Doombringer the 5th 63

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 63 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.63 – แอนเชี่ยนลิช

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 63

แอนเชี่ยนลิช

 

Part 1

 

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณสิบชั่วโมงก่อน

ชายสองคนกำลังยืนอยู่ ณ สี่แยกแห่งหนึ่งในเมืองอินิสตร้า คนหนึ่งเป็นชายสูงวัยที่มีหน้าตาดุดัน ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มท่าทางเจ้าชู้ซึ่งกำลังถกเถียงกับชายแก่เกี่ยวกับแผนที่ในมือของเขา

ชุดที่ทั้งสองคนสวมใส่นั้นแตกต่างจากชาวอินิสตร้าทั่ว ๆ ไปอย่างชัดเจนทำให้มองดูก็รู้ว่าเป็นคนต่างถิ่น ดูจากพฤติกรรมและท่าทางของพวกเขาแล้วคนทั่วไปคงมองว่าทั้งคู่เป็นปู่กับหลานที่มาเที่ยวอินิสตร้ากัน

แต่ความจริงแล้วชายสูงวัยคนนั้นคือ เซดดริก เดรค ผู้บัญชาการสูงสุดของหน่วยข่าวกรองแห่งพีชคีปเปอร์ ส่วนชายหนุ่มที่อยู่กับเขาก็คือ คอนคอร์ท ซิลดอล์ฟ  หนึ่งใน ‘สี่นักดาบแห่งวันพิพากษา’ ผู้สร้างสันติภาพอันดับต้น ๆ ของพีชคีปเปอร์ในปัจจุบัน

“มันต้องเลี้ยวตรงนี้ต่างหากล่ะคุณเซดดริก ถ้าตรงไปมันก็เป็นถนนสายสิบสามแล้วสิ”

“เฮ่ย แกดูยังไงของแกเนี่ย ก็เราอยู่ที่สี่แยกอัลเดนตรงนี้ ถ้าตรงไปก็ต้องเป็นถนนสายสิบสองต่างหาก”

“ใช่เหรอ? แต่ป้ายตรงนั้นมันเขียนว่าถนนสายสิบสามนี่นา?”

“ป้ายเขาชี้ว่าถ้าตรงไปจะเป็นถนนสายสิบสามต่างหาก ไม่ใช่ว่าตรงนั้นคือถนนสายสิบสาม”

“แน่ใจนะ? ถ้าหลงทางผมไม่รู้ด้วยแล้วนะ”

“เอาน่า ยังไงวันนี้ฉันก็กะจะค้างที่นี่อยู่แล้ว มีเวลาเหลือเฟือน่ะ”

“ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้น…”

คอนคอร์ทถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย เพราะเขาถูกเซดดริกลากมาตระเวนในเมืองแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้โดยไม่เต็มใจเลยสักนิด

เซดดริกถูกมอบหมายให้เป็นตัวแทนของพีชคีปเปอร์มาร่วมงานประชุมเพื่อสันติภาพที่คามิเท็น โดยมีสี่นักดาบตามมาเป็นผู้คุ้มกันด้วย

แต่เพราะเขาอยากจะเห็นสภาวะของเมืองต่าง ๆ ในโดมินาเรียด้วยตัวเองก่อน จึงเดินทางมาก่อนกำหนด แถมยังเลือกใช้ทาวน์พอทัลมายังเมืองที่อยู่นอกเขตอิทธิพลของพีชคีปเปอร์อย่างอินิสตร้าอีกต่างหาก

พอมาถึง เซดดริกก็เอาแต่พูดเรื่อง “ร้านแนะนำ” หรือ “สาวเสิร์ฟในตำนาน” แห่งอินิสตร้า และอยากจะลองไปเที่ยวชมให้ครบ พวกสาว ๆ แห่งสี่นักดาบจึงเกิดความเอือมระอาและขอแยกตัวออกไปเที่ยวชมเมืองตามลำพัง โดยผลักภาระเรื่องการคุ้มกันให้คอนคอร์ทคนเดียว ซึ่งเซดดริกก็ไม่ขัดข้อง ต่างกับคอนคอร์ทที่ได้แต่กล้ำกลืนหน้าที่นี้มาด้วยความจำใจ

“อย่าทำหน้าแบบนั้นเซ่ มากับฉันน่ะดีแล้ว ฉันจะพาไปเที่ยวชมร้านเจ๋ง ๆ ที่มีสาวเสิร์ฟแจ่ม ๆ ให้หมดทั่วทั้งอินิสตร้าเอง”

“ตามสบายเถอะครับ ผมน่ะไม่มีรสนิยมแบบนั้นหรอก”

“หืม? หมายความว่าแกเป็นพวกนิยมไม้ป่าเดียวกันเรอะ?”

“ไม่ใช่!! ทำไมถึงเข้าใจเป็นอย่างงั้นไปได้ล่ะเนี่ย!? ผมหมายถึงผู้หญิงแบบนั้นน่ะไม่ใช่เสป็คผมต่างหาก”

เพราะถูกเข้าใจผิดทำให้คอทคอร์ทเกือบสำลักน้ำลายตัวเองและรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน แต่เซดดริกก็ยังข้องใจในสิ่งที่เขาพูดอยู่

“หา? นี่แกเข้าใจอะไรผิดอยู่รึเปล่าเนี่ย? ฉันพูดถึงพวกสาวเสิร์ฟ สาวนั่งดริ้งค์ หรือสาวเมดอยู่นะ”

“ก็นั่นแหละ พวกสาว ๆ ที่ยอมปั้นสีหน้าฝืนคุยกับผู้ชายที่ตัวเองไม่รู้จักเพื่อเงินแบบนั้นน่ะ น่าสมเพชจะตาย ผมไม่สนหรอก”

“เฮ้ย! นี่แกกล้าดูถูกสาวเสิร์ฟงั้นเรอะ!? อยากตายใช่มั้ย!?”

เซดดริกกระชากคอเสื้อของคอนคอร์ทด้วยความโกรธแล้วดึงขึ้นมาจนตัวลอย ทำให้คนรอบ ๆ เ ริ่มจะหันมามอง แต่เขาก็ไม่สนใจ

“เย้ย! ทำไมต้องโกรธขนาดนี้ด้วยล่ะเนี่ย!? ปะ.. ปล่อยก่อนเถอะนะคุณเซดดริก คนมองกันใหญ่แล้วเห็นมั้ย?”

คอนคอร์ททั้งตกใจและสับสนเพราะไม่รู้ว่าทำไมเซดดริกถึงต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟด้วย แต่อีกฝ่ายดูท่าจะไม่ยอมรามือง่าย ๆ

“ฉันไม่สน แกถอนคำพูดซะ และขอโทษสาวเสิร์ฟ สาวนั่งดริ๊งค์ และสาวเมด ทุกคนบนโลกนี้ด้วย!”

“ขะ.. เข้าใจแล้ว! ผมขอโทษก็ได้! ขอโทษสาวเสิร์ฟ สาวนั่งดริ๊งค์ และสาวเมดทุกคนบนโลกเลย!”

เมื่อได้ยินคอนคอร์ทยอมกล่าวคำขอโทษแล้ว เซดดริกก็ยังจ้องเขาด้วยสายตาอาฆาตอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ วางอีกฝ่ายลงกับพื้น

คอนคอร์ทที่ยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่ก็ได้แต่ขยับคอเสื้อของตัวเองให้เข้ารูปดังเดิมด้วยท่าทีงงงวย

เซดดริกใช้เวลาสงบสติอยู่สักพักก็เอามือแตะที่ไหล่ของคอนคอร์ท ก่อนจะพูดกับเขา

“ฟังนะ คอนคอร์ท สาว ๆ เหล่านั้นน่ะคือเหล่าผู้ที่มอบความสงบสุขให้กับโลกใบนี้อยู่เบื้องหลัง พูดอีกอย่างหนึ่งว่าพวกเธอคือผู้สร้างสันติภาพในอีกรูปแบบหนึ่งไงล่ะ”

“หา?”

คอนคอร์ทขมวดคิ้วด้วยความงุนงง เพราะไม่เข้าใจสิ่งที่เซดดริกพูดเลยสักนิด อีกฝ่ายจึงเริ่มอธิบายต่อ

“คนหน้าตาดีอย่างแกอาจจะไม่เข้าใจ… ไม่สิ ก็แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ ต่อให้วันนี้จะมีสาว ๆ มารุมล้อม แต่มันก็เป็นเรื่องแค่ชั่วคราว วันนึงแกจะต้องแต่งงาน มีครอบครัว มีลูก มีหลาน แล้วความสดชื่นจากการได้เสพความสดใสของเหล่าหญิงสาวก็จะค่อย ๆ หายไป เหลือเพียงความว่างเปล่าและมืดหม่นเท่านั้น…

แต่สาว ๆ พวกนี้… พวกเธอคือผู้เสียสละที่ยอมอุทิศตน มอบความสุข ความสดชื่น ให้กับเหล่าผู้คนที่สูญเสียโอกาส หรือผ่านพ้นช่วงเวลาเหล่านั้นไปแล้ว ให้สามารถตักตวงความสุขแห่งวัยเยาว์ได้อีกครั้ง

ถ้าไม่มีพวกเธอละก็ โลกนี้คงมีคนมากมายที่หลงเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งความมืดมิด อาจกลายเป็นโจร เป็นฆาตกร หรือเป็นผู้สร้างหายนะได้เลย เพราะงั้นจงจำไว้ว่าที่โลกยังสงบสุขอยู่อย่างทุกวันนี้ได้ เป็นเพราะหญิงสาวกลุ่มนี้คอยช่วยเยียวยาจิตใจของผู้คนเอาไว้ ไม่ให้จมสู่ความมืดมิดไงล่ะ”

“นี่คุณเซดดริก… พูดจากประสบการณ์ตรงเลยใช่มั้ยเนี่ย?”

“ฉันแค่พูดในสิ่งที่เป็นสัจธรรมของโลกต่างหาก เพราะฉะนั้นห้ามดูถูกพวกเธออีก เข้าใจนะ?”

“เข้าใจ… ครับ…”

คอนคอร์ทได้แต่เออออไปด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน ส่วนเซดดริกก็กางแผนที่ออกมาดูอีกครั้งเพื่อสำรวจเส้นทาง ซึ่งเมื่อแน่ใจในเส้นทางแล้ว เขาก็เดินออกไปเพื่อมุ่งหน้าไปยังร้านเหล้าขึ้นชื่อแห่งอินิสตร้า โดยมีคอนคอร์ทเดินตามไปด้วยสีหน้าละเหี่ยใจ

แม้จะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นนิดหน่อย แต่ทั้งคอนคอร์ทและเซดดริกก็รู้ว่าพวกตนกำลังถูกใครบางคนจับตาดูอยู่ห่าง ๆ ทว่าทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรกันถึงเรื่องนี้ และเดินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

——————————————————————————————————–

 

Part 2

 

ที่คฤหาสน์ของตระกูลซันรีเวอร์ในอินิสตร้า

เคเลเซ็ทและวาลานาร์กำลังติดต่อกับคนของตระกูลที่ส่งไปจับตาดูเซดดริกอยู่ผ่านทางวงเวทสื่อสารบนโต๊ะ ซึ่งมีเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังออกมา

“ดูเหมือนเป้าหมายจะมีปัญหาในการค้นหาเส้นทางนิดหน่อย ทำให้เสียเวลาเดินทางพอสมควร แต่ตอนนี้พวกเค้าถึงที่หมายแล้ว ทั้งสองคนอยู่ในร้านเหล้า สลอเทอร์ แลมบ์ (Slaughtered Lamb) ที่ถนนสายสิบสองครับ”

“อืม ดีมาก ถ้ามีความเคลื่อนไหวอะไรก็รีบส่งข่าวมานะ”

“ครับ”

เมื่อตัดการสื่อสารแล้ว อักขระที่เรียงตัวกันเป็นวงเวทบนโต๊ะก็ค่อย ๆ ดับแสงลงและเลือนหายไป

เคเลเซ็ทครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันไปถามวาลานาร์ถึงทางเลือกที่พอจะทำได้

“เรามีคนอยู่ในร้านนั้นบ้างรึเปล่า? พวกสาวเสิร์ฟน่ะ?”

“ร้านนั้นเป็นกิจการที่ถูกกลุ่มทุนของเราซื้อเอาไว้แล้วก็จริง แต่พวกพนักงานร้านก็เป็นแค่พนักงานธรรมดา ไม่มีคนที่เป็นเส้นสายของเราหรอก”

“อืม… งั้นก็ช่วยไม่ได้นะ คงได้แต่จับตาดูอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น… แล้วอีกกลุ่มนึงล่ะ?”

“ทางด้านกลุ่มสามสาวที่แยกตัวไปก่อนหน้านี้กำลังเดินช็อปปิ้งกันอยู่ในเมืองน่ะ ดูเหมือนเจ้าพวกนี้จะตั้งใจมาเที่ยวกันจริง ๆ ไม่ได้มาทำอย่างอื่นเลย”

“อย่าเพิ่งปักใจเชื่อดีกว่า ทั้งหมดนี่อาจเป็นแค่การตบตาก็ได้ ถึงจะไม่รู้ว่าตาแก่นั่นเป็นใคร แต่กลุ่มชายหญิงที่มาด้วยน่ะน่าจะเป็น ‘สี่นักดาบแห่งวันพิพากษา’ อย่างแน่นอน และคนที่มีสี่นักดาบเป็นผู้คุ้มกันก็ต้องเป็นบุคคลสำคัญมาก ๆ ด้วย”

“แต่ตอนนี้พวกเขาแยกกันแล้วนะ แถมมีคนไปกับตาแก่นั่นแค่คนเดียวเอง แบบนี้มันไม่ระวังตัวสุด ๆ เลยไม่ใช่เหรอ?”

“ยังไงก็อย่าประมาทดีกว่า ทางเราเองก็ใช่ว่าจะอยากดึงความสนใจพวกพีชคีปเปอร์ในตอนนี้หรอกนะ แต่ยังไงก็ควรจับตาดูไว้เพื่อเป็นหูเป็นตาแทนท่านลานาเทล”

วาลานาร์พยักหน้ารับคำ และติดต่อกับสายของตระกูลในเมืองให้ช่วยกันสลับผลัดเปลี่ยนหน้าที่เพื่อจับตาดูคนทั้งสองกลุ่มโดยไม่ให้ผิดสังเกต

เมื่อเวลาผ่านไป สายของซันรีเวอร์ที่จับตาดูผู้มาเยือนทั้งสองกลุ่มอยู่ก็รายงานความเคลื่อนไหวมาเป็นระยะ ๆ

ทางฝั่งสามสาวยังคงออกเดินช็อปปิ้งสลับกับเข้าร้านขนมหวานในย่านการค้าไม่หยุด ส่วนฝั่งผู้ชายก็ยังคงตระเวนเที่ยวใช้บริการร้านเหล้าในอินิสตร้าไปทีละร้านโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเช่นกัน

เมื่อล่วงเลยมาจนถึงเวลาเย็น กลุ่มสามสาวก็เข้าพักยังโรงแรมหรูแห่งหนึ่งของเมืองอินิสตร้า ตรงกันข้ามกับฝ่ายชายที่กำลังเดินทางออกจากแหล่งสถานบันเทิงยามกลางวันไปที่แหล่งสถานบันเทิงยามค่ำคืนแทน

ดูเหมือนสำหรับเซดดริกแล้วค่ำคืนนี้จะอีกยาวไกลนัก

ในระหว่างนั้นเอง คนของซันรีเวอร์ก็ติดต่อมายังวาลานาร์เพื่อแจ้งความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

“อืม เป็นไงบ้าง คราวนี้เจ้าพวกนั้นไปร้านไหนกันอีกล่ะ?”

“ยังครับ พวกเขายังอยู่ระหว่างเดินทาง แต่ผมสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างครับ”

“ความผิดปกติเหรอ? ผิดปกติยังไงล่ะ?”

“คือดูเหมือนว่านอกจากเราแล้วจะมีคนแอบสะกดรอยสองคนนั้นอยู่ครับ คนอื่น ๆ คงจะไม่ทันสังเกต แต่ผมเพิ่งจะเข้ามาสับเปลี่ยนกับคนก่อนหน้าเลยเห็นคน ๆ นี้แอบตามสองคนนั้นอยู่โดยบังเอิญ เป็นผู้หญิงผมสีเทาที่สวมผ้าคลุมไหล่สีเขียวแก่ คล้าย ๆ กับพวกนักเวทน่ะครับ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เคเลเซ็ทกับวาลานาร์หันมามองหน้ากันด้วยความงุนงง

จากรูปพรรณที่สายของวาลานาร์บอกมา คนที่ตามสะกดรอยกลุ่มผู้ชายอยู่มีลักษณะคล้ายกับแซนโดรมาก แต่แซนโดรก็ไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ได้เลย

“จะใช่ยัยแซนโดรรึเปล่า? แต่แม่นั่นน่าจะเดินทางออกไปพร้อมกับท่านลานาเทลแล้วนี่นา?”

“ก็นั่นน่ะสิ แม่นั่นน่ะไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ได้เลย… แต่ก็…”

“ถ้ายังไงฉันจะไปดูเอง เธอคอยอยู่ที่นี่เพื่อประสานงานต่อก็แล้วกันนะ”

“อืม… ฝากด้วยนะ”

เมื่อพูดจบ วาลานาร์ก็ออกจากคฤหาสน์ไป เพื่อไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเองว่าคนที่แอบตามกลุ่มผู้ชายอยู่ใช่แซนโดรจริงรึไม่

 

——————————————————————————————————–

 

Part 3

 

เมื่อตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว ไฟถนนสองข้างทางของเมืองอินิสตร้าก็ค่อย ๆ ติดขึ้นทีละดวง แล้วไล่ไปตามทางเรื่อย ๆ จนตลอดสองข้างทางสว่างไสวไปด้วยแสงจากโคมไฟ

ในยามกลางวัน เมืองอินิสตร้าก็มีบรรยากาศที่ค่อนข้างมืดและอึมครึมอยู่แล้ว พอตะวันตกดินก็เลยยิ่งมืดสนิทเข้าไปอีก แต่ไฟถนนจากสองข้างทางก็ช่วยให้ภายในเมืองมีแสงสว่างพอที่ผู้คนจะดำเนินกิจกรรมกันได้

ผู้คนที่เคยเดินกันขวักไขว่ตามสองข้างทางเริ่มบางตาลงเรื่อย ๆ เพราะหมดวันแล้ว แต่สำหรับเซดดริกแล้ววันนี้เหมือนเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นมากกว่า

เขามุ่งหน้าไปยังย่านสถานบันเทิงยามราตรีของอินิสตร้าด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่า โดยมีคอนคอร์ทที่มีสีหน้าเซ็งสุด ๆ เดินตามไปพลางบ่นอุบอิบไม่หยุด

สิ่งที่ทำให้คอนคอร์ทหงุดหงิดไม่ใช่แค่เรื่องที่ต้องคอยตามเซดดริกไปร้านโน้นทีร้านนี้ที แต่ยังมีเรื่องคนสะกดรอยที่ยังคงตามพวกเขามาตั้งแต่ช่วงกลางวันด้วย

“คุณเซดดริก… เราจะไม่ทำอะไรกับเจ้าคนสะกดรอยนั่นจริง ๆ เหรอ? ผมเบื่อจะแย่อยู่แล้วน้า… ขอขึ้นไปเก็บมันได้มั้ย?”

“เฮ่ย นี่แกเป็นผู้สร้างสันติภาพประสาอะไรเนี่ย? แถวบ้านแกเขาสร้างสันติภาพกันแบบนี้เรอะ? ไม่ต้องไปใส่ใจพวกนั้นหรอกน่า”

“แต่มันน่ารำคาญนี่นา… โดนเฝ้าดูอยู่แบบนี้น่ะ…”

“ดูจากที่มีการผลัดเปลี่ยนคนสะกดรอยอยู่เรื่อย ๆ แล้ว ฉันคิดว่านั่นคงเป็นคนของพวกองค์กรใต้ดินหรือกลุ่มอิทธิพลในอินิสตร้าน่ะ จู่ ๆ มีคนของพีชคีปเปอร์เข้ามาในเมืองโดยไม่ได้นัดหมายแบบนี้พวกนั้นก็ต้องร้อนรนเป็นธรรมดา แต่นอกจากให้คนมาจับตาดูแล้วก็คงไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้หรอกนะ อยู่เฉย ๆ ไว้เถอะ”

เพราะคำยืนกรานของเซดดริก ทำให้คอนคอร์ทได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินตามไปด้วยสีหน้าที่ออกอาการเซ็งยิ่งกว่าเดิม

วาลานาร์บินมาถึงดาดฟ้าของตึกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับจุดที่สายของเธอรายงานเรื่องคนที่มีรูปพรรณใกล้เคียงกับแซนโดรแล้ว

ด้านล่างของถนนที่อยู่ไกลออกไปหน่อยคือชายสองคนซึ่งเป็นเป้าหมายของการสะกดรอย วาลานาร์จึงกวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อมองหาแซนโดร

ในที่สุดเธอก็พบแซนโดรยืนอยู่บนดาดฟ้าของอาคารอีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่เหนือถนนที่ชายสองคนนั้นอยู่นั่นเอง

“นั่นมัน… ยัยแซนโดรจริง ๆ ด้วย แต่ว่าทำไม…”

ยังไม่ทันที่วาลานาร์จะคิดอะไรเสร็จ ร่างของแซนโดรก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกก่อนจะสลายไป ทำให้เธอคลาดสายตาจากแซนโดรไปอีกครั้ง

 

ที่ถนนเบื้องล่าง ทั้งเซดดริกและคอนคอร์ทต่างก็สัมผัสถึงบรรยากาศอันเย็นเยียบที่กำลังปกคลุมถนนสายนี้อย่างรวดเร็ว

โคมไฟที่อยู่สองข้างทางเริ่มถูกน้ำแข็งจับจนดับไปทีละดวง ทำให้ความมืดเริ่มปกคลุมถนนทั้งสาย พลางก็มีหมอกหนาทึบปรากฏขึ้นตรงหน้าทั้งสองคนในทันที

คอนคอร์ทตั้งท่าเตรียมพร้อมเต็มที่ ในขณะที่เซดดริกยังจับจ้องหมอกที่กำลังก่อตัวนั้นด้วยท่าทีที่เยือกเย็น

เมื่อหมอกก่อรูปร่างขึ้นมาเป็นคนโดยสมบูรณ์ มันก็คลายตัวออกและปรากฏคนผู้หนึ่งซึ่งสวมชุดเกราะสีดำทมิฬรูปร่างแปลกประหลาดยืนอยู่เบื้องหน้าของทั้งสองคน

ใต้ผ้าคลุมศีรษะสีดำสนิทของชุดเกราะนั้นมีหน้ากากเหล็กรูปหัวกะโหลกซึ่งมีดวงตาสีเขียวเปล่งแสงลุกโชนประดุจเปลวไฟส่องสว่างจ้องเขม็งมายังเซดดริกอย่างมุ่งมั่น

เมื่อเห็นรูปลักษณ์นั้นแล้ว เซดดริกก็เลิกคิ้วขึ้นเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“ลักษณะแบบนี้มัน… แกคือนักเวทหัวกะโหลกงั้นรึ?”

แซนโดรไม่ได้ตอบคำถามนั้นของเซดดริก แต่กลับเอ่ยคำ ๆ หนึ่งขึ้นมาแทน

“…ทไวไลท์ เมอริเดียน…”

เมื่อได้ยินคำนั้น เซดดริกก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่งพลางขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนจะไม่เข้าใจในสิ่งที่แซนโดรพูด แต่สักพักดวงตาของเขาก็เบิกโพลงออกเหมือนจะเข้าใจความหมายของคำพูดนั้นแล้ว

“…นึกออกแล้วสินะ …ถ้างั้นก็…”

“เดี๋ยวก่อนสิน้องสาว~”

ก่อนที่แซนโดรจะได้ทำอะไรต่อไป คอนคอร์ทก็พูดแทรกพลางก้าวออกมาขวางระหว่างทั้งสองคนเอาไว้

แต่สิ่งที่ทำให้เซดดริกข้อใจคือคำพูดของชายหนุ่มมากกว่า

“น้องสาวเรอะ? นี่แกตาถั่วรึไง?”

“หึหึหึ ถึงจะสวมหน้ากากปิดอยู่ แถมทำเสียงแหบแห้งแบบนั้น แต่ก็ปกปิดผมไม่ได้หรอก สัญชาติญาณของผมมันบอกว่าคน ๆ นี้น่ะเป็นผู้หญิง แถมยังเป็นสาวสวยซะด้วย”

คำพูดของเขาทำให้เซดดริกต้องหันไปมองฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง แต่ดูยังไงคนที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าเป็นผู้หญิงตรงไหนเลย

“นี่แกหน้ามืดขนาดนี้แล้วงั้นเรอะ? ผู้หญิงที่ไหนจะไร้ทรวดทรงองค์เอวแบบนั้น? บอกแล้วไงว่าให้ไปนั่งกับน้อง ๆ ด้วยกันก็ไม่เอา มัวแต่ทำเก๊กนั่งดื่มคนเดียวที่เคาเตอร์อยู่ได้”

“ใช่ที่ไหนเล่า!? คุณเซดดริกน่ะแก่จนเรดาร์เสื่อมไปแล้วต่างหาก! สัมผัสของผมน่ะไม่มีพลาดหรอกน่า!”

หนังตาของเซดดริกกระตุกขึ้นมานิด ๆ เพราะคำพูดลามปามของคอนคอร์ท แต่ก็ยังพยายามเก็บอาการไว้และไม่โวยวายออกมา

“ต่อให้นั่นเป็นผู้หญิงจริง ๆ แล้วทำไมกัน? มันจะเกิดอานิสงค์อะไรขึ้นมากับพวกเราเรอะ?”

“ก็ถ้าเป็นผู้หญิงละก็…”

ยังไม่ทันพูดจบคอนคอร์ทก็ต้องอ้าปากค้างไว้ เพราะนักเวทหัวกระโหลกที่อยู่ตรงหน้าจนถึงเมื่อสักครู่นี้กลับหายไปแล้ว

พริบตานั้นก็มีเสียงโลหะกระทบกันดังกึกก้องมาจากด้านหลัง เมื่อคอนคอร์ทหันไปดูก็พบว่าเซดดริกที่ถือปืนอยู่ในมือทั้งสองข้างกำลังใช้ด้ามปืนจากมือข้างหนึ่งยันคมเคียวขนาดใหญ่ที่เหวี่ยงมาจากด้านหลังเอาไว้

เมื่อหยุดการโจมตีได้แล้ว เขาก็ใช้ปืนในมืออีกข้างยิงสวนกลับไป ทำให้แซนโดรต้องเอี้ยวตัวหลบก่อนจะเหวี่ยงเคียวเข้าใส่อีกครั้ง แต่คอนคอร์ทก็พุ่งเข้ามาปัดเคียวออกไปได้ด้วยดาบขนาดมหึมาของเขา

แซนโดรถูกคอนคอร์ทรุกไล่ด้วยการกวัดแกว่งดาบอันรวดเร็วจนตกเป็นฝ่ายรับ เธอจึงปลดปล่อยบอลพลังเวทหลายลูกออกมารอบตัวแล้วเริ่มเหวี่ยงมันเข้าโจมตี ทำให้คอนคอร์ทต้องผละออกมาเพื่อให้รับมือกับบอลเวทเหล่านั้นได้ง่ายขึ้น

ทันทีที่อีกฝ่ายผละตัวออกไป แซนโดรก็เห็นเซดดริกที่อยู่ด้านหลังกำลังเล็งปืนมาทางเธอ โดยที่ด้านหน้าของปากกระบอกปืนมีวงเวทขนาดใหญ่กำลังทำงานอยู่ แล้วทันใดนั้นเขาก็เหนี่ยวไก

ทันทีที่กระสุนจากปืนของเซดดริกกระทบเข้ากับวงเวท มันก็แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงขนาดใหญ่พุ่งเข้าหาแซนโดรด้วยความเร็วสูง ทำให้เธอต้องกระโจนหลบออกมา แต่ทันใดนั้นคอนคอร์ทที่รอท่าอยู่แล้วก็กระโจนเข้าไปเงื้อดาบเข้าใส่แซนโดรในทันที

เมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ แซนโดรจึงปลดปล่อยเวทที่เตรียมเอาไว้ ทำให้มีคลื่นพลังงานสีเขียวแผ่จากตัวเธอออกไปรอบทิศ มันคือเวท ‘พอยซั่นโนว่า’ (Poison Nova) เวทสายพิษที่จะปลดปล่อยคลื่นพลังงานธาตุมืดออกไปรอบทิศ นอกจากจะสร้างความเสียหายทางเวทมนตร์แล้วยังทำให้ผู้ที่สัมผัสกับมันได้รับพิษไปด้วย

แม้จะเห็นการโจมตีตรงหน้าแต่คอนคอร์ทที่กำลังพุ่งเข้าไปก็ไม่สามารถหลบหลีกได้แล้วจึงกัดฟันเตรียมรับการโจมตีนั้นอย่างช่วยไม่ได้ ทว่าทันใดนั้นเองก็มีม่านเวทมนตร์กางขึ้นมาเบื้องหน้าของเขาและช่วยรองรับเวทนั้นเอาไว้แทน

แซนโดรที่สังเกตเห็นถึงบุคคลอื่นที่เข้ามาร่วมการต่อสู้จึงถอยออกมาตั้งหลักก่อน เช่นเดียวกับคอนคอร์ทที่ถอยกลับไปยืนอยู่ด้านหน้าของเซดดริกเช่นกัน

ระหว่างนั้นก็มีคนสามคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้า และยืนล้อมแซนโดรจากทิศอื่น ๆ เอาไว้

“ประมาทอีกแล้วนะ คราวที่แล้วก็แพ้เพราะแบบนี้แท้ ๆ ”

หญิงสาวผมสีน้ำตาล ที่อยู่ด้านขวามือของแซนโดรเอ่ยขึ้น เธอมีแววตาอันอ่อนโยนและท่าทีเป็นมิตร จนดูไม่น่าเป็นนักสู้ได้เลย

“เสียเวลาเปล่าน่า พีช หมอนี่มันไม้แก่เกินจะดัดแล้ว ยังไงก็คงทะเล่อทะล่าเข้าไปตายเองจนได้สักวันนั่นแหละ เตรียมหาคนมาแทนเอาไว้ดีกว่า”

หญิงสาวผมทองหน้าตาบอกบุญไม่รับซึ่งอยู่ด้านหลังของแซนโดรเอ่ยขึ้นมาอย่างไร้เยื่อใย ทำให้คอนคอร์ทถึงกับหนังตากระตุก

“อย่าเพิ่งหาเรื่องทะเลาะกันตอนนี้จะได้มั้ยคะ? รอให้จบเรื่องก่อนจะดีกว่าค่ะ”

หญิงสาวผมสีเขียวซึ่งสวมแว่นตาอันหนาเตอะดูท่าทางเรียบร้อยพูดปรามขึ้นมาด้วยท่าทีลำบากใจนิดหน่อย แม้จะดูบอบบางกว่าคนอื่น ๆ แต่เธอก็ถือดาบขนาดใหญ่เป็นอาวุธประจำกายเช่นเดียวกับทุกคน

ทั้งสามคนคือ พีช, เลนิตี้, และไลฟ์ สี่นักดาบแห่งวันพิพากษาอีกสามคนที่เหลือนั่นเอง

 

——————————————————————————————————–

 

Part 4

 

แซนโดรกวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ ทันใดนั้นก็มีคนอีกมากมายตามมาสมทบ

ทั้งสองฟากของถนน รวมไปถึงบนระเบียงและบนดาดฟ้าของอาคาร ต่างก็เต็มไปด้วยกลุ่มคนที่มีท่าทางเหมือนเป็นนักสู้มากประสบการณ์จำนวนนับร้อยปรากฏตัวขึ้นมา พวกเขายืนล้อมแซนโดรเอาไว้จากทั่วทุกสารทิศ

“เห~ คุณเซดดริกนี่พาคนมาเยอะเหมือนกันนะเนี่ย ไม่ไว้ใจฝีมือการคุ้มกันของพวกเรารึไง?”

คอนคอร์ทที่มองไปรอบ ๆ แล้วก็หันมาถามเซดดริก เพราะเขาเองก็ไม่รู้เรื่องที่เซดดริกมีผู้ติดตามมากขนาดนี้เช่นกัน

“ความจริงแล้วพวกนี้เป็นคนของหน่วยข่าวกรองที่ฉันให้มารายงานตัวเพื่อช่วยรวบรวมข่าวสารน่ะ ฉันกะว่าการเดินทางคราวนี้จะพยายามรวบรวมข้อมูลของแคว้นต่าง ๆ ในโดมินาเรียให้มากที่สุด ไม่นึกว่าจะต้องเอามาใช้แบบนี้…”

เซดดริกเดินออกมาด้านหน้าและพิจารณามองดูแซนโดรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามคำถามกับเธอ

“แกคือผู้เหลือรอดของ ‘ทไวไลท์ เมอริเดียน’ (Twilight Meridian) งั้นรึ? เรื่องทุกอย่างที่แกทำมาก็เพื่อจะแก้แค้นให้กับพรรคพวกในสมาคมสินะ?”

แซนโดรนิ่งเงียบไปพักหนึ่งในขณะที่ดวงตาอันสุกสว่างดุจเปลวเพลิงนั้นยังคงจับจ้องเซดดริกโดยไม่ไหวติง จากนั้นเธอจึงเอ่ยคำพูดออกมา

“…เรื่องก่อนหน้านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับสมาคมหรอก …ต่อจากนี้ต่างหากที่เกี่ยว …ฉันมาที่นี่เพื่อมอบโอกาสชดใช้กรรมให้แกไงล่ะ …ถ้าแกยอมตายตรงนี้ซะแต่โดยดีละก็ ฉันจะยอมไว้ชีวิตคนอื่น ๆ ให้ …สนใจรึเปล่า?…”

คำพูดที่ฟังดูอวดดีแบบไม่ดูสถานการณ์ของแซนโดรทำให้กลุ่มคนที่แวดล้อมอยู่มีสีหน้าประหลาดใจด้วยกันทั้งหมด บางคนถึงกับแอบหัวเราะออกมาด้วยซ้ำ

ในระหว่างที่พูดกันอยู่นั้นก็มีคนจากสมาคมนักผจญภัยของอินิสตร้ารวมถึงหน่วยทหารรักษาเมืองที่เข้ามาควบคุมสถานการณ์มาสมทบเพิ่มอีก ทำให้โดยรอบมีนักสู้และนักผจญภัยรวมไปถึงทหารล้อมอยู่ทั่วบริเวณเกือบพันคนแล้ว

“ฉันเสียใจเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดกับสมาคมของแก… แต่เรื่องนั้นกับความผิดของแกมันเป็นคนละเรื่องกัน ทิ้งอาวุธแล้วปลดชุดเกราะนั่นออกซะ ถ้ายอมแพ้แต่โดยดีละก็ฉันจะรับรองความปลอดภัยให้”

“…สรุปว่าไม่สนชีวิตของคนอื่น ๆ สินะ? …ถ้างั้นก็ตามใจ …แต่จงจำเอาไว้ว่าการตัดสินใจของแกทำให้ผู้บริสุทธิ์จำนวนมากต้องพบกับความตายอีกครั้งหนึ่งแล้ว …เซดดริก เดรค…”

เมื่อเห็นว่าท่าทางจะพูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว แถมยังสัมผัสได้ถึงการรวบรวมพลังเวทจากฝ่ายตรงข้าม ทุกคนโดยรอบจึงระดมโจมตีเข้าใส่แซนโดรโดยพร้อมเพรียงกันจากทั่วทุกสารทิศ ทั้งด้วยท่าโจมตีระยะไกล, เวทมนตร์, และอาวุธยิง

เสียงระเบิดกึกก้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่องทำเอาบริเวณนั้นเต็มไปด้วยฝุ่นและควัน แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าเหล่าคนของเซดดริกจะหยุดโจมตี

ทันใดนั้นเองก็เกิดคลื่นเวทมนตร์แผ่กระจายออกมาจากจุดระเบิดอย่างรุนแรง ราวกับเป็นการปลดปล่อยประจุพลังเวทที่อัดจนล้นปรี่ ทำให้พลังงานมหาศาลไหลทะลักออกมาราวกับพายุโหม ทำให้ทุกคนโดยรอบต้องชะงักไป

ครู่ต่อมาก็มีเงาคนซึ่งหุ้มด้วยออร่าพลังงานอันเข้มข้นพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนที่จะลอยตัวค้างอยู่บนนั้น เคียงคู่กับพระจันทร์ดวงโตในยามค่ำคืน

มันคือร่างของแซนโดรในชุดเกราะหัวกะโหลกซึ่งแผ่ออร่าอันรุนแรงออกมาจากช่องว่างใต้ชุดเกราะเกือบทั่วทั้งตัว ราวกับเป็นกองเพลิงสีเขียวขนาดใหญ่ที่กำลังลุกไหม้

เซดดริกที่เห็นภาพนั้นก็อยู่ในอาการตกตะลึง ในระหว่างที่พึมพำคำพูดออกมา

“สัมผัสแบบนี้… แถมยังพลังเวทมหาศาลขนาดนี้… นี่มัน… ‘แอนเชี่ยนลิช’ (Ancient Lich) งั้นเหรอ!? ไม่น่าเป็นไปได้นี่นา!”

แซนโดรที่ลอยอยู่บนท้องฟ้านั้นกางแขนทั้งสองข้างออกราวกับจะโอบกอดท้องฟ้าเอาไว้ ทันใดนั้นก็เกิดวงเวทขนาดมโหฬารแผ่ออกไปปกคลุมท้องฟ้าเหนือเมืองอินิสตร้าจนเกือบมิด

เหล่าผู้คนเบื้องล่างพยายามยิงเวทหรือใช้การโจมตีขึ้นไปสกัดการร่ายเวทของอีกฝ่าย แต่ในระหว่างที่ร่ายเวทอยู่ก็มีลูกบอลสีเขียวที่สานขึ้นมาจากอักขระเวทจำนวนนับไม่ถ้วนห่อหุ้มร่างที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้านั้นเอาไว้ ทำให้ไม่มีการโจมตีใด ๆ เกิดผลเลย

เพียงครู่ต่อมา วงเวทขนาดใหญ่บนท้องฟ้านั้นก็เกิดรูโหว่ขึ้นตรงกลาง ก่อนที่รูโหว่นั้นจะค่อย ๆ แผ่ขยายออกไปเรื่อย ๆ แต่แทนที่จะปรากฏภาพท้องฟ้าในยามราตรีขึ้นที่อีกด้านหนึ่งของรูโหว่ มันกลับเป็นภาพปราสาทสีดำที่ตกแต่งด้วยผลึกแก้วสีเขียวห้อยหัวอยู่บนท้องฟ้า ราวกับเป็นภาพทิวทัศน์จากที่อื่นซึ่งถูกฉายขึ้นมาบนท้องฟ้านั้นแทน

ทว่าทุกคนที่ได้เห็นสิ่งนั้นต่างก็รู้ได้ในทันทีว่ามันไม่ใช่ภาพที่ถูกฉายขึ้น แต่เป็นภาพจริง ๆ จากห้วงมิติอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งถูกเปิดขึ้นโดยวงเวทขนาดใหญ่บนท้องฟ้า

นั่นคือเวท ‘เกทออฟเนโครโปลิส’ (Gate of Necropolis) เวทสำหรับเปิดประตูมิติขนาดใหญ่ขึ้นมาเชื่อมต่อท้องฟ้าของเรล์มเข้ากับท้องฟ้าของที่แห่งใดก็ได้ เป็นเวทที่กินพลังเวทมนตร์มหาศาล ซึ่งปกติต้องใช้ลิชอย่างน้อยห้าคนในการประกอบพิธีกรรมเพื่อร่ายมันออกมา หรือต่อให้เป็นแอนเชี่ยนลิชซึ่งมีพลังสูงกว่าลิชทั่ว ๆ ไปก็ไม่น่าจะร่ายเวทนี้ด้วยลำพังตัวคนเดียวได้ แต่ศัตรูที่อยู่ตรงหน้านี้กลับทำได้ ทำให้เซดดริกรู้สึกเย็นเยียบไปจนถึงสันหลัง

“นั่นมัน… เรล์มงั้นเหรอ!? สามารถเปิดประตูมิติเชื่อมเรล์มออกมาได้แบบนี้มัน…”

ระหว่างที่เซดดริกและทุก ๆ คนในบริเวณนั้นยังคงตะลึงกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ก็ยังมีสิ่งที่น่าขนลุกยิ่งกว่าปรากกฎขึ้นมาตอกย้ำให้เกิดความสะพรึงมากขึ้นไปอีก

มันคือภาพของมังกรโครงกระดูกหลายร้อย ฝูงการ์กอยล์หลายพัน และสเกลตันนับหมื่น กำลังลอยออกจากห้วงมิติที่ปราสาทสีดำนั้นตั้งอยู่ลงมายังเมืองอินิสตร้านั่นเอง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด