Doombringer the 5th 73

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 73 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.73 – ขาวและดำ

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 73

ขาวและดำ

 

Part 1

 

แม้ซาลจะใช้เวลาเกลี้ยกล่อมอยู่นานแค่ไหนก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล ยังไงเซย์ก็ยืนกรานที่จะให้เขาหยุดการเดินทางอยู่แค่อลาเรีย

แต่เมื่อเซอร์เก้มาช่วยอธิบายว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับการตามหาลาซารัสด้วย เธอก็เลยต้องยอมให้เขาเดินทางต่อไป แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนัก

แต่ก่อนจะเดินทางต่อ เซย์ก็อยากให้เขาอยู่ที่นี่ให้นานที่สุด จึงเจรจากับแซนโดรให้พักอยู่ที่นี่สักหนึ่งเดือนก่อน แน่นอนว่าแซนโดรต้องไม่ยอม เพราะกำหนดการจริง ๆ ที่วางเอาไว้คือพวกเขาจะหยุดพักที่อลาเรียแค่คืนเดียวเท่านั้น

หลังจากเจรจาต่อรองกันอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดก็ได้ข้อยุติว่าพวกเขาจะพักอยู่ที่นี่สองคืนแล้วค่อยเดินทางต่อในวันถัดไป เรื่องนี้ทำให้เซย์ไม่พอใจนัก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะเธอก็อยากให้หาตัวลาซารัสกลับมาได้เร็ว ๆ เช่นกัน

เพื่อเป็นการชดเชย เธอจึงให้ซาลไปนอนด้วยกันที่ห้องของตนเอง จะได้ใช้เวลาทุกนาทีอย่างคุ้มค่า ทำให้อัลติม่าทำหน้าเหยเกทันทีที่ได้ยิน แต่ก็ไม่ได้พูดหรือแสดงอาการอะไรมากไปกว่านั้น

ด้วยความหวาดระแวง คืนนั้นอัลติม่าจึงย่องไปที่หน้าห้องของเซย์ เพื่อเอาหูแนบประตูแอบฟังดูว่าทั้งสองคนทำอะไรกัน แต่สิ่งที่เธอได้ยินก็มีแต่เสียงพูดคุยสลับกับเสียงหัวเราะคิกคัก เหมือนกับการคุยเล่นกันตามปกติเท่านั้น

เมื่อถึงช่วงกลางดึกเสียงพูดคุยก็เงียบไปและไฟในห้องก็ดับลง ทำให้อัลติม่ายิ่งกระวนกระวายจนอยู่เฉยไม่ได้ เลยจำแลงร่างเป็นหมอกสีดำลอดช่องใต้ประตูเข้าไปในห้อง แล้วขึ้นไปปรากฏกายอีกครั้งที่คานด้านบนเพดาน

พอหันกลับลงมามอง เธอก็เห็นอีกฝ่ายกำลังนอนกอดซาลอยู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย แต่ก็โล่งใจที่ทั้งสองคนไม่ได้ทำอะไรอย่างที่เธอจินตนาการไว้

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญรึเปล่า แต่พอหันไปมองอีกครั้ง เซย์ก็กอดน้องชายตัวน้อยของเธอแน่นขึ้นอีก ทำให้อัลติม่ารู้สึกอิจฉาจนมือสั่น ด้วยความหวาดระแวง เธอจึงอยู่เฝ้าดูทั้งสองคนนั้นจากบนเพดานจนถึงเช้า

ในวันต่อมาเซย์ก็พาซาลออกไปเที่ยวในตัวเมืองอลาเรียซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ส่วนนิโคลกับลานาเทลก็แยกกันออกไปเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่ง เพื่อให้สองพี่น้องได้ใช้เวลาด้วยกันอย่างเป็นส่วนตัวง

เซอร์เก้เองก็ออกไปยังที่ทำการสมาคมแต่เช้าตรู่ ทำให้ในคฤหาสน์เหลือเพียงแซนโดรกับอัลติม่าอยู่กันตามลำพัง แซนโดรที่เห็นอัลติม่าไม่ออกไปเที่ยวกับทุกคนเหมือนเช่นทุกครั้งก็รู้สึกสงสัยจึงเอ่ยถามขึ้น

“…น่าแปลกนะที่เธอไม่ไปเที่ยวกับเขาด้วยน่ะ …ปกติชอบเที่ยวชมเมืองมากไม่ใช่เหรอ?…”

“เฮอะ! เมืองบ้านนอกแบบนี้จะมีอะไรให้ดูสักเท่าไหร่กัน มันก็เหมือน ๆ กันหมดนั่นแหละ ฉันดูมาจนเบื่อแล้ว อีกอย่างคือไม่อยากไปดูยัยเซย์ทำกระหนุงกระหนิงกับซาลารัสด้วย มันน่าคลื่นไส้!”

อัลติม่าตอบแซนโดรกลับไปด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่สื่อถึงความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่แซนโดรใส่ใจเท่าไหร่ ที่เธอสนใจและอยากจะรู้จากอีกฝ่ายเป็นเรื่องอื่นมากกว่า

“…อัลติม่า …เธอรู้เรื่องเกี่ยวกับ ‘คัมภีร์แห่งความมืด’ มากน้อยแค่ไหน?…”

“คัมภีร์แห่งความมืด? อาติแฟคของพวกเลซเซอร์อีวิลน่ะเหรอ? ทำไมจู่ ๆ ถึงถามเรื่องนี้ล่ะ?”

“…ฉันได้รับข้อมูลมาว่ามี ‘ผู้ถือคัมภีร์’ (Tome Keeper) อยู่แถวนี้น่ะ ก็เลยอยากจะรู้เรื่องของคัมภีร์เอาไว้สักหน่อย…”

“หืม? มีผู้ถือคัมภีร์อยู่แถวนี้ด้วยเหรอ? อืม… ฉันเองก็รู้รายละเอียดของอาติแฟคชิ้นนี้ไม่มากเท่าไหร่หรอกนะ เพราะมันเป็นอาติแฟคในครอบครองของพวกเลซเซอร์อีวิล และพวกเรา ‘เพียวอีวิล’ (Pure Evil) ก็ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับพวก ‘เลซเซอร์อีวิล’ (Lesser Evil) เท่าไหร่ด้วย”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น แซนโดรก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย

“…ทำไมล่ะ? …ฉันคิดว่าพวกเลซเซอร์อีวิลเป็นปิศาจชั้นต่ำซึ่งเป็นข้ารับใช้ของเหล่าเพียวอีวิลและไพร์มอีวิลซะอีก…”

“สมัยก่อนมันก็ใช่น่ะนะ จนกระทั่งพวกเลซเซอร์อีวิลมันทำเสียเรื่องยกทัพขึ้นไปบุกโลกเก่า ทำให้นรกผิดข้อตกลงและนำไปสู่การพ่ายแพ้สงครามในที่สุด หลังจากสงครามครั้งนั้นท่านเดียโบลก็โกรธมากที่พวกมันทำทุกอย่างพัง เลยตราหน้าว่าพวกมันเป็นปิศาจชั้นต่ำที่โง่เง่าเกินกว่าจะเอามาใช้เป็นข้าทาสด้วยซ้ำ และมีคำสั่งลดฐานะของพวกเลซเซอร์อีวิลลงให้มีลำดับชั้นเทียบเท่ากับพวกอสูรนรกที่ไร้สติปัญญา ทำให้พวกเลซเซอร์อีวิลส่วนใหญ่แยกตัวออกไปเป็นกลุ่มปกครองตัวเอง และไม่ค่อยข้องเกี่ยวกับพวกเราเหล่าเพียวอีวิลนัก”

“…อืม …แปลว่าเธอเองก็ไม่รู้รายละเอียดการทำงานของมัน หรือวิธีการแก้ไขผลของมันสินะ…”

“ก็มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปสนใจนี่นา เพราะบันทึกนั่นไม่มีผลกับปิศาจอย่างฉันอยู่แล้ว แต่เธอไม่ต้องไปใส่ใจหรอกมั้ง เพราะฉันได้ข่าวมาว่าคัมภีร์แห่งความมืดมันเจ๊งไปแล้วน่ะ”

“…เจ๊ง? หมายถึงพังน่ะเหรอ? …ได้ยังไงกันล่ะ?…”

“อืม… ฉันเองก็ไม่รู้รายละเอียดเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่า ‘ผู้นำสาสน์แห่งความมืด’ หรือเจตภูตของคัมภีร์ได้หายตัวไป ทำให้คัมภีร์แห่งความมืดใช้การไม่ได้อีกแล้วน่ะ”

“….ใช้การไม่ได้? …แต่ได้ยินมาว่าคัมภีร์แห่งความมืดยังมีอยู่อีกหลายเล่มนี่นา…”

“ผิดแล้ว คัมภีร์แต่ละเล่มน่ะเป็นเหมือนกับ ‘ช่องทาง’ สำหรับเข้าถึงฐานข้อมูลภายในเท่านั้น ตัวฐานข้อมูลจริง ๆ มีเพียงหนึ่งเดียวคือ ‘ผู้นำสาสน์แห่งความมืด’ เป็นข้อมูลความชั่วร้ายทั้งหมดของมนุษย์ซึ่งมีความคิดและจิตใจเป็นของตัวเอง หากไม่มี ‘ผู้นำสาสน์แห่งความมืด’ แล้ว คัมภีร์แห่งความมืดก็เป็นแค่สมุดเปล่า ๆ เล่มหนึ่งเท่านั้น เพราะตัวข้อมูลที่มันเชื่อมต่ออยู่ได้หายไปแล้วไงล่ะ”

“…แล้วไอ้เจ้า ‘ผู้นำสาสน์แห่งความมืด’ ที่ว่า มันก็หายไปแล้วเนี่ยนะ?…”

“อืม เห็นว่าเป็นงั้นนะ เพราะเมื่อหลายปีก่อนพวกเลซเซอร์อีวิลก็มีการเคลื่อนไหวเพื่อแสวงหาอาติแฟคมาทดแทนกันยกใหญ่ เนื่องจากคัมภีร์แห่งความมืดเสื่อมพลังไป เพราะมันไม่ใช่ของที่ใช้ครอบงำผู้คนแค่เพียงอย่างเดียว แต่มันยังเป็นแหล่งกำเนิดพลังแห่งความมืดระดับสูงด้วย การเสียคัมภีร์แห่งความมืดไปนับว่าทำให้สถานภาพของพวกนั้นสั่นคลอนมาก”

แซนโดรลองพิจารณาดูตามคำพูดของอัลติม่าอย่างถี่ถ้วน

หากคัมภีร์แห่งความมืดเป็นของสำคัญขนาดนั้นจริง แปลว่าพวกเลซเซอร์อีวิลก็ต้องพยายามหาทางมาชิง ‘ผู้นำสาสน์แห่งความมืด’ กลับไปอยู่แล้ว

แต่การที่ตัวเจตภูตหรือผู้นำสาสน์ยังอยู่กับเซอร์เก้ ก็มีความเป็นไปได้สองอย่าง

อย่างแรกคือเขาขัดขืน ไม่ยอมคืนเจตภูตให้กับพวกเลซเซอร์อีวิล แต่ดูจากสิ่งที่มันทำแล้ว เซอร์เก้ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปฝืนหรือต่อต้านพวกเลซเซอร์อีวิลเลย เพราะถ้านำเจตภูตออกจากตัวได้น่าจะเป็นผลดีมากกว่า

อย่างที่สองคือแม้แต่พวกเลซเซอร์อีวิลก็ไม่สามารถนำเจตภูตออกจากตัวของเขาได้ เพราะเจตภูตแห่งความมืดมีความตั้งใจของตัวเอง และเป็นฝ่ายมาสิงร่างของเซอร์เก้เองแต่แรก การออกจากร่างของเขาจึงอาจไม่ใช่ความปรารถนาของมัน และเมื่อตัวเจตภูตไม่สมัครใจ พวกเลซเซอร์อีวิลก็ไม่สามารถนำมันออกจากร่างของเขาได้

หากแม้แต่พวกเลซเซอร์อีวิลยังไม่สามารถฝืนดึงเจตภูตแห่งความมืดออกจากตัวเขาได้ ในโลกนี้ก็คงมีน้อยคนที่จะสามารถทำเรื่องนี้ได้เช่นกัน

เมื่อพิจารณาเรื่องทั้งหมดดูแล้ว การจัดการกับปัญหาของเซอร์เก้คงจะเป็นเรื่องยากกว่าที่คิด แต่แซนโดรก็คิดว่าควรหาทางแก้ไขเรื่องนี้ไปด้วยในระหว่างเดินทาง

 

ในวันนั้นแซนโดรใช้เวลาทั้งวันไปกับการอ่านหนังสือเกี่ยวกับศาสตร์มืดเท่าที่มีอยู่ในช่องมิติเก็บของ แต่ก็ยังไม่เจอข้อมูลอะไรที่พอจะช่วยเรื่องนี้ได้

ครั้นจะหันไปถามอัลติม่าดูอีกครั้งเผื่อว่าในฐานข้อมูลของนรกจะมีอะไรที่พอใช้ได้บ้าง แต่พอเห็นเจ้าตัวหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงแบบไม่สนใจโลก แถมยังนอนแบบระเกะระกะ หัวไปทาง หางไปทาง แซนโดรก็เลิกความคิดที่จะหวังพึ่งอัลติม่าไป

นิโคลกับลานาเทลกลับมายังคฤหาสน์ในช่วงบ่าย ส่วนเซย์กับซาลก็กลับมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน

หลังจากจัดเตรียมอาหารเย็นและตั้งโต๊ะเสร็จแล้ว เซอร์เก้ก็กลับมาจากสมาคมพอดี ทุกคนจึงรับประทานอาหารค่ำร่วมกัน ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนเพื่อเตรียมเดินทางในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเซย์ก็พาซาลไปนอนที่ห้องของตนเองเช่นเคย

ในคืนนั้น หลังจากที่ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว หน้าต่างบานหนึ่งที่ชั้นสองของคฤหาสน์ก็เปิดออก เผยให้เห็นเงาของคน ๆ หนึ่ง ซึ่งค่อย ๆ ก้าวออกมานอกหน้าต่าง ก่อนจะปิดหน้าต่างบานนั้นและกระโจนออกจากคฤหาสน์ไป

 

——————————————————————————————————–

 

Part 2

 

ที่ชายป่าแห่งหนึ่งของเขตกรีวิลล์ซึ่งอยู่ไม่ห่างไปจากตัวเมืองมากนัก

มีแสงสว่างจากเวท ‘แสงเทียน’ (Candle Light) ปรากฏขึ้นเป็นกลุ่มใหญ่ ราวกับกำลังมีงานชุมนุมภายในป่านั้น

ที่ด้านใน มีผู้คนมากมายมารวมตัวกันเหมือนกับกำลังรออะไรบางอย่าง คนเหล่านี้สวมผ้าคลุมสีดำที่คลุมถึงศีรษะเหมือน ๆ กันหมด แต่ภายใต้ผ้าคลุมนั้นทุกคนสวมชุดที่แตกต่างกันออกไป มีตั้งแต่ชุดคลุมยาวเหมือนกับนักเวท, ชุดหนังรัดรูปของนักผจญภัย, ไปจนถึงชุดเกราะของพวกอัศวิน

เบื้องหน้าของกลุ่มคนที่มารวมตัวกันนั้น มีชายหนุ่มห้าคนซึ่งสวมชุดแตกต่างไปจากคนอื่น ๆ ยืนพูดคุยกันอยู่

พวกเขาสวมชุดหนังสีดำขลับคล้ายกับชุดของพวกนักผจญภัย แต่ดีไซน์ของชุดนั้นช่างดูสะเปะสะปะและไร้รูปแบบ ราวกับเป็นการนำแผ่นหนังสีดำซึ่งมีขนาดหลากหลายมาเย็บปะติดปะต่อกันให้เป็นชุดขึ้นมา สายคาดและเข็มขัดมากมายที่พันอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ก็ดูยุ่งเหยิงและหาเจตนาไม่ได้ เป็นอาภรณ์ที่ดูแปลกตาและไม่ใช่ของที่พบเห็นได้โดยทั่วไป

ชายหนุ่มทั้งห้าสะพายหนังสือเล่มใหญ่หนึ่งเล่มเอาไว้ที่เอวกันทุกคน มันเป็นหนังสือปกหนาสีดำซึ่งหุ้มตามสันและขอบอย่างแน่นหนาด้วยเหล็กรีดสีเทาแก่

บนหน้าปกของหนังสือไม่มีข้อความอะไรเขียนอยู่เลย แต่วัสดุที่ใช้ทำปกนั้นดูเหมือนจะเป็นหนังของสิ่งมีชีวิตที่มีความละเอียดของผิวสูงกว่าหนังสัตว์ทั่ว ๆ ไป ราวกับเป็นหนังของมนุษย์

คนกลุ่มนี้คือเหล่าผู้นำสาสน์แห่งความมืดหรือผู้ครองคัมภีร์ เป็นเหล่าเลซเซอร์อีวิลซึ่งมีหน้าที่ถือคัมภีร์แห่งความมืดและใช้มันในการครอบงำผู้คนให้มาเข้ากับฝ่ายปิศาจ

ในช่วงแรกที่ถูกตัดสัมพันธ์จากพวกปิศาจพันธุ์แท้ (เพียวอีวิล) พวกเลซเซอร์อีวิลก็ไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรนัก และคิดจะสร้างการรุกรานขึ้นมาด้วยตัวเอง ซึ่งด้วยคัมภีร์แห่งความมืดก็ทำให้สามารถครอบงำและรวบรวมเหล่าผู้บูชาปิศาจมาเข้าลัทธิได้เป็นจำนวนมาก

แต่เหล่ามนุษย์ที่ชักจูงมาได้กลับไม่มีใครสามารถเปิดประตูนรกได้เลยสักคน นั่นเพราะความลับในการค้นหาผู้มีคุณสมบัติของ ‘โฮสต์’ หรือผู้มีคุณสมบัติในการเปิดประตูนรกเป็นสิ่งที่รู้กันเพียงในหมู่เพียวอีวิล ไม่เคยถูกถ่ายทอดมายังเหล่าเลซเซอร์อีวิลเลย

ด้วยเหตุนี้ พวกมันจึงได้แต่รวบรวมผู้คนและเฝ้ารอโอกาสที่จะมาถึง เพื่อหวังว่าสักวันจะมีอะไรไปใช้แลกเปลี่ยนกับเหล่าเพียวอีวิล ในเรื่องความลับของการค้นหาผู้มีคุณสมบัติของ ‘โฮสต์’

แต่ถึงแม้จะไม่รู้วิธีในการหาผู้มีคุณสมบัตินั้น พวกมันก็ยังรู้ว่าใครบ้างที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเป็นผู้สร้างหายนะ และอาจเป็นตัวหมากสำคัญในการรุกรานโลกในอนาคต

พวกเลซเซอร์อีวิลจึงแบ่งคนมาติดตามลูกชายและลูกสาวคนโตของ ซารามอธ แฮลเซียน ผู้สร้างหายนะคนที่สี่ ตั้งแต่พวกเขาออกจากทวีปจูริส และคิดจะชักจูงให้มาเป็นสาวก เพื่อนำไปแลกเปลี่ยนกับพวกเพียวอีวิล

แต่การชักจูงก็ไม่สัมฤทธิ์ผล ทั้งยังสูญเสีย ‘ผู้นำสาสน์แห่งความมืด’ ไปอีกด้วย ทำให้สถานการณ์ของเหล่าเลซเซอร์อีวิลโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ถือคัมภีร์ยิ่งย่ำแย่ลง

เพราะการออกจากคัมภีร์เป็นความตั้งใจของตัวเจตภูตเอง แถมเจตภูตแห่งความมืดยังคอยเซอร์เก้จากเหล่าเลซเซอร์อีวิลเพราะมันไม่ยอมให้เขาตายจนกว่าจะครอบงำเขาได้ ทำให้พวกเลซเซอร์อีวิลได้แต่ถอดใจในเรื่องการชิงเจตภูตกลับคืนมา

แต่หลังจากการเฝ้าดูอยู่เงียบ ๆ มาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็มีข่าวที่ทำให้พวกมันกลับมาเคลื่อนไหวกันอีกครั้ง ข่าวที่ว่าก็คือ ลูกชายแท้ ๆ ของซารามอธได้เดินทางมายังอลาเรียนั่นเอง

ทันทีที่ยืนยันได้ว่าเด็กที่มาพบกับเซอร์เก้และเซย์คือ ซาลารัส พวกเลซเซอร์อีวิลก็รีบระดมพลทั้งปิศาจและเหล่าสาวกในพื้นที่ เพื่อเตรียมการจู่โจมชิงตัวเขามาในระหว่างเดินทางออกจากอลาเรีย

“เนธ พวกสาวกมากันครบแล้วล่ะ”

ชายชุดดำคนหนึ่งพูดกับชายที่ยืนอยู่ตรงกลางของเหล่าเลซเซอร์อีวิลทั้งห้า เขาก็คือเนธ หัวหน้ากลุ่มผู้ถือคัมภีร์ในเขตอลาเรีย เขากวาดสายตามองไปยังกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหน้า ก่อนจะเอ่ยคำถามกลับไป

“มีทั้งหมดเท่าไหร่?”

“เพราะรวบรวมคนแบบเร่งด่วนไปหน่อยเลยมีแต่คนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง ที่เห็นนี่ก็มีอยู่ราวๆ 70 คน แต่ทุกคนก็เป็นนักผจญภัยระดับสูงนะ มีตั้งแต่ระดับหกไปจนถึงระดับแปด คละ ๆ สายอาชีพกันไป”

“อืม… ก่อนรุ่งสางเลวินก็น่าจะพาคนจากอินิสตร้ามาสมทบพอดี เห็นว่ามีพวกเรา 5-6 คน กับเหล่าสาวกอีกเกือบร้อยคน เท่านี้ก็น่าจะพอแล้วล่ะนะ”

“งั้นเคลื่อนพลกันเลยดีมั้ย?”

“อืม”

เนธพยักหน้าก่อนจะก้าวออกไปและยกมือขึ้นเพื่อเรียกความสนใจจากฝูงชน ทำให้พวกเขาหยุดพูดคุยและหันมองมาโดยพร้อมเพรียงกัน ส่วนเนธก็เริ่มการพูดปลุกใจเหล่าสาวกก่อนการปฏิบัติการจะเริ่มต้นขึ้น

“นี่คือวันที่พวกเรารอคอยมานานหลายปี! ทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่สี่กำลังจะเดินทางผ่านมาทางนี้! เขาคือหนึ่งในผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมในการเป็นผู้สร้างหายนะ! หากได้ตัวเด็กคนนี้มา แผนการที่จะทำการรุกรานโลกก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว! นี่เป็นโอกาสทองที่หาไม่ได้ง่ายๆ! จงไปคว้าของขวัญชิ้นนี้มา และประกาศศักดาให้พวกเพียวอีวิลได้รู้ว่าพวกเราเหล่าเลซเซอร์อีวิลที่ถือกำเนิดมาจากมนุษย์ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกมันเช่นกัน!!”

ทันทีที่พูดจบกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหน้าก็ชูมือและส่งเสียงเฮขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน แต่ภายในเสียงอื้ออึงนั้น เนธกลับได้ยินเสียงอันแปลกประหลาดแทรกอยู่

คนทั่วไปหากฟังแล้วอาจไม่รู้ว่ามันเป็นเสียงอะไร แต่สำหรับเนธที่เชี่ยวชาญการทรมานและการฆ่าฟัน เขาจำเสียงอันน่าพิศมัยนี้ได้ดี

มันเป็นเสียงของมีคมเฉือนผ่านกล้ามเนื้อและกระดูก

แต่ที่ว่าพิศมัยนั้นคือเฉพาะเวลาที่เขาเป็นผู้ลงมือ สำหรับเวลานี้ที่ไม่รู้ว่าต้นกำเนิดของเสียงมาจากไหน มันกลับทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา

เสียงนั้นเริ่มต้นจากด้านหลังของฝูงชน ก่อนจะดังต่อเนื่องไล่ขึ้นมายังด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อเนธมองข้ามฝูงชนไป เขาก็เห็นผ้าที่คลุมศีรษะของเหล่าสาวกอยู่ถูกโยนขึ้นไปบนฟ้าทีละอันสองอัน ไล่จากด้านหลังมายังด้านหน้า

แต่เมื่อมองดูดี ๆ เนธก็พบว่ามันไม่ใช่แค่ผ้าคลุมศีรษะ แต่เป็นหัวของเหล่าสาวกที่ถูกตัดจนลอยกระเด็นขึ้นไปบนอากาศต่างหาก

กลุ่มคนที่ยืนรวมกันอยู่เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติและขยับตัวแยกออกจากกัน ส่วนคนที่อยู่ด้านหน้าก็เริ่มหันกลับไปมองด้านหลังว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

แต่ยังไม่ทันที่จะหันกลับไปทั้งตัว หัวของพวกคนที่อยู่แถวหน้าสุดก็ถูกตัดจนหลุดกระเด็นออกจากตัว

เมื่อร่างที่ไร้หัวของพวกเขาทรุดลงกับพื้น ก็เผยให้เห็นชายหนุ่มในชุดดำสนิทตลอดทั้งตัวนั่งชันเข่าข้างหนึ่งอยู่กับพื้น เขาสวมเสื้อแขนยาวซึ่งส่วนคอเสื้อสามารถดึงขึ้นมาจนปกปิดใบหน้าเกือบครึ่งหนึ่งได้ ในมือทั้งสองข้างของเขายังถือดาบที่มีใบดาบสีดำสนิทอยู่อีกด้วย

ด้านหลังของชายหนุ่มคือศพไร้หัวของเหล่าสาวกที่ล้มลงเป็นทางยาวไล่มาตั้งแต่ด้านหลังสุด จนมาถึงจุดที่เขานั่งอยู่

ในที่สุดฝูงชนโดยรอบก็ตระหนักถึงสถานการณ์และชักอาวุธของตัวเองออกมาเพื่อเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ แต่ชายหนุ่มกลับค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้าและดึงคอเสื้อลงเพื่อเผยใบหน้าให้เห็น ก่อนจะมองไปยังเหล่าเลซเซอร์อีวิลห้าคนที่อยู่เบื้องหน้าโดยไม่ใส่ใจรอบข้างเลยแม้แต่น้อย

“ไม่เจอกันนานเลยนะเนธ พาเพื่อนมาเยอะดีนี่”

เมื่อเห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่ฝ่าฝูงชนและฆ่าเหล่าสาวกตายเป็นใบไม้ร่วงในเวลาแค่ชั่วพริบตานี้ เนธก็ถึงกับหน้าถอดสี

ชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าของเขาก็คือ ดิลิก้า ไฮเนล หรือชื่อที่แท้จริง เซอเจรัส แฮลเซียน คนที่เขาไม่อยากยุ่งด้วยที่สุดนั่นเอง

 

——————————————————————————————————–

 

Part 3

 

ฝูงชนที่แวดล้อมเซอร์เก้อยู่ต่างก็จ้องมองเขาด้วยสายตาเคียดแค้นและตั้งท่าเตรียมพร้อมเพื่อที่จะโจมตีได้ทุกเมื่อ แต่ทุกคนก็ยังรอสัญญาณจากเหล่าเลซเซอร์อีวิลที่อยู่เบื้องหน้า

เหล่าเลซเซอร์อีวิลคนอื่น ๆ ก็รอคำสั่งของเนธอยู่เช่นกัน แต่เนธก็ยังไม่ได้ออกคำสั่งอะไร และเอ่ยคำถามกลับไปยังแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

“นี่แก… มาทำอะไรที่นี่!?”

“พอดีพรุ่งนี้น้องชายของฉันจะเดินทางออกจากเมืองน่ะ ทำให้นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ทำความสะอาดแถวนี้มานานแล้ว เพราะงั้นคงต้องขอให้พวกแกหายไปจากโลกนี้ซะแต่โดยดีเถอะนะ ฉันจะรีบกลับไปนอนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”

เซอร์เก้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ และแววตาที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ เหมือนเป็นการพูดลอย ๆ

เมื่อได้ยินคำพูดนั้นกลุ่มคนที่แวดล้อมอยู่ก็ยิ่งเกิดความไม่พอใจจนทนไม่ไหวและเริ่มมีคนลงมือก่อนที่จะได้รับคำสั่งจากเนธ

“หนอยแก! ปากดีนักนะ!!”

สาวกที่เป็นนักเวทยิงเวทเข้าใส่เซอร์เก้จากทางด้านหลัง แต่เขาโยกตัวหลบการโจมตีนั้นได้ ก่อนจะกระโดดตีลังกากลับเข้าไปในฝูงชนอีกครั้ง ทำให้เริ่มเกิดการตะลุมบอนกันขึ้นมา

เพราะคนที่อยู่ตรงจุดปะทะต่างก็พยายามจะจัดการกับเขา ส่วนคนที่อยู่ด้านนอกก็ล้อมวงกันเข้าไปเพื่อช่วยสมทบ พวกเลซเซอร์อีวิลที่อยู่ด้านนอกจึงไม่สามารถเห็นเหตุการณ์ภายในได้

“ดะ.. เดี๋ยวก่อน! อย่าไปสู้กับมัน! รีบถอยออกมาซะ!”

“พูดอะไรของนายน่ะเนธ! นี่เป็นโอกาสดีไม่ใช่เหรอ? ถึงพลังมารของพวกเราจะใช้กับมันไม่ได้ผลเพราะมีเจตภูตแห่งความมืดคอยปกป้องอยู่ แต่ถ้าเป็นวิชาของพวกมนุษย์มันก็อีกเรื่องนึง ที่นี่มีนักผจญภัยระดับสูงอยู่มากมาย ถ้าพวกนั้นกับพวกเราร่วมมือกันละก็ ต้องฆ่ามันแล้วชิงเจตภูตแห่งความมืดกลับคืนมาได้แน่!”

“ไม่ใช่แบบนั้น! พวกแกเข้าใจผิดแล้ว! การใช้พลังมารกับมันไม่ได้ไม่ใช่ปัญหาหรอกน่า! แต่ปัญหาคือฝีมือของเจ้านั่นต่างหาก! ถึงมันจะปกปิดตัวตนไม่ให้คนอื่นรู้ แต่ความจริงมันคือ ‘มัจจุราชดำ’ เซอเจรัส มือขวาของเทพสงครามซารามอธที่เคยติดตามเจ้านั่นไปทุกสมรภูมิเลยนะ!”

เพราะเป็นเลซเซอร์อีวิลที่มาจากเขตอื่น พวกเขาจึงไม่รู้เรื่องนี้ แต่เมื่อได้ยินชื่อของมัจจุราชดำ เหล่าเลซเซอร์อีวิลต่างก็มีสีหน้าตกตะลึงไปตาม ๆ กัน เพราะมันเป็นชื่อที่พวกเขาเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้างแล้ว แค่ยังไม่เคยพบตัวจริงเท่านั้น

ในระหว่างที่กำลังลังเลอยู่นั้นเอง เมื่อหันกลับไปมองยังฝูงชนอีกครั้ง พวกเขาก็ต้องพบกับภาพอันน่าสะพรึงกลัว

ชื้นส่วนอวัยวะของเหล่าสาวกที่วิ่งกรูกันเข้าไปสู้กับฝ่ายตรงข้ามถูกเหวี่ยงกระจายออกมายังพื้นที่โดยรอบ ราวกับพวกเขากำลังวิ่งเข้าไปยังใจกลางเครื่องบดเนื้อขนาดใหญ่

แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ใจกลางการต่อสู้นั้น แต่พวกสาวกที่เห็นชิ้นส่วนร่างกายของพวกพ้องลอยผ่านเหนือหัวไปอย่างต่อเนื่องก็เริ่มยั้งเท้าและถอยห่างออกมาจากจุดปะทะ เผยให้เห็นภาพที่น่าสยดสยองยิ่งกว่าเดิม

มันคือภาพของเศษเนื้อที่กองทับถมกันเป็นบริเวณกว้าง จนมองแทบไม่ออกเลยว่าศพใครเป็นศพใคร และตรงใจกลางที่แห่งนั้นก็มีเซอร์เก้กำลังหมุนตัวไปมาราวกับกำลังร่ายรำอยู่ท่ามกลางทะเลซากศพ

ที่น่าแปลกคือดาบทั้งสองเล่มในมือเขาไม่ได้สัมผัสตัวใครเลยเพราะเหล่าสาวกได้ถอยห่างออกมาจากจุดที่อีกฝ่ายยืนอยู่หลายเมตรแล้ว แต่ก็ยังมีคนที่ถูกฟันและถูกกระชากกลับเข้าไปในทะเลเลือดนั้น ก่อนจะถูกหั่นเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยใบมีดที่มองไม่เห็น

เมื่อเหล่าเลซเซอร์อีวิลเพ่งมองดูดี ๆ จึงพบว่า นอกจากดาบสองเล่มในมือของอีกฝ่ายแล้ว ยังมีดาบอีกจำนวน 6-7 เล่มที่บินวนไปมาอยู่รอบตัวเขาราวกับพายุใบมีด

มันเป็นใบดาบสีดำสนิทที่ไม่มีด้ามจับแต่ถูกร้อยด้วยโซ่เส้นเล็ก ๆ เอาไว้ และที่ปลายอีกด้านหนึ่งของโซ่ก็ยึดติดกับแผ่นเกราะที่อยู่บนหลังของเซอร์เก้

ในการหมุนตัวแต่ละครั้งและขยับโซ่เพียงเล็กน้อย เขาก็สามารถเปลี่ยนวิถีการเหวี่ยงของใบดาบให้เข้าโจมตีเหล่าสาวกที่อยู่ห่างออกไปนับสิบเมตรได้อย่างแม่นยำและหนักหน่วง

พวกสาวกบางคนเห็นท่าไม่ดีเลยเริ่มพยายามจะวิ่งหนี แต่ก็ถูกคมดาบแทงเข้าจากด้านหลังและกระชากตัวกลับไปให้คมดาบอันอื่น ๆ สับร่างจนขาดเป็นชิ้น ๆ ทั้งที่ยังลอยอยู่กลางอากาศ

แม้เวลาจะผ่านไปเพียงไม่นาน แต่เหล่าสาวกที่เข้าไปกลุ้มรุมเซอร์เก้ก็ถูกสังหารไปกว่าครึ่งแล้ว คนที่เหลือจึงเริ่มขวัญเสียและแตกกลุ่มหนีตายกันไปคนละทิศคนละทาง พวกเลซเซอร์อีวิลจึงเริ่มหาทางหนีบ้าง

“ท่าไม่ดีแล้วนะ! แบบนี้คงต้อง…”

ยังพูดไม่ทันจบ เลซเซอร์อีวิลคนหนึ่งก็ถูกโซ่พันเข้าที่คอแล้วกระชากตัวเข้าไปในพายุมรณะจนเจ้าตัวต้องร้องโหยหวนออกมา

แม้เขาจะชักอาวุธออกมาปัดป้องการโจมตีจากใบมีดที่พุ่งเข้ามาจากรอบทิศได้บ้าง แต่ก็ยังปัดป้องได้ไม่หมดจนโดนคมมีดเฉือนตามตัวเป็นแผลเหวะหวะหลายจุด และเมื่อถูกดึงเข้าไปจนถึงตัว เซอร์เก้ก็ใช้ดาบในมือของเขาฟันร่างของเลซเซอร์อีวิลคนนั้นจนขาดเป็นสองท่อนในทันที

เนธที่เห็นภาพนั้นได้แต่กัดฟันและสั่งให้คนอื่นถอยหนี ซึ่งเซอร์เก้ก็พยายามจะไล่ตาม แต่ก็ถูกพวกสาวกที่จงรักภักดีเข้ามาสกัดไว้ซะก่อน ทำให้พวกเลซเซอร์อีวิลสามารถหลบหนีไปได้

เหล่าเลซเซอร์อีวิลวิ่งหนีออกมาจากจุดเกิดเหตุอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับไปมองด้านหลัง ซึ่งในระหว่างที่หนีอยู่ หนึ่งในผู้รอดชีวิตก็ถามเนธด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบ

“แบบนี้จะทำยังไงกันดีล่ะ!? แผนการของเราต้องยกเลิกแล้วรึเปล่า!?”

“ยังหรอก… เรายังมีกลุ่มของเลวินกับพวกสาวกจากอินิสตร้าอยู่ แต่ในเมื่อเจ้านั่นมันรู้ตัวแล้วแบบนี้คงต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนนิดหน่อย… เราต้องไปดักซุ่มให้ไกลกว่าเดิมเพื่อความปลอดภัย ถึงการเข้าใกล้เขตลิลลี่โฮไรซอนจะเสี่ยงไปสักหน่อย แต่ก็คงไม่มีวิธีอื่นแล้ว”

เนธวิ่งนำเลซเซอร์อีวิลอีกสามคนที่เหลือไปยังหน้าผาซึ่งเป็นจุดนัดพบของพวกเขากับกลุ่มเลซเซอร์อีวิลจากอินิสตร้า ซึ่งตอนนี้อีกฝ่ายน่าจะเดินทางมาถึงแล้ว

เหล่าเลซเซอร์อีวิลวิ่งไต่หน้าผาเป็นแนวตั้งอย่างรวดเร็วโดยไม่สนกฎทางฟิสิกส์ราวกับมันเป็นการวิ่งในแนวราบ ที่ยอดหน้าผานี้คือจุดรวมพลที่เนธนัดกับคนของฝั่งอินิสตร้าเอาไว้ การมาถึงที่นี่จึงทำให้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก

แต่ทันทีที่ขึ้นมาจนถึงยอดหน้าผา เนธกับเหล่าเลซเซอร์อีวิลก็ต้องพบกับภาพที่น่าตกตะลึงอีกครั้ง

เพราะที่นั่นได้กลายเป็นทะเลเลือดที่เต็มไปด้วยซากศพนอนจมผืนน้ำสีแดงฉานซึ่งเจิ่งนองอยู่ทั่วบริเวณ

ไม่ห่างจากปลายหน้าผาที่พวกเนธยืนอยู่นั้นมีคนในชุดคลุมยาวสีขาวซึ่งคลุมไปจนถึงศีรษะกำลังยืนหันหลังให้กับพวกเขาอยู่ และที่เท้าของคนผู้นั้นก็คือศพของเลวี่ ผู้นำของกลุ่มเลซเซอร์อีวิลจากอินิสตร้านั่นเอง

ชุดคลุมยาวสีขาวนั้นยังดูสะอาดหมดจดไม่เปรอะเปื้อนรอยเลือดเลยแม้แต่นิดเดียว มันเป็นชุดคลุมสีขาวบริสุทธิ์ราวกับชุดของพวกนักบวช แต่ด้วยเคียวขนาดใหญ่ที่พาดบ่าของคนผู้นั้นอยู่ทำให้เขาดูราวกับเป็นยมทูตที่สวมชุดสีขาวมากกว่า

เมื่อคนผู้นั้นหันหน้ามา เหล่าเลซเซอร์อีวิลก็ต้องประหลาดใจกันอีกครั้ง

เพราะคนในชุดคลุมยาวที่ถือเคียวเล่มใหญ่ราวกับยมทูตคนนั้นมีทรวดทรงเหมือนกับหญิงสาว และภายใต้ผ้าคลุมที่ปกปิดใบหน้าอยู่นั้นก็ยังมีเส้นผมสีแดงอ่อนทอดยาวออกมาให้เห็นด้วย

เมื่อเห็นรูปลักษณ์นั้น เนธก็มีสีหน้าเหมือนกับกำลังกลืนยาพิษ พร้อมกับเอ่ยคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นไหว ราวกับกำลังจะยืนไม่อยู่

“แก… ‘ยมทูตขาว’ เซการัส… ทำไมถึงได้…”

เมื่อได้ยินคำถามของเนธ หญิงสาวในชุดขาวก็ยิ้มออกมาด้วยท่าทางขี้เล่น ก่อนจะตอบเขาด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า

“พอดีพรุ่งนี้น้องชายของฉันจะเดินทางออกจากเมืองน่ะ ทำให้นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ทำความสะอาดแถวนี้มานานแล้วนี่นา~ เพราะงั้นคงต้องขอให้พวกนายหายไปจากโลกนี้ซะแต่โดยดีเถอะนะ ฉันจะรีบกลับไปนอนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าน่ะ”

เมื่อพูดจบ หญิงสาวในชุดขาวก็พุ่งเข้าหาเหล่าเลซเซอร์อีวิลพร้อมกับเคียวในมือโดยที่รอยยิ้มยังไม่จางไปจากใบหน้า แต่ดวงตาอันเย็นเยียบของเธอที่พวกเขาเห็นเป็นดวงตาของเพชฌฆาตโดยแท้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด