Doombringer the 5th 71

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 71 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.71 – พี่น้อง

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 71

พี่น้อง

 

Part 1

 

เมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือพี่ชายที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปี ซาลจึงเปิดประตูลงจากรถม้าด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน และรีบวิ่งตรงเข้าไปหาเขาพร้อมกับเรียกชื่อของชายหนุ่มออกมา

“เซอร์เก้!”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคนเรียก แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไร ซาลก็พุ่งเข้ากอดเขาดังหมับ จนเซอร์เก้ถึงกับเซถอยหลังไปเล็กน้อย

ในระหว่างที่กอด ซาลก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของพี่ชายเขานั้นค่อนข้างผอมมาก แม้การแต่งตัวของเซอร์เก้จะซ่อนรูปให้ดูเหมือนคนปกติ แต่พอได้สัมผัสตัวจริง ๆ แล้วจะพบว่าเขานั้นผอมกว่าที่เห็นเกือบเท่าตัว

ด้วยความสงสัย ซาลจึงเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายอีกครั้ง และพบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายดูซูบเล็กน้อย แถมยังมีรอยคล้ำใต้ตาเหมือนกับคนนอนไม่พออีกด้วย

ทางด้านเซอร์เก้ก็ต้องใช้เวลาพิจารณาเด็กผู้ชายที่พุ่งเข้ามากอดอยู่ครู่หนึ่งถึงได้รู้ว่านั่นคือน้องชายของตนเอง เขาจึงเริ่มยิ้มออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงแฝงความตื่นเต้นเล็กน้อยแม้แววตาจะยังดูเฉยชาไร้ความรู้สึกเหมือนเช่นเดิมก็ตาม

“ซาล? นี่นายเองเหรอเนี่ย? ว่าแต่ไปทำอะไรมาหัวถึงได้ขาวแบบนี้น่ะ?”

“อ๋อ อันนี้แซนโดรย้อมให้เพื่อใช้ในการปลอมตัวน่ะ”

“ออ จริงด้วยสินะ ว่าแต่ถ้าจะมาทำไมถึงไม่บอกกันก่อนล่ะ?”

“เอ๋? แซนโดรบอกว่าส่งจดหมายมาแล้วนี่นา?”

“หืม? ส่งมานานรึยัง? ถ้าจดหมายเพิ่งจะมาถึงวันนี้ก็คงจะอยู่ที่บ้านล่ะมั้ง ปกติฉันจะกลับเข้าบ้านอีกทีก็เมื่อสมาคมปิดทำการน่ะ แต่วันนี้ออกมาทำภารกิจจนค่ำ ยังไม่ได้กลับไปที่บ้านเลย”

ระหว่างที่คุยกันอยู่ก็มีชายอีกคนหนึ่งเดินปลีกตัวจากกลุ่มนักผจญภัยและตรงมายังจุดที่ซาลารัสกับเซอเจรัสยืนอยู่

เขาเป็นชายหนุ่มผมดำที่ตัดจนสั้นเกรียน มีรูปร่างสูงโปร่ง มองผ่านๆเหมือนจะเป็นคนผอมแห้งจนดูโย่ง แต่ความจริงร่ายกายของเขาเป็นกล้ามเนื้อแทบทั้งนั้น ที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็เพราะเขาสวมชุดของม๊องค์ที่เปิดเผยกล้ามเนื้อหลาย ๆ ส่วนให้เห็น โดยเฉพาะท่อนแขนและกล้ามหน้าอก

เมื่อเดินเข้ามาใกล้แล้ว ชายหนุ่มก็เอ่ยคำพูดกับเซอร์เก้

“คนรู้จักเหรอ? เดล?”

“อืม นี่เป็นญาติของฉันที่มาจากจูริสน่ะ นายช่วยจัดการที่เหลือต่อทีนะเฟย์ ชั้นจะพาพวกเขากลับไปที่บ้านก่อน”

“โอเค ไม่มีปัญหา”

ชายหนุ่มรับคำของเซอร์เก้และทำท่าจะหันหลังกลับ แต่เขาก็หันไปเห็นแซนโดรกับลานาเทลซะก่อนจึงหยุดมองด้วยสายตาสนอกสนใจไม่น้อย ก่อนจะเหลือบมองไปทางเซอร์เก้แล้วส่งยิ้มให้อย่างมีเลศนัย

เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของเฟย์ เซอร์เก้ก็ส่ายหน้าเล็กน้อยเหมือนจะปฏิเสธอะไรบางอย่าง ทำให้เฟย์มีสีหน้าผิดหวังก่อนจะเดินจากไป

เมื่อชายหนุ่มเดินจากไปแล้ว ซาลที่รู้สึกสงสัยในชื่อที่อีกฝ่ายใช้เรียกเซอร์เก้จึงถามขึ้น

“เดลเหรอ?”

“ที่นี่ฉันใช้ชื่อว่า ‘ดิลิก้า ไฮเนล’ พวกคนที่สนิทกันก็จะเรียกชั้นว่าเดลน่ะ เซย์เองอยู่ที่นี่ก็ใช้ชื่อว่าเซลิน่าด้วย แต่ชื่อเล่นก็ยังเป็นเซย์เหมือนเดิมน่ะนะ ถ้าไงก็อย่าเรียกพวกเราด้วยชื่อเดิมต่อหน้าคนอื่นละกันนะ พวกเขาจะได้ไม่สงสัยน่ะ”

“อ้อ แบบนี้นี่เอง เข้าใจล่ะ”

“เอาล่ะ อย่าเสียเวลาอยู่เลย นี่มันก็มืดแล้วน่ะนะ เรารีบกลับไปที่บ้านกันดีกว่า ฉันจะพาไปเอง”

เซอร์เก้หันไปพูดกับแซนโดร ซึ่งแซนโดรก็พยักหน้ารับก่อนจะกลับขึ้นรถม้าไป ส่วนตัวเขาก็ขึ้นไปนั่งบนที่นั่งของสารถีเพื่อขับรถม้าด้วยตัวเอง โดยมีซาลตามไปนั่งข้าง ๆ ด้วยท่าทางกระตือรือร้น

เมื่อแซนโดรและลานาเทลกลับขึ้นมานั่งบนรถม้า นิโคลก็แอบกระซิบกับแซนโดรเบา ๆ ถึงสิ่งที่เธอสัมผัสได้จากเซอร์เก้

“คุณแซนโดรคะ คน ๆ นั้นน่ะ?”

“…อืม …ไว้ฉันจะเล่าให้ฟังทีหลังนะ…”

แม้จะรู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าทั้งสองคนพูดเรื่องอะไรกัน แต่ลานาเทลก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปและนั่งประจำที่ของตัวเองอย่างสงบเสงี่ยม

 

รถม้าแล่นตรงไปตามทางโดยมีเป้าหมายคือแสงไฟระยิบระยับจากเมืองที่อยู่เบื้องหน้า

จากภายในรถจะได้ยินเสียงคนคุยกันดังแว่วมาตลอดเวลา มันคือเสียงการสนทนาของซาลกับเซอร์เก้ที่ดำเนินไปตลอดทางระหว่างที่รถกำลังแล่นอยู่

เมื่อเข้ามาถึงเขตเมืองได้สักพัก รถม้าก็เลี้ยวและเคลื่อนที่เลียบเขตชานเมืองไปแทนที่จะเข้าส่วนใจกลางเมือง เพื่อตรงไปยังย่านพักอาศัยที่อยู่รอบนอกของเมืองแทน

หลังจากเดินทางต่อมาได้อีกไม่นาน รถม้าก็มาหยุดอยู่หน้าอาคารแห่งหนึ่งในย่านพักอาศัย

เพราะอาคารโดยรอบจะมีความสูงไม่เกินสองชั้น ทำให้อาคารสามชั้นหลังนี้ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ ราวกับเป็นโรงแรม หรือที่ทำการสมาคมอะไรสักอย่าง

เซอร์เก้เชิญทุกคนลงจากรถม้าและเดินนำเข้าไปในอาคาร ซึ่งเมื่อเข้ามาแล้วทุกคนก็พบว่าภายในอาคารมีลักษณะเหมือนเป็นคฤหาสน์สำหรับพักอาศัยส่วนตัว ไม่ใช่โรงแรมหรือสมาคมอย่างที่คาด

หลังจากเข้ามาในอาคารเพียงครู่เดียวก็มีเสียงฝีเท้าของคน ๆ หนึ่งเดินลงบันไดมาอย่างรีบเร่ง และตรงมายังห้องโถงด้านหน้าที่ทุกคนอยู่

เจ้าของเสียงฝีเท้านั้นคือหญิงสาวผู้มีผมยาวสลวยสีแดงอ่อน และดวงตาสีน้ำเงินราวกับท้องฟ้าในคืนเดือนเพ็ญ เธอวิ่งมาหาเซอร์เก้โดยในมือกำจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้ด้วย

“นี่ ๆ เดล! ดูนี่สิ! จดหมายนี่น่ะ!”

หญิงสาววิ่งชูจดหมายโบกไปมาพลางตะโกนเรียกเซอร์เก้ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่เมื่อเห็นเด็กที่มากับเขา เธอก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง และจ้องมองเด็กคนนั้นด้วยตาเบิกโพลง

“ซาล!”

ทันทีที่พูดจบ เธอก็พุ่งเข้ามากอดซาลแล้วอุ้มขึ้นจนตัวลอย น้ำตาแห่งความปิติเริ่มไหลซึมออกมาจากดวงตาของหญิงสาว สีหน้าของเธอดูดีใจและมีความสุขมาก ราวกับได้รับของมีค่าที่เคยทำหายไปกลับคืนมา

ซาลเองก็รู้สึกดีใจเช่นกัน แม้การถูกกอดจนแน่นและอุ้มลอยขึ้นจากพื้นแบบนี้จะทำให้เขารู้สึกอึดอัดนิดหน่อย แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีขัดขืนอะไรเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายยังอยู่ในอาการตื่นเต้นดีใจ และอยากให้เธอซึมซับช่วงเวลานี้ไว้อย่างเต็มที่

เธอคนนี้ก็คือเซการัส แฮลเซียน พี่สาวคนรองของซาลนั่นเอง

 

——————————————————————————————————–

 

Part 2

 

หลังจากสงบอารมณ์ลงแล้ว เซอร์เก้ก็แนะนำ เซย์ หรือ เซลิน่า ไฮเนล (ชื่อที่เซการัสใช้ในเมืองนี้) น้องสาวคนรองให้กับทุกคน เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ที่แนะนำตัวแบบคร่าว ๆ ให้สองพี่น้องได้รู้จัก ก่อนจะพากันไปนั่งในห้องรับประทานอาหารเพื่อทานอาหารเย็นร่วมกัน

เพราะมีแขกจำนวนมากมาเยือนโดยไม่ได้คาดคิด เซย์จึงต้องสั่งอาหารจากร้านอาหารให้มาส่ง การเตรียมมื้ออาหารสำหรับทุกคนจึงต้องเสียเวลาเตรียมการเพิ่มอีกนิดหน่อย แต่เมื่อเทียบกับความปลาบปลื้มดีใจที่ได้พบกับน้องชายแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่สร้างความลำบากใจกับเซย์เลย

เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เซย์ก็นำทุกคนไปยังห้องพักที่จัดเตรียมไว้ให้ ก่อนจะพาซาลลงมานั่งคุยพร้อมกับเซอร์เก้ที่สวนด้านหลังของคฤหาสน์ ซึ่งสวนนี้สามารถมองเห็นได้จากหน้าต่างของห้องพักที่ทุกคนอยู่ด้วย

อัลติม่ามองดูสามพี่น้องด้วยสายตาที่ไม่พอใจนิดหน่อย เพราะเซย์มีอาการติดน้องชายแบบหนุบหนับ ทั้งตอนกินข้าวที่นั่งเบียดนั่งป้อนราวกับซาลเป็นเด็กเล็ก ๆ แถมตอนนี้ก็ยังอุ้มตัวเขามานั่งบนตักแล้วกอดไปคุยไปราวกับเป็นตุ๊กตา แม้จะรู้ว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน แต่นั่นก็ทำให้อัลติม่าอดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้

“กรอด… จะสนิทกันเกินไปแล้วนะ… ให้มันน้อย ๆ หน่อยเซ่… ถึงจะเป็นพี่น้องกันก็เถอะ…”

เมื่อเห็นอัลติม่าแอบมองซาลารัสกับพี่สาวด้วยท่าทางกระวนกระวาย ลานาเทลก็เลยคิดว่าควรช่วยพูดอะไรให้อัลติม่ารู้สึกสบายใจขึ้นซะหน่อย

“รู้มั้ยคะคุณอัลติม่า สมัยนี้เนี่ยนะคะ ความรักมันไม่มีพรมแดนหรอกค่ะ ให้เป็นพี่น้องแท้ ๆ ก็สามารถแต่งงานกันได้ ไม่มีกฎหมายห้ามซะหน่อย แล้วยิ่งนี่ไม่ใช่พี่น้องแท้ ๆ ด้วย เพราะงั้นแทบจะไม่มีปัญหาอะไรเลยค่ะ”

“วะ… ว่าไงนะ!?”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น อัลติม่าก็หันกลับมาจ้องลานาเทลด้วยตาเบิกโพลง

แซนโดรที่เห็นอาการของอัลติม่าน่าสนใจดีก็เลยเข้ามาผสมโรงด้วย

“…อืม …เคยได้ยินเรื่องวัฒนธรรมเกี่ยวกับการ ‘ค้ำคอร์’ ของโลกเก่ารึเปล่า? …พี่สาวบางคนก็มีรสนิยมชอบน้องชายในแบบคนรักนะ …ส่วนน้องชายบางคนก็ชอบพี่สาวในเชิงนั้นเหมือนกัน …กรณีแบบนี้ยิ่งผิดขนบธรรมเนียมก็จะยิ่งตื่นเต้นเร้าใจ …และสำหรับเด็กที่ชอบแหกกฎอย่างซาลารัสเนี่ย… คิดว่าไงล่ะ?…

“วะ… ว่าไงน๊าาาาา!?”

อัลติม่าหันกลับไปมองดูซาลกับพี่สาวด้วยดวงตาที่แทบจะถลนออกมานอกเบ้า แถมยังเอามือจิกขอบหน้าต่างจนเริ่มมีเสียงปริแตกของเนื้อไม้ดังออกมาทีละน้อย นิโคลจึงต้องลุกขึ้นมาพูดช่วย

“ทั้งสองคนเลิกแกล้งคุณอัลติม่าซะทีจะได้มั้ยคะ เดี๋ยวก็ฟุ้งซ่านกันไปใหญ่หรอก… ว่าแต่คุณแซนโดรคะ สองคนนั้นน่ะดูแปลก ๆ นะคะ”

“ชะ.. ใช่มั้ยล่ะ!? เกาะกันแจแบบนั้นน่ะมันผิดปกติแล้ว!”

“ไม่ใช่ค่ะคุณอัลติม่า ฉันหมายถึงคุณเซอเจรัสกับคุณเซการัสต่างหาก”

“เห~ แปลกยังไงเหรอคะ?”

ลานาเทลที่ได้ยินนิโคลพูดแบบนั้นก็รู้สึกสนใจขึ้นมาเช่นกัน นิโคลจึงเดินไปที่ขอบหน้าต่างเพื่อมองดูสามพี่น้องอีกครั้ง ก่อนจะตอบคำถามของเธอ

“ฉันสัมผัสได้ตั้งแต่เห็นเขาครั้งแรกแล้ว… คุณเซอเจรัสน่ะ วิญญาณของเขาไม่สมบูรณ์นี่คะ?”

นิโคลพูดประโยคที่เหมือนกับเป็นคำถาม พลางหันไปมองแซนโดร ทำให้ทั้งอัลติม่าและลานาเทลมองตามไปด้วย ซึ่งแซนโดรก็ตอบกลับมาแบบห้วน ๆ

“…อืม …ถูกแล้วล่ะ…”

“รู้สึกว่าคุณเซการัสเองก็มีวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์เหมือนกัน ถึงจะไม่เท่ากับคุณเซอเจรัสก็เถอะ… ทั้งสองคนนั้นเป็นอะไรกันแน่คะ?”

แซนโดรนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะลุกจากที่นั่งแล้วเดินมาที่ขอบหน้าต่างเพื่อมองดูสามพี่น้อง ก่อนจะเล่าเรื่องของเซอเจรัสกับเซการัสออกมา

“…มันเป็นเรื่องเมื่อแปดปีก่อน …ตอนนั้นเซอเจรัสยังมีอายุแค่สิบกว่าปี แต่ก็ติดตามซารามอธออกทำภารกิจของพีชคีปเปอร์ไปเรื่อย …จนกระทั่งมีภารกิจหนึ่งที่ซารามอธถูกสั่งให้ไปตามล่าผู้ใช้ศาสตร์มืดที่ชื่อว่า ‘เดอะทิงเคอร์’ (The Tinker)…

…ผู้ใช้ศาสตร์มืดคนนี้เป็นนักประดิษฐ์ที่เลื่องชื่อ แต่งานวิจัยของเขามักใช้มนุษย์เป็นหนูทดลองหรือเป็นวัตถุดิบ ทำให้มีผู้คนต้องสังเวยชีวิตไปมากมาย …และผลงานล่าสุดของเขาในตอนที่ซารามอธถูกส่งมาตามล่าก็คือ ‘ประจุวิญญาณ’ (Soul Charge) เทคโนโลยีที่นำวิญญาณมนุษย์มาแปรสภาพเป็นแหล่งกำเนิดพลังเวท เพื่อนำไปใช้กับอุปกรณ์เวทมนตร์ต่างๆ…”

“เห? เรื่องแบบนั้นใช้หินเวทมนตร์หรือหินวิญญาณเอาก็ได้นี่คะ ไม่เห็นต้องทำให้ยุ่งยากเลย”

ลานาเทลถามแทรกเพราะหินวิญญาณเป็นของที่หาได้ทั่วไปและน่าจะยุ่งยากน้อยกว่าการนำวิญญาณมนุษย์มาใช้มาก แต่แซนโดรก็ส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธพลางกล่าวต่อ

“…หินเวทมนตร์หรือหินวิญญาณน่ะมีปริมาณพลังงานจำกัดและฟื้นฟูพลังงานด้วยตัวเองไม่ได้ …แต่ ‘ประจุวิญญาณ’ ของเดอะทิงเคอร์น่ะสร้างขึ้นด้วยทฤษฎีที่ว่า วิญญาณมนุษย์มีการเติบโตและฟื้นฟูตัวเองได้ตลอดระยะเวลาที่มนุษย์มีชีวิตอยู่ ดังนั้นเขาจึงคิดว่า ถ้าดึงเอาวิญญาณมนุษย์ออกมาสร้างเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานละก็ จะทำให้ได้แหล่งพลังงานที่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ตลอด และหล่อเลี้ยงวัตถุเวทมนตร์ได้นานนับร้อยปี…”

“อืม… ฟังดูยอดไปเลยนะคะ แต่ถ้าแบบนี้ก็หมายความว่า…”

“…ใช่แล้วล่ะ …เพื่อจะวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนี้ให้สัมฤทธิ์ผล เดอะทิงเคอร์ก็เลยขโมยเอาวิญญาณของผู้คนไปมากมายเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการวิจัย …แม้จะไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน แต่คาดว่าในตอนนั้นประชาชนทางตอนใต้ของราวินคาก็ตกเป็นเหยื่อการชิงวิญญาณของเดอะทิงเคอร์ไปมากมายนับพันคน…

…ตอนที่ซารามอธไปถึง เมืองทั้งเมืองก็มีแต่ร่างที่ไร้วิญญาณของผู้คนนอนเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด …แต่ก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังรอดตายมาได้ราวกับปาฏิหาริย์แม้จะถูกชิงวิญญาณไปแล้วก็ตาม …อาจเพราะถูกเอาวิญญาณไปไม่หมดทำให้ยังพอจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่เวลาของเธอก็เหลือน้อยเต็มที …ด้วยวิญญาณที่เหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบนี้ไม่สามารถหล่อเลี้ยงร่างกายให้รอดชีวิตไปได้นานนักหรอก …นั่นเป็นตอนที่ซารามอธติดต่อมาหาฉัน…

…หมอนั่นเห็นว่าฉันเองก็เป็นผู้ใช้ศาสตร์มืด แถมยังเชี่ยวชาญเรื่องเวทสายวิญญาณ จึงน่าจะมีทางช่วยได้บ้าง …แต่การจะฟื้นฟูวิญญาณที่ถูกชิงไปแล้วน่ะเป็นเรื่องที่เกินความสามารถของฉัน …ฉันเลยได้แต่เสนอเวท ‘เชื่อมวิญญาณ’ เป็นทางออกให้…

…หากใช้เวทนี้ทำการถ่ายเทวิญญาณให้กับเด็กน้อยก็น่าจะช่วยยื้อชีวิตของเธอเอาไว้ได้ …ปัญหาคือเพราะวิญญาณของเธอแทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว แถมเธอยังมีอายุแค่หกขวบ …ด้วยอายุแค่นี้หากมีวิญญาณสัก 4-5 ส่วนก็ใช่ว่าจะรอดชีวิต …แต่การจะสละวิญญาณถึง 6 ส่วนก็ทำให้เจ้าของวิญญาณอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้เช่นกัน มันจึงไม่ใช่เรื่องที่สามารถไปขอร้องให้ใครมาทำก็ได้…

…แม้ซารามอธจะเสนอวิญญาณตัวเองให้เพื่อช่วยชีวิตของเด็กน้อย แต่เวท ‘เชื่อมวิญญาณ’ ก็มีข้อจำกัดด้านอายุของทั้งสองคนที่จะห่างกันได้ไม่กี่ปี ไม่เช่นนั้นร่างกายจะเกิดการต่อต้านหรือมีผลข้างเคียงได้ …ในตอนนั้นเองที่เซอเจรัสเป็นคนเสนอตัวขึ้นมา…

…เขาเสนอที่จะมอบวิญญาณของตัวเองเพื่อรักษาชีวิตของเด็กผู้หญิงคนนั้นเอาไว้ …แม้มันอาจทำให้ชีวิตของเขาอยู่ในอันตราย หรือโอกาสที่เด็กผู้หญิงคนนั้นจะรอดก็ยังไม่ใช่ 100% แต่เขาก็ยังเต็มใจที่จะทำ …ด้วยเหตุนี้ฉันก็เลยใช้เวท ‘เชื่อมวิญญาณ’ ถ่ายเทวิญญาณ 6 ใน 10 ของเซอเจรัสให้กับเด็กผู้หญิงคนนั้น …และทั้งสองคนก็รอดชีวิตมาได้จนถึงปัจจุบันนี้…

…หลังจากนั้นซารามอธก็รับเด็กผู้หญิงคนนั้นมาเป็นลูกบุญธรรมอีกคน และเพราะเธอสูญเสียความทรงจำช่วงก่อนหน้าที่จะถูกชิงวิญญาณไปทำให้จำชื่อตัวเองไม่ได้ ซารามอธก็เลยตั้งชื่อให้เธอใหม่ว่าเซการัส…”

หลังจากแซนโดรเล่าเรื่องจบ ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบ และหันไปมองดูสามพี่น้องที่นั่งคุยกันอยู่ในสวนอย่างสนุกสนานอีกครั้ง

“ยอมทำเพื่อเด็กผู้หญิงที่ไม่รู้จักขนาดนี้ ทั้งสองคนน่ะเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากเลยนะคะ โดยเฉพาะคุณเซอเจรัสที่ตอนนั้นยังเด็กอยู่เลยแท้ ๆ ”

นิโคลเอ่ยชมเชยเซอร์เก้ พลางมองเขาด้วยสายตาอันอ่อนโยน เธอคิดว่ามันช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่พี่น้องซึ่งไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกลับมีแนวคิดในบางเรื่องที่คล้ายคลึงกันได้ ผิดกับแซนโดรที่แสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมา

“…ก็แค่พวกงี่เง่ามากกว่า …เร่าร้อน กระหายคุณธรรมไม่เข้าเรื่อง …ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อคนที่ไม่รู้จักด้วยเหตุผลแค่ว่ามันเป็นความถูกต้อง …งี่เง่ากันทั้งพ่อทั้งลูกเลย…”

“ฮุฮุฮุ คุณแซนโดรเองก็ไม่ได้คิดแบบนั้นจริง ๆ หรอกใช่มั้ยคะ? เวลาที่คุณแซนโดรปากไม่ตรงกับใจน่ะ ฉันพอจะสัมผัสได้จากโทนเสียงนะคะ”

เพราะถูกนิโคลจับทางได้ แซนโดรเลยเม้มปากแล้วหลบหน้าไปทางอื่นเหมือนไม่อยากให้อีกฝ่ายอ่านน้ำเสียงของเธอไปมากกว่านี้ นิโคลจึงอมยิ้มให้กับปฏิกิริยานั้น แต่เมื่อหันลงไปมองพี่น้องทั้งสามแล้ว รอยยิ้มของเธอก็จางลงไป

“ถ้าใช้ชีวิตมาได้จนป่านนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่เท่าที่ฉันเห็นจากเค้าร่างวิญญาณ รู้สึกเหมือนคุณเซอเจรัสจะมีอะไรแปลก ๆ อยู่นะคะ ราวกับว่า… วิญญาณของเขากำลังอ่อนแอลง…”

“…เรื่องนั้นฉันเองก็พอจะสังเกตเห็นอยู่เหมือนกัน …ไม่รู้ว่านั่นเป็นอาการข้างเคียงของการ ‘เชื่อมวิญญาณ’ ที่เพิ่งจะสำแดงอาการรึเปล่า …เดี๋ยวคงต้องลองไปตรวจสอบดู…”

เมื่อพูดจบ แซนโดรก็เดินออกจากห้องไป นิโคล ลานาเทล และอัลติม่า จึงแยกย้ายกันกลับไปยังที่นอนของตนเองเช่นกัน ส่วนสามพี่น้องตระกูลแฮลเซียนก็ยังคงพูดคุยกันไม่หยุด ราวกับทุกอย่างที่ถูกอัดอั้นเอาไว้ในช่วงเวลาหลายปีได้ถูกปลดปล่อยออกมาในคืนนี้

 

——————————————————————————————————–

 

Part 3

 

ซาลยังคงเล่าเรื่องการเดินทางของเขาให้กับพี่ ๆ ทั้งสองคนฟังอย่างไม่หยุดปาก ตั้งแต่การพบกันของเขากับแซนโดร มาจนถึงเหตุการณ์ในบีสเทียก่อนที่พวกเขาจะออกมาจากจูริส

เมื่อได้ฟังเรื่องราวของโรงเรียนอีจิสและชีวิตที่เปรียบเสมือนกับภาพลวงตามาตลอดช่วงสามปีของเขา เซย์ก็แสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา แม้แต่เซอร์เก้ที่มีแววตาอันเฉยชาก็ยังขบเม่มริมฝีปากด้วยอาการเจ็บแค้น ซาลจึงต้องรีบแสดงท่าทางร่าเริงให้ทั้งสองคนได้เห็นว่าเขาไม่คิดอะไรมากแล้ว ทั้งคู่จึงมีท่าทีผ่อนคลายลง

ส่วนใหญ่แล้วคนที่คุยตอบโต้กับซาลจะเป็นเซย์ที่ถามโน่นถามนี่อยู่ตลอดเวลา ส่วนเซอร์เก้นั้นได้แต่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ และพยักหน้ารับรู้เป็นระยะ ๆเท่านั้น

“ที่ผ่านมาคงจะลำบากมากเลยสินะจ๊ะ กว่าจะมาถึงที่นี่ได้เนี่ย”

“ไม่หรอก ทุกคนน่ะช่วยดูแลผมเป็นอย่างดี และการเดินทางก็สนุกมาก ๆ ด้วยล่ะ”

“อืม~ นั่นสินะ มีสาวสวยมาห้อมล้อมตั้งสี่คนแบบนี้ เป็นการเดินทางในฝันของชายหนุ่มหลาย ๆ คนเลยนะเนี่ย แค่สิบขวบก็ทำได้ขนาดนี้แล้ว ร้ายไม่เบาเลยนะ”

“เอ๋?”

พอเห็นสีหน้าของน้องชายที่งุนงงกับคำพูดนั้น เซย์ก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดูกับความไร้เดียงสาของเขามากขึ้นไปอีก เธอจึงลูบหัวของซาลอีกครั้ง

“ตลอดสามปีมานี้น่ะ พวกเราเฝ้ารอวันที่จะได้พบกับเธอและลาซมาตลอดเลยนะ… ในที่สุดความฝันนั้นก็เป็นจริงครึ่งหนึ่งแล้ว ทีนี้ก็เหลือแค่ลาซเท่านั้น แต่เราคงจะเอาแต่พึ่งพาคุณแซนโดรไปซะทุกเรื่องไม่ได้หรอก ใช่มั้ยเดล?”

เมื่อได้ยินคำถามนั้น เซอร์เก้ก็เงียบไปพักหนึ่ง ดวงตาที่แทบจะไม่สื่ออารมณ์ใด ๆ ของเขาทำให้คาดเดาได้ยากว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ในที่สุดเขาก็ตอบคำถามนั้นออกมา

“ฉันก็ไม่อยากพูดแบบนี้ แต่ถ้าแม้แต่แซนโดรยังหาไม่เจอ โอกาสที่เราจะหาลาซเจอด้วยตัวเองก็คงริบหรี่อยู่… แต่ยังไงฉันก็จะพยายามใช้เครือข่ายของสมาคมช่วยในการสืบหาดู ถ้าพ้นช่วงปีนี้ไปแล้วคิดว่าน่าจะทุ่มเทบุคลากรกับเรื่องนี้ได้มากขึ้นล่ะ”

“อืม… นั่นสินะ… แต่เอาเถอะ ตอนนี้ได้ซาลกลับมาเราก็ควรจะพอใจแล้ว… นี่ ซาล เธออยากจะเรียนต่อรึเปล่า? ที่นี่น่ะมีสถาบันนักผจญภัยที่มีมาตรฐานไม่แพ้สถาบันในจูริสเลยนะ ถ้าสนใจละก็ พรุ่งนี้ฉันจะพาไปสมัครเรียนเลยดีมั้ย?”

“อ่า… เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลังจะดีกว่านะ อย่างน้อยก็รอให้ผมกลับมาก่อนแล้วค่อยคิดกันดีกว่า”

“เอ๋? กลับมา? จากไหนเหรอ?”

“คือผมกำลังจะเดินทางไปลิลลี่โฮไรซอนพร้อมกับทุกคนน่ะครับ และอาจต้องเดินทางไปที่อื่นหลังจากนั้นด้วย เพราะงั้นช่วยรอก่อนก็แล้วกันนะ”

“เดี๋ยวก่อนซิ… นี่เธอไม่ได้จะมาอยู่กับพวกเราหรอกเหรอ? แล้วทำไมถึงต้องเดินทางไปที่ต่าง ๆ มากมายด้วยล่ะ?”

เซย์มีท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินว่าซาลจะเดินทางต่อ ไม่ใช่จะมาอยู่ที่นี่ ทางด้านซาลเองก็เริ่มกระอักกระอ่วนเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องต่าง ๆ ให้พี่สาวฟังอย่างไรดี

ทันใดนั้น แซนโดรก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างได้จังหวะ และเดินเข้ามาหาทั้งสามคน ก่อนจะอธิบายให้ฟัง

“…เรายังอยู่ในระหว่างการตามหาลาซารัสอยู่น่ะ …ฉันตั้งใจว่าจะไปขอความช่วยเหลือจากคนรู้จักในลิลลี่โฮไรซอนและอาจต้องเดินทางต่อไปที่อื่น ๆ อีก …ระหว่างนี้จำเป็นต้องขอให้ซาลารัสร่วมทางไปด้วยเพราะเหตุผลหลาย ๆ อย่าง …ช่วยอดใจรอหน่อยก็แล้วกันนะ…”

เซย์ยังคงทำท่าเหมือนกับยังยอมรับเหตุผลของแซนโดรไม่ได้และตั้งท่าที่จะโต้แย้ง แต่ซาลก็ห้ามไว้และพยายามเกลี้ยกล่อมให้เธอเข้าใจ

ระหว่างนั้นแซนโดรก็ส่งสายตาเรียกให้เซอร์เก้ตามเธอออกมาเพื่อที่จะพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว อีกฝ่ายจึงลุกขึ้นและเดินตามเธอไปโดยไม่รีรอ

แซนโดรเดินออกจากเขตสวนด้านหลังและมาหยุดอยู่ที่โถงทางเดินระหว่างคฤหาสน์กับสวน ก่อนจะหันกลับไปหาเซอร์เก้ที่เดินตามมาติด ๆ

แต่ก่อนที่แซนโดรจะได้พูดอะไร อีกฝ่ายเอ่ยคำถามออกมาซะก่อน

“ที่พูดมาเมื่อกี้นี้น่ะ… เธอโกหกสินะ?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด