ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 790 คนตระกูลโอหยาง + 791 แม้แต่ “ผ้าเตี่ยว” ผืนสุดท้ายก็ไม่เอาแล้ว

Now you are reading ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น Chapter 790 คนตระกูลโอหยาง + 791 แม้แต่ "ผ้าเตี่ยว" ผืนสุดท้ายก็ไม่เอาแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 790 คนตระกูลโอหยาง

เหยียนหมิงซุ่นเกิดอาการตื่นตัวขึ้นมา ลางสังหรณ์คิดว่าคุณชายปินคนนี้ไม่ใช่คนดีอะไร อีกทั้งฟังแล้วก็เหมือนว่าจะมีความแค้นกับลุงหมิงอยู่  ยิ่งมีความเป็นไปได้ว่าที่ลุงหมิงต้องอยู่ที่คับแคบเหมือนรังหนูที่เมืองจินก็อาจจะเป็นเพราะผู้ชายคนนี้ก็ได้!

เขาตอบกลับอย่างระมัดระวัง “อาจารย์สุขภาพร่างกายไม่ค่อยดี เปิดร้านกระดาษ เวลาว่างก็ไปหางานพิเศษทำ พออยู่ได้ไปวัน ๆครับ”

คุณชายปินส่งเสียงยิ้มเยาะ “หมอนี่คงฝึกฝนทำสมาธิเพื่อพัฒนาตัวเองแล้วแน่ ๆ”

คนอื่น ๆได้ยินก็ต่างพากันสับสน มีผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่งถามอย่างอดไม่ได้ว่า “ โอหยางปิน ที่คุณพูดมามันไม่สอดคล้องกับเหตุผลเลย  แท้ที่จริงเฉินหมิงคนนี้เป็นคนยังไง? ทำไมถึงได้ไม่ลงรอยกับพวกคุณล่ะ?”

เหยียนหมิงซุ่นสะดุ้งตัวแข็ง  โอหยางปิน?

วงศ์ตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงก็มีแค่เพียงแซ่โอหยางแค่เพียงตระกูลเดียว เป็นโอหยางซานซานคนนั้นที่ไม่ลงรอยกับเหมยเหมย

โอหยางปินคนนี้กับโอหยางซานซานคนนั้นเกี่ยวพันกันยังไง?

เหยียนหมิงซุ่นอดไม่ได้ที่จะพินิจพิเคราะห์โอหยางปินอย่างละเอียด จึงสังเกตเห็นว่าหน้าตาของผู้ชายคนนี้กับโอหยางซานซานเหมือนกันอยู่หลายส่วน หากไม่สังเกตอย่างละเอียดก็คงมองไม่ออก ยิ่งยืนยันได้ว่าโอหยางปินกับโอหยางซานซานนั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาแน่

คิดดูแล้วถ้าไม่ใช่พ่อลูกก็พี่น้อง แต่ถ้าอิงตามอายุ ความเป็นไปได้ที่จะเป็นพ่อลูกมีมากกว่า แต่อันหลังก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรหวงอวี้เหลียนมองขึ้นมาแล้วก็ดูโตกว่าโอหยางปิน รู้สึกเหมือนไม่ใช่คู่สามีภรรยา

โอหยางปินยิ้มเยาะพูดว่า “เจ้าเฉินหมิงหมอนี่น่ะเหลือจะทน เมื่อก่อนฉันยังเคยซวยเพราะมันด้วยล่ะ!”

คนอื่นต่างทำสีหน้าไม่ค่อยเชื่อ ยังนึกว่าโอหยางปินกำลังพูดเล่น “เมืองหลวงมีคนที่เจ๋งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? คาดไม่ถึงว่าจะสามารถทำให้คนอย่างโอหยางปินซวยได้? อาเฉิงคุณพูดหน่อยสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”

พี่เฉิงพูดยิ้ม ๆว่า “ก็เป็นเรื่องเก่าๆ ซ้ำซากเหมือนเดิมนั้นแหละ ปีนั้นเฉินหมิงยังวัยรุ่นอารมณ์ร้อนหัวรุนแรง  ทะเลาะกับโอหยางปินด้วยเรื่องเล็ก ๆ ทำให้โอหยางปินไม่พอใจ เรื่องนี้เฉินหมิงก็ทำไม่ถูก ดังนั้นเขาเลยออกไปจากเมืองหลวงด้วยตัวเอง เรื่องก็เกิดขึ้นมาสิบกว่าปีแล้ว  แต่ก็ไม่ได้ย่างกรายเข้ามาในเมืองหลวงเลยแม้แต่ครึ่งก้าว!”

เหยียนหมิงซุ่นแอบตกใจเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าลุงหมิงที่ดูเป็นคนสบาย ๆ ดั่งปุยเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าแบบนั้น คาดไม่ถึงว่าจะมีอดีตแบบนี้ด้วย?

คิด ๆดูแล้วเรื่องในปีนั้นพี่เฉิงคงจะพูดหลีกเลี่ยงปัญหาสำคัญไป แค่ดูก็รู้ว่าโอหยางปินเป็นหน้าเนื้อใจเสือ ปีนั้นจะต้องมีลงไม้ลงมือลับหลังแน่นอน ไม่อย่างนั้นลุงหมิงจะยินดีที่จะออกจากเมืองหลวงแล้วไปเป็นเถ้าแก่ร้านกระดาษที่เมืองได้อย่างไร?

คนอื่น ๆต่างก็รู้ดีแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ แน่นอนว่าโอหยางปินจะต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมบางอย่างจนเกิดเรื่องขึ้น แต่พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  แต่ก็เป็นแค่เพียงคนชั้นต่ำธรรมดาคนหนึ่งก็เท่านั้น คาดไม่ถึงว่าจะกล้าเทียบกับคนที่มีฐานะอย่างพวกเขา ช่างเป็นเสือที่อาจหาญทะเยอทะยานเสียจริง!

แค่ไล่ออกไปจากเมืองหลวงยังนับว่าปราณีเสียด้วยซ้ำ ถ้าหากทำให้พวกเขาโกรธล่ะก็ ชีวิตน้อย ๆก็คงจะไม่อยู่มาถึงวันนี้หรอก!

อันที่จริงปีนั้นโอหยางปินเดิมนั้นมีความคิดที่จะทำให้ลุงหมิงตาย แต่ลุงหมิงก็ไม่ใช่ว่าจะจัดการได้ง่าย ๆ เขามอบหมายให้ชายร่างใหญ่อีกคนหนึ่งเป็นคนกลาง ถึงแม้ว่าจะยอมรับความพ่ายแพ้ แต่กลับรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ก็ทำให้โอหยางปินยิ่งเกลียดจนเข้ากระดูกดำเพราะว่าทำให้เขาต้องเสียหน้า

มีผู้ชายคนหนึ่งที่ปกติไม่ค่อยลงรอยกับโอหยางปินเท่าไรนัก  ถามอย่างจงใจว่า “โอหยางปินคุณทำไมถึงได้ใจอ่อนล่ะ? คนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีแบบนี้ เวลานั้นควรจะเอาเขาให้ตายเสีย คาดไม่ถึงว่ายังจะให้เขาได้ใช้ชีวิตดี ๆอยู่อีก  คุณทำให้ผมต้องมองคุณใหม่แล้วจริง ๆ!”

สีหน้าของโอหยางปินเริ่มเย็นชา กัดฟันกรอด แต่ก็ยังตอบกลับไปด้วยเสียงหัวเราะว่า “ฉันเป็นคนดีจะตายไป จิตใจไม่ได้โหดเหี้ยมอำมหิตเหมือนคุณชายโจว ให้เขาออกจากเมืองหลวงไปก็พอแล้ว”

คุณชายโจวส่งเสียงยิ้มเยาะออกมา “เถอะน่า โอหยางปินคุณเป็นคนเมตตาใจอ่อนตั้งแต่เมื่อไรกัน? หมวกสีเขียว[1]ของพ่อยังกล้าสวม คุณยังมีอะไรที่ไม่กล้าทำอีก?”

…………………………………….

[1] คบชู้

ตอนที่ 791 แม้แต่”ผ้าเตี่ยว”ผืนสุดท้ายก็ไม่เอาแล้ว

ทุกคนต่างก็หัวเราะขึ้นมาอย่างเสียงดังด้วยท่าทีที่มีเลศนัย เรื่องที่คุณชายโจวพูด ในวงสังคมของพวกเขาดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับอะไรกลับเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างรู้กันดีอยู่แล้ว

โอหยางปินก็ไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร เขายิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าเรื่องความลามกเนี่ย ผมยอมรับนะ ว่าผมไม่เบา แต่เรื่องฆ่าคนเนี่ย ผมคงไม่กล้าจริง ๆ”

คุณชายโจวพูดแกมเสียดสีว่า “สาวใหญ่รสชาติเป็นอย่างไรบ้างล่ะ เหมือนเหล้าหรือเปล่าที่ยิ่งมีอายุก็ยิ่งรสชาติดี”

ทุกคนต่างก็ฮือฮาขึ้นมา หัวข้อสนทนาตอนนี้ออกนอกเรื่องไปไกลแล้ว จากเรื่องของเฉินหมิงก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องของผู้หญิงแทน บรรยากาศเริ่มคุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ

สีหน้าโอหยางปินไม่ได้เปลี่ยนไป เขาจับไปที่คางของหญิงสาวในอ้อมกอด แล้วพูดขึ้นว่า “แน่นอนอยู่แล้ว รสชาติของสาวใหญ่ย่อมดีกว่าลูกท้อเขียว ๆพวกนี้อยู่แล้ว คุณชายโจวไม่สนใจเหรอ”

“ไม่ดีกว่า ลูกท้อแก่ ๆคุณก็เก็บไว้ค่อย ๆกินคนเดียวเถอะ ผมชอบกินลูกท้อสีเขียวที่ยังอ่อน ๆอยู่มากกว่า”

คุณชายโจวกระชับตัวของหญิงสาวในอ้อมกอด หญิงสาวส่งเสียงร้องเบา ๆ กระตุ้นอารมณ์ของคุณชายโจวได้เป็นอย่างดี เสื้อผ้าบนตัวของหญิงสาวหลุดลุ่ย เผยให้เห็นผิวขาวผ่องภายใต้ร่มผ้าของหล่อน สะท้อนความเยาว์วัยของหล่อนได้เป็นอย่างดี

ผู้ชายคนอื่นก็ไม่สามารถทนกับการกระตุ้นเช่นนี้ได้ ต่างก็ลงมือกระทำกับหญิงสาวในอ้อมกอดของตัวเอง บรรยากาศภายในห้องได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง ช่างน่าเขินอายเสียจริง

เหยียนหมิงซุ่นก้มหน้าลงอย่างช้า ๆตามสัญชาตญาณของตัวเอง เขาหน้าแดงด้วยความเขินอาย แต่ก่อนเขาเคยได้ยินลุงหมิงพูดว่า คุณชายพวกนี้ใช้ชีวิตเสเพลมาก มากเสียจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ตอนนั้นเขากลับไม่ค่อยเชื่อ แต่ตอนนี้จากที่เห็น สิ่งที่ลุงหมิงพูดอาจจะยังเบาเกินไป คุณชายพวกนี้แม้แต่ผ้าเตี่ยวผืนสุดท้ายที่ปกคลุมร่างกายของพวกเขา พวกเขายังไม่เอาแล้วเลย

เสียงกระเส่าภายในห้องเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ปืนของพวกผู้ชายบางคนพร้อมที่จะปล่อยกระสุนอย่างเต็มที่แล้ว พี่เฉิงลุกขึ้นยืน ส่งสายตามาให้เหยียนหมิงซุน ทิ้งห้องไว้ให้คุณชายพวกนี้หาความสุขสำราญ แล้วก็ปิดประตูห้องนี้ลงอย่างช้า ๆ อีกทั้งยังเรียกให้พนักงงานสองคนมาเฝ้าหน้าประตูห้องไว้ ไม่ให้ใครหลุดเข้าไปได้

พี่เฉิงไม่ได้เป็นคนที่สูงมากนัก เขาเตี้ยกว่าเหยียนหมิงซุ่นประมาณหนึ่งคืบ ดูแล้วเหมือนกับเป็นอาจารย์ที่ให้ความรู้ในรั้วมหาวิทยาลัย มากกว่าเป็นลูกพี่ใหญ่ในแวดวงสังคม

“รู้จักโรงน้ำชาหวังปาไหม” พี่เฉิงถามขึ้น

เหยียนหมิงซุ่นพยักหน้า “รู้จักครับ”

โรงน้ำชาแห่งนี้เขารู้จักจริง ๆ เพราะว่าชื่อของมันพิเศษมาก ๆ ได้ยินมาว่าเจ้าของโรงน้ำชาแซ่หวัง เป็นลูกคนที่ 8 ก็เลยตั้งชื่อโรงน้ำชาว่า โรงน้ำชาหวังปา แล้วยังได้รับความนิยมมากอีกเสียด้วย

พี่เฉิงชื่นชมอยู่ในใจ แล้วถามขึ้นอีกว่า “เข้าเมืองครั้งแรกเหรอ”

เหยียนหมิงซุ่นพยักหน้าอีกครั้ง พี่เฉิงมองไปที่เขาด้วยสายตาที่ชื่นชมมากกว่าเดิม เขานิ่งไปสักพัก แล้วพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้บ่ายสามไปที่โรงน้ำชาหวังปา”

หลังจากพูดจบ เขาก็ไม่ได้สนใจเหยียนหมิงซุ่น แล้วก็เดินจากไปด้วยท่าทีที่สบายใจ จังหวะการเดินของเขาดูแล้วไม่ได้เร็วมากนัก แต่ความเร็วในการเดินกลับไม่ได้ช้าเลย เพียงครู่เดียวก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาแล้ว

เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย ไม่รู้ว่าพี่เฉิงเรียกเขาไปพบจะมีเรื่องอะไร แต่อย่างไรก็ตามพรุ่งนี้เขาก็ต้องไป ดูแล้วพี่เฉิงน่าจะเป็นมิตรไม่ใช่ศัตรูของลุงหมิง เขาน่าจะไม่ได้คิดร้ายอะไร คงอยากจะถามเรื่องของลุงหมิงละมั้ง

เขายืนอยู่ที่เดิมสักพัก เสียงในห้องดังขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะปิดประตูไว้ก็ไม่สามารถปิดเสียงความเร่าร้อนจากภายในห้องไว้ได้เลย ยิ่งฟังยิ่งทำให้เขารุ่มร้อน เลือดพลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย เขารีบสาวเท้าเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

เหมยเหมยที่อยู่หลังสวนดอกไม้ก็มีอารมณ์เดียวกันกับเหยียนหมิงซุ่น นกเป็ดน้ำคู่นั้นสมสู่กันมาจะครึ่งชั่วโมงแล้ว เสียงของพวกเขาดังขึ้นเรื่อย ๆไม่ได้มีท่าทีว่าจะผ่อนแรงลงเลย

เหมยเหมยอุตส่าห์มาตั้งไกลแต่กลับต้องมาดูถ่ายทอดสดการสมสู่ของนกเป็ดน้ำ หล่อนไม่รู้ว่าสมองของหล่อนทำด้วยอะไร ในขณะเดียวกันคุณหนูเซียวที่ได้ยินเช่นกัน กลับไม่ได้รู้สึกอะไร หนังตาไม่ได้กระพริบเลยแม้แต่ครั้งเดียว หล่อนเห็นเหมยเหมยทำท่าทีเขินอาย จึงพูดขึ้นมาว่า “เธอก็คิดเสียว่ามันเป็นหมาสองตัวสิ มีอะไรน่าอายกัน”

………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด