Doombringer the 5th 125

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 125 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.125 – ผู้ที่ทำลายแผน กับผู้ที่ปล่อยให้แผนถูกทำลาย

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 121

ผู้ที่ทำลายแผน กับผู้ที่ปล่อยให้แผนถูกทำลาย

 

Part 1

 

แม้การประลองรอบแรกจะจบลงแล้ว แต่รอบลานประลองกลับตกอยู่ในความเงียบงัน เพราะทุกคนต่างก็รู้สึกอึ้งกับสิ่งที่ได้เห็นจนพูดอะไรไม่ออก

อีกด้านหนึ่ง คุโระที่กำลังมีสีหน้ากระอักกระอ่วนสุดจะบรรยายก็รีบดึงตัวลาซลงจากลานประลองเพื่อพูดกับเธอในทันที

“ทะ.. ทำอะไรน่ะครับคุณลาซ? แบบนี้ความก็แตกหมดน่ะสิ!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลาซก็ตอบกลับมาด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย

“เห? ความแตกเหรอ? ทำไมล่ะ? ฉันก็ใช้เวทอัญเชิญแบบเดียวกับซาลแล้วนี่นา”

“ใช่ที่ไหนล่ะครับ! ผิดไปไกลเลย! ไอ้นี่น่ะมันแค่ตุ๊กตามือไม่ใช่เหรอ!? ไม่ต่างจากสวมนวมรูปหมาป่าแล้วเอาไปต่อยฝ่ายตรงข้ามเลย! คุณซาลเขาไม่ได้ใช้วิชาแบบนี้ซะหน่อย!”

“เอ๋? งั้นเหรอ? เอ… แต่คนอื่น ๆ ก็ดูจะไม่ผิดสังเกตอะไรนี่นา คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”

ลาซหันไปมองเหล่านักเรียนห้อง B และอาจารย์เร็นแน็บอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าทุกคนยังคงนิ่งเงียบไม่มีใครพูดอะไร เธอจึงหันกลับมาตอบคุโระด้วยดวงตาที่ยิ้มแย้มสบาย ๆ ตามปกติ ผิดกับคุโระที่มีสีหน้าบูดเบี้ยวยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“มันผิดสังเกตจนเขาพูดไม่ออกกันต่างหากล่ะครับ! ของที่ดูยังไงก็เห็นเป็นตุ๊กตาชัด ๆ แบบนั้นมันจะไปหลอกใครได้เล่า!?”

“เห~”

ลาซยังมีสีหน้าเหมือนไม่ค่อยยอมรับในเรื่องนี้นักแต่เธอก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรอีก เพียงแค่แสดงอาการแง่งอนเล็ก ๆ ออกมาเหมือนเด็กที่ถูกขัดจังหวะการเล่นสนุก ทำให้คุโระได้แต่ขมวดคิ้วเพราะไม่แน่ใจว่าลาซไม่รู้จริง ๆ หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน คุโระคิดว่าความน่าปวดหัวก็คงไม่ต่างกันสักเท่าไหร่

อีกฟากหนึ่งของสนาม อาจารย์เร็นแน็บที่นิ่งเงียบมาตลอดก็หยิบกระปุกยาทรงกระบอกออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วเทเม็ดยาสีขาวหลายเม็ดลงบนมือข้างซ้าย ก่อนจะซัดยาทั้งกำเข้าปากแล้วกลืนลงคอไปทั้งอย่างนั้น แล้วหันมามองดูลาซกับคุโระด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ระดับความเพี้ยนนั่น… มันเท่ากับคนน้องเป๊ะเลยไม่ใช่เหรอ… แถมดูจากฝีมือแล้วก็ไม่น่าจะด้อยกว่ายัยตัวป่วนนั่นที่เป็นระดับท็อปของห้อง A ด้วย การประลองนัดที่เหลือคงไม่มีปัญหาแน่… แปลว่าเราต้องดูแลเด็กแบบนี้ถึงสองคนพร้อมกันจริง ๆ รึเนี่ย…

เมื่อคิดว่าต้องมาดูแลตัวป่วนแบบลาซถึงสองคน อาจารย์เร็นแน็บก็ยิ่งรู้สึกเครียดจนความดันเริ่มพุ่งขึ้นมาอีกครั้งแม้จะกินยาระงับประสาทไปกำหนึ่งแล้วก็ตาม เธอจึงเปิดฝากระปุกยาแล้วเทยาที่เหลือทั้งหมดกรอกเข้าปากไปในทีเดียว ก่อนจะบดเคี้ยวเม็ดยาเหล่านั้นราวกับจะระบายอารมณ์ทางอ้อม

หากเป็นคนทั่วไป ปริมาณยาขนาดนี้อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่สำหรับอาจารย์เร็นแน็บที่มีคุณสมบัติแตกต่างจากคนทั่วไปแล้ว ยาระงับประสาทเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนขนมขบเคี้ยวสำหรับเธอเท่านั้น

จะขอย้ายกลับไปทำงานภาคสนามดีมั้ยนะ… หืม? เดี๋ยวซิ.. เหมือนกันเป๊ะเหรอ?…

ในระหว่างนั้นเอง สีหน้าของเร็นแน็บก็เปลี่ยนไป เพราะเธอฉุกคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และหลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดอาจารย์เร็นแน็บก็หันไปทางกลุ่มนักเรียนห้อง B เพื่อออกคำสั่ง

“กลุ่มที่สอง ขึ้นมาบนเวทีเพื่อเตรียมการประลองได้!”

คำประกาศนั้นทำให้ทั้งคุโระและเหล่านักเรียนห้อง B ต่างก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะจริง ๆ แล้วหลังการประลองแต่ละรอบควรจะมีเวลาพักให้ทีมที่ยื่นคำร้องเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง เว้นแต่ทีมนั้นจะขอดำเนินการประลองต่อเอง แต่อย่างไรซะการประลองในรอบแรกก็จบลงอย่างรวดเร็วโดยที่ทีมของลาซและคุโระแทบจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย การดำเนินการประลองต่อทันทีจึงไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไร

นั่นคือความคิดของงเร็นแน็บซึ่งทุกคนก็คงเห็นตรงกันด้วย แต่เธอยังมีเหตุผลส่วนตัวที่อยากเริ่มการประลองในทันที เพราะอยากดูรูปแบบการต่อสู้ของซาล (ตัวปลอม) อีกครั้งมากกว่า

ลาซเองก็สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของอาจารย์เร็นแน็บเช่นกัน เธอพอจะเดาเจตนาของฝ่ายตรงข้ามออก แต่นั่นก็ไม่ทำให้เธอรู้สึกกังวลแต่อย่างใด เธอจึงก้าวขึ้นไปบนลานประลองพลางกล่าวคำพูดกับคุโระไปด้วย

“เห็นทีคงจะต้องเอาจริงแล้วล่ะนะ.. นายเป็นหัวหอกในการบุกเหมือนเดิม ส่วนฉันจะคอยสนับสนุนด้วยสมุนอัญเชิญเอง”

เมื่อได้ยินลาซพูดว่าจะใช้ ‘สมุนอัญเชิญ’ คุโระก็มองไปยังหุ่นมือรูปหมาป่าที่ยังสวมอยู่บนแขนของลาซ พลางแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนออกมาอีกครั้ง

“สมุนอัญเชิญแบบนั้นน่ะ ขอทีเถอะครับ… อย่าเอามาใช้อีกเลยจะได้มั้ยครับ…”

“เฮ้ ฉันไม่ได้หมายถึงพวกนี้หรอก หมายถึงสมุนอัญเชิญจริง ๆ ต่างหาก”

ลาซเก็บหุ่นมือรูปหมาป่าที่สวมอยู่บนแขนทั้งสองข้างกลับเข้าช่องมิติเก็บของไป ก่อนจะนำคทาเวทหนึ่งอันออกมาถือไว้แทน ทำให้คุโระเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“เอ๋? คุณลาซใช้เวทอัญเชิญได้ด้วยเหรอครับ?”

“อื้ม เมื่อคืนฉันอ่านตำรามาแล้วล่ะ ทดลองใช้ดูบ้างแล้วด้วย รับรองว่าอัญเชิญได้แน่นอน!”

ลาซตอบกลับด้วยแววตาเป็นประกายพลางชูกำปั้นขึ้นมาด้วยความมั่นใจอันเต็มเปี่ยม ผิดกับคุโระที่ขมวดคิ้วเพราะความข้องใจมากขึ้น

“มะ.. เมื่อคืน!? บะ.. แบบนี้จะดีเหรอครับ…”

“ให้ว่ากันตามจริงก็คงใช้ในการต่อสู้ระดับนี้ไม่ได้หรอกนะ ที่ตะกี้ไม่ได้ใช้ก็เพราะสาเหตุนี้แหละ ฉันไม่เคยเรียนวิชาสายเวทอัญเชิญมาก่อนเลย เพิ่งจะมาลองหัดดูเมื่อคืนนี้เอง สมุนที่อัญเชิญได้ก็มีแต่สมุนระดับ 1-2 ไม่ใช่คู่มือของนักเรียนห้อง E ด้วยซ้ำ แต่ในวิชาของเวทธาตุต่าง ๆ ที่ฉันเคยเรียนก็มี ‘การอัญเชิญธาตุ’ อยู่นะ ถ้าเอามาผสม ๆ กันก็คงพอจะกลบเกลื่อนไปได้แหละ เดี๋ยวนายเป็นหัวหอกในการบุกเหมือนเดิม ฉันจะใช้พวกสมุนระดับล่างเป็นตัวล่อให้ และสบโอกาสเมื่อไหร่ก็จะใช้การอัญเชิญธาตุช่วยโจมตี เท่านี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหานะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น คุโระก็รู้สึกคลายกังวลลงบ้าง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกสงสัยในความสามารถอันหลากหลายของลาซ ที่ใช้ได้ทั้งเวทสนับสนุนของนักบวช, จิตต่อสู้ของนักสู้มือเปล่า, และยังบอกว่าสามารถใช้การอัญเชิญธาตุซึ่งเป็นเวทโจมตีระดับสูงของนักเวทธาตุได้อีกด้วย ทำให้เขาข้องใจว่าคลาสหลักที่แท้จริงของลาซคือคลาสอะไรกันแน่

อย่างไรก็ตาม คุโระคิดว่านี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะมากังวลกับเรื่องเหล่านี้ เขาจึงตั้งสมาธิกับการประลองและเตรียมที่จะทำตามแผนการที่นัดแนะกับลาซเอาไว้ ไม่ให้มีอะไรผิดพลาด

อีกด้านหนึ่ง นักเรียนสองคนที่เป็นตัวแทนจากห้อง B ก็เดินขึ้นมาบนลานประลอง สองคนนี้เป็นตัวแทนจากกลุ่มที่มีคะแนนเป็นอันดับหนึ่งในการเลื่อนห้อง

นี่เป็นการจัดลำดับที่อาจารย์เร็นแน็บได้วางเอาไว้ คือให้กลุ่มที่มีคะแนนต่ำสุดเป็นผู้เริ่มการทดสอบเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ท้าประลองมีโอกาสชนะมากขึ้น รอบที่สองจึงจะให้กลุ่มที่มีคะแนนสูงสุดเป็นผู้ทดสอบเพื่อวัดระดับความสามารถที่แท้จริง หากแพ้ก็ยังมีกลุ่มที่สามซึ่งเป็นกลุ่มที่มีคะแนนรองลงไปเป็นรอบสุดท้ายเพื่อตัดสิน ถึงนี่จะไม่ใช่วิธีที่ให้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ 100% เพราะระดับฝีมือของทั้งสามกลุ่มอาจมีช่วงห่างมาก-น้อยไม่เท่ากันได้ แต่เร็นแน็บก็คิดว่านี่เป็นการจัดลำดับที่ยุติธรรมต่อผู้ท้าประลองมากที่สุดแล้ว

สำหรับฝีมือของกลุ่มที่มีคะแนนเป็นอันดับหนึ่งกับกลุ่มที่มีคะแนนเป็นอันดับสามของห้อง B ในเทอมนี้จัดว่ามีช่วงห่างค่อนข้างมาก ถึงกระนั้นก็ยังไม่ใช่ระดับฝีมือที่น่าตกใจอะไรเมื่อเทียบกับทางฝั่งของคุโระที่น่าจะมีระดับใกล้เคียงกับนักเรียนกลุ่มท็อปของห้อง A เร็นแน็บจึงคิดว่าผลการต่อสู้นั้นค่อนข้างเด่นชัดแล้ว แต่เธอก็ยังจับตาดูการต่อสู้รอบนี้เป็นพิเศษ เพื่อยืนยันความสงสัยบางอย่างที่อยู่ในใจ

“ถ้าทุกคนพร้อมแล้วละก็ เริ่มได้!”

ทันทีที่อาจารย์เร็นแน็บให้สัญญาณ นักเรียนห้อง B ทั้งสองคนก็เปลี่ยนชุดเป็นชุดนักผจญภัยในทันที โดยคนหนึ่งเป็นเด็กผู้ชายผมสีดำ เขาสวมชุดหนังแบบเบาที่ดูเข้ารูป และมีมีดสั้นสองเล่มเป็นอาวุธในมือแต่ละข้าง ส่วนอีกคนเป็นเด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลซึ่งมีธนูขนาดกลางเป็นอาวุธ ทันทีที่เปลี่ยนชุดเสร็จ เด็กผู้ชายผมดำก็พุ่งตรงเข้ามาหาคุโระในทันที โดยมีเด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลขึ้นสายธนูเล็งเตรียมเอาไว้

“คู่ประสานโร้ก (Rogue) กับอาเชอร์ (Archer) งั้นเหรอ? จัดทีมรุกสำหรับการประลองเป็นคู่มาแบบนี้แปลว่าไม่ใช่มือสมัครเล่นเรื่องการประลองสินะ แต่นั่นก็ไม่สำคัญหรอก! ไปเลยนายหัวขาว!”

คำสั่งของลาซทำให้คุโระหยุดชะงักไปครู่หนึ่งพลางคิดในใจว่า ‘นี่คงไม่ใช่ว่าไม่รู้จักชื่อผมหรอกนะ!?’ แต่เพราะนี่ไม่ใช่เวลาที่จะโวยวายเรื่องนั้น เขาจึงได้แต่เก็บความข้องใจเอาไว้และพุ่งออกไปเพื่อรับมือฝ่ายตรงข้าม

ในขณะเดียวกัน ลาซก็โบกคทาในมือของเธอเพื่อเตรียมอัญเชิญสมุนระดับต่ำออกมา แต่ทันใดนั้นเองก็ปรากฏวงเวทสามวงขึ้นมาเบื้องหน้าของเธอทำให้ดวงตาของลาซเบิกโพลงขึ้นด้วยความประหลาดใจ

พริบตาต่อมาก็ปรากฏหมาป่าสีเทาขนาดใหญ่สามตัวพุ่งออกมาจากวงเวทและมุ่งตรงไปยังนักเรียนห้อง B ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของลานประลองในทันที

หมาป่าสองตัววิ่งแซงคุโระไปด้วยความเร็วสูงทำให้เขารู้สึกตกใจเพราะสมุนอัญเชิญเหล่านี้แผ่จิตต่อสู้ออกมาในระดับเดียวกับหมาป่าของซาลซึ่งเป็นสมุนระดับสี่เลย แต่ยังไม่ทันจะคิดอะไรต่อ หมาป่าตัวที่สามก็วิ่งเข้ามาชนไหล่ของเขาจากด้านหลังทำให้คุโระเซถลำจนเกือบจะล้มคะมำไป แต่เขาก็ยังก้าวเท้ายันพื้นเอาไว้ได้

คุโระเงยหน้ากลับขึ้นมามองด้วยความงุนงง สิ่งที่เขาเห็นก็คือหมาป่าตัวที่สามซึ่งเหลียวหลังกลับมามองเขาด้วยสายตาหงุดหงิดพร้อมกับส่งเสียง ‘ชิ’ เบา ๆ ออกมา ก่อนจะมุ่งหน้าต่อไป

ทันทีที่ได้เห็นแววตาหงุดหงิดที่กึ่งจะแสดงความรู้สึกรังเกียจออกมาของหมาป่าตัวที่สาม คุโระก็เข้าใจทุกอย่างในทันที เพราะเขาเคยเห็นสายตาแบบนั้นมาก่อนแล้ว

“นั่นมัน… ทาร์ท่า?”

 

——————————————————————————–

 

Part 2

 

การปรากฏตัวของหมาป่าทั้งสามทำให้ทั้งลาซและคุโระต่างก็รู้สึกตกตะลึง แต่ผู้ที่ตกใจยิ่งกว่าก็คือนักเรียนห้อง B ทั้งสองคนที่สัมผัสได้ถึงระดับพลังของหมาป่าทั้งสามที่มีความใกล้เคียงกับมอนสเตอร์ระดับสี่เลยทีเดียว

การต้องเผชิญหน้ากับสมุนอัญเชิญระดับนี้ถึงสามตัวพร้อมกันก็นับว่าเป็นเรื่องที่ตึงมือสำหรับเด็กปีหนึ่งแล้ว แถมพวกเขายังจับคู่กันมาเพื่อเน้นการต่อสู้แบบสองต่อสองคือเป็นโร้คและอาเชอร์ซึ่งไม่ใช่คลาสที่เหมาะกับการรับมือศัตรูเป็นจำนวนมากด้วยกันทั้งคู่ เด็กห้อง B ทั้งสองคนจึงเกิดอาการเหงื่อตกในทันทีเพราะรู้ว่าตนเองกำลังเสียเปรียบ

หมาป่าสองตัวแรกวิ่งอ้อมเด็กผู้ชายผมดำที่เป็นโร้คไปโดยไม่สนเขาเลยแม้แต่น้อย ทำให้เจ้าตัวต้องพยายามไล่ตามสกัดเพื่อปกป้องนักธนูที่อยู่ในแนวหลัง เขาไขว้มือทั้งสองข้างที่กำมีดอยู่ก่อนจะฟันออกไปเบื้องหน้าเป็นรูปกากบาท ทันใดนั้นก็ปรากฏใบมีดขนาดเล็กจำนวนมากซัดสาดออกไปราวกับห่าฝน มันคือท่า ‘ฝนใบมีด’ (Rain of Knives) หนึ่งในท่าโจมตีแบบกลุ่มไม่กี่ท่าที่โร้คสามารถใช้ได้

แม้จะมีใบมีดจำนวนมากถูกซัดมาจากด้านหลัง แต่หมาป่าทั้งสองก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไปราวกับไม่สนใจการโจมตีนั้น พวกมันแค่โยกตัวและเบี่ยงเส้นทางวิ่งเพียงเล็กน้อยก็สามารถหลบหลีกใบมีดที่พุ่งเข้ามาได้ทั้งหมดราวกับมีตาหลัง ทำให้เด็กผู้ชายผมดำยิ่งรู้สึกตกใจ

ในขณะที่เขากำลังง้างมือเพื่อจะปลดปล่อยการโจมตีอีกระลอก หมาป่าตัวที่สามก็พุ่งเข้ามางับข้อมือของเขาจากทางด้านหลัง ก่อนมันจะสะบัดหัวและเหวี่ยงเด็กหนุ่มไปทางขอบของลานประลองเพื่อให้เขาออกจากการต่อสู้

เด็กผู้ชายผมดำถูกเหวี่ยงลอยออกไปราวกับเป็นตุ๊กตาตัวหนึ่ง แม้จะอยู่ในอาการตกใจแต่เขาก็ยังพอจะตั้งสติได้และรีบพลิกตัวให้กลับมาอยู่ในท่าสมดุลเพื่อลงสู่พื้น แต่ด้วยแรงเหวี่ยงที่ยังส่งผลอยู่ก็ทำให้เด็กหนุ่มครูดไถลไปกับพื้นเป็นทางไกลแม้ว่าทั้งเท้าและหัวเข่าของเขาจะลงมาแตะพื้นแล้วก็ตาม ทำเขาต้องใช้มีดในมือปักลงกับพื้นลานประลองเพื่อเพิ่มแรงต้านด้วยจึงจะสามารถหยุดการไถลได้ก่อนจะถึงขอบของลานประลองเพียงไม่กี่เมตร

ทว่าทันทีที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบว่าหมาป่าตัวที่สามได้พุ่งตามเขามาแบบติด ๆ

ด้วยภาวะจวนตัวและท่วงท่าที่ยังไม่สามารถจะหลบหลีกอะไรได้นี้เด็กหนุ่มจึงได้แต่ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมากันการโจมตีไว้  และนั่นก็ทำให้เขาถูกหมาป่าตัวที่สามพุ่งเข้ากระแทกอย่างจัง จนตัวของเขากระเด็นหลุดออกไปนอกลานประลองในที่สุด

อีกด้านหนึ่ง นักธนูหญิงก็กำลังพยายามหนีห่างจากหมาป่าสองตัวที่มุ่งตรงมายังเธออย่างเต็มที่ เธอทั้งวางกับดักเวทและโปรยเมล็ดหนามสำหรับสกัดการไล่ตาม แต่พวกหมาป่าก็สามารถหลบหลีกกับดักทั้งหมดนั้นได้โดยความเร็วแทบจะไม่ลดลงเลย

เด็กหญิงตัดสินใจพลิกตัวและเปลี่ยนมาวิ่งถอยหลังแทนเพื่อให้สามารถใช้ธนูโจมตีพวกหมาป่าในระหว่างที่วิ่งอยู่ได้ ทว่าทันทีที่ง้างธนูขึ้นมาเล็งเธอก็ต้องตกตะลึง

เพราะหมาป่าที่วิ่งตามเธอมานั้นมีเพียงแค่ตัวเดียว

นักธนูหญิงที่สู้พลางหนีพลางไม่ทันได้สังเกตว่าหมาป่าที่วิ่งตามเธอมามีกี่ตัวกันแน่เพราะเธอมองพวกมันผ่าน ๆ ด้วยหางตาเท่านั้น เมื่อรู้ว่าหมาป่าอีกตัวได้หายไปจึงทำให้เธอรู้ตัวว่าพลาดท่าซะแล้ว

เสี้ยววินาทีนั้นเองหมาป่าอีกตัวก็พุ่งเข้ามาหาเธอจากด้านข้าง นักธนูหญิงที่กำลังวิ่งถอยหลังอยู่นั้นไม่ทันที่จะได้ตอบโต้อะไรก็ถูกชนจนกระเด็นออกนอกลานประลองไปอีกคน นี่เป็นผลจากการวิ่งต้อนของหมาป่าตัวแรกที่จงใจบีบให้เธอวิ่งหนีไปตามขอบของลานประลองด้วย เมื่อคู่ต่อสู้ทั้งสองหลุดออกจากเขตลานประลองแล้ว การต่อสู้จึงถือว่าสิ้นสุดลง

เหล่านักเรียนห้อง B ที่เหลือต่างก็ตกใจกับผลลัพธ์อันไม่คาดฝันนี้ โดยเฉพาะนักเรียนที่อยู่กลุ่มเดียวกับสองคนที่ขึ้นไปประลอง เพราะในรอบแรกพวกเขาเห็นว่าลาซไม่ได้ใช้เวทอัญเชิญจริง ๆ ออกมา อีกทั้งทักษะในการต่อสู้ประชิดตัวของอีกฝ่ายก็ดูน่ากลัวไม่น้อย จึงจัดทีมสำหรับประลองแบบคู่ขึ้นไป ไม่นึกว่าในรอบนี้ฝ่ายตรงข้ามจะใช้เวทอัญเชิญออกมาแทน แถมสมุนอัญเชิญเหล่านั้นยังเป็นสมุนอัญเชิญที่มีระดับค่อนข้างสูงสำหรับนักเรียนปีหนึ่งด้วย

อาจารย์เร็นแน็บก็รู้สึกประหลาดใจกับผลลัพธ์นี้เช่นกัน ในทีแรกเธอสงสัยว่าเด็กผมแดงคนนี้จะเป็นลาซที่ปลอมตัวมาประลองแทนพี่ชายจึงไม่สามารถใช้เวทอัญเชิญซึ่งเป็นเวทเฉพาะตัวของคนพี่ได้ การประลองในรอบนี้เธอจึงคิดจะรอดูฝีมือของอีกฝ่ายให้ชัด ๆ ทว่าสมุนอัญเชิญระดับสูงที่ถูกเรียกออกมาก็ทำให้ทฤษฎีนี้ถูกล้มล้างไปในทันที ถึงกระนั้นเร็นแน็บก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ยังสะกิดใจเธออยู่ เพียงแต่อธิบายมันออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เท่านั้น

ทางด้านหมาป่าทั้งสาม เมื่อจัดการกับฝ่ายตรงข้ามเรียบร้อยแล้วพวกมันก็วิ่งกลับมาหาลาซในทันที ซึ่งเจ้าตัวก็พอจะเดาเรื่องทุกอย่างออกแล้วจึงตามน้ำไปโดยไม่มีท่าทีลังเลแม้แต่น้อย

“โอ้ว เก่งมาก ๆ เลยทุกคน~ เป็นไงล่ะ! นี่แหละพลังที่แท้จริงของ.. จ๊ากกก!”

ลาซที่กำลังจะพูดโอ้อวดพลางยื่นมือออกไปลูบหัวของหมาป่าตัวหนึ่งก็ต้องร้องเสียงหลงออกมาแทนเพราะโดนหมาป่าตัวนั้นงับมือเข้า

หมาป่าทั้งสามของซาลไม่ชอบให้คนนอกมาแตะตัวอยู่แล้ว ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าพวกมันจะตอบสนองด้วยความรุนแรงในทันที แต่เพราะหมาป่าที่ลาซกำลังเอื้อมมือไปลูบหัวคือทาร์ท่าที่อยู่ในอารมณ์หงุดหงิดตั้งแต่เห็นคุโระแล้ว เมื่อถูกกระตุ้นอีกจึงตอบโต้ออกไปโดยไม่ลังเล

ในวินาทีต่อมา ร่างของหมาป่าทั้งสามก็สลายกลายเป็นละอองแสงไปเพราะถูกยกเลิกการอัญเชิญ ทำให้เหลือลาซยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง เธอพยายามปั้นรอยยิ้มเจื่อน ๆ เพื่อกลบเกลื่อนเรื่องที่เกิดขึ้น แม้จะมีหยดน้ำตาเล็ก ๆ ปริ่มออกมาที่หางตาก็ตาม

“ยะ.. ยังหยอกแรงเหมือนเดิมเลยนะ… ขี้เล่นจริง ๆ เลย… ฮ่ะ ๆ ๆ … เอ้อ! อาจารย์ฮะ แบบนี้ถือว่าพวกเราผ่านการทดสอบแล้วใช่รึเปล่าฮะ?”

ลาซรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้ทุกคนผิดสังเกต ส่วนอาจารย์เร็นแน็บที่เห็นเห็ตการณ์เมื่อสักครู่นี้อย่างชัดเจนก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมา

“การทดสอบด้วยการประลองน่ะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ยังต้องประเมินผลของการทดสอบอีก เอ้า รับแหวนนี่ไป ไว้ได้ข้อสรุปเมื่อไหร่แล้วฉันจะติดต่อไปบอกอีกที”

เร็นแน็บกล่าวพลางโยนแหวนสื่อสารวงหนึ่งให้ลาซรับเอาไว้ แต่เจ้าตัวก็ยังคงแสดงอาการข้องใจอยู่

“เห~ ไม่ใช่ว่าแค่ชนะการประลองสองในสามก็จะได้เลื่อนห้องหรอกเหรอ? แบบนี้…”

“คะ.. คุณซาลารัสครับ! ถ้าอาจารย์เขาว่าแบบนั้น พวกเราก็กลับไปรอฟังผลกันดีกว่านะครับ! รีบไปกันเถอะครับ!”

คุโระที่ไม่อยากให้ลาซโต้เถียงกับอาจารย์เพราะกลัวว่าจะเผยพิรุธออกมาอีกจึงรีบตัดบทและพาเจ้าตัวออกจากลานประลองไปในทันที โดยมีสายตาอันเคลือบแคลงของอาจารย์เร็นแน็บมองตามไปด้วย

หลังออกมาจากลานประลอง คุโระก็สังเกตเห็นแมลงเต่าทองตัวหนึ่งบินวนเวียนอยู่เบื้องหน้าเขาราวกับพยายามจะบอกใบ้อะไรบางอย่าง ก่อนมันจะบินเข้าไปในแนวไม้ที่อยู่ข้างทางเดิน คุโระจึงพาลาซเดินตามเข้าไป

หลังจากเดินผ่านแนวไม้เข้ามาได้ไม่นาน พวกเขาก็มาถึงลานกว้างแห่งหนึ่งซึ่งรายล้อมไปด้วยแมกไม้ ที่นั่นมีเด็กผู้ชายผมสีแดงคนหนึ่งกำลังยืนรอการมาของทั้งสองคนอยู่ เด็กคนนั้นหันมามองลาซและคุโระอย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้าอันเรียบเฉยที่ไม่สื่อถึงอารมณ์ใด ๆ ออกมา ทำให้ยากที่จะคาดเดาว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

เด็กผู้ชายผมสีแดงคนนี้ก็คือซาลนั่นเอง

 

——————————————————————————–

 

Part 3

 

ทันทีที่เห็นซาล คุโระก็มีสีหน้าที่คลายกังวลเป็นปลิดทิ้ง เขารู้ว่าซาลมาถึงตั้งแต่เห็นหมาป่าทั้งสามแล้ว และเข้าใจว่าเพื่อไม่ให้ความแตกซาลจึงส่งเพียงเหล่าสมุนไปช่วยในการประลองโดยไม่ได้เผยตัวออกมา

ทางด้านลาซเมื่อเห็นอีกฝ่ายเธอก็ถอดผ้าพันคอออกและยิ้มกริ่มออกมาด้วยสีหน้าที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นผู้ชนะ เพราะแผนการทุกอย่างของเธอสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี และซาลจะได้เลื่อนไปอยู่ห้อง A ตามที่เธอต้องการค่อนข้างแน่นอน สำหรับลาซนี่เป็นผลลัพธ์ที่เธอพึงพอใจมากที่สุดแล้ว

แต่ในขณะที่เธอจะอ้าปากพูดจาเย้ยหยันอยู่นั้นเอง ซาลก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาซะก่อน

“ขอบัตรประจำตัวของฉันคืนด้วย”

ซาลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เรียบเฉย ทำให้ลาซรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเพราะคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะโกรธมากกว่านี้ แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากและนำบัตรประจำตัวของซาลออกมาจากชายเสื้อก่อนจะร่อนมันคืนให้กับเจ้าตัวไปพร้อมกับกล่าวสำทับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าท่าทางที่ดูอวดดีอยู่ไม่น้อย

“จะไม่กล่าวขอบอกขอบใจหน่อยเหรอที่ฉันช่วยให้นายกับเพื่อนของนายได้เลื่อนไปอยู่ห้อง A น่ะ?”

สีหน้าของซาลยังคงเรียบเฉยเหมือนเดิม ทำให้ลาซเริ่มจะรู้สึกผิดสังเกต ในระหว่างนั้นเองคุโระก็พูดแทรกขึ้นมา

“เอ่อ… คือ… ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว คุณลาซน่ะ… คงไม่ใช่ว่าไม่รู้จักชื่อของผมหรอกนะครับ?”

“หืม? อ้อ! ก็ต้องรู้จักสิ! นายก็คือ… เคโระไงล่ะ!”

“ใช่ที่ไหนกันล่ะครับ!? ผมชื่อคุโระต่างหาก!”

“อ้อ ใช่ ๆ คุโระนั่นแหละ ตะกี้เผลอลิ้นพันกันน่ะ ฮะ ๆ ๆ “

ลาซหัวเราะกลบเกลื่อนด้วยท่าทีขี้เล่น ทำให้คุโระไม่แน่ใจว่าเธอจำผิดจริง ๆ หรือแกล้งจำผิดกันแน่ จึงได้แต่แสดงสีหน้าเหนื่อยใจออกมา ส่วนซาลเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนคุยกันเสร็จแล้วเขาจึงเอ่ยคำพูดขึ้นแบบห้วน ๆ

“คุโระ เราไปกันเถอะ”

เมื่อพูดจบ ซาลก็หันหลังกลับและเริ่มเดินจากไป ทำให้ทั้งคุโระและลาซต้องรู้สึกแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าซาลจะจบเรื่องลงง่าย ๆ แค่นี้ โดยเฉพาะลาซที่รู้สึกผิดปกติกับท่าทางของซาลมาตั้งแต่แรกแล้ว

“ดะ.. เดี๋ยวก่อน! นายจะไปง่าย ๆ แบบนี้น่ะเหรอ?”

แม้จะถูกร้องทัก แต่ซาลก็ไม่ได้หยุดเท้าลง เขายังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีท่าทีว่าจะหันกลับมามองเลยแม้แต่น้อย ทำให้คุโระต้องรีบเดินตามไปด้วย ส่วนลาซก็ยังคงนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะตัดสินใจวิ่งไล่ตามไปและเอ่ยถามอีกครั้งด้วยสีหน้ากระวนกระวาย

“นะ.. นี่! นายโกรธจริง ๆ เหรอ?”

“โกรธเหรอ? ทำไมฉันถึงต้องโกรธด้วยล่ะ?”

“กะ.. ก็…”

ลาซไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะนั่นจะเป็นการยอมรับผิด จริงอยู่ว่าเธอก็ตั้งใจจะยั่วยุอีกฝ่ายให้ต้องมาเผชิญหน้าด้วยไม่ใช่เอาแต่หลบเลี่ยงแบบนี้ แต่เธอก็ไม่คิดว่าซาลจะโกรธเธอจริง ๆ

เมื่อเห็นว่าอีกกฝ่ายไม่ยอมพูดอะไร ซาลจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาเอง

“แปลว่าเธอเองก็รู้ตัวสินะว่าทำผิดน่ะ?”

“มะ.. ไม่ใช่ซะหน่อย! ฉันช่วยให้นายได้เลื่อนมาอยู่ห้อง A เชียวนะ! มันไม่ดีตรงไหนล่ะ!?”

ลาซยังคงพยายามโต้แย้งด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักพลางหลบสายตาไปทางอื่น เป็นท่าทีที่แสดงความรู้สึกผิดอย่างชัดเจน แต่เธอก็ยังปากแข็งและไม่ยอมรับมันอยู่ดี

“นั่นเป็นความช่วยเหลือที่ฉันต้องการจริง ๆ น่ะเหรอ? เธอน่าจะรู้ดีนะว่ายังไงฉันก็สามารถเลื่อนขึ้นไปอยู่ห้อง Aได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว การที่แอบมาขโมยบัตรนักเรียนไปยื่นเรื่องขอรับการทดสอบด้วยการประลองแบบนี้น่ะมันเป็นการทำเพื่อฉัน หรือทำเพื่ออะไรกันแน่?”

“อึก.. ฉะ.. ฉันน่ะ! ฉันก็แค่…”

ลาซไม่รู้ว่าควรจะโต้แย้งอีกฝ่ายกลับไปอย่างไรดี เพราะที่ซาลพูดออกมานั้นถูกต้องทุกอย่าง ที่สำคัญคือเจ้าตัวยังมีสีหน้าเรียบเฉยผิดปกติ ซึ่งลาซรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าการแสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยวออกมาตรง ๆ  ซะอีก เพราะมันหมายถึงซาลกำลังโกรธอยู่จริง ๆ ในเวลาแบบนี้เธอจึงยิ่งไม่กล้าต่อปากต่อคำเพราะกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจมากขึ้น

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอมีเจตนาอะไร แต่การกระทำของเธอน่ะมันใช้ไม่ได้ ถ้าคราวหน้ายังทำอะไรแบบนี้อีกละก็ ฉันจะไม่พูดกับเธออีกเลย จำไว้ด้วยล่ะ”

เมื่อพูดจบซาลก็เร่งฝีเท้าเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองลาซอีกเลย ทำให้เจ้าตัวที่กำลังทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างได้แต่มองตามเท่านั้น

คุโระที่เห็นสีหน้าอันเศร้าหมองของลาซก็อดรู้สึกสงสารไม่ได้ แต่เขาก็เข้าใจว่าเรื่องที่เธอทำในคราวนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อยู่ไม่น้อย หากถูกจับได้ขึ้นมาผลลัพธ์ก็คงเลวร้ายสุดจะคาดเดา ดังนั้นต่อให้ซาลดุด่าหรือต่อว่าลาซมากกว่านี้ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่เกินเลย เขาจึงได้แต่เร่งฝีเท้าและเดินตามซาลไป โดยทิ้งลาซเอาไว้เบื้องหลัง

เมื่อทั้งสองคนเดินจากไปแล้ว ลาซที่ยืนนิ่งและมองตามแผ่นหลังของซาลอยู่เป็นเวลานานก็เอ่ยคำพูดออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา

“ฉันก็แค่อยากให้นายกลับมาอยู่ใกล้ ๆ ฉัน… อยู่ในที่ ๆ ฉันมองเห็นได้… เรียกหาได้… และอยู่ด้วยกันตลอดเวลาเหมือนกับเมื่อก่อนเท่านั้นเอง…”

คำพูดเหล่านั้นถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกเศร้าโศก ทันทีที่พูดจบ ลาซก็ขบเม้มริมฝีปากของเธอเอาไว้ราวกับพยายามจะเก็บกลั้นความรู้สึกไม่ให้เอ่อล้นออกมามากไปกว่านี้ แม้ดวงตาของเธอจะเริ่มเปียกชื้นแล้วก็ตาม

แม้ซาลกับคุโระจะเดินลับตาไปแล้ว แต่ลาซก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่มีท่าทีว่าจะขยับไปไหน ร่างน้อย ๆ ของเด็กสาวที่ยืนอยู่ท่ามกลางแมกไม้เพียงลำพังนั้นให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวเกินกว่าจะบรรยายได้

 

ห่างออกไปเพียงเล็กน้อยบนต้นไม้ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก หญิงสาวคนหนึ่งได้แอบเฝ้าดูสถานการณ์ทั้งหมดมาโดยตลอด เธอมีผมยาวสีดำขลับที่มัดรวบเป็นหางม้าเอาไว้ทำให้ดูทะมัดทะแมง ใบหน้าของเธอก็งดงามสมวัย ทว่าดวงตาที่เหมือนกับมีโทสะคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลานั้นกลับทำให้ความงามของเธอดูลดน้อยถอยลงไปบ้าง

หญิงสาวคนนี้ก็คืออาจารย์เร็นแน็บที่แอบตามลาซและคุโระมาตั้งแต่ต้นนั่นเอง

ที่นิ้วก้อยข้างซ้ายของเธอมีแหวนสื่อสารวงหนึ่งถูกสวมอยู่ ลวดลายอักขระบนแหวนที่ค่อย ๆ เลือนแสงลงไปนั้นสื่อให้เห็นว่ามันเพิ่งจะยุติการทำงานไปได้ไม่นาน นี่คือแหวนรับสัญญาณที่ใช้ในการแอบฟังเสียงที่ส่งมาจากแหวนอีกวงหนึ่ง ซึ่งก็คือแหวนที่เธอโยนให้กับลาซไปโดยบอกว่าเป็นแหวนสื่อสารธรรมดานั่นเอง

เพราะยังรู้สึกสงสัยในตัวจริงของเด็กผมแดงที่มาประลอง ทำให้เร็นแน็บมอบแหวนวงนี้ให้กับอีกฝ่ายและแอบตามมาเพื่อฟังการสนทนา ซึ่งเธอก็ได้ยินการสนทนาทุกถ้อยคำเพราะแหวนวงนั้นยังอยู่ในกระเป๋าเสื้อของลาซนั่นเอง

“เป็นลาซารัสปลอมตัวมาจริง ๆ ซะด้วยสินะ… ยัยเด็กนี่จะหยุดสร้างเรื่องน่าปวดหัวสักวันไม่ได้รึไงเนี่ย…”

เมื่อเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เร็นแน็บก็เอนกายพิงกับยอดไม้และเริ่มครุ่นคิดอีกครั้ง

ตามกฎแล้วนี่ถือว่าเป็นความผิดที่ค่อนข้างร้ายแรงอยู่เหมือนกัน ทั้งแอบอ้างชื่อเพื่อยื่นเรื่องและปลอมตัวมาทำการทดสอบแทน… แต่หมาป่าสามตัวที่โผล่ออกมาในรอบที่สองนั่นคือสมุนอัญเชิญของคนพี่สินะ? สามารถอัญเชิญสมุนระดับนั้นออกมาได้ก็น่าจะผ่านการทดสอบด้วยตัวเองได้สบายอยู่แล้ว… สรุปว่านี่เป็นความเจ้ากี้เจ้าการของยัยจอมจุ้นซะมากกว่า ไม่ใช่การพยายามทุจริตเพื่อให้พี่ชายได้เลื่อนห้อง…

            …ถ้าเป็นเมื่อก่อน ความผิดแบบนี้ก็อาจจะพอลงโทษสถานเบาได้ แต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ทำให้ทางโรงเรียนกำลังถูกเพ่งเล็ง การกำหนดบทลงโทษคงจะมีความรุนแรงขึ้นเพื่อเป็นการรักษาภาพลักษณ์ของโรงเรียนและไม่ให้นักเรียนคนไหนเอาเป็นเยี่ยงอย่าง โทษสูงสุดอาจถึงขั้นไล่ออกจากโรงเรียนก็ได้ ถ้าต้องเสียเด็กที่มีพรสวรรค์ขนาดนี้ไปถึงสองคนก็นับว่าน่าเสียดายอยู่…

เร็นแน็บเหลือบมองไปยังลาซที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ไหวติง ดูเหมือนเธอจะช็อคกับคำพูดของซาลมากจนทำอะไรไม่ถูก สิ่งนี้ทำให้เร็นแน็บเกิดความคิดอีกอย่างขึ้นมาได้

ดูเหมือนคนพี่จะมีความเป็นผู้ใหญ่กว่าพอสมควร แถมยังรู้วิธีรับมือกับน้องสาวด้วย… เพิ่งจะเห็นยัยจอมยุ่งในอาการจ๋อยสนิทแบบนี้เป็นครั้งแรกนี่แหละ… ถ้าให้ทั้งสองคนมาอยู่ใกล้กันก็น่าจะช่วยขัดเกลานิสัยเสียของคนน้องไปได้บ้างไม่มากก็น้อยล่ะนะ หรืออย่างน้อยก็น่าจะทำให้เราต้องเจอกับเรื่องปวดหัวน้อยลงล่ะ…

เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เร็นแน็บก็ตัดสินใจว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับต่อไป เธอจึงโดดลงจากต้นไม้และเดินตรงกลับไปยังอาคารธุรการเพื่อเขียนรายงานผลการทดสอบ

 

——————————————————————————–

 

Part 4

 

ในเย็นวันนั้นที่ห้องประชุมของคฤหาสน์ต่างมิติซึ่งตั้งอยู่เหนือปราการซาลารัส

ซาลและขุนพลทั้งแปดได้มานั่งประชุมกัน โดยเกือบทุกคนล้วนแต่มีสีหน้าที่เคร่งเครียด

บนหน้าจอซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเก้าอี้ที่ซาลนั่งมีภาพเหตุการณ์เมื่อช่วงเช้าฉายให้ดูอยู่ มันเป็นภาพของลาซที่กำลังยืนคอตกอยู่เพียงลำพัง แม้ภาพนี้จะถ่ายเอาไว้ในระยะที่ค่อนข้างไกล แต่แค่เห็นท่าทางของเธอทุกคนก็พอจะรู้ได้ว่าลาซกำลังอยู่ในอาการเศร้าสลด

“ยืนนิ่งอยู่เกือบสิบนาทีแล้วนะครับเนี่ย ท่าทางจะช็อคมมากจริง ๆ “

เทเรนซ์กล่าวออกมาด้วยสีหน้าหดหู่เพราะรู้สึกเห็นใจลาซ ส่วนลูเซียนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็มีความเห็นไม่ต่างกันนัก

“นั่นน่ะสิ เหมือนตัวจะสั่นนิด ๆ ด้วยนะเนี่ย อ๊ะ ยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดหน้าด้วยล่ะ คงร้องไห้แล้วแหง ๆ ”

เมื่อเห็นภาพลาซยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดหน้าเหมือนกำลังปาดน้ำตา ทุกคนก็มีสีหน้าหดหู่มากขึ้นอีก ส่วนซาลที่นั่งกำหมัดแน่นเพราะพยายามเก็บกลั้นความรู้สึกเอาไว้ก็เริ่มทนไม่ไหวจนต้องระเบิดออกมา

“อ๊ากกก รู้แล้ว ๆ ไม่ต้องย้ำกันก็ได้น่า! โธ่เอ๊ย ลาซ ฉันขอโทษนะ… ทำให้น้องสาวร้องไห้แบบนี้ ฉันมันเป็นพี่ชายที่ใช้ไม่ได้เลย…”

ซาลเอามือกุมศีรษะของตัวเองและบิดตัวไปมาราวกับทนฟังเรื่องเหล่านั้นไม่ได้อีก ก่อนเขาจะทรุดลงกับโต๊ะและพึมพำออกมา

ความจริงซาลไม่ได้โกรธลาซเลยแม้แต่น้อย จริงอยู่ว่าเขาไม่พอใจกับการกระทำของเธอนัก แต่ลึก ๆ แล้วซาลก็เข้าใจดีว่าลาซเพียงอยากจะใกล้ชิดกับเขาให้มากขึ้นและอยากอยู่ด้วยกันตลอดเวลาอีกครั้ง เขารู้เรื่องนี้มาตลอดเพราะตัวเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน ติดตรงที่ภารกิจและแผนการของเขาไม่เอื้ออำนวยที่จะให้ทำแบบนั้นได้

เพราะเหตุนี้ แม้จะรู้สึกหงุดหงิดกับการกระทำโดยพลการของลาซ แต่เขาก็เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายที่อยากให้เขาขึ้นไปอยู่ห้อง A โดยเร็ว ยิ่งได้ฟังเรื่องเล่าจากทาลิสแล้วเขาก็ยิ่งทำใจให้โกรธลาซได้ยากมากขึ้นอีก

ถึงกระนั้นสิ่งที่ลาซทำก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมและสมควรที่จะได้รับการตักเตือน ซาลจึงเลือกที่จะทำเป็นโกรธและขู่ว่าจะตัดสัมพันธ์กับอีกฝ่ายเพื่อปรามไม่ให้ลาซทำเรื่องแบบนี้อีก เป็นการป้องกันไม่ให้ลาซเข้ามาป่วนแผนการในอนาคตของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจด้วย

อย่างไรก็ตาม ซาลก็ไม่คิดว่าลาซจะช็อคหนักจนถึงขั้นร้องไห้ แค่เห็นภาพเธอยืนคอตกอยู่เป็นเวลานานเขาก็ไม่กล้าดูต่อแล้ว แต่ก็ยังมีเสียงพากย์จากเหล่าขุนพลคอยบรรยายให้ฟังอยู่เป็นระยะ ๆ จนในที่สุดเขาก็ทนฟังต่อไปไม่ได้

เหล่าขุนพลนั้นถูกสร้างขึ้นจากจิตสังเคราะห์ของซาล ความรักที่มีต่อน้องสาวจึงถูกถ่ายทอดมาด้วยส่วนหนึ่ง ขุนพลหลายคนจึงมีอารมณ์ร่วมและรู้สึกเห็นใจลาซเช่นกัน การที่ลูเซียนกับเทเรนซ์นั่งบรรยายสถานการณ์ก็เป็นความจงใจที่จะเรียกคะแนนสงสารให้ลาซด้วย แต่ก็ใช่ว่าทุกคนที่จะมีความรู้สึกแบบเดียวกัน

“ผมคิดว่าแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำนะครับ คราวนี้ท่านลาซน่ะล้ำเส้นเกินไปแล้ว มาเจ้ากี้เจ้าการชีวิตของคนอื่นตามใจชอบ แถมยังทำให้แผนการที่ท่านจอมพลวางเอาไว้ต้องพังทลายลงเกือบหมด ท่านจอมพลควรจะหาทางลงโทษให้หนักเพื่อไม่ให้ท่านลาซทำอีกจะดีกว่า”

ผู้ที่กล่าวคำพูดนั้นออกมาด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดก็คือออร์เฟียซซึ่งค่อนข้างไม่พอใจกับเหตุการณ์นี้ ส่วนบริแกนดีนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาแม้จะไม่ได้เอ่ยความเห็นใด ๆ ออกมา แต่สีหน้าของเขาก็สื่อเป็นนัยว่าเห็นด้วยกับคำพูดนี้อยู่ไม่น้อย

เมื่อได้ยินคำพูดของออร์เฟียซ ซาลก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยคำตอบกลับไป

“ฉันน่ะ ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้นหรอกนะ”

“เพราะเห็นแก่ความเป็นน้องสาวก็เลยไม่อยากทำอะไรรุนแรงงั้นเหรอครับ? แต่ผมคิดว่าเพราะเป็นน้องสาวนี่แหละถึงต้องยิ่ง…”

“เพราะฉันก็ทำแบบเดียวกันอยู่ต่างหากล่ะ!”

คำพูดที่ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นนั้นทำให้ทั้งออร์เฟียซและเหล่าขุนพลต่างก็มีสีหน้าตื่นตระหนก เพราะไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นซาลใส่อารมณ์ลงมาในคำพูดแบบนี้ แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม ทุกคนจึงได้แต่นิ่งเงียบไปและแสดงอาการกังวลออกมาทางสีหน้า ยกเว้นแต่เซธที่ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยราวกับพึงพอใจกับปฏิกิริยานั้น

ทางด้านซาลก็สูดลมหายใจเข้าเพื่อผ่อนคลายอารมณ์เล็กน้อย ก่อนจะกล่าวอธิบายกับออร์เฟียซอีกครั้ง

“สิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่นี่น่ะมันก็ไม่ต่างกันหรอก… ไม่ว่าการเลือกที่จะเป็นผู้สร้างหายนะ, การพยายามโค่นล้มพีสคีปเปอร์, หรือการพยายามยึดครองโลก… ถึงแม้เป้าหมายของฉันจะเป็นการนำทุกคนในครอบครัวกลับมาอยู่ด้วยกัน แต่ฉันก็ไม่เคยถามความเห็นชอบจากใครว่าพวกเขาเห็นด้วยกับวิธีการเหล่านี้รึเปล่า ทั้งที่หากเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมาละก็ ชื่อของตระกูลแฮลเซียนก็จะถูกขึ้นบัญชีดำ ทุกคนอาจถูกไล่ล่าจากพีสคีปเปอร์และต้องละทิ้งชีวิตในตอนนี้เพื่อหลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุนอีกครั้ง หรือไม่ก็ต้องถูกปฏิบัติเหมือนกับเป็นตัวเชื้อโรคในฐานะผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้สร้างหายนะถึงสองรุ่น…

พวกเขาคือผู้ที่ต้องได้รับผลกระทบโดยตรงหากทุกอย่างล้มเหลว แต่ฉันก็ไม่เคยถามความเห็นชอบจากพวกเขาเลย พูดง่าย ๆ ว่าฉันเองก็กำลังกำหนดชะตาชีวิตของพวกเขาโดยไม่ได้ถามความเห็นของเจ้าตัวเหมือนกัน เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะไปต่อว่าหรือลงโทษลาซได้หรอก…”

คำอธิบายของซาลทำให้เหล่าขุนพลนิ่งเงียบไปอีกครั้ง แม้แต่ออร์เฟียซเองก็มีสีหน้าเหมือนกับยอมรับในเหตุผลและหลักการนั้นเช่นกันจึงไม่ได้โต้แย้งอะไรอีก

ในเวลานั้นเอง ซาลก็เอ่ยคำพูดขึ้นอีกครั้งด้วยแววตาอันมุ่งมั่นและน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความหนักแน่นผิดกับก่อนหน้านี้

“เพราะแบบนั้นแหละ เราถึงล้มเหลวไม่ได้! ไม่ว่ายังไงพวกเราก็จะต้องโค่นล้มพีสคีปเปอร์ให้สำเร็จและยึดครองโลกนี้มาเป็นของพวกเราโดยไม่ให้ใครรู้ว่านั่นเป็นฝีมือของ ซาลารัส แฮลเซียน สำหรับฉันแล้วแค่บรรลุเป้าหมายอย่างเดียวมันยังไม่พอ แต่ต้องบรรลุเป้าหมายอย่างสะอาดหมดจดที่สุดด้วย!”

คำพูดนั้นเหมือนกับประกายไฟที่จุดเปลวเพลิงในดวงตาของเหล่าขุนพลให้ลุกโชนขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน ทุกคนต่างก็จ้องมองมายังซาลด้วยสีหน้าฮึกเหิมเพื่อขานรับคำประกาศเจตจำนงอันแน่วแน่นั้น ทำให้ซาลมองกลับไปด้วยความพึงพอใจเช่นกัน

การประชุมดูเหมือนจะยุติลงในลักษณะนี้ แต่ซาลก็ฉุกคิดถึงเรื่องอีกอย่างขึ้นมาได้

“ยังไงก็ตาม การที่คนไม่รู้มาทำลายแผนการของเราโดยไม่ตั้งใจ กับคนที่รู้อยู่แล้วก็ยังปล่อยให้แผนการถูกทำลายน่ะมันต่างกัน… เซธ นายเป็นคนปกปิดเรื่องที่คนในห้องควบคุมตรวจพบการยื่นเรื่องเพื่อขอรับการทดสอบด้วยการประลองไปสินะ? ช่วยบอกเหตุผลมาหน่อยได้มั้ย?”

คำพูดของซาลทำให้ขุนพลทุกคนหันไปมองเซธโดยพร้อมเพรียงกัน โดยเฉพาะเอ็มเมอริชที่จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาขุ่นเคืองมากเป็นพิเศษ แต่เซธก็ไม่ได้แสดงท่าทียี่หระอะไรและตอบกลับมาด้วยสีหน้าสบาย ๆ เท่านั้น

“ท่านจอมพลน่ะคิดจะค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นไปและหยุดอยู่แค่ห้อง C โดยไม่ขึ้นสูงไปกว่านั้นสินะครับ? ผมคิดว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดและขัดกับแผนการของท่านจอมพลเองอีกหลายอย่างครับ ไม่ว่าจะเป็นการพยายามฟื้นฟูคลาสซัมมอนเนอร์ให้เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอีกครั้ง หรือการพยายามสร้างเครือข่ายกับพวกนักผจญภัยรุ่นเยาว์เพื่อผลประโยชน์ในวันข้างหน้า ล้วนแต่เป็นอะไรที่ขัดกับการเป็น ‘นักเรียนระดับกลาง’ ทั้งสิ้น

ถ้าคิดจะทำให้คลาสซัมมอนเนอร์กลายเป็นที่รู้จัก การแสดงความสามารถออกมาย่อมเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ส่วนพวกนักเรียนห้องต่ำ ๆ หรือกลาง ๆ น่ะยังไงก็มีโอกาสเป็นใหญ่เป็นโตไม่เท่าพวกนักเรียนห้อง A อยู่แล้ว มัวผูกสัมพันธ์กับคนพวกนั้นมีแต่จะเสียเวลาไปเปล่า ๆ สู้ข้ามไปสร้างความสัมพันธ์กับพวกนักเรียนห้อง A เลยยังจะคาดหวังได้มากกว่า

อีกอย่างคือคนระดับท่านจอมพลน่ะให้พยายามยังไงก็ปกปิดความโดดเด่นเอาไว้ไม่มิดหรอก การพยายามปกปิดตัวเองอยู่ในห้องระดับล่างก็เปรียบเสมือนกับการซ่อนเพชรเอาไว้ในโคลนตม เมื่อถูกลมฝนชะล้างนานวันเข้าก็ต้องโผล่ขึ้นมาส่องประกายให้คนเห็นอย่างเด่นชัดอยู่ดีเพราะมันเป็นเพชรที่อยู่กลางโคลนตม แต่ถ้าเป็นห้องที่เต็มไปด้วยคนมีความสามารถอย่างห้อง A ที่นั่นก็เหมือนกับกล่องเก็บคริสตัล หากนำเพชรไปซ่อนเอาไว้ประกายระยิบระยับของคริสตัลก็จะทำให้ทุกอย่างดูกลมกลืนเหมือนกันหมดและยากที่จะแยกได้ว่าอันไหนเป็นเพชรอันไหนเปนคริสตัล นั่นคือที่ ๆ เหมาะสมกับการปกปิดตัวเองของท่านจอมพลมากที่สุด เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า ‘ถ้าคิดจะซ่อนต้นไม้ก็ต้องซ่อนในป่า’ ไงล่ะครับ”

คำอธิบายของเซธทำให้เหล่าขุนพลต่างก็นิ่งเงียบไปเพราะมันเป็นคำอธิบายที่ค่อนข้างสมเหตุผสมผล แม้แต่เอ็มเมอริชที่ตั้งใจจะเอาเรื่องอีกฝ่ายให้ได้ก็ยังต้องหยุดเพื่อขบคิดในคำพูดนั้นจนไม่ได้กล่าวคำโต้แย้งออกมา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคำอธิบายที่เซธได้เตรียมมาอย่างดีแล้ว นั่นเป็นเหตุผลให้เขาดูเยือกเย็นนัก

ซาลเองก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ ออกมา และกล่าวตอบกลับคำพูดของเซธไป

“การฟื้นฟูคลาสซัมมอนเนอร์น่ะเป็นความเอาแต่ใจของฉันเองจริง ๆ เรื่องนี้ฉันอาจทบทวนใหม่หรือชะลอโครงการไปก่อน ส่วนทฤษฎีเรื่องการแฝงตัวที่นายพูดมาก็นับว่ามีเหตุผลนะ ทั้งสองเรื่องนี้ฉันไม่มีอะไรจะโต้แย้ง แต่เรื่องการคบหาและสร้างความสัมพันธ์กับพวกนักเรียนในห้องต่ำน่ะเป็นอะไรที่ฉันคิดว่านายยังมองแคบเกินไป ความคิดแบบนั้นน่ะยังใช้ไม่ได้หรอก”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซธก็มีสีหน้าเหมือนกับจะยิ้มเยาะออกมาแวบหนึ่ง เพราะเขามองว่านี่เป็นความคิดแบบโลกสวยของซาลที่ยังแก้ไม่หาย ซึ่งซาลก็เข้าใจเรื่องนี้ดีจึงกล่าวอธิบายต่อ

“จริงอยู่ว่านักเรียนห้อง A น่ะมีโอกาสก้าวหน้ามากกว่า แต่คนเหล่านี้น่ะคือคนที่ผ่านความยากลำบากจนได้มายืนอยู่ในที่สูงเรียบร้อยแล้ว เราไม่ได้อยู่กับพวกเขาในเวลาที่เขาลำบาก แต่มารู้จักในยามที่พวกเขาประสบความสำเร็จแล้ว เขาจะให้ความสำคัญกับเราสักเท่าไหร่กัน? การจะสร้างบุญคุณหรือเชื่อมความสัมพันธ์กับคนเหล่านี้ก็จะทำได้ยากไปด้วย คือเป็นได้อย่างมากก็แค่คนรู้จัก แต่ยากที่จะเป็นเพื่อนแท้ที่ยอมเสียสละเพื่อกันและกันได้

ส่วนนักเรียนห้องล่าง ๆ น่ะ พวกเขายังต้องเผชิญความลำบากอีกมากเพื่อไต่ระดับขึ้นไป นี่เป็นช่วงเวลาอันเหมาะสมที่สุดที่จะสร้างความสัมพันธ์และผูกมิตร เพราะเมื่อผ่านพ้นมันไปได้พวกเขาจะไม่ลืมคนที่เคยช่วยเหลือพวกเขาในยามลำบากอย่างแน่นอน… อันที่จริงมันก็ขึ้นกับคนน่ะนะ แต่ฉันเชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะไม่ลืมคนที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพวกเขาหรอก นี่ต่างหากคือวิธีการสร้างมิตรแท้ซึ่งจะยอมให้ความช่วยเหลือกับเราในวันข้างหน้าโดยไม่ไต่ถามเหตุผลได้

อีกอย่างคือความคิดที่จะคบหาแต่คนที่มีโอกาสก้าวหน้าน่ะแม้จะไม่ใช่ความคิดที่ผิด แต่มันก็เป็นการละเลยโอกาสอีกมากมายไปในเวลาเดียวกันด้วย ถึงแม้คนที่อยู่ระดับล่างจะมีโอกาสในการก้าวหน้าน้อยกว่าก็จริง แต่นั่นคือกรณีที่ให้แต่ละคนฝึกฝนไปตามยถากรรม หากมีความช่วยเหลือจากเรา คนเหล่านี้ก็สามารถก้าวหน้าได้ไม่แพ้กลุ่มหัวกะทิเช่นกัน ที่สำคัญคือพวกเขายังจะซาบซึ้งและให้ความจงรักภักดีกับเรามากกว่าด้วย ซึ่งฉันคิดว่านั่นแหละคือคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดในการเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดทางอ้อมของกองทัพซาลารัส แปลว่าการเลื่อนห้องอย่างก้าวกระโดดในครั้งนี้ทำให้เราพลาดโอกาสสร้างสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับผู้คนจำนวนมากไปไงล่ะ”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายโดยละเอียดของซาล สีหน้าอวดดีของเซธก็แปรเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่แสดงความกังวลออกมาแทน ส่วนซาลก็ยังกล่าวต่อด้วยท่าทีสบาย ๆ ราวกับเป็นการพุดคุยเรื่อยเปื่อยเท่านั้น

“ที่สำคัญที่สุดคือการทำอะไรโดยพลการ… อย่างที่บอกนั่นแหละ ถ้าเป็นคนนอกที่ไม่รู้เรื่องราวแล้วมาทำเสียแผนโดยไม่ได้ตั้งใจก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเป็นคนที่รู้แผนการอยู่แล้วก็ยังปล่อยให้แผนการล้มเหลวมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก และฉันจะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้

เพื่อเป็นการลงโทษ… เซธ นายต้องส่งมอบกำลังพลที่ครอบครองอยู่เป็นจำนวน 25% ให้กับกองกลาง และยูนิทที่ผลิตได้จากดันเจี้ยนของนายในสามเดือนต่อจากนี้ก็ต้องส่งมอบให้กับเอ็มเมอริชทั้งหมด เพราะเขาเป็นผู้เสียหายอีกคนหนึ่ง คิดซะว่าเป็นค่าปรับที่ทำอะไรตามอำเภอใจก็แล้วกันนะ”

เมื่อได้ยินบทลงโทษที่ซาลกำหนดให้แล้ว แววตาของเซธก็สั่นไหวอยู่วูบหนึ่งเหมือนต้องการจะคัดค้าน เพราะการสูญเสียกำลังพลในครอบครองถึง 25% แถมยังต้องโอนมอนสเตอร์ที่ผลิตได้ให้กับเอ็มเมอริชเป็นเวลาถึงสามเดือนนั้นนับว่าส่งผลต่อความแข็งแกร่งของกองพลอย่างมหาศาล แต่ท้ายที่สุดแล้วเซธก็พยักหน้ารับโดยไม่ได้โต้แย้งอะไร

เมื่อจบประเด็นนี้ได้แล้ว ซาลจึงหันความสนใจไปยังเรื่องที่กำลังจะมาถึงแทน

“เอาล่ะ ทีนี้ก็… ห้อง A งั้นเหรอ… นอกจากกลุ่มของลาซแล้วฉันยังไม่เคยเจอนักเรียนห้อง A คนอื่น ๆ เลยแฮะ พวกเขาจะเป็นคนยังไงกันนะ…”

ซาลเพียงพูดพึมพำกับตัวเองโดยไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่เหล่าขุนพลก็รู้ดีว่าพวกเขาควรจะต้องทำอะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้

นั่นก็คือเตรียมการในด้านต่าง ๆ เพื่อรองรับการย้ายขึ้นไปอยู่ห้อง A ของซาลนั่นเอง

 

——————————————————————————

 

Part 5

 

ในคืนวันนั้น ข่าวการประลองเพื่อขอเลื่อนห้องของซาลก็แพร่กระจายออกไปจนเหล่านักเรียนปีหนึ่งเกือบทุกห้องได้รับรู้กันจนทั่ว

เพราะมันเป็นการประลองที่ฉัดขึ้นแบบฉุกละหุกโดยอาจาย์เร็นแน็บจอมใจร้อน เหล่านักเรียนที่มาเป็นผู้ทดสอบจึงได้รับการแจ้งล่วงหน้าเพียงคืนเดียวเท่านั้น พวกเขาแทบไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครเลย อีกทั้งมันยังเป็นวันอาทิตย์ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่ต่างก็มีโปรแกรมในการไปเที่ยวกันอยู่แล้วด้วย การทดสอบครั้งนี้จึงมีเพียงผู้เกี่ยวข้องมาร่วมงานโดยไม่มีคนดูเลยแม้แต่คนเดียว

แต่เมื่อผลของการประลองแพร่ออกไป เหล่านักเรียนที่รู้สึกทึ่งกับผลลัพธ์นี้ต่างก็นำไปบอกต่อแบบปากต่อปาก จนเรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ที่ทุกคนต้องพูดถึงในทันที

 

ในช่วงกลางดึกของคืนนั้น ที่สวนหย่อมด้านหลังของหอพักหลังหนึ่ง

ความจริงนี่ไม่ใช่คืนเดือนมืด แต่บนท้องฟ้ากลับมีเมฆทึบปกคลุมไปทั่วจนบดบังแสงจันทร์ไม่ให้สาดส่องลงมาเบื้องล่างได้ ทุกอย่างจึงถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด จนไม่สามารถระบุได้ว่านี่เป็นสถานที่แห่งใดในโรงเรียนกันแน่

ท่ามกลางความมืด มีเงาของคนสามคนกำลังจับกลุ่มกันอยู่ คนหนึ่งนั่งไขว้ขาอยู่บนม้านั่ง อีกคนหนึ่งกำลังยืนกอดข้อศอกด้วยท่าทีทระนงตน ส่วนอีกคนกำลังลอยตัวอยู่บนอากาศ โดยมีเงาของสิ่งที่คล้ายกับปีกค้างคาวติดอยู่บนหลัง ทั้งยังหางอันเรียวเล็กราวกับแส้ที่มีปลายหางเหมือนกับหัวลูกศรกวัดแกว่งไปมาด้วย

แม้โดยรอบจะมืดสนิทจนเห็นคนทั้งสามเป็นเพียงเงาราง ๆ แต่จากทรวดทรงของเงาร่างนั้นก็พอจะมองออกว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้หญิงทั้งสิ้น

“รู้สึกว่าในที่สุดเจ้านั่นก็จะขึ้นมาห้อง A แล้วล่ะ ดังนั้นไม่มีความจำเป็นที่พวกเธอจะต้องเลื่อนห้องลงไปแล้ว สัปดาห์สุดท้ายนี้ก็เร่งทำคะแนนภารกิจกลับขึ้นมาซะ จะได้ไม่คลาดกันอีก คิดว่าแค่วิชาสุดท้ายนี้จะมีคะแนนพอรึเปล่า?”

เงาร่างของหญิงสาวที่กำลังลอยตัวอยู่หันไปถามหญิงสาวอีกคนด้วยน้ำเสียงที่ปนความรู้สึกหงุดหงิดอยู่เล็กน้อย แต่นั่นก็ไม่ใช่ความหงุดหงิดที่มีต่อคู่สนทนา มันเป็นความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นจากเรื่องอื่นนมากกว่า

“ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ฉันน่ะพยายามทำคะแนนให้คาบเส้นเอาไว้อยู่แล้วเพื่อไม่ให้คนผิดสังเกต การจะถูกลดชั้นหรือได้อยู่ต่อก็ขึ้นกับวิชาสุดท้ายนี่แหละ ซึ่งก็ไม่น่าจะมีปัญหานะคะ… ว่าแต่คน ๆ นี้น่ะเป็นคนที่คาดเดาอะไรไม่ได้อย่างที่ร่ำลือเลยนะคะ แต่แบบนี้เหละถึงได้น่าสนใจ”

เงาร่างของหญิงสาวที่ยืนกอดข้อศอกอยู่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ หญิงสาวที่ลอยตัวอยู่จึงพยักหน้ารับก่อนจะหันไปพูดกับอีกคนที่อยู่บนม้านั่ง

“แล้วเธอล่ะ? ไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย?”

“หืม? ก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั้ง เพราะฉันไม่ได้ลดคะแนนตัวเองเพื่อให้ถูกลดห้องอยู่ตั้งแต่แรกแล้วน่ะ”

เงาร่างของหญิงสาวที่อยู่บนม้านั่งตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ทำให้หญิงสาวที่ลอยตัวอยู่แสดงอาการโกรธเกรี้ยวออกมา

“ว่าไงนะ!? ก็ฉันบอกให้แกล้งลดคะแนนตัวเองเพื่อเลื่อนห้องลงไปไงเล่า! แบบนี้มันผิดจากที่คุยกันไว้นี่!”

“ฉันไม่สนใจแผนการไร้สาระพวกนั้นหรอก พวกเธอจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ”

“นี่เธอ!”

“ไม่เอาน่า อย่าเสียงดังสิคะ ยังไงก็ตาม คน ๆ นั้นน่ะกำลังจะย้ายขึ้นมาอยู่ห้อง A แล้ว แบบนี้ก็ถือว่าผลลัพธ์ยังโอเคไม่ใช่เหรอคะ”

เพราะเห็นว่าทั้งสองคนกำลังจะทะเลาะกันเสียงดัง หญิงสาวที่ยืนอยู่จึงรีบเข้ามาห้ามทัพเอาไว้ ฝ่ายหญิงสาวที่กำลังลอยตัวอยู่จึงยอมสงบลงแม้ยังมีท่าทีหงุดหงิดอยู่

“ชิ… เอาเถอะ นิสัยแบบนี้ของเธอก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเหมือนกัน เธอจะร่วมมือรึไม่ก็ไม่สำคัญ ขอแค่มีเธออยู่ที่นี่ก็เพียงพอแล้ว และที่สำคัญที่สุดก็คืออย่าลืมว่าพวกเราเป็นใครด้วย”

หญิงสาวที่กำลังลอยตัวอยู่กล่าวออกมาพร้อมกับดวงตาลุกวาว แม้โดยรอบจะมืดสนิท แต่ในความมืดมิดนั้นดวงตาของเธอกลับส่องประกายสีแดงออกมาราวกับเป็นลูกแก้วที่ทำจากเลือด แม้แต่หญิงสาวที่ยืนและนั่งอยู่ก็ส่องประกายสีแดงแบบเดียวกันออกมา ดวงตาสีแดงสดทั้งสามคู่ที่ส่องประกายอยู่ในเงามืดนั้นจึงดูน่าขนลุกขนพองกับทุกคนที่ได้พบเห็น

“ผู้สร้างหายนะคนนี้น่ะ ต้องเป็นของพวกเราเท่านั้น ไม่ว่าใครก็อย่าหวังที่จะมาแย่งไปได้!”

สิ้นคำประกาศของหญิงสาวที่ลอยตัวอยู่ ร่างของทั้งสามคนที่อยู่ที่นั่นก็กลืนหายไปกับความมืดมิดในยามราตรี ทำให้ที่นั่นเหลือเพียงความว่างเปล่า แล้วทุกสิ่งก็กลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด