ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 479 เหยียนซินหย่าก็คือคุณป้าเล็ก + 480 เป็นห่วงเหยียนหมิงซุ่น

Now you are reading ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น Chapter 479 เหยียนซินหย่าก็คือคุณป้าเล็ก + 480 เป็นห่วงเหยียนหมิงซุ่น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 479 เหยียนซินหย่าก็คือคุณป้าเล็ก + ตอนที่ 480 เป็นห่วงเหยียนหมิงซุ่น

ตอนที่ 479 เหยียนซินหย่าก็คือคุณป้าเล็ก

                จ้าวอิงหนานหัวเราะพูดว่า “เหมยเหมยเธอไปอยู่ที่บ้านของคุณปู่เธอน่ะ ไม่ได้อยู่ที่นี่ ฉันก็ไม่ได้เห็นเธอมาตั้งหลายวันแล้ว แต่ว่าวันพรุ่งนี้เธอมีการแสดง พี่สะใภ้เล็กก็ไปดูเธอด้วยกันกับฉันได้นะ”

                เหยียนซินหย่าผิดหวังเล็กน้อย เธอนึกว่าอีกสักครู่ก็จะได้เจออู่เหมยแล้วซะอีก!

                แต่ว่าพอเธอได้ยินจ้าวอิงหนานเรียกเหมยเหมยก็ใจเต้น ใจคิดอยากจะถามว่าเหมยตัวไหน เหมยที่มาจากดอกเหมย หรือว่าเหมยที่มาจากคำว่าเหมยลี่ที่แปลว่าสวยงาม สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ได้ถาม ถอนหายใจเบาๆ เจ้าอาวาสบอกให้เธอลืมอดีตที่ผ่านมา อย่าจดจ่ออยู่กับความทรงจำในอดีต คิดถึงผู้คนรอบๆ ตัว เธอตัดสินใจแล้วว่าต่อไปนี้จะฟังคำพูดของเจ้าอาวาส จะไม่คิดถึงเรื่องที่ทำให้เศร้าอีกแล้ว

                “งั้นก็วันพรุ่งนี้เถอะ ฉันอยากจะเห็นเด็กคนนี้ที่ทำให้เธอพูดถึงทั้งวันจริงๆ ว่าท้ายที่สุดแล้วจะดึงดูดให้คนรักสงสารได้มากแค่ไหน!” เหยียนซินหย่าพูดกลั้วหัวเราะ

                พอพูดถึงอู่เหมย จ้าวอิงหนานก็หน้าบานเป็นกระด้งทันที พูดไม่ได้ไม่หยุด “มิน่าเล่าถึงมีคำโบราณเขาชอบพูดบ่อยๆว่าลูกสาวก็เหมือนแจ็คเก็ตบุฝ้ายที่ให้ความอบอุ่นรู้ใจ ส่วนลูกชายเป็นเด็กเวรที่มาทวงหนี้ คำพูดนี้พูดไม่มีผิดเลยสักนิด เหมยเหมยทำให้ฉันสบายใจมากกว่าเด็กเวรลูกฉันตั้งเยอะ วันเกิดของฉันยังนึกถึงยังให้เครื่องประดับเงินฉัน เป็นเครื่องประดับเก่าสมัยก่อนที่พวกราชวงศ์เคยใส่เลยนะ อีกสักครู่พอกลับบ้านฉันจะเอาให้พี่สะใภ้เล็กดูนะ!”

                เหยียนซินหย่ามองน้องสาวสามีที่พูดน้ำไหลไฟดับ บนใบหน้าถึงแม้จะมีรอยยิ้ม แต่ในใจกลับรู้สึกเหมือนกินยาขมก็ไม่ปาน

                แจ็คเก็ตบุฝ้ายตัวน้อยของเธอไม่กลับมาอีกแล้ว!

                สยงมู่มู่ที่ความรู้สึกไวจับความรู้สึกของเหยียนซินหย่าที่เปลี่ยนไปได้ในทันที รู้ว่าจะต้องเป็นเพราะคำพูดของแม่เขา ไปกระตุ้นเรื่องที่เศร้าใจของคุณป้าเล็ก จึงพยายามกระทุ้งเอวจากด้านหลังของจ้าวอิงหนาน

                แน่นอนว่าจ้าวอิงหนานก็ไม่ใช่คนโง่ โดนลูกชายเตือนสติเธอก็รู้ตัวในไม่ช้าว่าตัวเองพูดจาผิดไป มองเหยียนซินหย่าอย่างละอายใจ เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ!

                “เสวียหลินโตขนาดนี้แล้วหรอเนี่ย ยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ ดูร่างกายเล็กๆ นี่สิว่ากำยำล่ำสันมากแค่ไหน ดูแข็งแรงมากกว่าลิงผอมๆ อย่างมู่มู่เยอะเลย!”

                เพราะไม่สามารถพูดถึงลูกสาวบุญธรรมได้ จึงทำได้แค่เพียงยกยอหลานชายกับแดกดันลูกชายตัวเอง สยงมู่มู่กลอกตามองบน ไม่อยากจะสนใจแม่ของตัวเองอีกต่อไปแล้ว!

จ้าวเสวียหลินยิ้มอย่างเกรงใจไปทางเหยียนซินหย่า เปลี่ยนท่าทีหยิ่งผยองที่ทำต่อหน้าคนนอก เขายังคงพึงพอใจกับความรักที่อบอุ่นและหยอกล้อกันวุ่นวายของครอบครัวแบบนี้ เพียงแต่ลูกพี่ลูกน้องของฉัน…

                เขามองไปทางสยงมู่มู่คร่าวๆ ร่างกายนี้ค่อนข้างที่จะผอมบางมากเกินไปหน่อย ถือโอกาสที่มีเวลาว่างหลายวัน มาฝึกกีฬากับลูกพี่ลูกน้องหน่อยดีกว่า อย่างน้อยพยายามฝึกให้ได้หน้าท้องสักสองสามแพ็คก็ยังดี!

                เหยียนซินหย่ากลับไม่อยากฟังเรื่องพวกนี้เท่าไร เธอยังอยากฟังเรื่องของอู่เหมย ต่อให้ฟังแล้วใจจะเจ็บปวด แต่เธอก็ยังอยากฟัง เธอรู้สึกว่าตัวเธอกับสาวน้อยคนนี้มีวาสนาร่วมกันอยู่ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยพบหน้า แต่กลับเหมือนเคยพบเห็นกันมาก่อน

                “เหมยเหมยเด็กคนนี้อยู่ตึกเดียวกับอิงหนานไหม? เธอดึงดูดให้คนรักคนสงสารขนาดนี้ พ่อแม่คงจะรักใคร่ยิ่งกว่าใครใช่ไหม?” เหยียนซินหย่าถามอย่างสนใจ

                รอยยิ้มของจ้าวอิงหนานหายไปในทันที ขมวดคิ้วแล้วก็โมโหพูดขึ้นมาว่า “พูดถึงตรงนี้ฉันก็โมโห พี่สะใภ้เล็กรู้ไหมทำไมฉันถึงรับเหมยเหมยมาเป็นลูกบุญธรรม? ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าจิตใจของพ่อแม่โหดเหี้ยมจนเกินไป…”

                เธอพูดถึงอู่เจิ้งซือคู่สามีภรรยารวมถึงอู่เยวี่ยพูดเรื่องแปลกๆ ของคนพวกนี้สองสามเรื่องพูดออกมารวดเดียว ยิ่งพูดยิ่งโมโห คิ้วของเหยียนซินหย่าก็ขมวดหนักมาก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าโลกใบนี้จะมีพ่อแม่แบบนี้อยู่ด้วย!

                “เหมยเหมยเป็นลูกที่พวกเขาให้กำเนิดเองเลยไหม? คงไม่ใช่รับเลี้ยงหรอกใช่ไหม?”

                จ้าวอิงหนานส่ายหัว “เป็นคนให้กำเนิดเองแท้ๆ เลยล่ะ เหมือนกับว่าตอนที่แม่ของเหมยเหมยคลอดเธอจะเสียเลือดมากจนเกินไป ทำให้สุขภาพเสีย ไม่สามารถให้กำเนิดลูกชายได้อีก ยัยโรคประสาทคนนี้ก็เลยเอาความผิดทั้งหมดโยนไปให้เหมยเหมย ทั้งด่าทั้งตีเธอ โหดเหี้ยมมากกว่าแม่เลี้ยงอีก ไม่อยากพูดแล้ว พอพูดถึงผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาฉันก็โมโห ปวดหัว!”

                หัวใจของเหยียนซินหย่าบีบแน่นไปหมด รู้สึกเป็นห่วงเป็นใยเด็กน้อยคนนี้ที่ยังไม่เคยรู้จักพบเจอ บนโลกใบนี้ทำไมถึงได้มีพ่อแม่ที่มีจิตใจเหี้ยมโหดขนาดนี้อยู่ด้วย?

                เด็กคนนี้น่าสารมาก!

                เหยียนหมิงซุ่นมองตามหลังเหยียนซินหย่าและจ้าวอิงหนานสองแม่ลูกขึ้นรถเก๋งสีดำไป มุมปากยกขึ้น จิตใจลิงโลดด้วยความดีอกดีใจ!

                น้องสาวสามีของเหยียนซินหย่าก็คือจ้าวอิงหนาน แล้วก็ยังเป็นคุณป้าเล็กของสยงมู่มู่

                สองคนที่หน้าตาเหมือนกับอู่เหมย อันที่จริงแล้วคือคนเดียวกัน!

…………………………………………..

ตอนที่ 480 เป็นห่วงเหยียนหมิงซุ่น

โม่เหวินต้งและเหยียนหมิงซุ่นรอรถเมล์ด้วยความกระวนกระวายใจด้วยกัน แต่วันนี้ไม่รู้ว่ารถเมล์เป็นอะไร ครึ่งชั่วโมงผ่านไปก็ยังไม่มีวี่แววที่จะปรากฏ โม่เหวินต้งทั้งหนาวทั้งหิว อดไม่ได้ที่จะโทษคนอื่นขึ้นมา

“หมิงซุ่นวันนี้ทำไมนายถึงมีท่าทางแปลกๆ? ถ้าไม่ใช่เพราะนายวิ่งไปผิดทาง ตอนนี้พวกเราคงถึงบ้านกันแล้ว ยังทันกินก๋วยเตี๋ยวหมูผักดองร้อนๆ ของร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆ ข้างทางอีกด้วยนะ!”

โม่เหวินต้งสั่งขี้มูก พอนึกถึงผักดองและก๋วยเตี๋ยวหมูที่หอมกรุ่น ในปากก็น้ำสายสออกมา อยู่บนรถไฟสามวันกินหมั่นโถวเย็นๆ แทนข้าว กรดในกระเพาะจะพุ่งขึ้นมาอยู่แล้ว ตอนนี้เขาแค่อยากจะกินซุปร้อนๆ สักชามเพื่อให้กระเพาะอุ่นๆ

เหยียนหมิงซุ่นปล่อยให้โม่เหวินต้งพูดต่อว่าไปเรื่อยเลย ไม่ได้ฟังเข้าหูเลยสักคำ เขาไม่ได้อยากกินซุปกินก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ คิดแค่เพียงอยากจะกลับโรงเรียนเร็วๆ เขาอยากจะกลับไปพิสูจน์ยืนยันการคาดเดาของเขา และแก้ไขปัญหาที่เลืองรางไม่ชัดเจนของอู่เหมย

ตอนนี้อู่เหมยอยู่ที่คณะวัฒนธรรมซ้อมเต้น อู่เชาเองก็มาแล้ว เป็นอู่เจิ้งต้าวที่หิ้วเขามา บอกให้เขาตั้งใจซ้อม ถ้าหากว่าตอนที่แสดงงานการคืนเทศกาลตรุษจีนของเมืองเกิดผิดพลาดขึ้นมา อู่เจิ้งต้าวก็จะแสดงให้เห็นว่าสามารถตีขาเขาให้หักได้!

“พี่ชิงชิง พรุ่งนี้พี่จะร้องเพลงนี้เหรอ?”

อู่เหมยที่เต้นจนเหนื่อยแล้วนั่งลงเพื่อพัก พูดคุยเรื่อยเปื่อยกับสยงชิงชิงที่กำลังวอร์มเสียงอยู่ ได้ยินเสียงเธอทุกเช้า หูของเธอก็มีรังไหมขึ้นมาแล้ว

อารมณ์สนุกของสยงชิงชิงไม่ได้สูงมาก พยักหน้าหงึกหงัก เพลงนี้ ‘หิมะทางเหนือข้างกำแพงเมืองจีน’ เธอร้องมาทั้งปี เดิมทีในงานการคืนเทศกาลตรุษจีนของเมืองเธออยากจะร้องเพลง ‘เถียนมี่มี่’ ของเติ้งลี่จวิน แต่คณะระบำขององค์กรต่างก็ไม่ฟังเธอร้อง ทั้งยังตีกลับคืนมา

“ทำไมไม่ร้อง ‘เถียนมี่มี่’ ล่ะ เพลงนี้เพราะมากเลยนะ!” อู่เหมยไม่เข้าใจ

                บนเวทีงานการคืนเทศกาลตรุษจีนของเมืองต่างก็จะเป็นเพลงที่เสียงสูงมีอานุภาพ แน่นอนว่าเพลงพวกนี้น่าฟังทั้งนั้นแหละ แต่ปัญหาก็คือต่อให้เพลงพวกนี้จะเป็นเพลงที่วิเศษ แต่ถ้าหนึ่งปีมีสามร้อยหกสิบห้าวันฟังทุกวัน ก็ฟังจนเบื่อเหมือนกันนะ

 ถ้าหากสยงชิงชิงร้องแสดงเพลง ‘หิมะทางเหนือข้างกำแพงเมืองจีน’ ต่อให้ร้องได้ดีขนาดไหนก็ไม่มีคนตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจอีกแล้ว รายการเป็นแบบเดียวกันทั้งหมด ผู้ชมต่างก็จะฟังจนเบื่อ ก็เหมือนรายการการแสดงของเธอและสยงมู่มู่ไม่มีผิด ดังนั้นก็เลยเป็นเหตุผลที่การแสดงของพวกเธอถูกเลือก

                ไม่ใช่เพราะว่าพื้นฐานการแสดงพวกเขาดีมาก ในบรรดานักแสดงทั้งหมด มีนักแสดงสาขาการแสดงมากมายที่แสดงดีกว่าพวกเธอ อีกทั้งเพราะว่าการแสดงของพวกเขามีแนวความคิดใหม่ หากเทียบแล้ว ให้กินปลากินเนื้อทุกวัน ก็จะนึกอยากกินโจ๊กอ่อนๆ กับผักขึ้นมาทันที แน่นอนว่าเหตุการณ์ในอดีตยังคงเด่นชัดในความทรงจำเหมือนเพิ่งเกิดเร็วๆ นี้

                สยงชิงชิงก็ถอนหายใจอย่างไม่มีชีวิตชีวา บ่นขึ้นมาว่า “ผู้นำบอกว่า ‘เถียนมี่มี่’ เป็นเพลงที่เสื่อมทราม แน่นอนว่าไม่สามารถนำขึ้นแสดงในงานการคืนเทศกาลตรุษจีนของเมืองได้ ถ้าฉันยังกล้าร้องก็จะไล่ออก!”

                อู่เหมยกะพริบตาปริบๆ เวลานี้เธอถึงได้รู้ตัวว่า ตอนนี้ไม่ใช่ชาติก่อนที่เพลงยอดนิยมจะมีหลายแบบหลายอย่าง แต่ว่ายุคแปดสิบที่เพิ่งจะเปิดประเทศมาไม่กี่ปี เพลงของฝั่งไต้หวันยังคงถูกควบคุมหนักมาก

                เทปคาสเซ็ตของทางฝั่งนั้นส่วนใหญ่ลักลอบนำเข้ามา ไม่มีช่องทางปกติในการจัดจำหน่าย คนทางใต้มีมากมายที่ทำเฉพาะทางด้านเทปคาสเซ็ตเป็นอาชีพ เทปคาสเซ็ตเปล่าๆ หนึ่งม้วนก็หลายสตางค์ หนึ่งวันสามารถอัดได้หลายร้อยเพลง หนึ่งม้วนสามารถขายได้หลานหยวน อย่างไรก็มีคนมากมายแย่งกันซื้อ

                ชาติก่อนอู่เหมยชอบดูรายการสัมภาษณ์เกี่ยวกับผู้มีอิทธิพล แล้วผู้มีอิทธิพลทางฝั่งใต้ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกขายพวกของลักลอบนำเข้า คนนั้นมีเงินทองมากมาย ขอเพียงแค่ใจใหญ่ใจกล้า หากมีสติปัญญาก็สามารถปรับตัวได้ให้เข้ากับทุกสถานการณ์ เช่นนี้แล้วไม่มีทางที่จะทำเงินไม่ได้

                แต่ก็เป็นเพียงไม่กี่ปีก่อน ถ้าเธอจำไม่ผิด ก็คือสองปีนี้ ประเทศก็จะกวดขันเข้มงวดปราบปรามพวกพ่อค้าหน้าเลือด  และพวก ‘พ่อค้าหน้าเลือด’ ทั้งหลายที่โชคดีหน่อยก็จะสามารถหลบหนีพ้นได้ แต่พวกที่โชคไม่ดีก็จะโดนประหาร หรือว่าติดคุกไปทั้งชีวิต

                พอนึกถึงตรงนี้ใจของอู่เหมยก็หล่นวูบทันที ไม่รู้ว่าเหยียนหมิงซุ่นที่ตอนนี้เริ่มทำการค้า ซื้อแล้วขายของต่อในราคาที่สูงผิดปกติหรือไม่ ไม่ได้การละ พรุ่งนี้เธอจะไปหาเหยียนหมิงซุ่น ดูว่าเขากลับมาจากบ้านของคุณยายแล้วหรือยัง

…………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด