Doombringer the 5th 117

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 117 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.117 – ผู้ที่ไม่อาจละเว้น

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 113

ผู้ที่ไม่อาจละเว้น

 

Part 1

 

ซาลทำการตรวจสอบซ้ำอีกหลายครั้งจนแน่ใจว่าในเขตป่าสนธยาชั้นแรกไม่มี ‘บาร์คสกินพูม่า’ มอนสเตอร์ที่เป็นเป้าหมายของภารกิจในสัปดาห์นี้อยู่เลยแม้แต่ตัวเดียว

แม้จะมีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยในตอนที่เข้ามาในป่า แต่เหตุการณ์นั้นก็กินเวลาไปเพียงไม่ถึงชั่วโมง ซึ่งในเวลาเพียงเท่านี้ไม่น่าจะมีนักเรียนกลุ่มไหนสามารถทำการล่ามอนสเตอร์เจ้าที่เล่ห์แสนกลและมีความสามารถในการเอาตัวรอดสูงอย่างบาร์คสกินพูม่าได้แน่ อีกทั้งเรียนกลุ่มอื่น ๆ ก็ยังไม่ได้มาที่ป่าสนธยาเลยด้วยซ้ำเพราะส่วนใหญ่ยังคงทำการค้นคว้าข้อมูลของบาร์คสกินพูม่าอยู่ มันจึงเป็นเรื่องแปลกมากที่ในป่านี้จะไม่มีบาร์คสกินพูม่าอยู่เลย

ความเป็นไปได้สองอย่างคือก่อนหน้าที่นักเรียนห้อง 1-E จะได้รับมอบหมายภารกิจได้มีคนกลุ่มอื่นมาทำการล่าบาร์คสกินพูม่าไปก่อน หรือไม่ มันก็ไม่ได้ถูกนำมาปล่อยเอาไว้ในป่านี้ตั้งแต่แรก

สำหรับในกรณีหลังนั้นซาลคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะแม้เขาจะเพิ่งรู้จักกับอาจาร์บารัม (อาจารย์ประจำรายวิชาพื้นฐานภารกิจล่า) ในวันนี้ แต่เท่าที่เห็น อาจารย์บารัมก็เป็นนักผจญภัยที่จริงจังและมีประสบการณ์สูงคนหนึ่ง การจะลืมเอามอนสเตอร์มาปล่อยหรือจงใจแกล้งเหล่านักเรียนโดยการไม่นำมอนสเตอร์มาให้ล่าจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้

แต่สำหรับอีกกรณีคือมีคนมาล่าบาร์คสกินพูม่าไปก่อนหน้าเหล่านักเรียนนั้น ผู้ที่จะทำได้ก็ต้องเป็นคนที่รู้กำหนดการของการเรียนการสอนในสัปดาห์นี้เช่นกัน ซึ่งนักเรียนทั่ว ๆ ไปไม่น่าจะเข้าถึงข้อมูลนี้ได้ หรือต่อให้มีข้อมูลนี้การจะล่าบาร์คสกินพูม่าให้สำเร็จภายในเวลาครึ่งวันก็ต้องมีคนช่วยอยู่ดี อีกอย่างคือมอนสเตอร์ที่ถูกใช้เป็นเป้าหมายของภารกิจล่าจะมีการ ‘ทำเครื่องหมาย’ เอาไว้ด้วยเวทมนตร์ชนิดพิเศษ ทำให้รู้ว่ามอนสเตอร์เหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว การที่จู่ ๆ สัญญาณชีพของบาร์คสกินพูม่าทั้งสามตัวจะหายไปในเวลาอันรวดเร็วนั้นย่อมต้องสร้างความสงสัยให้กับอาจารย์และเจ้าหน้าที่ที่ดูแลรายวิชานี้อยู่แน่

เวททำเครื่องหมายนี้ยังเป็นเวทที่ใช้ระบุว่าหลักฐานการล่าที่นักเรียนนำมาส่งนั้นได้มาจากมอนสเตอร์ที่ทางโรงเรียนเป็นคนปล่อยออกไปจริง ๆ หรือไม่ด้วย เช่นในกรณีของบาร์คสกินพูม่าจะมีวัตถุดิบหายากคือเปลือกไม้ที่ห่อหุ้มส่วนหัวของมันอยู่ราวกับเป็นหน้ากาก เมื่อทำการล่าสำเร็จและใช้เวท ‘ดิสแมนเทิล’ (Dismantle) ทำการแยกชิ้นส่วนซากศพให้กลายเป็นวัตถุดิบก็จะได้ส่วนที่เป็นหน้ากากไม้นี้ด้วยเสมอ เพราะมันเป็นวัตถุดิบหายากเฉพาะตัวของบาร์คสกินพูม่า ซึ่งในหน้ากากนี้ก็จะมีเวทมนตร์สำหรับระบุตัวตนตกค้างอยู่ ทำให้สามารถรู้ได้ทันทีว่าชิ้นส่วนของบาร์คสกินพูม่าที่นักเรียนนำมาส่งภารกิจนั้นได้มาจากการล่าด้วยตนเองหรือไปซื้อชิ้นส่วนจากในตลาดแล้วนำมาส่งภารกิจ

เพราะยังมีข้อมูลน้อยเกินไปทำให้ซาลไม่อยากจะรีบด่วนสรุปอะไรในตอนนี้ เขาจึงมุ่งเน้นไปที่การหาข้อมูลเพิ่มก่อนเป็นอันดับแรก

ซาลพาคุโระเดินออกมาจนเกือบจะพ้นบริเวณชายป่า แต่เขาก็หยุดอยู่แค่บริเวณแนวไม้แห่งหนึ่งเท่านั้น ก่อนจะใช้แมลงเต่าทองสำรวจโดยรอบจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนี้ แล้วจึงหันมาพูดกับคุโระ

“ต่อไปนี้ฉันจะพานายไปยังฐานทัพลับ”

“เอ๋? ฐานทัพลับเหรอครับ?”

เพราะได้ฟังคำพูดแปลก ๆ ที่เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของซาล ทำให้คุโระขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ส่วนซาลก็เริ่มอธิบายต่อ

“ความจริงนายก็เคยไปที่นั่นมาแล้วล่ะนะ มันคือห้องมิติที่นายเคยเข้าไปโดยบังเอิญในคืนแรกของการเปิดภาคเรียนไงล่ะ ฉันทำทางเข้าเอาไว้ที่นี่ด้วยเผื่อมีเหตุจำเป็นน่ะ”

“อ๋อ ที่นั่นน่ะเอง”

คุโระยังคงจำห้องต่างมิติของซาลที่เขาเคยหลงเข้าไปในคืนแรกของการเปิดภาคเรียนได้ มันเป็นห้องอันโอ่โถงที่มีสภาพแวดล้อมคล้ายกับเป็นภายในบ้านพักตากอากาศของพวกชนชั้นสูงมากกว่า เพราะห้องมิติแห่งนั้นถูกแบ่งเป็นส่วนต่าง ๆ อีกหลายส่วน มีห้องหับมากมาย ทั้งยังมีพื้นที่ถึงสองชั้นด้วย

คุโระคิดว่ามันเป็นห้องต่างมิติที่สร้างขึ้นจากอาติแฟคทรงกลมที่เขาไปสัมผัสในคืนนั้น ความจริงวิทยาการสร้างห้องมิติก็ไม่ใช่ของแปลกอะไรเพราะมันเป็นของที่พบเห็นได้ทั่วไป ตามโรงแรมหรือที่พักหลายแห่งก็นิยมใช้วิทยาการนี้ในการสร้างห้องมิติขึ้นมาเพื่อประหยัดพื้นที่ เพียงแต่เขาไม่เคยเห็นทางเชื่อมต่อกับห้องมิติที่สามารถพกพาไปไหนมาไหนด้วยได้แบบอาติแฟคทรงกลมของซาล

“ข้างในนี้มันต่างกับที่นายเคยเห็นอยู่นิดหน่อย เพราะกำลังอยู่ระหว่างการขยับขยายปรับปรุงน่ะ แต่มันก็เป็นที่เดิมนั่นแหละ และด้านในยังมีพวกสมุนอัญเชิญที่ฉันใช้เป็นผู้ดูแลด้วย ดังนั้นถ้าเห็นใครอยู่ในนั้นก็ไม่ต้องแปลกใจล่ะ แล้วก็อย่าเอาเรื่องห้องมิตินี้หรือทางเข้าที่อยู่ที่นี่ไปบอกกับคนอื่นเด็ดขาดเลยนะ มันอาจมีปัญหาได้น่ะ”

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมพอจะเข้าใจ”

ห้องมิติส่วนตัวถือว่าเป็นของที่มีมูลค่าสูงทีเดียว และอาติแฟคที่ใช้สร้างห้องมิตินี้ขึ้นมาก็น่าจะเป็นของมีค่าประจำตัวของซาล หากคนอื่นรู้เข้าก็อาจทำให้ซาลตกอยู่ในอันตรายได้ ที่สำคัญคือมันเป็นเหมือนกับทางหนีฉุกเฉินหรือแหล่งกบดานในยามที่เกิดอันตราย การรักษาความลับของที่แห่งนี้ไว้จึงเป็นเรื่องสำคัญ สิ่งนี้ทำให้คุโระรู้สึกดีใจและปลื้มใจมากที่ซาลให้ความไว้วางใจกับเขาถึงขนาดยอมเปิดเผยความลับนี้ และยังเปิดเผยทางเข้าอีกแห่งของห้องมิติให้รู้ด้วย

เมื่อพูดคุยตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ซาลก็เอามือซ้ายแตะสัมผัสที่ไหล่ของคุโระ ก่อนจะเอื้อมมือขวาไปแตะสัมผัสที่ต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ทันใดนั้นที่ลำต้นของมันก็มีลวดลายอักขระเรืองแสงค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมา ก่อนที่แสงจากอักขระเหล่านั้นจะสาดส่องและกลืนร่างของทั้งสองคนให้หายวับไป

 

——————————————————————————–

 

Part 2

 

เมื่อการเคลื่อนย้ายเสร็จสิ้น คุโระก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง

ภายในห้วงมิติแห่งนี้มีแสงค่อนข้างน้อยราวกับเป็นเวลากลางคืน ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับห้องมิติที่มีลักษณะเหมือนกับเป็นห้องที่ถูกสร้างขึ้นในพื้นที่ใต้ดินอยู่แล้ว แต่เมื่อลืมตาและมองทุกอย่างอย่างชัดเจน คุโระก็ต้องรู้สึกตกใจ

เพราะที่ ๆ เขากับซาลยืนอยู่ไม่ใช่ภายในของห้องต่างมิติเหมือนกับที่เขาเคยเห็น

เบื้องหน้าของพวกเขามีคฤหาสน์ไม้ขนาดใหญ่หลังหนึ่งตั้งอยู่ ดูจากสภาพของผนังและสถาปัตยกรรมแล้ว นี่น่าจะเป็น ‘ด้านนอก’ ของห้องมิติที่คุโระเคยเห็น แต่เท่าที่จำได้ ห้องมิติแห่งนั้นเป็นห้วงมิติแบบปิด แม้จะมีหน้าต่างอยู่แต่ภายนอกหน้าต่างออกไปก็มีเพียงความมืดมิด เพราะพื้นที่ต่างมิติมีเพียงแค่ตัวห้องเท่านั้น นอกเหนือจากส่วนที่เป็นภายในของห้องต่างมิติแล้วทุกอย่างล้วนแต่เป็นห้วงมิติอันว่างเปล่า

แต่ตอนนี้เขากลับยืนอยู่ด้านนอกของห้องมิติแห่งนั้น มันกลายเป็นคฤหาสน์อันสมบูรณ์ซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบแห่งหนึ่งแทน

ที่ราบแห่งนี้เป็นที่ราบขนาดไพศาลซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหิมะบาง ๆ แต่หิมะเหล่านี้ไม่ได้แผ่ความเย็นออกมาเลยแม้แต่น้อย ทำให้บรรยากาศโดยรอบไม่ได้หนาวเย็นอย่างที่ควรจะเป็น เป็นเพียงความเย็นสบายของพื้นที่โล่งเท่านั้น ทิวทัศน์ที่ขัดกับสัมผัสทางกายภาพนี้จึงทำให้คุโระรู้สึกราวกับว่าสิ่งที่เห็นอยู่นี้เป็นเพียงแค่ภาพลวงตา

เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า เขาก็พบกับพระจันทร์ดวงโตสีเหลืองนวลลอยอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรีสีน้ำเงินเข้ม มันกำลังเปล่งแสงอันสุกสว่างลงมาอาบพื้นหิมะเบื้องล่างจนคุโระสามารถมองเห็นทิวทัศน์ทั้งหมดได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องอาศัยแหล่งกำเนิดแสงสว่างอื่นใดเลย

พอไล่สายตาดูดี ๆ แล้ว คุโระก็พบว่าที่ราบซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะนี้ยังมีจุดสิ้นสุดอยู่ บริเวณสุดขอบของมันมีลักษณะเหมือนกับเป็นหน้าผายุบตัวลงไป ไม่ว่าฝั่งไหนก็มีลักษณะแบบนี้ ทำให้ที่ราบแห่งนี้มีสภาพเหมือนกับเป็นส่วนบนสุดของที่ราบสูงซึ่งตั้งอยู่บนแท่นผาอันสูงชัน

เพราะเห็นคุโระตกตะลึงกับทิวทัศน์นี้อยู่เป็นเวลานาน ซาลจึงชวนคุยเพื่อเรียกสติของอีกฝ่ายกลับมาอีกครั้ง

“พอดีเมื่อเร็ว ๆ นี้ฉันเพิ่งจะได้… ‘ทุนการศึกษา’ มาจากผู้ใหญ่ใจดีกลุ่มหนึ่งน่ะ ก็เลยเจียดเงินมาขยับขยายห้องมิตินี่ให้ใหญ่ขึ้น แต่ขั้นแรกก็ต้องขยายพื้นที่รอบนอกซะก่อน แล้วค่อยต่อเติมส่วนของตัวอาคารอีกที ตอนนี้ก็เลยมีแต่พื้นที่เปล่า ๆ อย่างที่เห็นนี่แหละนะ”

คำพูดนั้นทำให้คุโระตั้งสติได้ แต่มันก็ทำให้เกิดคำถามในใจตามมา ว่าการขยับขยายห้องมิติจนกลายเป็นดินแดนต่างมิติแบบนี้เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ด้วยเหรอ? แล้วถ้าเตรียมพื้นที่กว้างขนาดนี้เอาไว้ ของที่คิดจะสร้างต้องมีขนาดใหญ่สักเท่าไหร่กันล่ะ? เพราะเท่าที่เห็นอยู่นี้ มันก็มีพื้นที่เกือบจะเท่ากับเขตวังหลวงของอาณาจักรจูริสอยู่แล้ว

แน่นอนว่ามันต้องมีขนาดใหญ่โต และนี่ยังเป็นพื้นที่แค่ส่วนแรกเท่านั้น เพราะสิ่งที่ซาลตั้งใจจะสร้างก็คือเรล์ม (Realm) โลกต่างมิติซึ่งมีพื้นที่ขนาดไพศาลแบบเดียวกับที่แซนโดรใช้เป็นที่ตั้งของมาลาไคท์คีป

นี่จะเป็นฐานทัพใหญ่ของเขาซึ่งจะใช้ในการสั่งสมกำลังพลและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อการยึดครองโลกในอนาคต ปราการเหล็กสีดำทมิฬจะถูกสร้างขึ้นที่นี่และแผ่ขยายออกไปปกคลุมพื้นหิมะของเรล์มแห่งนี้จนทั่วทุกระเบียดนิ้ว แม้แต่ตัวเรล์มเองก็จะต้องขยายอาณาเขตออกไปอีกเพราะตามแผนแล้วยังต้องใช้พื้นที่เยอะกว่านี้มาก แต่จนกว่าทางกองทัพซาลารัสจะมีรายได้จากแผนการ ‘ดูมโทเปีย’ มาเป็นรายได้หลัก ซาลก็ยังไม่อยากรีบใช้จ่ายเงินกองกลางในตอนนี้ จึงเพียงทำการสร้างพื้นที่เรล์มทิ้งเอาไว้และขยับขยายฐานที่มั่นเพียงบางส่วนเท่านั้น

หากตัวป้อมปราการถูกสร้างขึ้นแล้ว เขาคงไม่พาคุโระเข้ามาในเรล์มตรง ๆ แบบนี้เพราะมันจะทำให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัยมากจนเกินไป แต่ตอนนี้ส่วนที่เป็นฐานทัพนั้นถูกสร้างอยู่ใต้พื้นดิน ด้านบนจึงมีเพียงคฤหาสน์อันว่างเปล่าเป็นฉากบังหน้า สำหรับพื้นที่ว่างเปล่าซึ่งมีขนาดจำกัดและมีคฤหาสน์อยู่เพียงหลังเดียวแบบนี้ ซาลคิดว่ามันคงไม่ทำให้คุโระรู้สึกสงสัยมากนัก

ซึ่งความจริงนั่นเป็นความคิดที่ไม่ถูกซะทีเดียว

ถึงจะเป็นเรล์มขนาดเล็กที่มีแค่พื้นที่อันว่างเปล่า แต่มันก็ยังเป็นของที่อยู่เหนือสามัญสำนึกของคนทั่วไปอยู่ดี แม้แต่คุโระเองก็รู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้เห็นเช่นกัน

แต่เพราะที่ผ่านมา ซาลได้แสดงให้เขาเห็นถึงความรู้ความสามารถและคุณสมบัติที่ซุกซ่อนอยู่เอาไว้มากมาย ทำให้ภายในใจของคุโระเกิดความเคยชินขึ้นมาว่า ซาลารัส แฮลเซียนผู้นี้เป็นคนที่สามารถทำอะไรก็ได้ และเขายังมีความสามารถพิเศษซุกซ่อนเอาไว้อีกเยอะ ความเคยชินและแนวคิดได้ได้ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปเป็นความศรัทธาอันแน่วแน่ที่คุโระมีต่อซาล

หากเป็นคนทั่วไปเมื่อได้เห็นอะไรแบบนี้ย่อมเกิดความสงสัยว่าคนผู้นี้สามารถทำในสิ่งที่เหนือธรรมชาติและสามัญสำนึกเหล่านั้นได้อย่างไร แต่สำหรับคุโระที่รู้สึกชื่นชมและยกย่องในตัวซาลราวกับเป็นความศรัทธาที่เหล่าสาวกมีต่อเจ้าลัทธิแล้ว เขาจะมีบทสรุปในข้อสงสัยนั้นในทันทีว่า ‘เพราะซาลเป็นผู้มีความสามารถ’, ‘เพราะเป็นซาลจึงทำเรื่องเหล่านั้นได้’, ‘นี่เป็นความสามารถที่สมกับเป็นคุณซาลแล้ว’

ด้วยเหตุนี้ แม้สิ่งที่ซาลแสดงให้เขาเห็นจะเป็นสิ่งที่น่าตกใจและอยู่เหนือสามัญสำนึกไปบ้าง คุโระก็จะรู้สึกตื่นเต้นและชื่นชมยินดีโดยไม่มีความรู้สึกข้องใจหรือสงสัยในที่มาที่ไปของมันมากนัก

เพราะมันเป็นสิ่งที่สมกับเป็นคุณซาลแล้ว

 

——————————————————————————–

 

Part 3

 

ซาลนำคุโระเดินตรงมายังคฤหาสน์และพาเขาเข้าไปด้านใน ก่อนจะบอกให้คุโระรออยู่ในส่วนที่เป็นห้องนั่งเล่น ส่วนตัวเขาเองก็ขอตัวออกมาเพื่อที่จะไปตรวจเช็คอะไรบางอย่าง ซึ่งคุโระก็เชื่อฟังอย่างว่าง่ายและนั่งรอซาลอยู่ในห้องนั่งเล่นนั้น

หลังปลีกตัวจากคุโระออกมาแล้ว ซาลก็เดินตรงไปยังห้องด้านในซึ่งมีบันไดสำหรับขึ้นชั้นสองตั้งอยู่ แต่แทนที่เขาจะเดินขึ้นบันไดไป ซาลก็รวบรวมสมาธิเพื่อเทเลพอร์ทไปยังฐานทัพที่อยู่ในชั้นใต้ดินของคฤหาสน์ นี่เป็นสิทธิพิเศษที่เจ้าของเรล์มมีได้เช่นเดียวกับเจ้าของดันเจี้ยน แม้แต่แปดขุนพลก็มีสิทธิพิเศษนี้เช่นกัน

ร่างของซาลมาปรากฏในห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งมีหน้าจอเวทมนตร์จำนวนมากปรากฏอยู่ทั่วทุกมุมผนังราวกับเป็นห้องควบคุมที่ใช้จับตาดูความเคลื่อนไหวทุกซอกทุกมุมของสถานที่สำคัญ ภายในห้องมีคนมากมายกำลังเฝ้าดูหน้าจอของตนเองอยู่ แต่ทันทีที่ซาลปรากฏตัว ทุกคนต่างก็ละสายตาจากหน้าจอและลุกขึ้นยืนตัวตรงเพื่อแสดงความเคารพในทันที

คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้บัญชาการซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของห้องก็รีบลุกขึ้นแสดงความเคารพเช่นกัน ก่อนคนผู้นั้นจะขยับไปด้านข้างและให้ซาลเดินมานั่งแทนที่ เขาก็คือเอ็มเมอริช ขุนพลผู้ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของพื้นที่ต่าง ๆ และที่นี่ก็คือห้องบัญชาการของหน่วยรักษาความปลอดภัยที่เขาดูแลอยู่นั่นเอง

นี่เป็นห้องควบคุมที่จะทำการจับตาดูความเคลื่อนไหวทุกอย่างทั้งภายในเขตโรงเรียนและพื้นที่ใกล้เคียง โดยภาพในจอส่วนใหญ่ก็มาจากการแอบเชื่อมสัญญาณกับกล้องรักษาความปลอดภัยของโรงเรียนอีจิสไพร์มแล้วโอนข้อมูลเข้ามา ทั้งยังมีกล้องสอดแนมที่เอ็มเมอริชติดตั้งเพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งด้วยข้อจำกัดในเรื่องของกำลังคนและอุปกรณ์ การเฝ้าระวังจึงมุ่งเน้นไปที่เขตโรงเรียนและชุมชนรอบโรงเรียนเป็นหลัก แม้ห้องนี้จะมีความสามารถในการสอดแนมพื้นที่อื่นเช่นในดันเจี้ยนต่าง ๆ ที่อยู่รอบโรงเรียนด้วยก็ตาม

แต่ในกรณีที่ซาลออกไปนอกเขตโรงเรียน ขอบเขตการเฝ้าระวังก็จะย้ายตำแหน่งตามเขาไปด้วย เช่นเมื่อช่วงสายที่ซาลไปยังป่าสนธยาเพื่อทำภารกิจ เอ็มเมอริชก็เปลี่ยนพื้นที่หลักของการเฝ้าระวังมาเป็นป่าสนธยาโดยใช้ทั้งแผนที่สามมิติของพื้นที่ดันเจี้ยนและสมุนสอดแนมในการดูแลความปลอดภัยให้ ทำให้เขารู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นแทบทุกอย่าง รวมไปถึงรู้เหตุผลที่ซาลมาที่นี่ด้วย

“ผมทำการตรวจสอบอย่างละเอียดดูแล้ว แม้แต่ในพื้นที่ระดับสองและสามของป่าที่พวกมันอาจหลงเข้าไปได้ผมก็ลองตรวจสอบดูด้วย แต่ก็ไม่มีบาร์คสกินพูม่าอยู่เลยครับ…”

เอ็มเมอริชพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่แสดงความรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย นั่นเพราะเขารู้สึกเหมือนกับตนเองทำให้ซาลผิดหวัง ซึ่งซาลก็รู้นิสัยของขุนพลคนนี้ดีจึงตบไหล่ของอีกฝ่ายเบา ๆ และตอบกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก ว่าแต่พอจะมีวิธีตรวจสอบมั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกมัน หรือพวกมันถูกนำมาปล่อยตั้งแต่แรกรึเปล่าน่ะ?”

“ถึงโดยปกติเราจะไม่ได้ทำการเฝ้าระวังพื้นที่ดันเจี้ยนเป็นพิเศษ แต่เราก็มีการบันทึกความเคลื่อนไหวภายในดันเจี้ยนเอาไว้เป็นข้อมูลหยาบ ๆ ครับ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกเก็บเอาไว้เป็นเวลาเจ็ดวันก่อนจะลบทิ้งไป ดังนั้นเราน่าจะดึงข้อมูลความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงนี้ออกมาดูได้ครับ”

“โอ้ งั้นก็ดีน่ะสิ ไหนลองย้อนภาพขึ้นมาดูซิ”

เมื่อได้รับคำสั่ง เอ็มเมอริชก็หันไปพยักหน้ากับเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ซึ่งอีกฝ่ายก็ก้มหน้าก้มตาพิมพ์คำสั่งลงในแป้นพิมพ์ของตนเองทันที ไม่นานนักก็มีภาพสามมิติแบบมุมกว้างซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของป่าสนธยาชั้นที่หนึ่งปรากฏขึ้นมาบนอากาศเบื้องหน้าของเก้าอี้บัญชาการ

แผนที่นี้ถูกย่อส่วนให้เล็กลงมากเพื่อที่จะสามารถแสดงพื้นที่ทั้งหมดได้จึงแสดงตำแหน่งของมอนสเตอร์และผู้คนเป็นจุดแสงเล็ก ๆ เท่านั้น มอนสเตอร์ในพื้นที่จะแสดงเป็นจุดแสงสีเหลือง ส่วนสมุนอัญเชิญที่อยู่ในสังกัดของกองทัพซาลารัสจะแสดงเป็นจุดแสงสีเขียว และมนุษย์ซึ่งเป็นคนนอกจะแสดงเป็นจุดแสงสีแดง

วันก่อนหน้านี้คือวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ อีกทั้งนักเรียนส่วนใหญ่จะทำภารกิจประจำสัปดาห์เสร็จกันตั้งแต่ก่อนวันเสาร์แล้วเพื่อให้มีเวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่ในช่วงปลายสัปดาห์ ภายในดันเจี้ยนแห่งนี้จึงมีเพียงเหล่ามอนสเตอร์อยู่กันอย่างสงบโดยไม่มีผู้คนมารบกวน เอ็มเมอริชจึงเร่งเวลาการแสดงภาพให้เร็วขึ้นเพื่อให้สามารถดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นได้

เมื่อถึงช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนของวันอาทิตย์ บริเวณชายขอบของดันเจี้ยนก็ปรากฏจุดแสงสีแดงจำนวนหนึ่งโผล่เข้ามาในแผนที่ เอ็มเมอริชจึงชะลอเวลาลงและทำการซูมเข้าไปที่บริเวณนั้นเพื่อให้ดูเหตุความเคลื่อนไหวได้อย่างชัดเจน

เพราะเป็นข้อมูลที่เก็บไว้แบบหยาบ ๆ ภาพที่แสดงออกมาจึงเป็นเพียงเงาร่างสามมิติราง ๆ ของคนเก้าคนที่แทบจะมองไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงกันแน่ คนเหล่านี้นำกรงสามกรงซึ่งมีมอนสเตอร์อยู่ด้านในมาด้วย แม้ภาพร่างสามมิติที่แสดงอยู่จะเป็นภาพร่างอันไร้รายละเอียด แต่ซาลก็พอจะมองออกว่ามอนสเตอร์ที่มีรูปร่างคล้ายกับเสือซึ่งบางส่วนของร่างกายห่อหุ้มด้วยเปลือกไม้หยาบ ๆ แบบนี้คือบาร์คสกินพูม่าแน่นอน

กลุ่มคนที่นำมอนสเตอร์เหล่านี้มาได้แบ่งออกเป็นสามกลุ่มด้วยกัน แต่ละกลุ่มต่างก็นำบาร์คสกินพูม่าไปปล่อยยังจุดต่าง ๆ ของพื้นที่ดันเจียนซึ่งอยู่ค่อนข้างห่างกัน ก่อนที่ทุกคนจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งที่จุดเดิมและเดินทางออกจากป่าสนธยาไป

“นี่น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนที่รับผิดชอบเรื่องการปล่อยมอนสเตอร์ในภารกิจนี้สินะ แปลว่าพวกเขาได้นำบาร์คสกินพูม่ามาปล่อยแล้วจริง ๆ แต่การที่เราหามันไม่เจอก็แปลว่าในช่วงเวลาหลังจากนี้มีคนมาล่าพวกมันไปก่อนที่ภารกิจจะเริ่มขึ้น เร่งเวลาต่อไปซิ”

เมื่อได้ยินคำสั่งของซาล เอ็มเมอริชก็ทำการซูมภาพออกจนเป็นภาพมุมกว้างของป่าสนธยาและเร่งเวลาให้เดินไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ซึ่งหลังจากเวลาในแผนที่สามมิติผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็มีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาในพื้นที่

ด้วยความเปลี่ยนแปลงนี้ เอ็มเมอริชจึงทำการหน่วงเวลาให้เป็นปกติและซูมเข้าไปเพื่อดูกลุ่มคนที่เข้ามาในป่าสนธยาอีกครั้ง แต่ภาพร่างสามมิติแบบหยาบ ๆ นั้นก็ไม่ช่วยให้รู้รายละเอียดอะไรมากนักอยู่ดี

คนกลุ่มนี้มีจำนวนห้าคนด้วยกัน พวกเขามุ่งหน้าไปยังตำแหน่งของบาร์คสกินพูม่าแต่ละตัวโดยไม่เสียเวลากับการแกะรอยหรือค้นหาเลย ราวกับว่าพวกเขารู้ตำแหน่งของมอนสเตอร์เหล่านั้นอยู่แล้ว และทันทีที่ไปถึง พวกเขาก็จะทำการปิดล้อมและจับตัวบาร์คสกินพูม่าเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย สื่อให้เห็นว่าคนกลุ่มนี้เป็นนักผจญภัยที่มีฝีมือสูงทีเดียว

เหล่านักผจญภัยค่อย ๆ จับบาร์คสกินพูม่าไปทีละตัวจนครบทั้งสามตัว ก่อนที่พวกเขาจะออกจากพื้นที่ดันเจี้ยนไป ป่าสนธยาจึงกลับสู่ความสงบอีกครั้ง และไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติอะไรเกิดขึ้นอีก

หลังจากได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว ซาลก็นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน เพื่อพิจารณาถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

ที่เขาสงสัยคือ คนทั่วไปไม่น่าจะผ่านระบบตรวจจับของโรงเรียนที่ปิดกั้นพื้นที่ป่าเอาไว้และเข้ามาในดันเจี้ยนได้โดยง่าย ที่สำคัญคือหากเป็นแค่พวกลักลอบล่ามอนสเตอร์ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำเรื่องยุ่งยากอย่างการจับบาร์คสกินพูม่าไปเป็น ๆ เลย แค่ฆ่ามันซะและใช้เวท ‘ดิสแมนเทิล’ ทำการแยกวัตถุดิบกลับไปก็หมดเรื่อง การกระทำของคนกลุ่มนี้จึงทำให้เขารู้สึกสงสัยอย่างมาก

“อืม… คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของป่าสนธยาในช่วงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน แล้วถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงฉันจะติดต่อมาอีกที”

เอ็มเมอริชพยักหน้ารับทันทีที่ได้รับคำสั่ง ส่วนซาลก็ทำการเทเลพอร์ทกลับไปยังคฤหาสน์อีกครั้ง

เมื่อกลับมาแล้ว ซาลก็พาคุโระออกจากเรล์มและเดินทางกลับไปยังโรงเรียนในทันทีโดยที่ไม่ได้อธิบายอะไรให้อีกฝ่ายฟังมากนัก ซึ่งคุโระที่เห็นซาลมีท่าทีครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปเช่นกันเพราะไม่อยากจะรบกวนสมาธิ และเขารู้ว่าเมื่อถึงเวลา ซาลก็จะเล่าทุกอย่างให้เขาฟังเอง

ทันทีที่กลับมาถึงโรงเรียน ซาลก็พาคุโระกลับไปยังห้องเรียนของชั้น 1-E และกลับไปนั่งประจำที่ของตัวเองก่อนจะนำหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับเทคโนโลยีและวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่เลย ทำให้คุโระรู้สึกสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง เพราะดูยังไงก็เหมือนกับว่าซาลแค่มาที่นี่เพื่ออ่านหนังสือฆ่าเวลาเท่านั้น

“เอ่อ… คุณซาลครับ เรากำลังรออะไรกันอยู่เหรอครับ?”

“อ้อ ก็รอคนทำภารกิจเสร็จไงล่ะ”

“เอ๋?”

คุโระพอจะเข้าใจว่าซาลหมายถึงอะไร เพราะเมื่อมีนักเรียนกลุ่มไหนทำภารกิจเสร็จ ชื่อของคนในกลุ่มก็จะถูกแสดงขึ้นบนกระดานของห้องเรียนเพื่อเป็นการแจ้งให้ทราบว่ามีกลุ่มไหนทำภารกิจเสร็จไปแล้วบ้าง และใช้เวลาในการทำภารกิจไปเท่าไหร่ ชื่อที่ปรากฏขึ้นก่อนก็อาจถูกเบียดลงไปอยู่ด้านล่างในภายหลังได้หากมีกลุ่มที่ทำเวลาดีกว่าปรากฏขึ้นมา นี่เป็นอีกระบบหนึ่งที่มีขึ้นเพื่อกระตุ้นให้เหล่านักเรียนเกิดการแข่งขันและพัฒนาตนเองในการเรียนและการทำภารกิจ

แต่ในเมื่อไม่มีบาร์คสกินพูม่าอยู่ในป่าสนธยา แล้วจะมีคนทำภารกิจสำเร็จได้ยังไงกันล่ะ?

หากมีคนล่าบาร์คสกินพูม่าสำเร็จไปก่อนหน้าที่พวกเขาจะไปถึงป่าสนธยาจริง ตอนนี้บนกระดานก็ควรจะมีรายชื่อของกลุ่มที่สำภารกิจสำเร็จทั้งสามกลุ่มปรากฏขึ้นมาแล้ว แต่ตอนนี้บนกระดานก็ยังมีเพียงความว่างเปล่า แปลว่ายังไม่มีใครทำภารกิจนี้ได้สำเร็จเลย

ในเมื่อยังไม่มีคนทำภารกิจสำเร็จ และในป่าก็ไม่มีบาร์คสกินพูม่าอยู่ด้วย คุโระจึงรู้สึกสงสัยว่าจะมีคนทำภารกิจสำเร็จหลังจากนี้ได้ยังไง

ซาลก็พอจะเข้าใจในความสงสัยของคุโระเช่นกัน แต่เพราะไม่อยากอธิบายอะไรมากเพราะจะเป็นการเปิดเผยขุมกำลังของเขามากจนเกินไป ซาลจึงหาอย่างอื่นมาดึงดูดความสนใจของคุโระแทน

“ฉันแค่อยากยืนยันทฤษฎีอะไรนิดหน่อยน่ะ อาจจะผิดก็ได้ แต่ตอนนี้เราแค่รออยู่เฉย ๆ ก็พอแล้ว… โอ้จริงสิ ฉันมีหนังสือเกี่ยวกับเฟนเซอร์ (นักดาบสายดวล) ที่นายน่าจะสนใจอยู่ด้วยนะ ลองเอาไปดูซิว่ามีอะไรที่ใช้ได้มั้ย”

ซาลนำหนังสืออีกเล่มหนึ่งออกมาและยื่นมันให้กับคุโระ มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับทักษะของเฟนเซอร์ คลาสระดับสองที่คุโระต้องการจะเป็น สำหรับคุโระเขาถือว่าของทุกอย่างที่ซาลมอบให้ย่อมไม่ใช่ของธรรมดา ๆ อยู่แล้ว บวกกับความเชื่อมั่นว่าซาลมีแผนการอยู่ในใจแล้ว จึงรับหนังสือมาอ่านอย่างว่าง่ายโดยไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีก

ทั้งสองคนต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือสลับกับพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในเรื่องต่าง ๆ ไปด้วย ทั้งเรื่องสมุนอัญเชิญของซาล, เรื่องการฝึกฝนของคุโระ, ไปจนถึงเรื่องสมาคมพันธมิตรและรุ่นพี่โลริน ทำให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้เวลาก็ได้ล่วงเลยมาจนถึงช่วงเย็นแล้ว

ทันใดนั้นเอง กระดานของห้องก็เปล่งแสงอ่อน ๆ ออกมา ทำให้ทั้งซาลและคุโระต่างก็ต้องหันไปดู ไม่นานนักก็มีรายชื่อของนักเรียนหลายคนปรากฏขึ้นบนกระดาน เป็นการประกาศว่ามีผู้ที่ทำภารกิจของสัปดาห์นี้เสร็จสิ้นแล้ว

บนกระดานนั้นมีรายชื่อของคนอยู่ทั้งหมด 15 คน รวมแล้วก็คือมีคนทำภารกิจสำเร็จไปสามกลุ่มด้วยกัน

คุโระที่เห็นภาพนั้นก็ขมวดคิ้วด้วยความข้องใจ ในขณะที่ซาลปรายตามองรายชื่อบนกระดานนั้นแบบผ่าน ๆ โดยไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก

ในเวลานั้นเขาก็เผยรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากออกมา ก่อนจะหันมาสบตากับคุโระอีกครั้ง ทำให้อีกฝ่ายได้แต่จ้องมองกลับมาด้วยสีหน้าที่งุนงงยิ่งขึ้นกว่าเดิม

 

——————————————————————————–

 

Part 4

 

ซาลไม่ได้กล่าวคำอธิบายอะไรเพิ่มเติมกับคุโระ เขาแค่กลบเกลื่อนไปว่าบางทีสมุนของเขาอาจมีความสามารถไม่พอที่จะค้นหาบาร์คสกินพูม่าได้ ทำให้ต้องกลับไปหาทางปรับแต่งแก้ไขดูใหม่ จึงขอเลื่อนการทำภารกิจออกไปก่อน เมื่อพร้อมแล้วเขาจะติดต่อมาอีกครั้ง ซึ่งแม้คุโระจะยังรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย แต่การที่คนเราจะผิดพลาดบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เขาจึงไม่ได้ซักถามอะไรอีกและแยกตัวไป

สำหรับซาล หลังจากแยกกับคุโระ เขาก็กลับไปยังระเบียงของชั้นลอยซึ่งเป็นที่นอนของเขา ก่อนจะเปิดประตูออกไปยังชั้นดาดฟ้าและเดิมอ้อมไปยังด้านหลังซึ่งเป็นจุดที่ซุกซ่อนทางเข้าอีกแห่งหนึ่งของเรล์มเอาไว้ เพื่อเดินทางกลับไปยังคฤหาสน์ในทันที

 

ในคืนนั้น ซาลไม่ได้เข้านอนตามเวลาปกติ แต่ลงมาอยู่ที่ห้องควบคุมซึ่งกำลังจับตามองพื้นที่ของป่าสนธยาทุกระเบียดนิ้วอย่างเข้มงวด ข้าง ๆ เขาคือเอ็มเมอริชผู้รับผิดชอบห้องควบคุมแห่งนี้ และด้านหลังยังมีบริแกนดีนและออร์เฟียซที่ตามมาสมทบด้วย

เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน นักผจญภัยเก้าคนพร้อมกับกรงมอนสเตอร์สามกรงก็เข้ามาในพื้นที่ของป่าสนธยาอีกครั้ง เป็นไปตามกำหนดการที่อาจารย์บารัมเคยบอกเอาไว้อย่างชัดเจน ว่าจะมีการนำมอนสเตอร์ตัวใหม่มาปล่อยทุก ๆ ตอนเที่ยงคืนของวัน

เพราะครั้งนี้เป็นการจับตาดูด้วยสมุนสอดแนมจำนวนมากที่แฝงตัวอยู่ในรูปของแมลง ทำให้ภาพของกลุ่มนักผจญภัยจากหลากหลายแง่มุมถูกส่งขึ้นมาบนหน้าจอต่าง ๆ ของห้องควบคุมเกือบครบทุกหน้าจอ ทั้งซาลและเหล่าขุนพลจึงทั้งได้เห็นและได้ยินการพูดคุยของคนเหล่านี้อย่างชัดเจน

นักผจญภัยกลุ่มนี้ก็คือเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนอีจิสไพร์มซึ่งมีหน้าที่ช่วยเหลือคณะอาจารย์ในการจัดเตรียมการเรียนการสอนนั่นเอง แน่นอนว่าหน้าที่ของพวกเขาในคืนนี้ก็คือการนำบาร์คสกินพูม่ามาปล่อยเช่นเคย

“แปลกอยู่เหมือนกันนะที่นักเรียนห้อง E สามารถล่าบาร์คสกินพูม่าทั้งสามตัวหมดได้ตั้งแต่วันแรกเนี่ย”

“นั่นสินะ มีการทำผิดกฎอะไรรึเปล่า? เป็นต้นว่ามีการร่วมมือกันระหว่างกลุ่มเพื่อทำการล่าน่ะ”

“ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่อาจารย์บารัมก็บอกมาแล้วว่าเขาไม่ถือหากจะมีการร่วมมือกันระหว่างกลุ่ม เพราะการเลือกมอนสเตอร์ที่เป็นโจทย์ยากอย่างบาร์คสกินพูม่าก็เพื่อบีบให้พวกเด็ก ๆ รู้จักร่วมมือกันในการผจญภัย ไม่ใช่เอาแต่ตัวรอดอย่างเดียว เขาเป็นอาจารย์ที่ให้ความสำคัญกับความสามัคคีมวลรวมมากกว่าความสามารถเฉพาะกลุ่มบุคคลน่ะ”

“ถึงจะร่วมมือกันหลาย ๆ กลุ่ม แต่บาร์คสกินพูม่าก็เป็นมอนสเตอร์ที่ยากเกินไปสำหรับนักเรียนห้อง E อยู่ดีนะ”

“นักเรียนปีนี้อาจจะมีมาตรฐานสูงกว่าปีก่อน ๆ ก็ได้ พวกนายไม่ต้องคิดมากหรอกน่า รีบ ๆ ทำงานของเราให้เสร็จกันดีกว่า”

บทสนทนาของเหล่าเจ้าหน้าที่โรงเรียนทำให้ซาลได้รู้ข้อมูลเพิ่มเติมขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายของเขามากนัก ที่สำคัญคือเหล่าเจ้าหน้าที่โรงเรียนไม่ใช่เป้าหมายของการเฝ้าดูในคืนนี้ เพราะเป้าหมายที่แท้จริงคือกลุ่มคนที่ลักลอบเข้ามาจับบาร์คสกินพูม่าไปต่างหาก ทั้งซาลและเหล่าขุนพลจึงได้แต่เฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่โรงเรียนอยู่เงียบ ๆ โดยไม่ได้มีใครแสดงความเห็นอะไรออกมา

หลังจากเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนทำการปล่อยบาร์คสกินพูม่าทั้งสามตัวจนครบและกลับออกจากป่าสนธยาไปแล้ว ในเวลาเพียงชั่วโมงเศษ ๆ ก็ปรากฏกลุ่มนักผจญภัยอีกกลุ่มหนึ่งรุกล้ำเข้ามาในป่าสนธยาเช่นเคย

เหล่าแมลงปีกแข็งสีดำนับสิบตัวซึ่งเป็นสมุนสอดแนมของเอ็มเมอริชต่างก็โบยบินไปเกาะตามลำต้นของต้นไม้และใบหญ้าโดยรอบเพื่อจับภาพของคนกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิด ทำให้รายละเอียดทุกซอกทุกมุมของพวกเขาถูกส่งขึ้นมายังหน้าจอในห้องควบคุมทันที

ทั้งห้าคนนี้เป็นผู้ชายทั้งหมด โดยสี่คนสวมชุดยูนิฟอร์มแบบเดียวกับเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนอีจิสไพร์มเช่นเดียวกับกลุ่มคนก่อนหน้านี้ แต่บรรยากาศที่แผ่ออกมาจากพวกเขากลับแตกต่างออกไป ทั้งชุดยูนิฟอร์มที่ไม่ค่อยเรียบร้อยราวกับเป็นชุดที่เอามาสวมอย่างลวก ๆ แบบขอไปที แถมท่าทีตามสบายที่ดูไร้ระเบียบนั้นยังผิดแผกไปจากเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีด้วย

เอ็มเมอริชทำการเปรียบเทียบรูปพรรณของคนเหล่านี้กับฐานข้อมูลของโรงเรียนในทันทีเพื่อตรวจสอบว่าคนกลุ่มนี้เป็นเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนจริงหรือไม่ แต่ในสายตาของซาลแล้วนั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญสักเท่าไหร่นัก

เพราะสมาชิกคนที่ห้าซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้ เป็นคนที่เขารู้จักดี

คน ๆ นั้นก็คือวารัล วารันเด้ อาจารย์ที่ปรึกษาของห้อง 1-E นั่นเอง

ทันทีที่เห็นวารัลอยู่ในกลุ่ม ทั้งเอ็มเมอริช, บริแกนดีน, และออร์เฟียซ ต่างก็นิ่วหน้าลงด้วยสีหน้าขุ่นเคือง

ทุกคนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวันแรกของการเปิดภาคเรียนอยู่แล้ว และรู้ว่าวารัลคนนี้ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อจอมพลของพวกเขาอย่างชัดเจนแค่ไหน เรียกได้ว่าวารัลเป็นผู้ที่เหล่าขุนพลต่างก็หมายหัวเอาไว้อยู่แล้ว เพียงแต่หากซาลยังไม่มีคำสั่ง พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรโดยพละการ

ทว่าการสร้างปัญหาให้กับจอมพลของพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ก็ทำให้เหล่าขุนพลเริ่มจะหมดความอดทนขึ้นมา

สำหรับซาล เมื่อได้เห็นใบหน้าของวารัล เขากลับไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิดหรือขุ่นเคืองอะไร เพียงแต่ยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยสีหน้าที่ดูเหนื่อยหน่ายเท่านั้น เขาไม่รู้สึกแปลกใจเพราะนี่เป็นสิ่งที่เขาได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว แต่หากเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากให้ตัวเองคิดถูกเลย

เพราะกลุ่มคนที่ลักลอบเข้ามาในป่าสนธยาเลือกที่จะจับตัวบาร์คสกินพูม่าไปแทนที่จะฆ่าทิ้งเพื่อเอาวัตถุดิบตามปกติ แปลว่าคนกลุ่มนี้มีจุดประสงค์อื่นอยู่ ไม่ใช่แค่พวกลักลอบล่าสัตว์ธรรมดา อีกอย่างคือการที่สามารถผ่านระบบตรวจจับและลอบเข้ามาในป่าสนธยาโดยไม่มีใครระแคะระคายแปลว่าคนกลุ่มนี้ได้รับความช่วยเหลือจากคนภายในโรงเรียน

อีกทั้งการรู้ตำแหน่งของบาร์คสกินพูม่าแต่ละตัวและสามารถตรงเข้าไปจับพวกมันได้อย่างง่ายดายนั้นแปลว่าผู้ที่ช่วยเหลือพวกเขาต้องเป็นผู้ที่รู้รูปแบบของเวทมนตร์ที่ใช้ทำเครื่องหมายบนตัวของบาร์คสกินพูม่า จึงสามารถสร้างเวทที่ใช้ตรวจจับกระแสเวทมนตร์จากเครื่องหมายเหล่านั้นขึ้นมาได้ ซึ่งคนที่เข้าถึงข้อมูลระดับนี้ได้ก็ต้องเป็นคนระดับอาจารย์เท่านั้น

และอาจารย์ที่เคยมีประวัติในการทำเรื่องแบบนี้เท่าที่ซาลรู้ก็มีวารัลเพียงคนเดียว

หากทำการฆ่าบาร์คสกินพูม่าด้วยตัวเอง ทางโรงเรียนก็จะรู้ว่ามีคนมาแอบมาล่ามอนสเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาตเพราะสัญญาณชีพของพวกมันจะหายไปเฉย ๆ ทั้งที่ยังไม่มีนักเรียนกลุ่มไหนทำการล่าได้สำเร็จเลย สิ่งนี้จะทำให้เกิดการตื่นตัวเป็นวงกว้างและทางโรงเรียนก็จะส่งคนมาตรวจสอบ ซึ่งไม่เป็นผลดีกับคนกลุ่มนี้นัก

เพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงใช้วิธีที่แยบยลกว่า คือแอบมาจับบาร์คสกินพูม่าไปเก็บไว้แล้วค่อยมา ‘ขายชิ้นส่วน’ ให้กับนักเรียนบางกลุ่มในภายหลัง เช่นอาจให้คนไปยื่นข้อเสนอกับนักเรียนบางกลุ่มว่าจะช่วยล่าบาร์คสกินพูม่าให้ แลกกับค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งนักเรียนที่ไม่มั่นใจว่าจะทำภารกิจนี้ได้สำเร็จย่อมตบปากรับคำโดยง่ายดายอยู่แล้ว

เมื่อทำข้อตกลงสำเร็จ คนกลุ่มนี้จึงค่อยฆ่าบาร์คสกินพูม่าและนำหน้ากากของมันมาให้พวกนักเรียนนำไปส่งภารกิจ ส่วนเหล่านักผจญภัยก็ได้ทั้งค่าจ้างและได้วัตถุดิบที่เหลือของบาร์คสกินพูม่าไป ซึ่งด้วยความหายากของมอนสเตอร์ชนิดนี้ วัตถุดิบที่ได้จากส่วนอื่น ๆ ที่ได้จากร่างกายของมันรวมกันน่าจะมากกว่าค่าจ้างเล็ก ๆ น้อยจากพวกนักเรียนซะอีก

ด้วยรูปแบบนี้ กลุ่มของวารัลก็จะสามารถล่าบาร์คสกินพูม่าเพื่อเอาวัตถุดิบได้โดยไม่มีใครรู้ แถมยังได้เงินค่าจ้างจากพวกนักเรียนเป็นโบนัสด้วย เป็นการค้าที่ได้กำไรถึงสองเด้งเลยทีเดียว

ทั้งหมดเป็นข้อสันนิษฐานที่ซาลคิดขึ้นได้จากข้อมูลแวดล้อมต่าง ๆ แต่เขาก็ยังไม่ปักใจเชื่อซะทีเดียว จึงรอข้อพิสูจน์อีกอย่างหนึ่งก็คือการส่งภารกิจของเหล่าเพื่อนร่วมห้อง ซึ่งถ้าหากว่ามีคนส่งภารกิจได้ภายในวันแรกแปลว่าข้อสันนิษฐานของเขานั้นถูกต้องแล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่ซาลพาคุโระไปนั่งรอดูการอัพเดทรายชื่อของผู้สำเร็จภารกิจที่ห้องเรียน แล้วก็เป็นไปดังคาด ในช่วงเย็นของวันนั้นมีคนทำภารกิจสำเร็จจริง ๆ แถมยังมีถึงสามกลุ่มด้วย

ทั้งบริแกนดีนและออร์เฟียซต่างก็มองดูกลุ่มนักผจญภัยในหน้าจอสอดแนมด้วยแววตาอันเย็นเยียบ พวกเขาไม่พอใจพฤติกรรมของวารัลมานานแล้ว การล้ำเส้นในครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้าย ทั้งคู่เพียงรอคำสั่งจากซาลเท่านั้น ในขณะที่เอ็มเมอริชยังคงมีสีหน้าอันซับซ้อนอยู่ เขาก็อยากจะจัดการกับตัวปัญหาอย่างวารัลเช่นกัน แต่ก็ยังรู้สึกลังเลเพราะคิดว่าเรื่องนี้อาจทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาในภายหลัง

ทางด้านซาลก็ยังคงครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน เพราะการจะเล่นงานวารัลนั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่าที่เห็น

หลังจากได้ยินเรื่องของคุโระ ซาลก็ให้อาซาเรลไปสืบเรื่องราวมาอย่างละเอียด และพบว่าวารัลคนนี้เป็นคนที่มีเส้นสายอยู่พอสมควร นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาได้รับการตักเตือนเพียงเล็กน้อยแม้จะทำความผิดทางวินัยร้ายแรง แถมยังได้เข้ามาเป็นอาจารย์ในโรงเรียนอันดับหนึ่งอย่างโรงเรียนอีจิสไพร์มด้วย เพราะมีผู้ใหญ่ช่วยปกปิดความผิดและให้การสนับสนุนนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ การจะเอาผิดวารัลด้วยวิธีการธรรมดา ๆ อย่างการส่งหลักฐานไปร้องเรียนจึงเป็นเรื่องที่ยากจะได้ผล คุโระและเพื่อน ๆ ในโรงเรียนเก่าของเขาก็เคยทำมาแล้วและต้องพบกับความล้มเหลว

แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ มีเพื่อนนักเรียนในห้องตอบรับข้อแลกเปลี่ยนกับนักผจญภัยของวารัลและทำการส่งภารกิจไปแล้วถึงสามกลุ่มด้วยกัน หากเรื่องนี้มีการสอบสวนขึ้นมาจริง ๆ นักเรียนเหล่านั้นก็ต้องตกที่นั่งลำบากเพราะทำผิดกฎของโรงเรียน ในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดพวกเขาอาจถูกไล่ออกจากโรงเรียน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ซาลไม่อยากให้เกิดขึ้น

เพราะเหตุผลที่ว่ามา การจะจัดการกับวารัลจึงต้องใช้วิธี ‘นอกรีต’ เท่านั้น แต่ซาลก็ยังรู้สึกลังเล เพราะหากจะจัดการกับปัญหาด้วยวิธีนี้จริง ๆ ก็ต้องลงมือให้เด็ดขาดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมา นั่นเป็นคติพจน์ของเขาที่มีต่ออริศัตรู

ที่เขาลังเลก็เพราะเขายังไม่ได้รู้สึกเกลียดชังวารัลมากขนาดนั้น

จริงอยู่ว่าซาลก็ไม่ค่อยชอบวารัลเพราะเรื่องที่อีกฝ่ายทำกับเขาและคุโระ แต่ซาลก็ไม่ได้ถือการกลั่นแกล้งเหล่านั้นว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร เพราะมันแทบไม่มีผลอะไรกับเขาเลย เขาจึงมองมันเป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น มันเป็นความพยายามอันไร้ประโยชน์ของคนที่มีเจตนาร้าย ถึงจะน่ารำคาญอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเกลียดชังจนถึงขั้นอยากจะทำลายอีกฝ่ายให้สูญสิ้นไป

เพราะมันเป็นเรื่องที่หากลงมือก็ต้องลงมืออย่างเด็ดขาด แต่ซาลกลับรู้สึกว่าโทษของวารัลยังไม่ถึงขั้นนั้น เขาจึงได้แต่ครุ่นคิดและทบทวนเพื่อหาวิธีที่เหมาะสมกว่านี้

ในระหว่างนั้นเอง นักผจญภัยคนหนึ่งก็เอ่ยปากขึ้นมา

“คุณวารัลนี่อัจฉริยะจริง ๆ นะครับ ทำแบบนี้เราก็ทั้งได้ล่ามอนสเตอร์หายากอย่างบาร์คสกินพูม่า แถมได้ค่าจ้างในการล่ามาเป็นของแถมด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลย เป็นแผนการอันไร้ที่ติจริง ๆ น่าเสียดายที่นักเรียนห้องนี้มีแค่แปดกลุ่ม แต่ได้บาร์คสกินพูม่าตั้งแปดตัวแบบนี้ก็เหลือแหล่แล้วล่ะนะครับ ถึงจะขาดส่วนของหน้ากากไป แต่ชิ้นส่วนอื่น ๆ ก็ยังขายได้ราคาแพงอยู่ดี”

นักผจญภัยหนุ่มหันไปพูดกับวารัลด้วยท่าทีประจบประแจง ในขณะที่วารัลเพียงแต่ตอบกลับมาด้วยสีหน้าอันเรียบเฉยเท่านั้น

“สำหรับเด็กกากเดนอย่างห้อง E น่ะ ส่วนใหญ่ก็คงไม่ปฏิเสธข้อเสนอในการช่วยล่าหรอกนะ แต่ก็มีกลุ่มที่มีคนอวดดีถือศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์จอมปลอมอยู่เหมือนกันอย่างกลุ่มของเจ้าเด็กที่ชื่อฟาร์โก้น่ะ ฉันไม่อยากเสี่ยงโดนร้องเรียน เพราะงั้นคงไม่ให้คนไปยื่นข้อเสนอกับกลุ่มของเจ้านั่นหรอก แปลว่าตัดบาร์คสกินพูม่าออกไปได้เลยหนึ่งตัว นอกจากนี้ยังมีเด็กเหลือขออีกกลุ่มหนึ่งที่ฉันไม่อยากให้พวกมันผ่านภารกิจนี้อีก ดังนั้นเราคงได้บาร์คสกินพูม่าแค่หกตัวเท่านั้นแหละ ส่วนอีกสองตัวพอหมดเวลาทำภารกิจแล้วคงต้องปล่อยตัวกลับไปตามเดิม”

คำพูดนั้นของวารัลทำให้ซาลเหลือบตากลับไปมองหน้าจอสอดแนมอีกครั้ง ส่วนขุนพลทั้งสามก็หรี่ตาลงและจ้องมองวารัลด้วยสีหน้าที่เริ่มมีโทสะคุกรุ่นขึ้นมา

เพราะทุกคนรู้ว่าเด็กเหลือขออีกกลุ่มหนึ่งที่วารัลพูดถึงก็คือซาลกับคุโระนั่นเอง

ทางด้านนักผจญภัยที่มากับวารัลนั้นดูจะยังรู้สึกเสียดายบาร์คสกินพูม่าอยู่ จึงไต่ถามถึงเรื่องนี้ต่อ

“เห~ ทำให้คุณวารัลอาฆาตได้ขนาดนี้เนี่ยไม่ธรรมดาเลยนะครับ พวกมันเคยก่อปัญหาอะไรเอาไว้เหรอครับ?”

เมื่อถูกถามถึงเรื่องนี้ สีหน้าของวารัลก็แปรเปลี่ยนไป จนนักผจญภัยหนุ่มรู้สึกได้ว่าตนเองอาจถามถึงเรื่องที่ไม่ควรถาม แต่เขาก็ยังพยายามปั้นสีหน้ายิ้มแย้มต่อไป ในขณะที่วารัลก็ตอบกลับมาด้วยใบหน้าถมึงทึง

“คนนึงเป็นเด็กจากโรงเรียนเก่าของฉันเอง มันเคยยื่นจดหมายร้องเรียนทำให้ฉันต้องถูกสอบสวนมาแล้ว ดีที่ฉันยังพอมีเส้นสายอยู่บ้างเรื่องก็เลยไม่ร้ายแรงอะไรนัก แต่เพราะแบบนี้ทำให้ไม่สามารถเลื่อนตำแหน่งตามกำหนดการเดิมได้เพราะต้องรอให้เรื่องซาลงไปก่อน ฉันถึงต้องมาเป็นอาจารย์ของนักเรียนกากเดนอย่างห้อง 1-E นี่ไงล่ะ ไม่งั้นต่อให้ไม่ได้ไปสอนชั้นปี 2 หรือ 3 ก็ควรจะได้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของห้อง 1-A เป็นอย่างน้อย

ส่วนอีกคนน่ะคือลูกชายของซารามอธแฮลเซียน เจ้าผู้สร้างหายนะคนนั้นไงล่ะ พ่อของมันน่ะ… หึ… เอาเป็นว่าการที่ลูกชายของผู้สร้างหายนะอย่างมันมาลอยหน้าลอยตาในโรงเรียนนักผจญภัยซึ่งมีไว้ปั้นผู้สร้างสันติภาพอย่างโรงเรียนอีจิสไพร์มเนี่ยเป็นการหยามเกียรติกันชัด ๆ ทั้งมันและเจ้าเด็กเปรตหัวขาวนั่นเป็นคนที่ไม่สมควรจะมาอยู่ที่นี่ ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะกำจัดพวกมันออกไปจากโรงเรียนนี้ให้ได้”

วารัลกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงและแววตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น ทำให้นักผจญภัยหนุ่มที่เอ่ยถามเรื่องนี้ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะหันไปสบตากับเพื่อนร่วมกลุ่มคนอื่น ๆ ซึ่งต่างก็ทำสีหน้าแบบเดียวกันเพราะพอจะรู้นิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นของวารัลดี ทุกคนได้แต่นึกในใจว่าเด็กทั้งสองคนนี้ช่างโชคร้ายซะจริง ๆ

อีกด้านหนึ่ง ในห้องควบคุมของฐานบัญชาการกองทัพซาลารัส สีหน้าของขุนพลทั้งสามคือเอ็มเมอริช, บริแกนดีน, และออร์เฟียซ ก็ไม่สู้ดีนัก

ทุกคนต่างก็มีสีหน้าหมองคล้ำไปตาม ๆ กันเพราะความรู้สึกขุ่นเคืองที่อัดแน่นอยู่ภายใน แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียง ๆ หนึ่งดังแว่วมา ทำให้ความสนใจของทุกคนหันเหไปยังต้นตอของเสียงนั้น

“หึ หึ หึ หึ… เฮ้อ…”

นั่นเป็นเสียงหัวเราะอันแผ่วเบาของซาลที่ตามมาด้วยการถอนหายใจเฮือกเล็ก ๆ มันไม่ใช่การหัวเราะแบบประชดประชัน แต่เขารู้สึกขบขันกับจังหวะเวลาอันเหมาะเจาะอย่างเหลือเชื่อนี้จริง ๆ

ในระหว่างที่กำลังคิดอยู่ว่าไม่มีเหตุผลที่จะทำให้ต้องลงมือหนักจนเกินไปและควรจะหาวิธีอื่น วารัลก็เป็นฝ่ายให้เหตุผลที่เขาควรจัดการกับขวากหนามชิ้นนี้ออกมาเอง

หากเป็นแค่การกลั่นแกล้งเพราะอคติโดยไม่ได้มีเจตนาลึกซึ้งอะไร ซาลก็พอจะมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไปได้และไม่คิดจะตอบโต้ แต่ถ้าหากอีกฝ่ายมีเจตนาถึงขั้นที่จะทำให้เขาต้องออกจากโรงเรียน มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เพราะมันเป็นเรื่องที่เป็นอุปสรรคต่อแผนการของเขาโดยตรง และซาลไม่ชอบให้มีอะไรมาขัดขวางแผนการของเขา

เขาหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบาเพราะรู้สึกขบขันกับถ้อยคำของวารัลที่ประกาศตัวเป็นศัตรูที่ไม่อาจละเว้นได้ออกมาเพียงชั่วเสี้ยววินาทีก่อนที่เขาคิดจะยอมละเว้นอีกฝ่าย และถอนหายใจออกมาเพราะรู้สึกเสียใจที่ต้องถูกบีบให้ทำในเรื่องที่เขาไม่อยากจะทำ

แต่เขาก็รู้ดีว่าบนเส้นทางสายนี้ ไม่มีทางที่เขาจะสามารถเดินไปถึงจุดหมายได้โดยไม่ต้องทำร้ายใครอยู่แล้ว

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ซาลก็เงยหน้าขึ้นและกล่าวคำพูดกับเหล่าขุนพลโดยที่สายตาของเขายังจับจ้องกลุ่มนักผจญภัยในหน้าจอสอดแนมอยู่

“ตอนนี้… เซธอยู่ที่ไหน?”

ทั้งเอ็มเมอริช, บริแกนดีน, และออร์เฟียซ ต่างก็หันมาสบตากันด้วยสีหน้าประหลาดใจ เพราะความจริงแค่พวกเขาก็สามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้ แต่ซาลกลับระบุชื่อของหนึ่งในสองขุนพลคนสนิทซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบหน่วยข่าวกรองออกมาโดยตรง แปลว่าเขาคิดจะมอบหมายงานนี้ให้กับหน่วยข่าวกรอง

แม้จะถูกเรียกว่าหน่วยข่าวกรอง แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่ากองกำลังหน่วยนี้เปรียบเสมือนหน่วยพิเศษที่รับหน้าที่ทำงานสกปรกทุกชนิดโดยไม่เลือกวิธีการ นั่นก็เพราะผู้นำของหน่วยคือเซธ นายพลที่โหดเหี้ยมและเลือดเย็นที่สุดในขุนพลทั้งแปด

การเรียกใช้เซธแทนที่จะเป็นอาซาเรลหรือสามขุนพลที่อยู่ที่นี่ แปลว่าซาลต้องการจะทำลายวารัลแบบขุดรากถอนโคนจริง ๆ เพราะหากให้เซธเป็นคนลงมือละก็ อย่าว่าแต่คนที่เกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมกับการกระทำความผิดนี้เลย แม้แต่คนในครอบครัวหรือเถ้ากระดูกของบรรพบุรุษก็อาจถูกขุดขึ้นมารับโทษด้วยก็ได้

เอ็มเมอริชกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ก่อนจะตอบคำถามของซาลด้วยน้ำเสียงที่มีความประหม่าอยู่เล็กน้อย

“…นายพลเซธกำลังไปสืบประวัติครอบครัวของนักเรียนแปดคนที่มาโจมตีท่านจอมพลเมื่อตอนกลางวันอยู่ครับ นายพลอาซาเรลก็อยู่ด้วยเพราะกลัวว่านายพลเซธจะทำอะไรเกินเลยก็เลยตามไปสังเกตการณ์ครับ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซาลก็กลอกตาขึ้นด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่าย ความจริงเขาก็พอจะรู้นิสัยของเซธอยู่แล้วและพอจะคาดเดาการกระทำแบบนี้ได้ แต่ก็ยังรู้สึกว่าเซธเป็นคนที่คิดเล็กคิดน้อยเกินไปอยู่ดี

เรื่องนี้ทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าหากให้เซธรับผิดชอบเรื่องนี้เพียงคนเดียวคงไม่เหมาะสมนัก เพราะนิสัยที่ไม่รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบานั้นอาจดึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาพัวพันโดยไม่จำเป็นได้ จึงควรมีใครสักคนคอยจับตาดูด้วย

“บอกให้เซธเลิกทำเรื่องไร้สาระได้แล้ว ให้เขากับอาซาเรลมาพบฉันที่ห้องประชุม ฉันมีงานจะมอบหมายให้พวกเขาทำ”

เมื่อพูดจบ ซาลก็ทำการเทเลพอร์ทไปยังห้องประชุมในทันที ทำให้เก้าอี้บัญชาการที่ขุนพลทั้งสามยืนรายล้อมอยู่กลายเป็นเก้าอี้ที่ว่างเปล่า

เอ็มเมอริช, บริแกนดีน, และออร์เฟียซ ต่างก็หันไปมองดูวารัลที่อยู่ในหน้าจอสอดแนมอีกครั้ง แต่ตอนนี้สายตาของพวกเขาไม่ได้เป็นสายตาที่ขุ่นเคืองหรือโกรธแค้นเหมือนกับก่อนหน้านี้แล้ว

มันกลายเป็นสายตาอันเย็นเยียบที่เจือปนด้วยความรู้สึกเวทนาอยู่ภายใน ราวกับสายตาที่ใช้จ้องมองสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ ที่กำลังจะหมดลมหายใจลงในเวลาอีกไม่นานนี้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด