Doombringer the 5th 90

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 90 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.90 – ทางเลือกของเด็กหนุ่ม

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 90

ทางเลือกของเด็กหนุ่ม

 

Part 1

 

ซิสเตอร์พาซาลกลับมายังห้องอธิการใหญ่แห่งลิลลี่โฮไรซอน

มันเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ราวกับท้องพระโรง ซึ่งฟากที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตูห้องมีโต๊ะทำงานตัวใหญ่ตั้งอยู่บนพื้นยกระดับ โดยสองฟากข้างบริเวณมุมห้องมีชั้นหนังสือขนาดใหญ่ตั้งประดับอยู่ด้วย

เมื่อมาถึง เธอก็นำแหวนสื่อสารออกมา และใช้มันติดต่อกับใครบางคน ทำให้มีเสียงใส ๆ ของหญิงสาวดังแว่วออกมาจากแหวน

“ยินดีต้อนรับกลับมาค่ะเอลเดอร์ฯ มีอะไรให้พวกเรารับใช้เหรอคะ?”

“มิลเลน ช่วยพาแขกที่ฉันให้เตรียมการรับรองเอาไว้มาที่ห้องของฉันทีนะ”

“รับทราบค่ะ จะจัดการให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”

เมื่อการสนทนาเสร็จสิ้น ซิสเตอร์ก็เก็บแหวนสื่อสารไปอีกครั้ง ซาลจึงถามด้วยความสงสัย

“เรากำลังจะเจอกับใครอีกเหรอ?”

“เธอพาใครมาบ้าง จำไม่ได้รึไง?”

“เอ๋!? แปลว่าทุกคนอยู่ที่นี่หมดเลยเหรอ?”

“อืม หลังจากการต่อสู้ ฉันก็เก็บซาก… หมายถึงพาทุกคนกลับมาพักฟื้นที่เรือนรับรองของมหาวิทยาลัย เพื่อให้พวกเขารอการกลับมาของเราไงล่ะ”

“เห? แอบไปทำแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?”

“ก็ยังไม่ได้ทำหรอก แต่เดี๋ยวเสร็จเรื่องแล้วก็จะไปทำนี่แหละ แต่สำหรับตอนนี้มันก็เป็นเรื่องที่ทำไปแล้วน่ะ”

คำพูดอันชวนสับสนนั้นทำให้ซาลขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง แต่ในที่สุดเขาก็นึกถึงความสามารถของอีกฝ่ายขึ้นมาได้

ซิสเตอร์มีความสามารถในการดึงตัวเองในอนาคตมาช่วยในการทำเรื่องต่าง ๆ ซึ่งเธอคงใช้ตัวเองในช่วงเวลาหลังจากนี้ในการไปรับตัวพวกแซนโดรมาพักฟื้นในเรือนรับรองตั้งแต่แรก ทำให้มันเป็นเรื่องที่เธอในตอนนี้ยังไม่ได้ทำ แต่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว

ในระหว่างรอการมาของทุกคน ซิสเตอร์ก็เอ่ยคำพูดกับซาลอีกครั้ง

“ครั้งนี้เราขึ้นไปบนสวรรค์แบบเสียเที่ยวเปล่า ๆ เพราะฉะนั้นรางวัลของเธอคงต้องเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นล่ะ อยากจะได้อะไรล่ะ?”

คำพูดนั้นทำให้ซาลนึกขึ้นมาได้ว่าทีแรกซิสเตอร์พาเขาขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อจะพาแม่ของเขากลับมาให้ แต่เมื่อไม่สามารถทำได้ เธอก็ยังถามย้ำเพื่อให้เขาเปลี่ยนคำขอเป็นอย่างอื่นแทน นับว่าเธอเป็นคนที่แฟร์อย่างที่พูดจริง ๆ

ส่วนสิ่งที่ต้องการนั้น เขามีคำตอบอยู่ในใจมานานแล้ว

“เอ่อ… พี่สาวพอจะหาที่อยู่ของแม่ผมได้รึเปล่าครับ? ตอนนี้แม่ของผมอยู่บนโลกนี่นา”

“อืม… ฉันไม่มีวิธีพิเศษอะไรในการตามหาแม่ของเธอหรอกนะ คงทำได้แค่ใช้เครือข่ายของลิลลี่โฮไรซอนในการช่วยหาเท่านั้น เว้นแต่เจ้าตัวจะเหยียบย่างเข้ามาในลิลลี่โฮไรซอนเอง แบบนั้นฉันถึงจะรู้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ทำได้แค่สืบข่าวตามวิธีปกติไปนั่นแหละ แต่ถ้ากระทั่งพีชคีปเปอร์ยังไม่ระแคะระคายอะไร แปลว่าแม่ของเธอต้องซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียนมากทีเดียว เพราะพวกนั้นมีเครือข่ายตรวจสอบสำหรับค้นหาชาวสวรรค์เป็นการเฉพาะอยู่ทั่วไปเลยล่ะ”

“งะ… งั้นเหรอครับ…”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของซาลก็หมองลงอีกครั้ง ทำให้ซิสเตอร์มีท่าทีอึดอัดไปด้วย แต่ครู่เดียวเขาก็เปลี่ยนเป็นสีหน้ายิ้มแย้มอีกครั้ง เหมือนกับเพิ่งนึกอะไรออก

“จริงด้วย! แล้วถ้าผมใช้สร้อยเส้นนี้น่ะ? ด้วยพลังของ ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ นี่น่ะ น่าจะพอมีวิธีทำให้ตามหาแม่ของผมได้นะ!”

ซิสเตอร์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งพลางหลบสายตาไปทางอื่นด้วยสีหน้าลำบากใจ ทำให้ซาลรู้สึกสงสัยกับท่าทางนั้น ซึ่งเพียงไม่นานนักเธอก็หันกลับมาพูดกับเขาอีกครั้ง

“สร้อยนั่น… ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ น่ะ ไม่สามารถใช้งานบนโลกนี้ได้หรอก”

คำพูดนั้นทำให้ซาลขมวดคิ้วและเอียงคอด้วยความสงสัยเพราะไม่ค่อยเข้าใจในความหมายของมันนัก จึงเอ่ยถามกลับไปด้วยความรู้สึกสับสน

“เอ๋? ใช้ไม่ได้? แต่ว่าก่อนหน้านี้เราก็เพิ่งจะใช้มันปลดปล่อยวิญญาณของคนในโลกเก่าไปนี่ครับ?”

“นั่นเพราะว่าอยู่ในโลกเก่าไงล่ะ ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ น่ะเป็นอาติแฟคที่ใช้งานได้เฉพาะในโลกเก่าเท่านั้น หากกลับมายังโลกนี้แล้ว มันก็เป็นแค่สร้อยธรรมดา ๆ ที่ไม่มีพลังอะไร เพราะไม่ใช่ของที่ถูกสร้างและออกแบบมาให้ใช้กับโลกนี้น่ะ เหมือนกับรีโมททีวีคนละยี่ห้อที่ใช้งานร่วมกันไม่ได้นั่นแหละ”

“วะ.. ว่าไงน๊าาาาา!?”

ซาลอุทานออกมาด้วยความรู้สึกตกใจ ไม่ใช่แค่เพราะมันไม่สามารถใช้ตามหาแม่ของเขาได้ แต่แปลว่าการเดินทางค้นหาอาติแฟคตามแฟนของแซนโดรในครั้งนี้จะให้ผลลัพธ์ที่ล้มเหลวตั้งแต่แรก และเป็นการเดินทางที่เสียเปล่า

“ไม่ต้องทำท่าตกใจขนาดนั้นหรอกน่า เธอคิดว่าถ้ามันเป็นของที่ใช้งานได้จริง ๆ ฉันจะยอมให้เธอถือมันออกมาจากโลกเก่ารึ? คงใช้กำลังแย่งมาตั้งแต่ทำการปลดปล่อยวิญญาณเสร็จแล้ว …หรือตอนที่ขึ้นไปบนสวรรค์ ‘เจ้านั่น’ ก็คงจะขออาติแฟคชิ้นนี้คืนไปเหมือนกัน แต่ที่ไม่มีใครพูดถึงหรือใส่ใจอะไรก็เพราะมันเป็นของที่ไม่มีค่าแล้วไงล่ะ”

คำพูดนั้นทำให้ซาลเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้เช่นกันว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่คิดจะทวงถามหรือขอ ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ จากเขาอีกเลย ทั้งที่มันเป็นของสำคัญขนาดนี้ นับว่าเขาเป็นฝ่ายที่คิดอะไรง่าย ๆ เกินไปเอง แต่ในระหว่างนั้นเขาก็นึกวิธีบางอย่างขึ้นมาได้ ซึ่งซิสเตอร์ที่มองเห็นสีหน้าแบบนั้นของเขาก็กล่าวดักทางอีก

“ถ้าคิดจะกลับลงไปยังโลกเก่าเพื่อใช้มันสร้างอะไรสักอย่างขึ้นมาใช้บนโลกใหม่ละก็ ขอบอกว่าอย่าเสียเวลาเลย เพราะโลกเก่าน่ะเป็นโลกที่ตายไปแล้ว กระแสเวทมนตร์ภายในนั้นจึงเหือดแห้งตามไปด้วย ที่ยังใช้งาน ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ ได้ถึงสองครั้งน่ะคงเป็นพลังงานเฮือกสุดท้ายที่โลกนั้นมีอยู่แล้วล่ะ ถึงเธอจะทำการชุบชีวิตให้กับโลกนั้นแล้ว ทว่าโลกที่มีแต่พืช ไม่มีทั้งมนุษย์และสัตว์แบบนั้นน่ะ คงจะใช้เวลาเป็นร้อยปีทีเดียว กว่าจะสั่งสมพลังเวทมนตร์ได้ถึงระดับพลิกฟ้าเปลี่ยนแผ่นดินได้อีก”

คำอธิบายของซิสเตอร์ทำให้ซาลมีสีหน้าที่บิดเบี้ยวเพราะความผิดหวังอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่กล้าจะโต้เถียงอะไรกลับไปมาก เพราะตัวเองก็คิดไม่ซื่อที่จะงุบงิบ ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ เอาไว้ใช้เองเช่นกัน จึงไม่ได้พูดอะไรกลับไป

ระหว่างนั้นก็มีเสียงคนมาเคาะประตูห้อง ซิสเตอร์จึงกล่าวอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามา

เมื่อประตูห้องเปิดออก หญิงสาวในชุดนักศึกษาของมหาวิทยาลัยลิลลี่โฮไรซอนซึ่งสวมแว่นและไว้ผมสั้นสีเทาก็ก้าวเข้ามา ก่อนจะไปยืนอยู่ข้าง ๆ ประตูและเชิญให้คนอื่น ๆ ตามเข้ามาในห้อง

แต่ผู้ที่เข้ามาคนแรก กลับเป็นอัศวินในชุดเกราะสีเทาโทรม ๆ ซึ่งถือห่อผ้าสีเขียวแก่อยู่ในมือ ตามมาด้วยนิโคลกับอัลติม่า และคนสุดท้ายคือเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่ดูมีอายุราว ๆ 5-6 ปี ซึ่งไว้ผมยาวสีดำขลับ

ซาลจ้องมองเด็กผู้หญิงคนสุดท้ายนั้นด้วยความประหลาดใจ เพราะเขารู้สึกคุ้นหน้าเธอเป็นอย่างมาก แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยพบเธอที่ไหน แต่เมื่อสังเกตดูการแต่งกายของเธอ รวมทั้งพิจารณาเค้าหน้ากับดวงตาสีม่วงอันงดงามราวกับอเมทิสต์นั้นแล้ว เขาก็ต้องอุทานออกมา

“ลานาเทล!?”

 

——————————————————————————————————-

 

Part 2

 

ซาลวิ่งเข้าไปหาทุกคนด้วยอาการตกใจ นิโคลกับอัลติม่านั้นดูปกติดี ไม่ได้เป็นอะไรนัก เขาจึงมุ่งไปยังลานาเทลที่ตอนนี้กลายสภาพเป็นเด็กผู้หญิงซึ่งตัวเล็กกว่าเขาซะอีก

“ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ล่ะ? เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

ลานาเทลปรายตาไปทางอื่นโดยไม่ยอมสบตากับซาล ก่อนจะตอบกลับไปด้วยอาการแง่งอนเล็กน้อย

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่แพ้เท่านั้นเอง… แต่ที่แย่คือดันโดนพวกเดียวกันยิงกระหน่ำจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดแน่ะ นี่ถ้าดิฉันกลิ้งตัวไปตามพื้นเพื่อหนีจากแรงระเบิดนั่นไม่ทันละก็ ป่านนี้คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้แล้วล่ะค่ะ”

เมื่อได้ฟังดังนั้น ซาลก็หันไปมองนิโคลกับอัลติม่าด้วยสีหน้าประหลาดใจ ซึ่งนิโคลก็ยิ้มเจื่อน ๆ ด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะอธิบาย

“คือเราคิดว่าคุณลานาเทลตายไปแล้ว ก็เลยรีบทำการโจมตีน่ะค่ะ …ไม่นึกว่าเธอจะยังมีชีวิตอยู่ในสภาพของเหลว การโจมตีนั่นก็เลยเกือบทำให้คุณลานาเทลตายไปจริง ๆ ต้องขอโทษอีกครั้งนะคะคุณลานาเทล”

“เฮอะ! ก็อยากซ่าส์ เข้าไปบวกกับฝ่ายตรงข้ามตัวต่อตัวเองนี่นา ทะเร่อทะร่าเข้าไปก่อนแล้วก็โดนเก็บเป็นคนแรกยังจะมาโวยวายอะไรอีกล่ะ?”

อัลติม่าแสดงท่าทีตอบสนองผิดกับนิโคลเป็นคนละเรื่อง ทำให้ลานาเทลพองแก้มด้วยความงอน แต่เพราะเธอกลายเป็นเด็กทำให้เค้าหน้าของเธอกลมขึ้นอยู่แล้ว พอแสดงอาการงอนจนแก้มป่องมันจึงดูน่ารักขึ้นไปอีก จนซาลอดอมยิ้มไม่ได้

“ว่าแต่ถ้ารอดมาได้แล้วทำไมตัวถึงหดเหลือแค่นี้น่ะ?”

“เพราะเลือดส่วนใหญ่ของฉันถูกน้ำแข็งตรึงแล้วก็โดนแรงระเบิดเผาไปหมดแล้ว ที่ลิลลี่ไรซอนนี่ไม่มีองุ่นเลือดขายเลย แถมฉันยังใช้องุ่นเลือดสำรองที่เก็บไว้ไปหมดแล้วด้วย พอคืนร่างด้วยเลือดเท่าที่เหลืออยู่ก็เลยสร้างร่างที่โตเต็มที่ได้แค่นี้น่ะค่ะ”

ลานาเทลอธิบายด้วยสายตาเหนื่อยหน่ายและสีหน้าที่เหมือนจะยังไม่พอใจอยู่ แต่มันก็ยังดูน่ารักอยู่ดี ทุกคนจึงไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรนัก ระหว่างนั้นเอง ซาลก็นึกถึงคนที่ขาดหายไปขึ้นมาได้

“เดี๋ยวก่อนซิ แล้วแซนโดรล่ะ? ทำไมถึงไม่มาด้วยกันล่ะ?”

“…ฉันอยู่นี่…”

เมื่อหันกลับไปมองยังต้นเสียง ซาลก็พบกับร่างอันโปร่งแสงของแซนโดรที่เหมือนกับเป็นภาพวิญญาณสีเขียวกำลังยืนอยู่ด้านหน้าอัศวินชุดเกราะที่ถือห่อผ้าอยู่ ทำให้เขาขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ

“แซนโดร? แล้วร่างจริงไปไหนล่ะ?”

“…ก็ …อยู่ในห่อผ้านั่นแหละ…”

ซาลมองตามไปยังห่อผ้าที่อยู่บนมือของอัศวินชุดเกราะ แล้วก็ต้อนหันกลับมามองร่างวิญญาณของแซนโดรอีกครั้ง

“หมายความว่ายังไงน่ะ?”

ร่างวิญญาณอันโปร่งแสงของแซนโดรแสดงแววตาอันเหนื่อยหน่ายออกมา ก่อนเธอจะกล่าวตอบด้วยท่าทางหงุดหงิด

“…ร่างลิชของฉันโดนยัยนั่นบดเป็นผงไปแล้ว …ถ้าไม่กลับไปที่มาลาไคท์คีปก็ซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ไม่ได้ ตอนนี้เลยต้องอยู่ในสภาพนี้ไปก่อน…”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซาลก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ก่อนจะหันไปมองยังซิสเตอร์ซึ่งอีกฝ่ายก็เหลือบตามองไปทางอื่นเหมือนกับจงใจจะหลบสายตาและทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าซิสเตอร์เป็นคนที่แข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่นึกว่าเธอจะเล่นงานทุกคนได้อย่างอยู่หมัดจนแต่ละคนต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าค่อนข้างโชคดีแล้วที่เธอยังยั้งมือและไม่ได้ฆ่าทุกคนไปจริง ๆ

หลังจากถามสารทุกข์สุขดิบกันเสร็จแล้ว ซาลก็อธิบายเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนได้ฟัง ตั้งแต่ที่เขาถูกพาตัวไป จนกระทั่งถึงการกลับมา

 

เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด แซนโดรก็ให้อัศวินชุดเกราะของเธอรับสร้อย ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ จากซาลมาดูและพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง พบว่ามันไม่มีพลังอะไรเหลืออยู่แล้วจริง ๆ จึงเก็บสร้อยนั้นเข้าช่องมิติเก็บของไป ก่อนจะหลับตาลงและพูดกับทุกคนด้วยสีหน้าที่กล้ำกลืน

“…ฉันประเมินทุกอย่างผิดไปเอง …ไม่คิดว่ามันจะเป็นของที่ใช้งานได้จำกัดแบบนี้ …ต้องขอโทษทุกคนด้วยที่ทำให้เดินทางมาเสียเที่ยวนะ…”

แซนโดรมีท่าทางที่ดูจะรู้สึกผิดจริง ๆ คงเพราะในครั้งนี้เกิดเรื่องที่อยู่นอกเหนือการวางแผนของเธอไปหลายอย่าง ทั้งการถูกซิสเตอร์เจอตัวเข้าตั้งแต่ยังไม่ทันจะได้ลงมือทำอะไร อีกทั้งอาติแฟคที่ดั้นด้นมาหาก็เป็นของที่ใช้ไม่ได้ ทำให้เธอรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก

“ไม่ต้องคิดมากหรอกแซนโดร การเดินทางครั้งนี้มันก็ไม่ได้เสียเปล่าหรอกนะ ผมคิดว่าเราได้ประสบการณ์ดี ๆ มาตั้งเยอะแยะน่ะ เพราะงั้นมันไม่ใช่การเดินทางที่เสียเปล่าหรอก”

ซาลพูดปลอบใจแซนโดรเพื่อให้เธอร่าเริงขึ้น ซึ่งแซนโดรก็เงยหน้าขึ้นมาและพบว่าคนอื่น ๆ ก็มองเธอด้วยสายตาที่ให้กำลังใจเช่นกัน ยกเว้นอัลติม่าที่แค่หันมองไปทางอื่นเหมือนทำเป็นไม่รับรู้เรื่องนี้

“…ถ้างั้นเราก็กลับกันเถอะ …ถึงเรื่องนี้จะล้มเหลว แต่ฉันก็ยังมีแผนการอื่น ๆ อยู่อีก …รีบกลับไปที่มาลาไคท์คีปเพื่อเตรียมตัวอีกครั้ง แล้วค่อยมาเลือกแผนการขั้นต่อไปดีกว่า…”

เมื่อพูดจบ อัศวินชุดเกราะของแซนโดรถือห่อผ้าและเดินนำทุกคนเพื่อออกไปจากห้องโดยมีร่างวิญญาณของแซนโดรเดินตามไปด้วย ทุกคนจึงค่อย ๆ เดินตามเธอไป ยกเว้นซาลเพียงคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ทำให้แซนโดรรู้สึกผิดสังเกตจนต้องหันกลับมา

“…ซาลารัส?…”

ซาลมีสีหน้าลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นมาพูดกับทุกคนด้วยสายตาอันมุ่งมั่น

“ผมคิดว่า… บางที… พวกเราควรจะแยกกันตรงนี้ดีกว่าครับ”

คำพูดของซาลทำให้ทุกคนหันมามองด้วยสีหน้าตกใจไปตาม ๆ กัน แม้แต่ซิสเตอร์ก็ยังแสดงอาการประหลาดใจออกมาด้วย แต่คนที่มีท่าทางข้องใจมากที่สุดดูจะเป็นแซนโดรที่ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเขาด้วยสายตาที่แสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดแจ้ง จนซาลต้องหลบสายตาไป

“…พูดอะไรของเธอน่ะ? …ละทิ้งเป้าหมายแล้วรึไง?…”

“มะ… ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย! แค่ว่า… ผมเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองคิดอะไรง่าย ๆ เกินไป การจะเป็นผู้สร้างหายนะและยึดครองโลกน่ะมันเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่ผมกลับไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง แถมยังทำอะไรไม่ได้เลยด้วย…”

“…บอกแล้วไงว่าฉันจะเป็นคนช่วยเธอเอง …ถึงเรื่องคราวนี้จะคว้าน้ำเหลว แต่ก็ยังมีวิธีอื่นในการรวบรวมอำนาจและทำให้เธอเป็นผู้สร้างหายนะได้อีก …ปล่อยทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ของฉันเถอะ…”

“แบบนั้นมันใช้ไม่ได้หรอก! เอาแต่พึ่งพาคนอื่นทั้งกำลังและความคิด มันจะไปมีประโยชน์อะไรกันล่ะ? เวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็ไม่สามารถช่วยเหลือใครได้ มีปัญหาอะไรกันก็ไม่สามารถยับยั้งได้ ทำได้แค่คอยติดตามไปเรื่อย ๆ … ผมไม่ได้คิดว่าแซนโดรจะมีเจตนาแอบแฝงหรอกนะ แต่แบบนี้มันก็เหมือนกับผมเป็นแค่หุ่นเชิดเลยไม่ใช่เหรอ?”

คำพูดของซาลทำให้แซนโดรถึงกับนิ่งไป ในขณะที่ทุกคนโดยรอบต่างก็เฝ้าดูการสนทนาของทั้งคู่อยู่เงียบ ๆ โดยไม่กล้าเข้าไปแทรก

“…แล้วเธอจะเอายังไง? …จะเลิกล้มความคิดที่จะเป็นผู้สร้างหายนะงั้นเหรอ?…”

“เรื่องนั้นผมยังไม่เปลี่ยนใจหรอก จากการเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมยิ่งเห็นความสำคัญของการเป็นผู้สร้างหายนะด้วยซ้ำ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งแซนโดรและคนอื่น ๆ ต่างก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา

“…หมายความว่าไง?…”

“ถึงจะดูเจริญรุ่งเรืองและถูกเรียกว่า ‘ยุคสมัยแห่งเกียรติยศ’ แต่เบื้องหลังของหน้าฉากอันงดงามนั้นกลับมีเรื่องที่ไม่ถูกต้องเก็บซ่อนอยู่อีกมากมาย แม้แต่พีชคีปเปอร์ที่ควรจะเป็นผู้นำพามนุษย์ชาติไปยังเส้นทางที่ถูกต้องก็กลับเป็นเครื่องมือในการตักตวงผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม ถึงขนาดกีดกันสวรรค์ออกจากโลก

อาจเพราะความสำเร็จในด้านต่าง ๆ ที่หนุนเสริมให้มนุษย์ชาติแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ  จนมีอำนาจเหนือภัยคุกคามทั้งปวงและอยู่ในภาวะสงบสุขเป็นเวลานาน พวกเขาจึงเริ่มละเลยความสำคัญของการมีมิตรสหายและแบ่งแยกฝักฝ่ายเพื่อผลประโยชน์แทนที่จะร่วมมือกันแก้ปัญหาอื่น ๆ ซึ่งกำลังกัดกร่อนรากฐานของโลกอยู่ ผมมองว่านี่เป็นก้าวแรกของการเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งการล่มสลาย

ด้วยเหตุนี้โลกจึงจำเป็นต้องมี ‘ตัวร้าย’ ที่ทำให้มนุษย์เห็นความสำคัญของการร่วมมือกันและการมีมิตรสหายขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งผมจะรับบทเป็น ‘ตัวร้าย’ ตัวนั้นด้วยการเป็นผู้สร้างหายนะเอง ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพื่อนำครอบครัวกลับคืนมา แต่เพื่อให้มนุษย์กลับสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ก่อนที่จะสายเกินไป”

ซาลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นและแววตาอันมุ่งมั่นจนทำให้ทุกคนได้แต่นิ่งเงียบ เพราะไม่นึกว่าเขาจะคิดอะไรแบบนี้ออกมาได้ ทั้งยังมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้มันเป็นจริงด้วย

“…ถ้างั้นเป้าหมายของเราก็ยังคงเหมือนเดิมนี่นา …ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องแยกทางกันเลย …ไปกับฉัน …ให้ฉันช่วยฝึกฝนเธอในการเป็นผู้สร้างหายนะ …แบบนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว…”

“ไม่หรอก… ผมคิดว่าวิธีการของเราน่ะต่างกันอยู่… ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอินิสตร้าแล้ว แซนโดรน่ะคงคิดจะทำลายพีชคีปเปอร์ไม่ให้เหลือแม้แต่ซากเลยสินะ?”

คำถามของซาลทำให้แซนโดรนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่เธอจะตอบกลับมาด้วยแววตาอันเย็นเยียบ

“…พวกมันเป็นองค์กรชั่วร้ายที่สวมหน้ากากของผู้ปกป้องโลกอยู่ …เป็นผู้ดีจอมปลอมที่ทำทุกอย่างตามใจชอบในนามของความยุติธรรม …องค์กรแบบนั้นน่ะควรจะล่มสลายไปซะ…”

“ผมเข้าใจความรู้สึกของแซนโดรที่ต้องการจะแก้แค้นดี… หากมีใครสักคนในที่นี้เป็นอะไรไปละก็ ผมเองก็อาจจมดิ่งสู่ความรู้สึกแบบนั้นด้วยก็ได้ แต่การทำลายพีชคีปเปอร์อย่างเบ็ดเสร็จอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก พวกนั้นควรถูกบั่นทอนอำนาจและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างซะใหม่ก็จริง แต่หากไม่มีพีชคีปเปอร์ละก็ โลกจะตกอยู่ในความวุ่นวายได้ ดังนั้นเราต้องทำลายอำนาจของพวกเขา โดยไม่ทำให้ตัวองค์กรต้องล่มสลายไป”

“…พูดมันง่ายนะ …ถ้าไม่ทำลายพีชคีปเปอร์แล้วคิดว่าจะนำทุกคนในครอบครัวกลับมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้รึไง?…”

“หากทำให้ครอบครัวของคนอื่น ๆ อีกมากมายต้องประสบกับเคราะห์กรรมเพราะโลกกลายเป็นสถานที่อันวุ่นวายไปละก็ ผมคงไม่สามารถอยู่อย่างมีความสุขได้อยู่ดีนั่นแหละ”

“…เอาแต่คิดถึงคนอื่นอยู่ได้ …เธออยากจะเป็นผู้สร้างหายนะหรือผู้ช่วยโลกกันแน่?…”

“ผมก็จะเป็นผู้สร้างหายนะเพื่อช่วยโลกไงล่ะ”

เหตุผลที่ฟังดูขัดแย้งในตัวเองของซาลทำให้แซนโดรเริ่มจะแสดงอาการหงุดหงิดออกมาทางสายตามากขึ้น ในขณะที่นิโคลกับลานาเทลแอบหัวเราะให้กับคำพูดอันขัดแย้งที่ฟังดูไร้เดียงสานั้น

“…สรุปว่าเธอไม่พอใจกับวิธีการของฉัน เลยจะแยกตัวไปสินะ?…”

“มันก็ไม่เชิงจะเป็นแบบนั้นหรอก แต่ผมรู้สึกว่าการให้แซนโดรคิดและทำทุกอย่างให้น่ะมันไม่ถูก นี่เป็นเรื่องที่ผมควรจะคิดและทำด้วยตัวเองมากกว่า แต่เพราะตอนนี้ผมยังไม่มีทั้งความรู้และความสามารถที่จะทำแบบนั้นได้ เพราะฉะนั้นเลยอยากให้เลื่อนเวลาออกไปก่อน จนกว่าผมจะมีความพร้อมมากกว่านี้”

“…ก็เดินทางไปพร้อมกับฉัน …ให้ฉันช่วยเป็นคนฝึกฝนและเตรียมความพร้อมให้กับเธอ แบบนั้นไม่ดีกว่ารึไง?…”

“การเดินทางของเราน่ะหลีกเลี่ยงเรื่องอันตรายไม่ได้หรอก และเวลาที่มีอะไรเกิดขึ้น ผมก็เป็นได้แค่ตัวถ่วงเท่านั้นเอง ผมไม่อยากหลบซ่อนเอาตัวรอดในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังต่อสู้อีกต่อไปแล้ว”

“………แล้วเธอคิดจะทำยังไงต่อ? …จะอยู่ที่นี่ ให้แม่นั่นเป็นคนฝึกฝนแทนรึไง?…”

แซนโดรพูดพลางมองไปยังซิสเตอร์ที่นั่งฟังเรื่องนี้อยู่ด้วยสีหน้าพึงใจจนน่าหมั่นไส้ แต่ซาลก็รีบปฏิเสธ

“ไม่หรอก ผมจะกลับไปที่อลาเรียเพื่อเรียนรู้และฝึกฝนตนเองที่นั่น ผมสัญญากับเซย์ไว้แล้วนี่นา ว่าพอเสร็จธุระที่นี่แล้วจะรีบกลับไปหา… นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมอยากจะหยุดการเดินทางเอาไว้ตรงนี้ เพราะบางทีเราอาจไล่ตามเป้าหมายหรือพยายามไขว่คว้าสิ่งที่สูญเสียไปแล้วจนเผลอละเลยในสิ่งที่ตัวเองยังมีอยู่…

ถึงการนำทุกคนกลับมาอยู่ร่วมกันจะเป็นเป้าหมายของผม แต่การรักษาเวลาที่มีกับครอบครัวที่เหลืออยู่ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้า หากมีอะไรผิดพลาดหรือแผนการล้มเหลว ผมอาจไม่ได้เจอกับพวกเขาอีกเลยก็ได้ ผมจึงอยากจะใช้เวลาในช่วงนี้ร่วมกับพี่ ๆ ทั้งสองคนให้มากที่สุดด้วย”

หลังจากฟังเหตุผลของซาล แซนโดรก็หลับตาลงครู่หนึ่งเหมือนกำลังตั้งสติ ก่อนจะลืมตาขึ้นมามองเขาอีกครั้งด้วยแววตาอันเย็นชา

“…อยากทำอะไรก็ตามใจ …แต่ฉันจะไม่รอเธอหรอกนะ …ถ้าทุกอย่างพร้อมเมื่อไหร่ ฉันก็จะลงมือทันที …ส่วนเธอ …ก็ขอให้มีความสุขกับช่วงเวลานี้ก็แล้วกัน…”

เมื่อพูดจบ ร่างวิญญาณของแซนโดรก็หายไป ก่อนที่อัศวินชุดเกราะของแซนโดรจะถือห่อผ้าเดินออกไปจากห้อง โดยซาลได้แต่มองตามไปด้วยสีหน้าลำบากใจและรู้สึกผิดเท่านั้น

 

——————————————————————————————————–

 

Part 3

 

หลังจากแซนโดรจากไปแล้ว ความเงียบก็ปกคลุมทั้งห้องอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งลานาเทลเอ่ยปากพูดขึ้น ด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วเพราะร่างกายที่กลายเป็นเด็กของเธอ

“เฮ้อ~ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเที่ยวเล่นให้มากกว่านี้อีกหน่อยแท้ ๆ แต่ที่ผ่านมาก็นับว่าได้รับความสนุกตื่นเต้นเกินกว่าที่คิดเอาไว้ในทีแรกเยอะแล้วล่ะนะคะ คงถึงเวลาที่ดิฉันต้องกลับไปทำงานของตัวเองเหมือนกัน”

ลานาเทลพูดด้วยท่าทางสบาย ๆ และสีหน้ายิ้มแย้มในระหว่างที่เดินเข้าไปหาซาล ก่อนจะนำแหวนวงหนึ่งออกมาจากช่องมิติเก็บของและยื่นมันให้กับเขา

“นี่เป็นแหวนสื่อสารสำหรับผู้นำระดับสูงของซันรีเวอร์ สามารถหลบเลี่ยงการดักสัญญาณได้เกือบ 100% แต่ข้อด้อยคือมีระยะทำการสั้นเพราะไม่ได้ส่งคลื่นผ่านเสาสัญญาณทั่ว ๆ ไป ดังนั้นหากอยู่ไกลมาก ๆ อาจติดต่อกันไม่ได้ แต่แหวนนี้ก็จะทำการเชื่อมต่อไปยังคนของตระกูลซันรีเวอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุดแทน ซึ่งด้วยสิทธิ์ของผู้ที่ครองแหวนนี้จะทำให้สามารถสั่งการคนของตระกูลได้เกือบทุกระดับชั้นเลย ถ้าต้องการความช่วยเหลือก็ให้ใช้แหวนนี่ได้เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจค่ะ”

หลังจากมอบแหวนให้กับซาลแล้ว ลานาเทลก็เขย่งเท้าขึ้นเพื่อกอดเขาเบา ๆ ก่อนจะบอกลาและเดินออกจากห้องไป

เมื่อลานาเทลไปแล้ว ซาลก็หันไปมองนิโคลกับอัลติม่า ที่กำลังมองมาทางเขาเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งนิโคลก็เป็นคนพูดขึ้นก่อน

“ฉันเห็นด้วยกับการที่คุณซาลารัสจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติอยู่แล้วล่ะค่ะ แต่ตอนนี้พีชคีปเปอร์ก็ยังตามหาตัวคุณอยู่ แบบนี้จะไม่เป็นอะไรแน่เหรอคะ?”

“เรื่องนั้นฉันพอจะช่วยได้นะ”

คนที่พูดแทรกขึ้นมาในระหว่างที่ซาลกับนิโคลกำลังคุยกันอยู่ก็คือซิสเตอร์ทำให้ทุกคนต้องหันไปมองด้วยความแปลกใจ

“เดิมทีทายาทของซารามอธก็ไม่ได้มีความผิดอะไรติดตัวอยู่แล้ว แค่ถูกจับตามองเท่านั้น ตัวเธอเองถ้าไม่ได้ถูกแม่ลิชคนนั้นพาหนีออกมาก็คงไม่มีใครตามหรอก ดังนั้นถ้าฉันแจ้งกับทางพีชคีปเปอร์ไปว่าได้ช่วยเธอจากเงื้อมือของนักเวทหัวกะโหลกมาได้แล้ว พวกเขาก็น่าจะยกเลิกการตามหาเธอเอง”

“แต่แบบนั้นผมก็ต้องกลับไปอยู่ในความควบคุมของพีชคีปเปอร์น่ะสิครับ?”

“ไม่ต้องห่วง ฉันจะออกตัวเป็นคนรับเธอไว้ในการอุปการะเอง และบอกกับพวกนั้นว่าจะให้เธอเรียนต่อในลิลลี่โฮไรซอน อาจทำให้เกิดความไม่พอใจนิดหน่อย แต่ก็แค่นั้นแหละ พวกนั้นไม่กล้ามีปัญหากับฉันอยู่แล้ว”

“แบบนั้นผมก็ต้องอยู่แต่ที่นี่น่ะสิครับ เกิดพวกเขาส่งคนมาตรวจสอบจะไม่มีปัญหาเหรอ?”

“ความจริงฉันจะช่วยกลบเกลื่อนให้ก็ได้ แต่ก็นั่นแหละนะ ถ้าไม่ได้เจอตัวจริง พวกนั้นก็คงอดสงสัยไม่ได้ เพราะงั้นเธอเอานี่ไป”

เมื่อพูดจบ ซิสเตอร์ก็โยนแหวนวงหนึ่งให้กับซาล มันเป็นแหวนเงินซึ่งมีลวดลายสีม่วงสลักอยู่โดยรอบ ในทีแรกเขาคิดว่ามันเป็นแหวนสื่อสาร แต่รูปแบบของพลังเวทที่ไหลเวียนอยู่ภายในแหวนนั้นมีลักษณะที่ต่างออกไป

“แหวนนี่คือ?”

“นั่นคือ ‘การรำลึกแห่งลิลลี่’ (Lilly’s Recall) เป็นอาติแฟคที่ใช้สำหรับเดินทางกลับมายังลิลลี่โฮไรซอน ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนในโลกก็สามารถใช้แหวนวงนี้เดินทางกลับมายังลานกว้างของลิลลี่โฮไรซอนได้ มันเป็นของที่ฉันสร้างขึ้นมาเพื่อให้พวกเด็ก ๆ ที่ไปปฏิบัติภารกิจยังแคว้นต่าง ๆ สามารถกลับมาที่นี่ได้อย่างรวดเร็วน่ะ”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายนั้น ซาลก็เข้าใจว่ามันคือแหวนรหัสที่พวกเขาตั้งใจจะมาขโมยในทีแรกนั่นเอง พอมานึกดูว่าพยายามวางแผนและเตรียมการตั้งมากมายกลับล้มเหลว แต่บทจะได้ก็ได้มาง่าย ๆ แบบนี้ มันช่างเป็นเรื่องตลกที่ขำไม่ออกจริง ๆ แต่เขาก็ดีใจที่ได้แหวนนี้มา

“ยอดไปเลย! แบบนี้ก็กลับมาแสดงตัวที่ลิลลี่โฮไรซอนเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ว่าพอมาที่นี่แล้วก็ต้องเดินทางกลับไปอลาเรียอีกทีนี่สิ เสียเวลาชะมัดเลย…”

“เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก ถ้าใช้ส่วนหัวของแหวนนั่นประทับลงกับพื้นจะสามารถกำหนด ‘จุดย้อนกลับ’ สำหรับการเทเลพอร์ทได้ เมื่อทำการเทเลพอร์ทอีกครั้งจากลิลลี่โฮไรซอนก็จะไปโผล่ที่จุดย้อนกลับซึ่งได้กำหนดเอาไว้ล่าสุด ไม่จำเป็นต้องเดินทางกลับไปเองด้วยวิธีปกติหรอก”

“ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอเนี่ย!? สุดยอดไปเลย! แบบนี้ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องพีชคีปเปอร์แล้วสินะ!”

ซาลตะโกนออกมาด้วยท่าทางดีใจ ทำให้นิโคลยิ้มออกมาเพราะรู้สึกดีใจไปกับเขาด้วย แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังคุยกันค้างอยู่ ซาลก็หันมาพูดกับนิโคลอีกครั้ง

“นิโคลน่ะ จะตามผมกลับไปที่อลาเรียด้วยก็ได้นะ คฤหาสน์ของเราที่นั่นน่ะยังมีห้องว่างอีกตั้งเยอะแยะเลย”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้าอยู่ที่นั่น คุณซาลารัสก็คงจะปลอดภัยดี เพราะมีพี่ชายกับพี่สาวอยู่ ฉันเองก็ไม่มีอะไรต้องห่วง หลังจากไปส่งคุณซาลารัสที่นั่นแล้ว ฉันคงจะขอตัวไปท่องเที่ยวยังที่ต่าง ๆ ตามที่เคยตั้งใจเอาไว้ และรอวันที่คุณซาลารัสจะติดต่อมาค่ะ”

“เรื่องไปส่งเจ้าหนูนี่ก็ไม่ต้องห่วงเหมือนกัน เดี๋ยวฉันจะใช้การเทเลพอร์ทพาไปส่งที่อลาเรียเอง เพื่อเป็นการประหยัดเวลาไงล่ะ ส่วนเธอถ้าอยากเดินทางไปที่ไหนก็บอกได้นะ”

คำพูดของพี่สาวที่พูดแทรกขึ้นมาอีกครั้งทำให้นิโคลรู้สึกโล่งใจ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกเศร้านิด ๆ เพราะนั่นหมายถึงเธอกับเขาคงต้องแยกทางกันที่นี่แล้ว

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็หมดห่วงค่ะ สำหรับตัวฉันเอง ขอเดินทางด้วยตัวเองดีกว่า เพราะอยากจะชมธรรมชาติระหว่างทางไปด้วยน่ะค่ะ… คุณซาลารัส… ถ้ามีเรื่องอะไรที่ต้องการให้ช่วยก็ติดต่อมาผ่านทางวงเวทพันธสัญญาได้เลยนะคะ ฉันจะรีบมาทันทีเลย”

“เอ่อ… สำหรับเรื่องที่อยากให้ช่วย ตอนนี้ก็มีแล้วล่ะครับ”

“เห?”

ระหว่างที่นิโคลยังทำหน้าสงสัยอยู่ ซาลก็นำวงเวทอัญเชิญของอัลดูอินกับวาเคียออกมาและสลายโครงสร้างของมัน เพื่อปลดปล่อยร่างจริงของทั้งสองคนออกจากวงเวท และบอกความประสงค์ของเขาออกไป

“ผมน่ะไม่มีคุณสมบัติที่จะเลี้ยงอัลดูอินกับวาเคียให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้หรอก เพราะตัวผมเองก็ยังอายุน้อยเกินไป มีเรื่องที่ไม่รู้อยู่อีกมากมาย ไม่สามารถไปสั่งสอนอบรมใครได้ แต่ถ้าเป็นนิโคลละก็ต้องทำได้แน่ ผมเลยอยากจะขอรบกวนให้นิโคลเป็นคนเลี้ยงดูอัลดูอินกับวาเคียแทนผมจะได้รึเปล่า?”

คำพูดของซาลทำให้อัลดูอินและวาเคียมองดูเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะหันไปมองนิโคลซึ่งกำลังยิ้มให้กับทุกคนอย่างอบอุ่น

“เรื่องนี้ฉันยินดีมากเลยค่ะ คุณซาลารัสไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ฉันจะพยายามเลี้ยงดูเด็กทั้งสองคนนี้ให้ดีที่สุดเลยค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ”

เมื่อพูดจบ ซาลก็ใช้มือดันหลังของวาเคียกับอัลดูอินเบา ๆ เพื่อให้ทั้งสองคนเดินไปหานิโคล แต่ทั้งคู่ก็หันมามองเขาด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์และแสดงท่าทางอย่างชัดเจนว่าไม่อยากแยกจากเขาไป แต่ซาลก็ลูบหลังของทั้งสองคนเพื่อเป็นการปลอบขวัญและพยักหน้าให้กับพวกเขาอีกครั้ง ทั้งคู่จึงยอมเดินไปหานิโคลในที่สุด

เมื่อเสร็จเรื่องกับสมุนอัญเชิญทั้งสองแล้ว ซาลกับนิโคลก็หันไปมองอัลติม่าซึ่งตอนนี้กำลังมีสีหน้าที่เคร่งเครียดอยู่

ความจริงอัลติม่าก็อยากจะตามซาลกลับไปอลาเรียด้วย แต่เธอไม่ถูกชะตากับพี่สาวของเขาเอาซะเลย เพราะเซย์ชอบมาติดหนึบกับน้องชายแบบไม่ยอมห่าง ทำเธอไม่มีโอกาสเข้าไปแทรก

แถมการเห็นทั้งคู่สนิทสนมแนบชิดกันยังเป็นสิ่งที่ทำให้อัลติม่ารู้สึกหงุดหงิดเป็นที่สุด แม้จะรู้ว่าทั้งคู่เป็นพี่น้องกันก็ตาม เธอจึงไม่อยากตามซาลไปยังอลาเรีย แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากจากเขาไปอยู่ดี ความขัดแย้งนี้ทำให้อัลติม่าตัดสินใจไม่ถูก และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

ซิสเตอร์ที่เห็นอัลติม่ากำลังลำบากใจเพราะหาทางออกไม่ได้ จึงเรียกเธอเข้ามาคุยด้วย

“เฮ้ ยัยปิศาจนั่นน่ะ มานี่หน่อยซิ”

“เรียกใครว่าปิศาจกันน่ะหา!?”

“แถวนี้มีปิศาจตนอื่นอยู่อีกเรอะ? แล้วจะหงุดหงิดที่ถูกเรียกว่าปิศาจทำไมเนี่ย?”

อัลติม่าเผลอเหวี่ยงซิสเตอร์เพราะความลืมตัวเนื่องจากกำลังหงุดหงิดที่คิดไม่ตก บวกกับยังคิดแค้นที่ถูกเล่นงานก่อนหน้านี้ แต่เธอก็ยังเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายแม้จะมีท่าทีที่ไม่ค่อยเต็มใจนัก

“เอ้า มีอะไรก็รีบว่ามาสิ”

“…ถ้าไม่รู้จะไปไหนละก็ เธอจะอยู่ที่นี่ก็ได้นะ”

“หา? แล้วทำไมฉันจะต้องอยู่ที่นี่ด้วยล่ะ?”

“ก็ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรอก แต่ถ้าเธออยู่ที่นี่ละก็…”

ซิสเตอร์หยุดพูดไปกลางคัน ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปหาอัลติม่าและกระซิบกับเธออีกครั้งด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา

“ในระหว่างที่เจ้าหนูนั่นเตรียมตัวเพื่อการเป็นผู้สร้างหายนะ ฉันก็จะช่วยเตรียมตัวให้เธอเป็นผู้หญิงที่สามารถช่วงชิงหัวใจของผู้สร้างหายนะได้ สนใจรึเปล่า?”

พอได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด อัลติม่าก็มีอาการตื่นเต้นจนออกนอกหน้าขึ้นมาในทันที เธอจ้องมองซิสเตอร์ด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ก่อนจะหันไปมองซาล แล้วก็หันกลับมามองซิสเตอร์อีกครั้ง

“ทะ… เธอพูดจริงเหรอ? ว่าแต่ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงคิดจะช่วยฉันล่ะ? เธอต้องการอะไรกันแน่?”

แม้จะยังมีอาการตื่นเต้นดีใจอยู่ แต่อัลติม่าในตอนนี้ก็ไม่คิดจะถูกใครหลอกได้ง่าย ๆ ถึงเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยแววตาเคลือบแคลง

“เพราะฉันเห็นว่าไม่มีใครเหมาะสมกับเด็กคนนั้นมากไปกว่าเธอแล้วไงล่ะ ก็เลยอยากจะช่วยให้ความหวังของเธอเป็นจริง และทำให้เด็กคนนั้นได้คู่กับคนที่เหมาะสมด้วย แต่ถ้าฉันฝืนใจเธอไป หรือเข้าใจอะไรผิดก็ต้องขอโทษด้วยนะ”

“ไม่ผิดหรอก! ไม่ผิดเลยสักนิด! เธอเข้าใจถูกที่สุดแล้วล่ะ!”

อัลติม่ากุมมือของซิสเตอร์แล้วพูดออกมาด้วยท่าทางกระตือรือร้น ก่อนจะหันกลับไปหาซาลและนิโคลซึ่งมองมายังทั้งคู่ด้วยท่าทีสงสัย

“นี่! ฉันจะอยู่ที่นี่แหละ! ถ้ามีอะไรก็ติดต่อมาทางพันธสัญญาอัญเชิญได้นะ!”

อัลติม่าตะโกนบอกพลางโบกมือด้วยท่าทางดีใจจนผิดปกติ ทำให้ซาลกับนิโคลรู้สึกสงสัยขึ้นไปอีก แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก และทำการร่ำลากันต่อ

“ถ้างั้นก็… ไว้พบกันใหม่นะครับ”

“ค่ะ ฉันจะรอวันที่คุณซาลารัสติดต่อมานะคะ”

เมื่อร่ำลากันเสร็จแล้ว นิโคลก็พาอัลดูอินกับวาเคียเดินออกจากห้องไป ซึ่งในระหว่างที่เดินไปนั้น ทั้งสองยังคงชะเง้อมองกลับมายังซาลอยู่เป็นระยะ ๆ นิโคลที่เข้าใจความอาวรณ์ของทั้งคู่จึงยิ้มและใช้มือลูบหลังของพวกเขาเบา ๆ เพื่อปลอบขวัญ จนสามารถพาทั้งคู่ออกจากประตูไปได้ แล้วประตูก็ปิดลง

 

หลังจากทุกคนไปกันหมดแล้ว ซิสเตอร์ก็พาซาลเทเลพอร์ทไปยังอลาเรีย และพาเขาไปส่งยังคฤหาสน์ของตระกูล ซึ่งที่นั่นก็มีพี่สาวของเขารออยู่แล้ว

เพราะอยู่ในร่างของผู้หญิง ทำให้เซย์เข้าใจผิดว่าเขาเป็นลาซารัส (แฝดคนน้อง) ในทีแรก เธอจึงรีบโผเข้ากอดและร้องไห้ดีใจในทันที แต่เมื่ออธิบายว่าเขาคือซาลและที่เป็นแบบนี้ก็เพราะไปลิลลี่โฮไรซอนมา ก็ทำให้เซย์แสดงอาการผิดหวังออกมาเล็กน้อย แต่เธอก็ยังรู้สึกดีใจมากที่เขาลับมา

เมื่อส่งเขาเสร็จแล้ว พี่สาวก็เตรียมจะเทเลพอร์ทกลับไปยังลิลลี่โฮไรซอน แต่ก็ถูกซาลทักไว้ซะก่อน

“พี่สาวน่ะ คงไม่ได้คิดจะทำอะไรแปลก ๆ กับอัลติม่าหรอกนะ”

“หืม? เรื่องนั้นมันก็… ขึ้นกับมุมมองล่ะมั้ง”

คำตอบอันน่าสงสัยของเธอทำให้ซาลจ้องมองกลับไปด้วยแววตาดุดัน แต่อีกฝ่ายก็ยังคงทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป

“ถ้าทำอะไรไม่ดีกับอัลติม่าละก็ ผมไม่ยกโทษให้แน่ ๆ ”

“แหม~ น่ากลัวจัง อย่ามองชั้นในแง่ร้ายนักสิ อีกอย่างคือเธอควรจะห่วงเรื่องของตัวเองดีกว่านะ คิดว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ กว่าจะพร้อมสำหรับการเป็นผู้สร้างหายนะน่ะ?”

“เรื่องนั้นผมก็ยังไม่แน่ใจเลย… แต่ก็คิดว่าจะค่อย ๆเ ตรียมการในเรื่องที่ทำได้ไปก่อน พร้อมกับฝึกฝนและเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ไปด้วยน่ะ น่าเสียดายที่คงกลับไปใช้ห้องสมุดของแซนโดรที่มาลาไคท์คีปไม่ได้แล้ว ความจริงมีบันทึกของโลกเก่าและเวทมนตร์ต่าง ๆ ที่ผมอยากจะศึกษาอยู่อีกเยอะเลย”

“ถ้าเรื่องนั้นละก็ มาใช้ ‘ห้องสมุดลับ’ ของลิลลี่โฮไรซอนก็ได้นะ ทางเข้าอยู่ด้านหลังชั้นหนังสือด้านซ้ายในห้องอธิการนั่นแหละ ที่นั่นมีบันทึกแห่งโลกเก่าที่ฉันรวบรวมเอาไว้ พร้อมทั้งวิทยาการเวทมนตร์ทั้งของโลกภายนอกและของที่ฉันคิดค้นขึ้นมาเองอยู่เยอะแยะ อยากจะศึกษาเล่มไหนก็เลือกดูได้ตามสบาย”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของซาลก็เป็นประกายขึ้นมา

“พูดจริงเหรอ!? มีของแบบนั้นอยู่ด้วยเหรอเนี่ย! แล้วให้ผมใช้ได้แน่นะ!?”

“จะถามย้ำทำไมเนี่ย บอกว่าได้ก็ได้สิ… เอาล่ะ เธอเองก็พยายามเข้านะ อย่าช้าล่ะ เพราะถ้าไม่รีบเข้าละก็…”

ซิสเตอร์เว้นช่วงคำพูดไว้ ก่อนจะก้าวถอยออกห่างจากซาลเพื่อเตรียมเทเลพอร์ท และพูดประโยคสุดท้ายกับเขาด้วยแววตาที่เหมือนกับเป็นการท้าทาย

“…โลกนี้อาจล่มสลายไปก่อนที่เธอจะเป็นผู้ทำลายมันก็ได้”

เมื่อพูดจบ เธอก็เทเลพอร์ทกลับไปยังลิลลี่โฮไรซอนทันที ทิ้งไว้แต่ประโยคอันเป็นปริศนาให้ซาลได้ครุ่นคิด แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เพราะซิสเตอร์มักจะพูดจาเป็นปริศนาแบบนี้อยู่แล้ว

ซาลสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้า พลางนึกย้อนถึงเรื่องราวต่าง ๆ ตั้งแต่ออกจากโรงเรียนอีจิสมา แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่ถึงปี แต่เขาก็ได้ผ่านพบและเรียนรู้อะไรมามากมาย ยิ่งกว่าที่คนบางคนจะได้พบเจอในหนึ่งช่วงชีวิตซะอีก

ทว่าทุกอย่างก็เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด