อมสามารถทำลายข้าอย่างราบคาบได้เช่นกัน จุดนี้ข้าไม่เคยสงสัยแม้แต่น้อย!”

“ดูท่าอนุภรรยาเฉินอยู่ในตำแหน่งอนุของปั๋วเย่คงจะใช้ความสามารถได้ไม่เต็มที่จริงๆ!” มู่หรงฉวีกุยมองมู่หรงปั๋วเย่อย่างเรียบเย็น “นางเป็นอนุของเจ้า เจ้าคิดให้ดีว่าควรจะลงโทษอย่างไร ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถให้คำตอบที่พอใจกับตระกูลซั่งกวนได้!”

“ไม่เพียงแต่ตระกูลซั่งกวน ยังมีคนอีกมากมายที่ต้องการคำตอบที่น่าพอใจ!” ฮูหยินมู่หรงกล่าวเพิ่มอีกประโยคอย่างเรียบนิ่ง “หากพวกน้องๆ ตระกูลอื่นและภรรยาของพวกเขา รู้ว่าอนุภรรยาตัวเล็กๆ คนหนึ่งกล้าวางแผนกับลูกชายคนโตของพวกเขา ยังไม่รู้ว่าจะทำเรื่องให้ใหญ่โตถึงขนาดไหน!”

มู่หรงปั๋วอวี่มองเฉินเยียนอวี่ที่แววตาเต็มไปด้วยความวิงวอน เห็นสีหน้าของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป ก็ถอนหายใจ “เยียนอวี่ เจ้าช่าง…นางเดินมาถึงจุดนี้ ลูกย่อมพลอยเสียไปด้วย และลูกก็ไม่อาจฝืนทนตำหนิ จัดการทำอะไรนาง เยียนอวี่ ตอนนี้มีสองทางเลือก หนึ่งคือข้าจะให้คนส่งเจ้ากลับบ้าน ภายหลังอย่าได้ปรากฏตัวในโยวโจวหรือให้คนในตระกูลมู่หรงคนใดเห็นอีก…”

“ไม่!” เฉินเยียนอวี่ร้องเสียงแหลมออกมา ครั้งนี้นางกลับไม่ได้แสดง แต่นางกระจ่างใจดี หากตัวเองถูกส่งกลับตระกูลเฉิน เกรงว่าตัวเองอยากใช้ชีวิตต่อไปก็เป็นเพียงความเพ้อฝันเท่านั้น นางทำเรื่องให้พวกภรรยาเอกของตระกูลใหญ่เกลียดชังมามากมายเท่าใด นางนั้นกระจ่างใจดี ไม่จำเป็นต้องให้พวกนางลงมือ ก็ย่อมมีพวกลูกสมุนที่คิดจะจัดการทรมานหรือสังหารตัวเองเพื่อประจบประแจงเอาใจพวกนางอยู่แล้ว

“ยังมีอีกทางเลือกหนึ่ง!” มู่หรงปั๋วเย่มองนาง “พรุ่งนี้เช้าตรู่เจ้าเก็บข้าวของให้เรียบร้อย ปลงผมเข้าสู่วัดประจำตระกูล ชั่วชีวิตนี้อย่าได้ออกจากวัดประจำตระกูลแม้แต่ครึ่งก้าว!”

นั่นก็เป็นทางตายอีกทางสำหรับนางเช่นกัน! เฉินเยียนอวี่คาดไม่ถึงว่ามู่หรงปั๋วเย่จะไร้เยื่อใยเช่นนี้ แต่ว่าก็แค่ให้คนต่ำต้อยที่ไม่กล้าใช้ใบหน้าที่แท้จริงมาพบเจอใครผู้นั้นมาสวมรอยเป็นคนอื่นไม่ใช่หรือ? เขาจะไร้เยื่อใยถึงขนาดนี้ได้เชียวหรือ?

“อย่างไรก็ส่งไปวัดประจำตระกูลเถิด” ฮูหยินมู่หรงกล่าวอย่างเรียบนิ่ง “หากส่งกลับไปตระกูลเฉิน อาจจะทำให้คนอื่นรู้ได้ว่าตระกูลมู่หรงเกิดเรื่องที่ฉาวโฉ่เช่นนี้ขึ้น ข้าไม่อาจรับได้! แม่นมเหมย เรื่องนี้ให้เจ้ารับผิดชอบแล้วกัน!”

“เจ้าค่ะ ฮูหยิน!” แม่นมเหมยที่เอาแต่นิ่งเงียบอยู่ด้านหลังฮูหยินมู่หรงมาโดยตลอดรับคำสั่งอย่างนอบน้อม และความหวังสุดท้ายของเฉินเยียนอวี่ก็ไม่หลงเหลืออะไรแม้แต่น้อย นางรู้ว่าแม่นมเหมยเป็นคนเช่นไร เป็นคนที่แม้แต่มู่หรงฉวีกุยก็ยังเกรงใจ พวกมู่หรงปั๋วเย่ล้วนแต่เกรงกลัวนาง!

“ยังมีเฉินอวี้ผู้นี้!” มู่หรงฉวีกุยขมวดคิ้วมองเฉินอวี้ นี่ก็ไม่ใช่คนดีอะไร ไม่อาจจะปล่อยนางไปได้!

“นางไม่ได้เรียกตัวเองว่าเป็นศิษย์อวี๋ฮวนหรอกหรือ?” ซั่งกวนฮ่าวคิดว่าอย่างไรเฉินอวี้ก็ทำเรื่องดีอยู่เล็กน้อย เป็นที่ระบายอารมณ์ให้แก่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อ “ให้นางตามไปรับใช้อวี๋ฮวนก็แล้วกัน!”

“ก็ดี!” มู่หรงฉวีกุยผงกศีรษะ “ข้าจะแจ้งข่าวพวกหงหลันเดี๋ยวนี้ ให้เหลือที่ด้านข้างหลุงฝังศพของอวี๋ฮวนไว้ให้นางเสียหน่อย ให้นางไปด้วยกัน!”

อะไรนะ? เฉินอวี้ไม่ทันได้แผดร้องขึ้นมาก็ถูกคนทำให้สลบไปเสียก่อน ชะตาของนางที่กลายเป็นของฝังร่วมกับศพจึงถูกตัดสินลงเช่นนี้ และคนอื่นๆ ก็ไม่เห็นต่างอะไร…

———————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าสาวร้อยเล่ห์ 276 จัดการลงโทษ

Now you are reading เจ้าสาวร้อยเล่ห์ Chapter 276 จัดการลงโทษ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เทียบกับเฉินเยียนอวี่ที่น้ำตานองหน้า เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ฝืนกลั้นน้ำตาทั้งเผยรอยยิ้มออกมากลับทำให้คนรู้สึกถึงความแตกต่างยิ่งกว่า มู่หรงปั๋วเย่ที่เดิมทีคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูบอบบาง ทั้งสามารถร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเฉินเยียนอวี่อดชะงักไปไม่ได้…ที่แท้ไม่ใช่ว่าหญิงสาวที่ดูอ่อนแอบอบบางทั้งหมดจะชอบร้องไห้! จู่ๆ เขาก็เข้าใจขึ้นมาว่าเหตุใดเมื่อท่านพ่อเห็นเฉินเยียนอวี่มักจะอดขมวดคิ้วไม่ได้ ตำหนิว่านางไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้ เทียบกันแล้วช่าง…

“ข้าไหนเลยจะกล้ากล่าวถึงสะใภ้ใหญ่ซั่งกวน” เฉินเยียนอวี่มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเกรงกลัว “ข้าเพียงอยากขอให้สะใภ้ใหญ่ซั่งกวนเมตตาน้องอวี้เอ๋อร์ ให้ข้าได้รับผิดชอบความผิดทั้งหมด…”

“เมตตาหรือไม่เมตตาไม่ใช่สิ่งที่ข้าตัดสินใจได้ ทั้งไม่ใช่สิ่งที่อนุภรรยาเฉินจะรับผิดชอบได้ อนุภรรยาเฉินไม่มีความจำเป็นต้องดึงภาระมาให้ตัวเอง ทั้งไม่มีความจำเป็นต้องผลักอำนาจการลงโทษมาให้ข้า! ที่นี่มีผู้อาวุโส จะลงโทษอย่างไรเรื่องนี้ผู้อาวุโสย่อมมีคำตอบอยู่แล้ว ไฉนอนุภรรยาเฉินไม่เก็บน้ำตาของเจ้าเสีย ฟังคำลงโทษของผู้อาวุโสอย่างเงียบๆ ดีกว่า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มเล็กน้อย “อยากจะแนะนำอนุภรรยาเฉินสักหนึ่งประโยค น้ำตาเมื่อมีมากไป นอกจากทำให้คนรำคาญใจ ก็ไม่ได้มีประโยชน์อย่างอื่นแล้ว!”

หยางหานหยวนพยายามขบริมฝีปากของตัวเองจึงค่อยอดกลั้นไม่ให้ยิ้มออกมา…คำพูดนี้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ช่างกล่าวได้…นอกจากน้ำตาที่ไหลออกมากลบเกลื่อนความผิดแล้ว นางยังมีท่าไม้ตายอะไรอีก? ที่น่าเสียดายคือ…นางเหลือบมู่หรงปั๋วเย่ไปทีโดยที่ไม่มีใครทันสังเกต เขาคล้ายกับถูกน้ำตาของเฉินเยียนอวี่ทำให้ใจอ่อนและสับสนอยู่ทุกครั้ง

“ข้าไม่ได้ตั้งใจ…” เฉินเยียนอวี่ไม่อาจอดกลั้นน้ำตาไว้ได้ รวมกับใบหน้าที่เศร้าโศกเสียใจ ทำให้คนที่ไม่รู้เรื่องราวยังจะคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปรังแกอะไรนางเสียอีก

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นอกเห็นใจที่นางอยู่ในสถานการณ์ลำบาก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่านี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ล้วนเป็นความผิดของซั่งกวนเจวี๋ย เขาไม่ควรตรวจสอบเรื่องราวของคุณหนูเฉินให้ออกมาชัดเจนขนาดนี้ ทำให้เจ้าไร้ทางที่จะพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ทั้งไร้ข้อโต้แย้งได้ นอกจากใช้การร้องไห้มาหลีกเลี่ยงการซักถามแล้ว ก็ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว! ไม่เป็นไร เจ้าร้องไห้ไปเถิด ร้องให้พอแล้วค่อยพูด! ท่านลุงมู่หรงและพี่ใหญ่มู่หรงล้วนเป็นผู้สูงส่งองอาจ คงไม่ซักไซ้ไล่ต้อนยามที่เจ้าร้องไห้หรอก!”

เอ่อ…คนทั้งหมด รวมถึงซั่งกวนเจี๋ยล้วนแต่ตกตะลึงเพราะคำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ มีคำพูดเช่นนี้ด้วยหรือ? เฉินเยียนอวี่ยิ่งแล้วใหญ่ อ้ำอึ้งจนร้องไห้ไม่ออก มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างตะลึงงัน

หยางหานหยวนรู้สึกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาเพื่อทดสอบความอดทนของตัวเองโดยเฉพาะ นางพยายามจิกขาตัวเองสุดชีวิต ให้ความเจ็บที่ขามาคอยยับยั้งความอยากหัวเราะของตัวเอง แต่ว่า…นางมองใบหน้าของเฉินเยียนอวี่ที่จู่ๆ ก็คล้ายมีน้ำแข็งปกคลุมขึ้นมาชั่วพริบตา กลับยังคงอดรอยยิ้มไว้ไม่ได้

“อนุภรรยาเฉินไม่ร้องแล้วหรือ? พวกเราไม่รีบ รอได้อยู่แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยใบหน้าไร้เดียงสาและไม่เข้าใจมองเฉินเยียนอวี่ที่จู่ๆ ก็หยุดร้องไห้ไป กล่าวทั้งแสดงสีหน้านับถือ “อนุภรรยาเฉินช่างมีความสามารถจริงๆ น้ำตานี้สั่งให้ไหลก็ไหล สั่งให้หยุดก็หยุดได้ทันที ฝีมือชั้นยอดเช่นนี้ยากที่จะได้พบจริงๆ!”

“แค่กๆ…” ในที่สุดหยางหานหยวนก็อดไม่ไหว นางรู้ว่าหากตัวเองหัวเราะขึ้นมาจะน่าเกลียดขนาดไหน ทำได้เพียงแสร้งไอออกมากลบเกลื่อนเท่านั้น ด้านฮูหยินมู่หรงและหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็แลกเปลี่ยนสายตาอย่างรู้กันดี

แน่นอนว่า ไม่ใช่คนทั้งหมดที่รู้สึกตลกขบขัน เฉินเยียนอวี่ในยามนี้อยากจะถลาไปบีบคอเยี่ยนมี่เอ๋อร์ให้ตายเป็นอย่างยิ่ง ด้านมู่หรงปั๋วเย่ยิ่งปรารถนาที่จะหาสักรูหนึ่งมุดเข้าไป จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเฉินเยียนอวี่มักจะร้องไห้อย่างเศร้าโศกเสียใจ ทุกครั้งไม่ว่าจะพบกับเรื่องอะไร ท้ายที่สุดก็จะใช้น้ำตาของนางจบปัญหาทั้งหมด เขาในยามนี้ไม่ได้คล้อยตามเฉินเยียนอวี่เหมือนเมื่อก่อนขนาดนั้นแล้ว ทั้งนับวันก็ยิ่งอยู่กับนางน้อยลง ก็เพราะว่าไม่อยากเห็นท่าทีน้ำตานองหน้าเช่นนี้ของนางหรอกหรือ?

“ร้องสิ? ไฉนจึงไม่ร้องแล้ว?” มู่หรงปั๋วเย่ในเวลานี้รู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกปั่นหัว บางทีอาจจะเหมือนที่โม่จิ้ง เด็กคนนั้นกล่าวไว้ตั้งแต่ต้น นอกจากร้องไห้สะอึกสะอื้นกล่าวว่าจะรับความผิดทั้งหมดแล้ว อย่างอื่นนางก็ไม่สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น เรื่องทั้งหมดเมื่อถึงท้ายที่สุดก็ยังคงเป็นคนอื่นที่เป็นผู้กระทำ

“คุณชายใหญ่…” ครั้งนี้เฉินเยียนอวี่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรจริงๆ หากไม่ร้องไห้ นางก็ไร้ทางที่จะหลีกหนีจากการซักไซ้ความจริง แต่หากร้องไห้ต่อไป เยี่ยนมี่เอ๋อร์ล้วนพูดถึงขนาดนั้นแล้ว การร้องไห้ของตัวเองก็เป็นเพียงเรื่องตลกฉากหนึ่งเท่านั้น แล้วนางควรจะทำอย่างไรดี?

“พี่ใหญ่มู่หรง นี่เจ้าก็ไม่ถูกแล้ว!” หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยละก็ ซั่งกวนเจวี๋ยคงจะดึงเยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้ามาจูบสักทีแล้ว นางช่างร้ายกาจจริงๆ!

มู่หรงปั๋วเย่มองซั่งกวนเจวี๋ย อยากฟังว่าเขามีคำแนะนำดีๆ อะไรอีก ในสายตาของเขา สองสามีภรรยาคู่นี้ล้วนเป็นพวกเดียวกัน ตั้งใจส่งมาเพื่อเหน็บแนมเขาโดยเฉพาะ

“มี่เอ๋อร์ล้วนพูดแล้วว่าไม่รีบ เจ้าจะรีบร้อนไปทำไมเล่า?” ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มตาหยี “ข้าว่ามิสู้เอาเช่นนี้ ข้าและท่านพ่อจะไปอาบน้ำสางผม จัดการคราบฝุ่นบนร่างและความอ่อนเพลียเสียหน่อย ส่วนพวกเจ้า ให้พวกบ่าวใช้ยกพวกผลไม้หลากไม้ของว่างเข้ามาเพิ่มหน่อย ดื่มชาไปพลาง รอไปพลาง อนุภรรยาเฉินร้องไห้พอแล้ว ค่อยๆ ซักไซ้ไล่เลี่ยก็ไม่สาย”

กินผลไม้ของว่าง จิบชาไปพลาง รอนางร้องไห้ไปพลาง ดูละครลิงก็ไม่ใช่ดูเช่นนี้หรอกหรือ! มู่หรงปั๋วเย่รู้เช่นกันว่าเขาคงไม่พูดอะไรดีๆ ออกมาหรอก แต่ก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแดกดันถึงขนาดนี้

“แค่กๆ…” มู่หรงฉวีกุยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างชื่นชมไปทีหนึ่ง ดูท่าทางเหมือนจะบอบบางแต่คาดไม่ถึงว่าจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ เพียงไม่กี่ประโยคก็ทำให้เฉินเยียนอวี่เก็บน้ำตาที่มักจะไหลออกมาตลอดเวลาได้ มิน่าเล่ายามที่ชิงหวั่นเอ่ยถึงนางจึงกล่าวว่านางร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่า พวกเขาก็ไม่ใช่ว่างไม่มีอะไรทำจนต้องเข้ามาดูละครลิงเสียหน่อย ถลึงตาใส่ซั่งกวนเจวี๋ยไปที ก่อนกล่าว “คุณหนูเฉินอวี้ ความหมายของเจ้าคืออนุภรรยาเฉินบงการเจ้าให้สวมรอยเป็นคุณหนูสุราโม่จิ้ง จากนั้นก็ใช้ตัวตนนี้เข้าใกล้ปั๋วอวี่ หาวิธีที่จะแต่งเข้าตระกูลมู่หรง กลายเป็นผู้ช่วยของนาง เช่นนั้นข้าอยากรู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงไม่ได้พบกับปั๋วอวี่อย่างบังเอิญ ตรงกันข้ามกลับเป็นฝ่ายไปหาเจวี๋ยเอ๋อร์เล่า?”

“พี่เยียนอวี่เคยบอกไว้ คุณหนูสุราไม่มีสีหน้าดีๆ ให้มู่หรงปั๋วอวี่มาโดยตลอด แต่กับซั่งกวนเจวี๋ย นางกลับมีใจชมชอบ หากเป็นฝ่ายไปหามู่หรงปั๋วอวี่ย่อมจะทำให้คนอื่นเกิดความสงสัย ยังมิสู้เข้าใกล้ซั่งกวนเจวี๋ย ให้มู่หรงปั๋วอวี่ที่ระแวดระวังคุณหนูสุราตลอดเวลาว่าจะปรากฏตัวขึ้นมารอบกายซั่งกวนเจวี๋ยหรือไม่เป็นฝ่ายมาหาข้า เข้าใกล้ข้าก่อน” เฉินอวี่ในยามนี้พูดหมดเปลือก แม้ว่าจะไม่สามารถเอาความดีลบล้างความผิดได้ ก็ไม่อาจลากครอบครัวให้มาเกี่ยวพันได้ “เรื่องนี้มีเพียงพี่เยียนอวี่และข้าที่รู้ คนอื่นๆ ล้วนถูกปิดบัง พี่เยียนอวี่ยังเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า กล่าวว่าคุณหนูสุราไม่สนิทสนมกับคนอื่น หากข้าสามารถแต่งเข้าตระกูลมู่หรงได้ ก็ไม่อาจจะคบค้าสมาคมกับผู้ใด มิเช่นนั้นจะความแตกเอาได้ นางยังกล่าวว่าภายหลังหากข้าคิดถึงบ้าน นางสามารถจัดการให้ข้าและครอบครัวของข้าพบกันได้…สรุปคือเรื่องราวทั้งหมดได้คิดเผื่อข้าไว้ดีแล้ว ข้ายังมีอะไรให้ต้องกังวล!”

“เช่นนั้นเหตุใดจู่ๆ เจ้าก็เปลี่ยนแปลงความคิดอย่างฉับพลัน ไม่ได้ทำตามแผนเดิม แต่กลับตัดสินใจจะแต่งให้เจวี๋ยเอ๋อร์แทนเล่า?” มู่หรงฉวีกุยมองใบหน้าที่ซีดเผือดทั้งไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ของเฉินเยียนอวี่อย่างเยือกเย็น “เป็นเพราะความทะเยอทะยานของเจ้าหรือเพราะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันอันใดเกิดขึ้นระหว่างทาง?”

“หลังจากข้าใกล้ชิดกับซั่งกวนเจวี๋ยจึงได้ทราบว่าคุณหนูสุรามีอีกฐานะหนึ่งที่กระทั่งพี่เยียนอวี่ก็ยังไม่รู้ คาดไม่ถึงว่านางจะเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของสหายเก่ารู้ใจของนายท่านซั่งกวน นายท่านซั่งกวนเอาใจใส่อย่างเกรงใจ ซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่ได้เย็นชาอย่างที่คาดคิดขนาดนั้น เวลานั้นข้าจึงคิดว่า แทนที่จะแต่งเข้าตระกูลมู่หรงถูกพี่เยียนอวี่ควบคุมทั้งชั่วชีวิต ยังมิสู้แต่งให้ตระกูลซั่งกวน” เฉินอวี้กล่าวด้วยความขมขื่น “แต่เวลานั้นก็มีเพียงความคิดเช่นนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ข้าตัดสินใจทรยศพี่เยียนอวี่จริงๆ คือ ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวว่าข้าคู่ควรที่จะได้รับตำแหน่งภรรยา ข้าจึงตัดสินใจอย่างไม่สนอันใดเพื่ออนาคตที่ดีของตัวเอง”

“แล้วแต่งให้ปั๋วอวี่จะแต่งในฐานะภรรยาไม่ได้หรือ?” มู่หรงฉวีกุยชัดเจนถึงความผิดปกติภายในดี เฉินเยียนอวี่ไม่ได้ฉลาดหลักแหลมถึงเพียงนั้น นางไม่ได้ใช้ปัญญามาหลอกลวงมู่หรงปั๋วเย่ แต่จู่โจมด้วยน้ำตาและความรู้สึกของนางที่มีต่อมู่หรงปั๋วเย่ มู่หรงปั๋วเย่คิดว่าตัวเองไม่ได้ให้ตำแหน่งภรรยาแก่นางก็เป็นเรื่องที่ผิดต่อนางมากแล้ว จึงมีความละอายใจและความเมตตาต่อนางอยู่มาก หยางหานหยวนที่อยู่ในตำแหน่งภรรยาเอกกลับทำได้เพียงหลับหูหลับตาต่อการกระทำทั้งหมดของนาง ก็ได้แสดงให้เห็นถึงปัญหามากมายแล้ว

“พี่เยียนอวี่ไม่อาจยอมให้ข้ามีตำแหน่งที่สูงกว่านางในตระกูลมู่หรงได้หรอก ข้าทำได้เพียงเป็นอนุภรรยาเหมือนนางเท่านั้น” เฉินอวี้มองใบหน้าที่ดำคล้ำลงเรื่อยๆ ของเฉินเยียนอวี่ “นางสามารถให้ข้าแอบอ้างตัวตนของคุณหนูสุราแต่งเข้าตระกูลมู่หรงได้ ก็ย่อมสามารถทำลายข้าอย่างราบคาบได้เช่นกัน จุดนี้ข้าไม่เคยสงสัยแม้แต่น้อย!”

“ดูท่าอนุภรรยาเฉินอยู่ในตำแหน่งอนุของปั๋วเย่คงจะใช้ความสามารถได้ไม่เต็มที่จริงๆ!” มู่หรงฉวีกุยมองมู่หรงปั๋วเย่อย่างเรียบเย็น “นางเป็นอนุของเจ้า เจ้าคิดให้ดีว่าควรจะลงโทษอย่างไร ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถให้คำตอบที่พอใจกับตระกูลซั่งกวนได้!”

“ไม่เพียงแต่ตระกูลซั่งกวน ยังมีคนอีกมากมายที่ต้องการคำตอบที่น่าพอใจ!” ฮูหยินมู่หรงกล่าวเพิ่มอีกประโยคอย่างเรียบนิ่ง “หากพวกน้องๆ ตระกูลอื่นและภรรยาของพวกเขา รู้ว่าอนุภรรยาตัวเล็กๆ คนหนึ่งกล้าวางแผนกับลูกชายคนโตของพวกเขา ยังไม่รู้ว่าจะทำเรื่องให้ใหญ่โตถึงขนาดไหน!”

มู่หรงปั๋วอวี่มองเฉินเยียนอวี่ที่แววตาเต็มไปด้วยความวิงวอน เห็นสีหน้าของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป ก็ถอนหายใจ “เยียนอวี่ เจ้าช่าง…นางเดินมาถึงจุดนี้ ลูกย่อมพลอยเสียไปด้วย และลูกก็ไม่อาจฝืนทนตำหนิ จัดการทำอะไรนาง เยียนอวี่ ตอนนี้มีสองทางเลือก หนึ่งคือข้าจะให้คนส่งเจ้ากลับบ้าน ภายหลังอย่าได้ปรากฏตัวในโยวโจวหรือให้คนในตระกูลมู่หรงคนใดเห็นอีก…”

“ไม่!” เฉินเยียนอวี่ร้องเสียงแหลมออกมา ครั้งนี้นางกลับไม่ได้แสดง แต่นางกระจ่างใจดี หากตัวเองถูกส่งกลับตระกูลเฉิน เกรงว่าตัวเองอยากใช้ชีวิตต่อไปก็เป็นเพียงความเพ้อฝันเท่านั้น นางทำเรื่องให้พวกภรรยาเอกของตระกูลใหญ่เกลียดชังมามากมายเท่าใด นางนั้นกระจ่างใจดี ไม่จำเป็นต้องให้พวกนางลงมือ ก็ย่อมมีพวกลูกสมุนที่คิดจะจัดการทรมานหรือสังหารตัวเองเพื่อประจบประแจงเอาใจพวกนางอยู่แล้ว

“ยังมีอีกทางเลือกหนึ่ง!” มู่หรงปั๋วเย่มองนาง “พรุ่งนี้เช้าตรู่เจ้าเก็บข้าวของให้เรียบร้อย ปลงผมเข้าสู่วัดประจำตระกูล ชั่วชีวิตนี้อย่าได้ออกจากวัดประจำตระกูลแม้แต่ครึ่งก้าว!”

นั่นก็เป็นทางตายอีกทางสำหรับนางเช่นกัน! เฉินเยียนอวี่คาดไม่ถึงว่ามู่หรงปั๋วเย่จะไร้เยื่อใยเช่นนี้ แต่ว่าก็แค่ให้คนต่ำต้อยที่ไม่กล้าใช้ใบหน้าที่แท้จริงมาพบเจอใครผู้นั้นมาสวมรอยเป็นคนอื่นไม่ใช่หรือ? เขาจะไร้เยื่อใยถึงขนาดนี้ได้เชียวหรือ?

“อย่างไรก็ส่งไปวัดประจำตระกูลเถิด” ฮูหยินมู่หรงกล่าวอย่างเรียบนิ่ง “หากส่งกลับไปตระกูลเฉิน อาจจะทำให้คนอื่นรู้ได้ว่าตระกูลมู่หรงเกิดเรื่องที่ฉาวโฉ่เช่นนี้ขึ้น ข้าไม่อาจรับได้! แม่นมเหมย เรื่องนี้ให้เจ้ารับผิดชอบแล้วกัน!”

“เจ้าค่ะ ฮูหยิน!” แม่นมเหมยที่เอาแต่นิ่งเงียบอยู่ด้านหลังฮูหยินมู่หรงมาโดยตลอดรับคำสั่งอย่างนอบน้อม และความหวังสุดท้ายของเฉินเยียนอวี่ก็ไม่หลงเหลืออะไรแม้แต่น้อย นางรู้ว่าแม่นมเหมยเป็นคนเช่นไร เป็นคนที่แม้แต่มู่หรงฉวีกุยก็ยังเกรงใจ พวกมู่หรงปั๋วเย่ล้วนแต่เกรงกลัวนาง!

“ยังมีเฉินอวี้ผู้นี้!” มู่หรงฉวีกุยขมวดคิ้วมองเฉินอวี้ นี่ก็ไม่ใช่คนดีอะไร ไม่อาจจะปล่อยนางไปได้!

“นางไม่ได้เรียกตัวเองว่าเป็นศิษย์อวี๋ฮวนหรอกหรือ?” ซั่งกวนฮ่าวคิดว่าอย่างไรเฉินอวี้ก็ทำเรื่องดีอยู่เล็กน้อย เป็นที่ระบายอารมณ์ให้แก่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อ “ให้นางตามไปรับใช้อวี๋ฮวนก็แล้วกัน!”

“ก็ดี!” มู่หรงฉวีกุยผงกศีรษะ “ข้าจะแจ้งข่าวพวกหงหลันเดี๋ยวนี้ ให้เหลือที่ด้านข้างหลุงฝังศพของอวี๋ฮวนไว้ให้นางเสียหน่อย ให้นางไปด้วยกัน!”

อะไรนะ? เฉินอวี้ไม่ทันได้แผดร้องขึ้นมาก็ถูกคนทำให้สลบไปเสียก่อน ชะตาของนางที่กลายเป็นของฝังร่วมกับศพจึงถูกตัดสินลงเช่นนี้ และคนอื่นๆ ก็ไม่เห็นต่างอะไร…

———————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+