Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 843-844

Now you are reading Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร Chapter 843-844 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 841 : เงินคืออาวุธทิ่มแทงหลี่จิ่วเจียง!
หลงหวู่แสยะยิ้มขณะที่ใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งคีบเช็คออกมาจากซองแดงพร้อมกับสะบัดไปมาตรงหน้าของชีเต๋อเปียว
ในสายตาของหลงหวู่นั้นคนอย่างชีเต๋อเปียวไม่คู่ควรที่จะพูดกับเธอด้วยซ้ำไป!
“เอ่อ..”
ชีเต๋อเปียวเป็นชายร่างเล็กและตัวเตี้ยกว่าหลงหวู่ เขาจึงกระโดดขึ้นกระโดดลงเพื่อหยิบเช็คในมือของหลงหวู่ที่โบกอยู่ตรงหน้า แต่ก็ไม่สามารถหยิบได้เสียที และเริ่มรู้สึกอับอายมากขึ้นเรื่อยๆ
“อยากได้เช็คนี่เหรอ!เอาไป..”
หลงหวู่พูดออกมาด้วยสีหน้าและแววตาเย็นชารอยยิ้มมุมปากนั้นเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน พร้อมกับโยนเช็คในมือใส่หน้าชีเต๋อเปียวทันที!
ในเวลานั้นเองด้านนอกก็เกิดสายฟ้าเส้นใหญ่ฟาดลงมาท่ามกลางท้องนภาที่มืดมิด จนเกิดเสียงดังเปรี้ยงอย่างรุนแรง จนกระจกหน้าต่างของโรงแรมไคเฉีวยนถึงกับสั่น..
ลมพัดกรรโชกแรงและพายุฝนก็กระหน่ำลงมาทันที!
ชีเต๋อเปียวละล้าละลังแต่เมื่อได้ยินเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาจนดังสนั่นหวั่นไหวเช่นนั้น เขาก็ตกใจกลัวจนถึงกับปล่อยเช็คที่ลอยอยู่ตรงหน้าร่วงลงพื้นไป
แต่นี่เป็นซองแดงของหลี่เทียนชีเต๋อเปียวไม่มีทางเลือก จึงต้องก้มตัวลงไปที่พื้นเพื่อหยิบมันขึ้นมา และท่าทางที่เขาคลานสี่ขาตามเก็บเช็คนั้น ก็ไม่ต่างจากสุนัขเลยแม้แต่น้อย!
“ห๊ะ!ยี่.. ยี่สิบล้าน?!”
ทันทีที่ชีเต๋อเปียวเห็นจำนวนเงินในเช็คเขาก็ถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ!
“นี่มัน..”
จะไม่ให้ชีเต๋อเปียวตกใจได้อย่างไรกันในเมื่อเงินซองที่ได้รับจากงานเลี้ยงฉลองที่จัดให้กับหลี่เทียนในคืนนี้นั้น จากที่นับไปก่อนหน้านี้ก็ร่วมสิบล้านแล้ว..
แต่จู่ๆก็ได้รับเช็คจำนวนยี่สิบล้านเพิ่มขึ้นมาอีก และสำหรับแขกที่ใจป้ำเช่นนี้ ชีเต๋อเปียวเองก็ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนจริงๆ!
อีกทั้งผู้ที่นำเช็คมามอบให้นั้นก็เป็นเพียงแค่เด็กสาวที่อายุยังน้อยอีกด้วย!
หลงหวู่ทำเสียงประชดประชัน“นี่มัน.. นี่มัน..! จะร้องตกใจไปทำไม? มันน้อยไปหรือยังไง? หรือคิดว่านี่เป็นเช็คปลอม? ถ้าไม่เชื่อ.. ในงานนี้มีเจ้าหน้าที่การเงินอยู่มั๊ยล่ะ? ถ้ามี.. คุณก็ให้เจ้าหน้าที่การเงินนำเช็คไปตรวจสอบได้เลย!”
ชีเต๋อเปียวได้ฟังคำพูดของหลงหวู่เขาก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ แต่เมื่อสังเกตุดูก็พบเพียงแค่สาวงามทั้งหกคนที่แต่งชุดราตรีเพื่อเตรียมพร้อมมาร่วมงานจริงๆ ก็เลยได้แต่คิดว่าคงจะไม่มีอะไรน่ากังวล
แต่เรื่องที่ชีเต๋อเปียวยังคงกังวลใจนั้นก็คือเรื่องที่หลี่เทียนถูกตบหน้าแต่กลับไม่มีใครเห็นว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และใครเป็นผู้ลงมือ?
ชีเต๋อเปียวเริ่มรู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลนักและเขาเองก็ไม่เคยพบเจอเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อนในชีวิต หากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ เขาเองก็คงไม่สามารถรับมือได้เช่นกัน
แต่เพื่อให้เรื่องวุ่นวายนี้จบลงโดยเร็วชีเต๋อเปียวจึงรีบหยิบเช็คขึ้นมาถือไว้ พร้อมกับหันไปมองหลี่เทียนที่ตอนนี้ทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว
แต่หลี่เทียนเองก็กำลังรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากมันจึงไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น!
เมื่อเหลือเพียงตัวคนเดียวเช่นนี้ชีเต๋อเปียวจึงต้องหันหน้าอ้วนๆของตนเองไปยิ้มให้กับหลงหวู่พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เอ่อ..ไม่ใช่อย่างนั้นครับ! ผมเป็นครูใหญ่ของหลี่เทียน เช็คที่คุณสุภาพสตรีนำมาให้ก็มียอดเงินที่ค่อนข้างสูง ผมคงต้องขออนุญาตรายงานเรื่องนี้ให้กับหัวหน้าของผมทราบ..”
และ‘หัวหน้า’ ที่ชีเต๋อเปียวพูดถึงอย่างเต็มปากเต็มคำนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่จัดงานเลี้ยงฉลองให้กับหลี่เทียนในคืนนี้ ซึ่งก็คือลุงของหลี่เทียนที่ชื่อว่าหลี่จิ่วเจียงนั่นเอง
หลงหวู่ยิ้มพร้อมกับพูดอย่างไม่แยแส“เชิญ..”
ระหว่างนั้นหลงหวู่ก็เหลือบไปเห็นตู้เซฟจำนวนสี่ตู้ที่วางอยู่ด้านหลังโต๊ะเข้าโดยบังเอิญและแน่นอนว่าด้านในนั้นมีเงินสดอยู่เต็มไปหมด
ตอนนี้ก็เพียงแค่รอเวลาให้งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นจากนั้นเจ้าหน้าที่การเงินทั้งแปดคนที่อยู่ในงาน ก็จะจัดการขนตู้เซฟเหล่านี้พร้อมด้วยสมุดบัญชีกลับไปที่บ้านของหลี่จิ่วเจียงทันที
พวกเขาทั้งแปดคนจะไม่ได้อยู่ร่วมงานเลี้ยงฉลองในคืนนี้ด้วย!
แต่ถึงกระนั้นหลงหวู่ก็รู้ดีแก่ใจว่าในคืนนี้.. เงินทั้งหมดในตู้เซฟทั้งสี่นั้น จะไม่มีผู้ใดสมารถขนย้ายออกจากโรงแรมได้อย่างแน่นอน!
ชีเต๋อเปียวเห็นหลงหวู่พูดจาใหญ่โตเช่นนั้นเขาก็ได้แต่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลออกมาเต็มหน้า และจัดการส่งเช็คในมือให้กับเจ้าหน้าที่การเงิน และแอบกระซิบสั่งให้เขาทำการตรวจสอบเช็คอีกที
เมื่อได้รับเช็คมาเจ้าหน้าที่การเงินผู้นั้นก็จัดการพลิกดูทั้งด้านหน้าและด้านหลังเช็คอยู่หลายรอบ เพื่อตรวจสอบว่าเป็นเช็คจริง หรือว่าเช็คปลอมกันแน่
หลังจากที่ตรวจสอบแล้วไม่พบสิ่งใดผิดปกติก็รีบพยักหน้าให้กับชีเต๋อเปียวทันที!
เช็คฉบับนั้นเป็นเช็คจริงอย่างแน่นอน!
เมื่อเจ้าหน้าที่การเงินยืนยันว่าเป็นเช็คจริงชีเต๋อเปียวก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และรีบยิ้มออกมาทันที
ในเมื่อเช็คเป็นของจริง..เขารับมาแล้ว ส่วนหลี่จิ่วเจียงจะรับหรือไม่รับก็สุดแล้วแต่ เพราะนั่นหมดหน้าที่ของเขาแล้ว ครั้งนี้จึงนับได้ว่าเขาทำหน้าที่ได้ประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม!
เงินที่แขกในงานใส่ซองมาร่วมแสดงความยินดีในคืนนี้เป็นจำนวนเงินร่วมสามสิบล้านหากหลี่จิ่วเจียงพอใจกับผลงานของเขาในครั้งนี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะได้เลื่อนตำแหน่งก็เป็นได้..
แต่ชีเต๋อเปียวไม่รู้เลยว่าเงินจำนวนสามสิบล้านหยวนในวันนี้ท้ายที่สุดจะกลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการทุจริตคอรัปชั่นของหลี่จิ่วเจียง และจะกลับกลายเป็นดาบที่ย้อนกลับมาสังหารตัวมันเอง
และนี่คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดในคืนนี้จึงจะไม่มีผู้ใดสามารถขนเงินจำนวนนี้ออกไปจากโรงแรมแห่งนี้ได้!
‘เราคงจะคิดมากไปเองนั่นล่ะ!สาวงามทั้งหมดนี้คงจะมาเร่วมงานเลี้ยงฉลองของหลี่เทียนจริงๆ คงไม่มีอะไรน่าวิตก!’
เมื่อคิดได้เช่นนี้..ชีเต๋อเปียวก็โบกไม้โบกมือเรียกหัวหน้าที่ดูแลจัดเลี้ยงพร้อมกับสั่งว่า “คุณช่วยพาสุภาพสตรีทั้งหกท่านนี้เข้าไปในงานเลี้ยง และช่วยหาโต๊ะให้พวกเธอนั่งด้วย..”
ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีบัตรเชิญแต่เช็คจำนวนยี่สิบล้านของหลงหวู่ก็สามารถนำพวกเธอทั้งหกคนเข้าไปนั่งในงานเลี้ยงในฐานะแขกได้อย่างง่ายดาย
“เชิญคุณสุภาพสตรีทุกท่านทางนี้ครับ..”
หลังจากที่หลินเมิ่งหานและคนอื่นๆเดินเข้าไปภายในห้องจัดเลี้ยงในฐานะแขกของงานแล้ว ชีเต๋อเปียวที่รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากก็รีบเข้าไปช่วยพยุงร่างของหลี่เทียนลุกขึ้นจากพื้นทันที
“หลี่เทียน..เธอ.. นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่!”
ชีเต๋อเปียวเข้าไปช่วยพยุงหลี่เทียนไว้พร้อมกับจ้องมองแก้มซ้ายที่บวมเปล่งและรอยฝ่ามือทั้งห้าที่ยังคงแดงเถือกอยู่บนใบหน้า แล้วแสร้งทำเป็นถามอย่างเห็นอกเห็นใจ..
“ถุย!”
หลี่เทียนพ่นเลือดออกมาจากปากจากนั้นจึงแลบลิ้นเลียริมฝีปากก่อนจะร้องตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ
“ไม่เห็นหรือไงผมเป็นขนาดนี้ ยังจะถามอยู่ได้!”
หลี่เทียนเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่ารอยฝ่ามือนั่นมาอยู่ที่ใบหน้าของตนเองได้อย่างไร!
“เดี๋ยวจัดการบ้วนเลือดในปากก่อนดีกว่า..”
แม้ชีเต๋อเปียวจะถูกหลี่เทียนดุด่าอย่างไม่พอใจแต่เขาก็ยังคงทำหน้าที่ของตนเองอย่างซื่อสัตย์ และรีบไปนำน้ำดื่มมาให้หลี่เทียนพร้อมกับเล่าให้เขาฟังว่า
“หลี่เทียน..สุภาพสตรีทั้งหกคนนั่นนำเช็คยี่สิบล้านมาให้ ครูคงต้องรายงานเรื่องนี้ให้ผู้อำนวยการหลี่รู้แล้วล่ะ..”
การจู่โจมของไป๋เซียนเอ๋อเมื่อครู่นั้นนางเพียงแค่ใช้พละกำลังในระดับคนธรรมดาเท่านั้น หลี่เทียนจึงไม่ถึงกับเจ็บหนัก
“ครูไปรายงานคุณลุงแล้วอย่าลืมโทรเรียกบอดี้การ์ดคนใหม่มาหาผมด้วย! แล้วก็ช่วยแจ้งคุณลุงด้วยว่าผมไม่เข้าไปในงานเลี้ยงแล้ว แต่จะขึ้นไปที่ห้องพักเลย คืนนี้ยังไงผมก็ต้องนอนกับนังนั่น ใครหน้าใหนก็ห้ามผมไม่ได้!”
หลี่เทียนร้องบอกพร้อมกับหันไปมองฉีเสี่ยวชิงด้วยแววตาดุร้าย..
“คืนนี้..ฉันจะต้องแก้แค้นเธอคืนเป็นร้อยเป็นพันเท่าแน่!”
ฉีเสี่ยวชิงยังคงยืนนิ่งไม่พูดอะไรสีหน้าของเธอยังคงเรียบเฉยและเย็นชา จนไม่มีใครสามารถดูออกว่าเวลานี้เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
……….
ห้องจัดเลี้ยงนี้มีขนาดใหญ่และหรูหรามาก มันถูกออกแบบมาสำหรับการจัดเลี้ยงขนาดใหญ่สำหรับชนชั้นสูง ร่ำรวย และมีอำนาจ แทบไม่น่าเชื่อว่าโต๊ะจีนทั้งสามสิบหกโต๊ะเวลานี้จะมีแขกนั่งกันอยู่เนืองแน่นได้..
ภายในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่นี้มีทางเดินกว้างที่ทอดจากฝั่งตะวันออกไปทางตะวันตก และทั้งสองฝั่งนั้นก็มีห้องส่วนตัวขนาดใหญ่อยู่ด้านละห้อง
แน่นอนว่าห้องส่วนตัวหรูหราขนาดใหญ่นี้มีไว้สำหรับรับแขกระดับวีไอพีเท่านั้น เพราะแขกระดับนี้คงจะไม่สามารถนั่งอยู่ในห้องจัดเลี้ยงที่มีเสียงดังหนวกหูได้..
ภายในห้องส่วนตัวขนาดหนึ่งร้อยตารางเมตรนี้สิ่งที่โดดเด่นที่สุดเมื่อเดินเข้าไปในห้องก็คือโต๊ะหมุนขนาดใหญ่มาก และสามารถนั่งรับประทานอาหารร่วมกันได้อย่างน้อยยี่สิบสี่คนเลยทีเดียว
หลี่จิ่วเจียง– ผู้อำนวยการกองการศึกษาประจำมณฑลเจียงหนาน ก็นั่งอยู่กับเพื่อนๆของเขาในห้องนี้ด้วย และผู้ที่จะสามารถนั่งร่วมโต๊ะอยู่ในห้องส่วนตัวนี้กับหลี่จิ่วเจียงได้ ก็ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหล่านี้คือ มีฐานะร่ำรวย และเป็นคนมีหน้ามีตาในเมืองจิงฉู!
ในบรรดาแขกวีไอพีที่อยู่ในห้องส่วนตัวนี้มีข้าราชการในมณฑลเจียงหนานอยู่แปดคน ส่วนอีกหกคนก็เป็นผู้อำนวยการของสำนักงานการศึกษาอีกหกแห่ง..
นอกเหนือจากนั้นก็มีเลขานุการของหลี่จิ่วเจียงอีกสองคนซึ่งเป็นชายหนึ่งคน และหญิงหนึ่งคน..
ในห้องรับรองส่วนตัวนั้นยังมีคนสำคัญในเมืองจิงฉูอีกถึงสองคนซึ่งก็คือเสียเจิ้นเทียนกับกู่เหลียนเฉิงนั่นเอง..
นอกจากนั้นก็ยังมีชายสามคนที่มีสีหน้าเฉยเมยไร้อารมณ์ความรู้สึกพวกเขาสวมเสื้อเชิ้ตสีเทาและรองเท้าอย่างคนธรรมดาๆ แต่กลับนั่งอยู่ในตำแหน่งระดับวีไอพีข้างซ้ายและขวาของหลี่จิ่วเจียง..
แม้ทั้งสามคนจะแต่งตัวพื้นๆแต่หลี่จิ่วเจียงกลับมีมารยาท และดูเคารพนบนอบชายทั้งสามอย่างมาก..
และเหตุผลเพียงข้อเดียวที่ทำให้หลี่จิ่วเจียงต้องมีมารยาทกับชายลึกลับทั้งสามคนนั้นก็คือ..พวกเขาคือคนของตระกูลซันแห่งปักกิ่งนั่นเอง!
“คุณเสีย..ผมว่าคุณไม่ต้องกังวลใจมากจนเกินไปนัก! หลิงหยุนเพิ่งจะอายุแค่สิบแปดปี จะสักเท่าไหร่กันเชียว!”
หลี่จิ่วเจียงพูดพร้อมกับยกมือขึ้นหมุนถาดกลมบนโต๊ะด้วยท่าทางไม่ยี่หระเขาสังเกตุเห็นว่าเก้าอี้ที่ได้เตรียมไว้ให้กับหลู่กวนหวัง – ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาประจำเมืองจิงฉูนั้นยังคงว่างเปล่า..
บทที่ 842 : ถูกหลิงหยุนกดดัน!
เสียเจิ้นติงในวัยสี่สิบที่ยังหนุ่มแน่นอีกทั้งยังเป็นชายผิวขาวสะอาดสะอ้าน และหล่อเหลาอย่างมาก รูปร่างหน้าตาของเขานั้นไม่ต่างจากพระเอกหนังในยุค 60 หรือ 70 เลย ผิวพรรณและหน้าตานั้นบ่งบอกว่าเป็นผู้ดี และเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูประคบประหงมอย่างดี
แต่เวลานี้สีหน้าของเสียเจิ้นติงกลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและกระวนกระวายใจอย่างมาก ต่างจากสีหน้าที่ไร้กังวลอย่างสิ้นเชิงของหลี่จิ่วเจียง
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหลี่จิ่วเจียงแล้วเสียเจิ้นติงก็ถึงกับขมวดคิ้ว และกระแอมเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความวิตกกังวลเช่นเคย
“ผู้อำนวยการหลี่..ผมมีความคิดเห็นค่อนข้างแตกต่างจากคุณในเรื่องของหลิงหยุน!”
เสียเจิ้นติงตอบกลับหลี่จิ่วเจียงอย่างมีมารยาทแม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับหลี่จิ่วเจียงอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนนัก และเลือกที่จะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะนุ่มนวลอีกด้วย
แต่จะว่าไปแล้วด้วยสถานะของแขกที่อยู่ในห้องรับรองหรูหรานี้ความจริงแล้วก็ไม่น่าจะโคจรมานั่งร่วมโต๊ะกันได้เช่นนี้ เพราะแขกส่วนใหญ่ที่อยู่ในห้องนั้นล้วนแล้วแต่เป็นข้าราชการระดับสูงที่มาจากมณฑลเจียงหนานทั้งสิ้น
และที่ดูเหมือนไม่เขาพวกก็เห็นจะมีเสียเจิ้นติงกู่เหลียนเฉิง และแขกรับเชิญที่ดูลึกลับอีกสามคน..
ในประเทศจีนนั้น..การแบ่งระดับชนชั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเคร่งครัด และมีหลายเรื่องที่ควรต้องหลีกเลี่ยง
เสียเจิ้นติงนั้นเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารของเมืองจิงฉูแต่หลี่จิ่วเจียงนั้นเป็นผู้อำนวยการกองการศึกษาประจำมณฑลเจียงหนาน ทั้งสองคนไม่เพียงมีระดับขั้นที่แตกต่างกัน แต่ยังอยู่ในสายงานที่แตกต่างกันด้วย อีกทั้งยังไม่ใช่เพื่อนที่สนิทสนมกัน จึงมีโอกาสน้อยมากที่จะโคจรมาร่วมโต๊ะกันเช่นนี้ได้
เสียเจิ้นติงนั้นเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารด้านเศรษฐกิจของเมืองนี้หากจะพูดถึงเรื่องอำนาจและโอกาสในการทำเงินนั้น เขาสามารถทำเงินได้มากกว่าหลี่จิ่วเจียงอย่างแน่นอน
เพราะเพียงแค่ลายเซ็นของเสียเจิ้นติงนั้นก็นับได้ว่าเป็นขุมทรัพย์ และเป็นแหล่งรายได้ของเขาเลยก็ว่าได้!
ส่วนหลี่จิ่วเจียงนั้นแม้ว่าจะเป็นข้าราชการระดับมณฑลแต่ก็มีเส้นทางในการหาเงินได้ไม่มากเท่าเสียเจิ้นติง หรืออาจจะพูดได้ว่าต่างกันหลายขุมเลยก็ได้!
ทั้งคู่ต่างก็มีความโดดเด่นกันคนละด้านและหากด้วยเหตุผลเพียงแค่นี้ เสียเจิ้นติงก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวลีบตัวเล็กมากจนเกินไปเมื่อยู่ต่อหน้าหลี่จิ่วเจียว..
แต่สำหรับบุคคลในแวดวงราชการนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นไม่ใช่เงินทอง แต่กลับเป็นผู้ที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง อำนาจบารมี และโอกาสในการไต่เต้าต่างหาก และหากเปรียบเงินทองกับสิ่งที่พูดมา เงินทองจึงไม่ต่างจากโคลนตรม!
หลี่จิ่วเจียงนั้นมีตระกูลซันหนุนหลังอยู่จึงนับว่าได้เปรียบเสียเจิ้นติงหนึ่งขั้น ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเป็นผู้อำนวยการกองการศึกษาประจำมณฑล แต่ก็กำลังรอที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง หากไม่มีอะไรผิดพลายมากมาย อย่างน้อยหลี่จิ่วเจียงก็ต้องได้เข้ารับตำแหน่งในปักกิ่งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาอย่างแน่นอน!
แต่ถึงแม้จะไม่ได้เลื่อนตำแหน่งในตอนนี้แต่ตำแหน่งนี้ก็ต้องตกเป็นของเขาอยู่อย่างแน่นอน..
ยิ่งไปกว่านั้นพี่ชายของหลี่จิ่วเจียงที่ชื่อหลี่ซันเจียง ก็เป็นถึงนายกเทศมนตรีของเมืองฮู๋ตงซึ่งนับว่าตำแหน่งสูงกว่าเสียเจิ้นติงถึงสองขั้น
ทุกคนต่างก็รู้ว่าเมืองฮู๋ตงนั้นเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีการพัฒนาสูงสุดและยังเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศนี้อีกด้วย จึงนับว่าเป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างมีอำนาจมาก..
และด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้หนุ่มเพลย์บอยอย่างหลี่เทียนสามารถทำตัวกร่าง และข่มเหงรังแกผู้อื่นอย่างไร้ยางอายเช่นนี้ได้
ด้วยเหตุผลเหล่านี้เสียเจิ้นติงจึงต้องให้ความเคารพหลี่จิ่วเจียงซึ่งมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งกว่าตนเอง และไม่กล้าที่จะแสดงความขัดแย้งอย่างออกหน้าออกตานัก..
เหตุใดเสียเจิ้นติงจึงกังวลเรื่องของหลิงหยุนมากอย่างนั้นหรือ
นั่นก็เพราะตระกูลเสียเองก็มีปัญหาอยู่กับหลิงหยุน!
หากเป็นเพียงปัญหาที่เกิดจากความขัดแย้งกันเล็กๆน้อยๆภายในโรงเรียนเสียเจิ้นติงคงจะยอมเสียหน้าไปขอโทษหลิงหยุนด้วยตัวเองแล้ว เพราะส่วนใหญ่ความขัดแย้งของเด็กนักเรียนก็มีเพียงแค่ความหึงหวง เหตุใดจึงต้องจบลงถึงขั้นเอาชีวิตกันเล่า
แต่เพราะเสียเจิ้นติงนั้นมีงานยุ่งเขาทำงานทั้งวันหยุดสัปดาห์ และเข้าประชุมแทบทุกวัน เขามัวแต่วุ่นอยู่กับการแสวงหาอำนาจจนไม่มีเวลาสอบถามลูกชายเกี่ยวกับเรื่องภายในโรงเรียน..
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็มั่นใจว่าด้วยฐานะและความสามารถของเสียเจิ้นเหยินนั้น คงจะมีแต่ลูกชายของเขาที่จะไปข่มเหงรังแกคนอื่น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครกล้าข่มเหงรังแกลูกชายของเขา..
และเรื่องแรกที่เสียเจิ้นติงได้ฟังจากปากของเสียเจิ้นเหยินกับกู่หยุนฟะก็คือเรื่องที่ทั้งคู่ไปเดิมพันไว้กับหลิงหยุนนั่นเอง
หลังจากที่สอบถามลูกชายอย่างละเอียดแล้วก็ได้ความว่าทั้งสองฝ่ายได้วางเงินเดิมพันกันถึงหนึ่งร้อยล้านหยวน และเงินจำนวนนั้นก็เป็นของกู่เหลียนเฉิง
และสิ่งที่ได้รู้หลังจากนั้นก็คือหลิงหยุนซึ่งเคยเป็นฝ่ายถูกข่มเหงรังแกมาตลอดนั้น จู่ๆในมัธยมปลายเทอมสุดท้าย ก็กลับเป็นคนเดียวในโรงเรียนที่กล้าข่มเหงรังแกลูกชายของเขา!
และเรื่องราวก็เริ่มลุกลามใหญ่โตขึ้นหลังจากคืนวันเชงเม้งนั่นเพราะหลิงหยุนได้หายตัวไป ซันเทียนเปียวจึงพายอดฝีมือมาหลายร้อยคน และจัดการควบคุมเมืองจิงฉูไว้ทั้งเมือง
และสาเหตุก็คือลูกและภรรยาของซันเทียนเปียวรวมทั้งคนสำคัญของตระกูลซันอีกหลายคนได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในคืนวันเชงเม้งคนเหล่านั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย และไม่พบเห็นแม้แต่ศพ!
และด้วยความร่วมมือของเสียเจิ้นติงกับหลัวจ้งทำให้สามารถตระกูลซันสามารถจัดการกับฝ่ายตรงข้ามได้ภายในม้วนเดียว และสามารถควบคุมจิงฉูไว้ได้ทั้งเมือง
ผลก็คือ..หลี่ยี่เฟิงต้องถูกสอบสวนทางวินัย และถังเทียนห่าวถูกกักบริเวณ ประโยชน์ทั้งหมดจึงตกอยู่ที่เสียเจิ้นติงกับหลัวจ้ง..
เมื่อเหตุการณ์พลิกกลับมาเช่นนี้ลูกชายของเขาเสียเจิ้นเหยิน จึงได้ร่วมมือกับกู่หยุนฟะและหลู่เจิ้งเทียนทำร้ายถังเมิ่งจนได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกือบพิการ เรียกได้ว่าพ่อจัดการถังเทียนห่าว ส่วนลูกจัดการถังเมิ่ง!
และจากสาเหตุทั้งหมดนี้ทำให้จากเรื่องขัดแย้งเล็กน้อยภายในโรงเรียน ได้ลุกลามใหญ่โตถึงขั้นเป็นศัตรูที่จ้องจะกินเลือดกินเนื้อกัน!
ถึงแม้เสียเจิ้นติงจะรู้สึกว่าลูกชายของตนเองนั้นทำเกินไปแต่เวลานั้นเขาเองก็มีตระกูลซันหนุนหลังอยู่ จึงเพียงแค่ตำหนิเสียเจิ้นเหยินไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่สิ่งที่ทุกคนคาดคิดไม่ถึงก็คือว่า..จู่ๆหลิงหยุนก็กลับมา และหลังจากนั้นสถานการณ์ทุกอย่างก็พลิกกลับด้านทันที!
หลัวจ้งถูกจัดการภายในวันเดียวซันเทียนเปียวถูกสังหารในคืนนั้น และยอดฝีมือที่เขาพามาด้วยนับร้อยๆคนก็ถูกสังหารตายจนเกือบหมด เรียกได้ว่าไม่มีใครเลยที่สามารถรอดออกจากจิงฉูได้ในสภาพปกติ!
ในเมื่อสถานการณ์พลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเช่นนี้เสียเจิ้นติงจึงรู้ว่าแนวโน้มต่อไปจะเป็นเช่นไร เขาจึงรีบไปปรึกษากับหลู่กวนหวังและกู่เหลียนเฉิงถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และรีบจัดการให้ลูกๆของตนเองหลบหนีออกจากจิงฉูทันที!
เพราะพวกเขาต่างก็เรียนรู้แล้วว่า..ภายใต้อารมณ์โกรธของหลิงหยุนนั้น ลูกชายของพวกเขาทั้งสามคนมีสิทธิ์ที่จะตายได้ตลอดเวลา!
แต่ก็นับว่าโชคดีที่ปีศาจทั้งสามสามารถหลบหนีออกจากเมืองจิงฉูได้ทันเวลาอีกทั้งหลิงหยุนเองก็ไม่ได้คิดที่จะไล่ล่าตามหาพวกมันด้วย แต่ถึงกระนั้นเสียเจิ้นติงเองก็ไม่เคยวางใจในเรื่องนี้..
หลังจากคืนวันเชงเม้งตระกูลซันก็ถูกหลิงหยุนทำลายจนสิ้นซาก หลี่ยี่เฟิงก็กลับเข้ารับตำแหน่งคืนดังเดิม ส่วนถังเทียนห่าวก็ได้ขึ้นมาแทนที่หลัวจ้ง และในที่สุดหลิงหยุนก็สามารถควบคุมสถานการณ์ในเมืองจิงฉูไว้ได้ทั้งหมด
และทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นก็ด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุนแต่เพียงผู้เดียว!
หลัวจ้งจบสิ้นแล้วและถึงแม้เสียเจิ้นติงจะรอด แต่ก็แทบไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ใดอีก จะเรียกว่าเหลือตัวคนเดียวก็ได้! แม้กระทั่งคนที่เขาปลุกปั้นมากับมือ ยังหักหลังเขาไปพึ่งใบบุญของหลี่ยี่เฟิงแทน!
เสียเจิ้นติงเริ่มรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆและรู้สึกราวกับถูกตาข่ายที่มองไม่เห็นค่อยๆรัดรึงแน่นขึ้นทุกวันๆ เพราะถึงแม้หลี่ยี่เฟิงกับถังเทียนห่าวจะไม่เล่นงานเขาอย่างจริงจัง แต่ตลอดที่ผ่านมาทั้งคู่ก็ไม่เคยเห็นหัวเขาเลยแม้แต่น้อย!
ยิ่งไปกว่านั้น..ตลอดหลายปีที่ทำงานร่วมกับหลี่ยี่เฟิงมานั้น เสียเจิ้นติงรู้จักคนอย่างหลี่ยี่เฟิงดีว่า จะไม่ลงมือกับใครหากไม่มั่นใจ แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เขาลงมือแล้ว ก็ยากนักที่คนผู้นั้นจะสามารถรับมือได้..
เมื่อเวลานั้นมาถึงจริงเสียเจิ้นติงยังเกรงว่าแม้แต่เสียเจิ้นถังพี่ชายของเขาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงอยู่ที่ปักกิ่งนั้น ก็คงยากที่จะปกป้องเขาได้!
ตลอดเวลากว่าสามเดือนนั้นเสียเจิ้นติงใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เขาทำงานด้วยความระมัดระวัง หลังจากเสร็จงานก็รีบกลับบ้านล็อคประตู เรื่องความสุขจากการเดินทางหรือสถานที่บันเทิงนั้นถูกยกเลิกทั้งหมด เพราะเกรงว่าจะถูกอีกฝ่ายจับตัวไป
ระหว่างที่ต้องระมัดระวังตัวอย่างมากนั้นเสียเจิ้นติงก็ต้องทำงานอย่างหนักร่วมกับพี่ชายของเขา เพื่อให้พี่ชายของเขาช่วยวิ่งเต้นโยกย้ายตนเองออกจากจิงฉู..
อีกทั้งยังหวังพึ่งพาและได้รับการหนุนหลังจากตระกูลซันอีกด้วย..
ที่ผ่านมานั้น..เสียเจิ้นติงไม่เคยได้ลิ้มรสของการนอนหลับสนิท และความกดดันเช่นนี้มาก่อนเลย!
และทั้งหมดนั้นล้วนเป็นแรงกดดันที่เกิดจากหลิงหยุนเขาต้องคอยวิตกกังวลว่า หลิงหยุนจะโผล่มาทีหน้าประตูบ้านของตนเองเวลาใหน
แต่ถึงกระนั้น..หลังจากพายุผ่านพ้นไปครู่ใหญ่ เสียเจิ้นติงก็พบว่าหลิงหยุนไม่เคยมายุ่งวุ่นวายกับเขาเลยแม้แต่น้อย หลิงหยุนทำราวกับว่าไม่มีคนชื่อเสียเจิ้นติงอยู่บนโลกใบนี้!
และนั่นทำให้เสียเจิ้นติงรู้สึกแปลกประหลาดใจเป็นอย่างมากว่าเพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงไม่มาจัดการกับเขาอย่างที่ทำกับหลัวจ้ง..!
และยิ่งรู้สึกแปลกใจมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งกังวลใจมากขึ้นเท่านั้น!
เมื่อไหร่หลิงหยุนจึงจะลงมือจัดการกับตนเองเสียที
เสียเจิ้นติงที่พ่ายแพ้อย่างยังเยินต้องอยู่ภายใต้ความรู้สึกกดดันเช่นนี้มาตลอดหลายเดือน จนกระทั้งเมื่อหลายวันที่ผ่านมา หลู่กวนหวังก็ได้มาพบเขาด้วยสีหน้าตื่นเต้น และบอกกล่าวบางสิ่งบางอย่างให้เขารู้ ทำให้เขาจึงรู้สึกราวกับได้ชีวิตใหม่กลับมา..
และนั่นคือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดเสียเจิ้นติงจึงมาปรากฏตัวอยู่ภายในห้องรับรองระดับวีไอพีที่หรูหราแห่งนี้!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 843-844

Now you are reading Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร Chapter 843-844 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 843 : เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ!
“คุณเสียมีเรื่องอะไรเกี่ยวกับหลิงหยุนที่อยากจะเล่าก็เชิญเล่ามาได้เลย..”
หลี่จิ่วเจียงละสายตามจากเก้าอี้ที่ว่างเปล่าของหลู่กวนหวังแล้วหันไปมองเสียเจิ้นติงพร้อมกับพูดยิ้มๆ
เสียเจิ้นติงเห็นแววตาเย้ยหยันในดวงตาของหลี่จิ่วเจียงแต่ก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น และพูดในสิ่งที่อยากพูดต่อทันที
“ผู้อำนวยการหลี่..คุณคงจะมีงานยุ่งมาก จึงไม่มีเวลาได้ลงมาตรวจสอบโรงเรียนมัธยมต่างๆด้วยตัวเอง ก็เลยไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับหลิงหยุน..”
“ลูกชายของผู้อำนวยการหลู่กับลูกชายของคุณกู่แล้วก็ลูกชายของผมพวกเขาเรียนอยู่โรงเรียนมัธยมจิงฉูที่เดียวกับหลิงหยุน และทั้งหมดก็มีเรื่องกันมาหลายต่อหลายครั้ง คิดว่าเรื่องนี้คุณคงจะได้ข่าวมาบ้างแล้ว..”
หลี่จิ่วเจียงได้ฟังจึงพยักหน้าเล็กน้อยและพูดขึ้นอย่างหมดความอดทน “เรื่องพวกนี้ผู้อำนวยการหลู่เคยเล่าให้ผมฟังบ้างแล้ว ผมว่าคุณตรงเข้าประเด็นเลยจะดีกว่า..”
หลี่จิ่วเจียงพูดกับเสียเจิ้นติงพร้อมกับถอนหายใจและทำท่าทางราวกับว่ากำลังพูดอยู่กับผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเอง
เสียเจิ้นติงถึงกับอึ้งในอากัปกิริยาของหลี่จิ่วเจียงจึงกระแอมเบาๆเป็นการกลบเกลื่อนอาการเสียหน้าของตนเอง พร้อมกับกวาดสายตามองแขกที่นั่งรอบโต๊ะ..
หลี่จิ่วเจียงเห็นเช่นนั้นจึงรู้ว่าเสียเจิ้นติงนั้นไม่ไว้วางใจแขกที่อยู่ในห้องด้วยเขาจึงพูดขึ้นมาเป็นการตบหน้าเสียเจิ้นติง
“คุณเสีย..ผมว่าคุณกังวลเรื่องเด็กที่ชื่อหลิงหยุนมากจนเกินไป! เด็กนักเรียนมัธยมปลายเพียงแค่คนเดียว คุณจะกลัวอะไรนักหนา! คุณเองก็เป็นถึงข้าราชการระดับสูง!”
“การที่ข้าราชการระดับสูงอย่างเราพูดถึงเขาก็นับว่าเป็นการให้หน้าเขามากแล้ว ยังมีอะไรเป็นความลับต้องปิดบังอีก”
“คุณสามารถพูดทุกอย่างต่อหน้าทุกคนในห้องนี้ได้เลยไม่ต้องกังวลใจไป..”
เมื่อได้ยินชื่อหลิงหยุนหลี่จิ่วเจียงก็เริ่มหมดความอดทน ตลอดครึ่งเดือนมานี้ เพื่อหลี่เทียนแล้วเขาต้องอดทนฟังชื่อนี้มาโดยตลอด
เสียเจิ้นติงเองก็รู้ว่าหากคนพวกนี้ไม่ใช่พวกของหลี่จิ่วเจียง ก็คงไม่สามารถเข้ามานั่งในห้องนี้ได้แน่ เขาจึงมั่นใจและกล้าที่จะพูดอย่างเปิดอก..
“ผู้อำนวยการหลี่..ไม่ใช่ว่าผมจะคร่ำเครียดกับเรื่องของหลิงหยุนมากจนเกินไป แต่เขาเป็นคนที่ลึกลับ เอาแต่ใจ แล้วก็น่าหวาดกลัวจนเข้าขั้นสยดสยอง!”
ลึกลับ..เอาแต่ใจ.. น่าหวาดกลัวเข้าขั้นสยดสยอง!
นี่คือคำนิยามที่เสียเจิ้นติงใช้เล่าถึงตัวตนของหลิงหยุนหลังจากที่สอบถาม และฟังเรื่องราวของเขามาจากแหล่งต่างๆมากมาย
“อีกอย่าง..หลิงหยุนเป็นคนที่ทำอะไรตามใจตัวเอง เขาไม่เคยสนใจกฏเกณฑ์ใดๆบนโลกใบนี้ แล้วเรื่องในคืนนี้ก็อย่าได้คิดว่าจะพ้นหูพ้นตาของเขาไปได้..”
และด้วยตำแหน่งหน้าที่การงานของเสียเจิ้นติงการจะค้นหาประวัติของใครสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ถึงกระนั้นก็มีความลับบางอย่างที่หลิงหยุนไม่ต้องการให้ใครรู้ นอกเหนือจากตัวเขาเองแล้ว ก็จะไม่มีคนที่สองที่จะล่วงรู้เรื่องนี้ได้ แม้แต่ฉินตงเฉี่วย หนิงหลิงยู่ ถังเมิ่ง แล้วก็ตี้เสี่ยวอู๋ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รู้!
ในเวลาเพียงไม่กี่เดือนแต่หลิงหยุนกลับเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วทั้งจิงฉู ผ่านวิธีการจัดการกับศัตรูต่อหน้าผู้คนมากมาย และยังสร้างเหตุการณ์ที่ชวนตกตะลึงอีกหลายครั้งหลายครา ไม่ว่าจะเป็นการจับตี้เสี่ยวอู๋โยนใส่แป้นบาสเก็ตบอลที่สนามกีฬาในโรงเรียนมัธยมจิงฉู หรือเหตุการณ์ที่หลิงหยุนคนเดียวแต่กลับสามารถเอาชนะคนของแก๊งมังกรเขียวทั้งสามสิบคนได้ ยังมีเรื่องของการทุบบ้านสองหลังของเถียนป๋อเตา รวมทั้งเรื่องที่สร้างความอับอายให้กับหลัวจ้ง..
และในวันที่เปิดคลินิกสามัญชนนั้นหลิงหยุนก็สามารถรักษาคนไข้ที่อยู่ในอาการสาหัสปางตายทั้งยี่สิบสองคนได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ อีกทั้งยังสร้างความตกตะลึงให้กับวงการพนันหินที่ตลาดค้าของเก่าอีกด้วย
เพียงเท่านี้ก็นับว่ายากเกินกว่าที่คนธรรมดาสามัญจะเข้าใจได้แล้วหากไม่ใช่เพราะหลี่ยี่เฟิงกับถังเทียนห่าวสั่งห้ามไม่ให้มีการเผยแพร่วีดีโอเหล่านี้ และได้สั่งให้ลบออกจากอินเทิร์เน็ต และสื่อต่างๆแล้วล่ะก็ รับรองว่าเวลานี้หลิงหยุนคงกลายเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศอย่างแน่นอน!
และหากมีใครสักคนสามารถนำคลิปและภาพเหล่านั้นไปเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ตได้แล้วอีกครั้ง รับรองว่าจะต้องสร้างกระแสในประเทศนี้ได้อย่างมากมายเลยทีเดียว!
และหลิงหยุนอาจจะถูกขนานนามว่าเป็นอสูรกายก็เป็นได้!ทุกคนจึงต้องอาศัยอำนาจในมือช่วยกันปกปิดเรื่องเหล่านี้!
ดังนั้นเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อและสร้างความแปลกประหลาดใจให้กับผู้คนในหลายๆเรื่องนั้น นอกเหนือจากผู้ที่โชคดีได้เห็นภาพเหล่านั้นแล้ว ก็ไม่สามารถหลุดออกไปสู่สายตาของคนภายนอกได้เลย
แต่ถึงกระนั้น..ผู้คนที่ได้พบเห็นเหตุการณ์เหล่านั้น ต่างก็พากันพูดกันปากต่อปาก แต่คนที่ได้ฟังก็ยากที่จะเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง และคิดว่าน่าจะเป็นนิทานปรัมปราเสียมากกว่า..
แต่เสียเจิ้นติงนั้นต่างกันในเมื่อหลัวจ้งถูกหลิงหยุนจัดการจนหมดท่าเช่นนั้น และหลังจากที่หลัวจ้งถูกส่งเข้าคุก หลิงหยุนจึงกลายมาเป็นศัตรูที่น่ากลัวของเสียเจิ้นติงทันที ชื่อ ‘หลิงหยุน’ จึงเปรียบเสมือนหนามที่คอยทิ่มตำจิตใจของเสียเจิ้นติงอยู่ตลอดเวลา!
และแน่นอนว่า..เสียเจิ้นติงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อตรวจสอบประวัติของหลิงหยุน และด้วยอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ในมือ มีหรือที่เสียเจิ้นติงจะไม่สืบหาความจริง..
แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงใคร และไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงด้วย..
เสียเจิ้นติงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะสืบหารายละเอียดเกี่ยวกับหลิงหยุนให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะสามารถทำความเข้าใจ และสรุปเรื่องราวของหลิงหยุนได้อย่างแม่นยำและเที่ยงตรง
และจากข้อมูลทั้งหมดที่เสียเจิ้นติงได้มานั้นเขาก็สรุปได้ว่า.. หลิงหยุนนั้นเป็นคนที่ลึกลับ เอาแต่ใจ น่าหวาดกลัว และมันทำอะไรโดยไม่สนใจกฏเกณฑ์ใดๆ อีกทั้งยังไม่เห็นแก่หน้าใครด้วย และนั่นคืออุปนิสัยของหลิงหยุน!
“ฮ่า.. ฮ่า.. ฮ่า..”
เสียเจิ้นติงกำลังเล่าเรื่องหลิงหยุนด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังแต่กลับคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ หลี่จิ่วเจียงจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเช่นนี้..
“คุณเสีย..นี่คุณพูดอะไรออกมารู้ตัวบ้างมั๊ย ลึกลับ น่าหวาดกลัว เอาแต่ใจ ไม่ในใจกฏเกณฑ์ นี่คุณพูดเกินจริงไปหน่อยหรือเปล่า?”
“ก็แค่เด็กอายุสิบแปดเขามีสามหัวหกกรหรือยังไงกัน เอาเป็นว่าคุณลองเล่าให้พวกเราฟังอีกสักสองสามเรื่องสิ! ฮ่า.. ฮ่า..”
เสียเจิ้นติงเห็นหลี่จิ่วเจียงพูดถึงหลิงหยุนราวกับเป็นเรื่องตลกเช่นนี้ก็ได้แต่แอบถอนหายใจอย่างหมดหนทาง แต่เมื่อมองไปยังชายที่แต่งตัวธรรมดาทั้งสามคนแต่ดูลึกลับนั้น เขาจึงค่อยสบายใจขึ้นมาบ้าง..
เสียเจิ้นติงนั้นรู้ว่าชายทั้งสามคนนี้น่าจะเป็นยอดฝีมือที่มีวรยุทธซึ่งตระกูลซันเป็นผู้ส่งมาคุ้มครองหลี่จิ่วเจียงนั่นเอง
‘เฮ้อ..อย่างน้อยตระกูลซันก็หนุนหลังหลี่จิ่วเจียงอยู่ ในเมื่อตระกูลซันส่งคนมาคุ้มครองหลี่จิ่วเจียงแบบนี้ ก็คงมั่นใจว่าพวกเขาทั้งสามคนจะสามารถจัดการกับหลิงหยุนได้..’
เสียเจิ้นติงนั้นนับว่าเป็นผู้ที่ควบคุมความรู้สึกได้อย่างยอดเยี่ยมเพราะเขายังคงทำสีหน้าได้เป็นปกติอย่างที่สุด
เสียเจิ้นติงเชื่อว่าในเมื่อเขาเลือกอยู่ข้างหลี่จิ่วเจียง ก็เท่ากับได้รับการหนุนหลังจากตระกูลซันด้วยเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้หลี่ยี่เฟิงก็คงไม่กล้ายุ่งกับตนเองเช่นกัน และหากหลิงหยุนถูกตระกูลซันจัดการ เขาก็จะมีโอกาสก้าวหน้าในที่การงาน เรียกได้ว่าจะได้รับประโยชน์มากมายหลายอย่าง!
เมื่อคิดได้เช่นนี้เสียเจิ้นติงก็ยิ้มพร้อมกับพูดกับทุกคนว่า “ในเมื่อผู้อำนวยการหลิ่วสนใจ ผมก็จะเล่าเรื่องของหลิงหยุนให้ฟังอีกสักสองสามเรื่องก็แล้วกัน ผมเชื่อว่ามันจะทำให้พวกคุณรู้จักหลิงหยุนมากยิ่งขึ้น!”
จากนั้น..เสียเจิ้นติงก็ยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นดื่ม และเริ่มเล่าเรื่องของหลิงหยุนต่อ..
แต่ระหว่างนั้นเอง..เสียงสัญญาณข้อความเข้าในโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เลขานุการชายของหลี่จิ่วเจียงรีบหยิบโทรศัพท์มือถืออกมา เมื่อได้เห็นข้อความ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขารีบลุกขึ้นยืน และเดินเข้าไปกระซิบข้างหูของหลี่จิ่วเจียงทันที
“ผู้อำนวยการหลี่ครับ..ชีเต๋อเปียวรออยู่หน้าห้องรับรอง เขาบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะรายงานท่านครับ!”
ชีเต๋อเปียวเป็นครูใหญ่โรงเรียนมัธยมเขาจึงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้ามาร่วมดื่มกินในห้องรับรองนี้ สถานะของเขายังห่างไกลนัก อย่าว่าแต่ได้ร่วมกินดื่มโต๊ะเดียวกับหลี่จิ่วเจียงเลย แม้แต่จะส่งข้อความให้หลี่จิ่วเจียงก็ยังไม่มีสิทธิ์ ได้แต่ส่งให้กับเลขาของหลี่จิ่วเจียงแทน
หลี่จิ่วเจียงได้ฟังก็ถึงกับขมวดคิ้วพร้อมกับคิดอย่างไม่พอใจว่า‘เจ้าชีเต๋อเปียวนี่จริงๆเลย กล้าขัดความสุขของฉันจริงๆ!’
แม้จะคิดเช่นนั้นแต่หลี่จิ่วเจียงก็ไม่ได้พูดออกมาเขาเพียงแค่พยักหน้าเบาๆเท่านั้น และเลขานุการชายก็รีบขออนุญาตทุกคนเดินออกไปจากห้องรับรองทันที
ทันทีที่เดินออกไปนอกห้องเขาก็เห็นชีเต๋อเปียวยืนรออยู่หน้าห้องแล้ว จึงรีบตรงเข้าไปหาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก
“ครูใหญ่ชี..คุณมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยด้านนอกไม่ใช่เหรอ แล้วมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ผู้อำนวยการกำลังคุยกับแขกเหรื่ออยู่ รบกวนท่านกลางคันแบบนี้เสียมารยาทมากจริงๆ..”
ชีเต๋อเปียวได้ยินก็รีบขอโทษขอโพยและพูดขึ้นว่า “เลขาหวัง.. ผมรู้ว่าไม่ควรเข้ามารบกวนผู้อำนวยการหลี่ แต่ผมมีเรื่องใหญ่จะมารายงาน ไม่อย่างนั้นผมคงไม่กล้ามาหรอก!”
“งั้นเหรอเรื่องอะไรกันล่ะ?”
ชีเต๋อเปียวดึงเลขาหวังออกมาให้ห่างจากประตูและระหว่างเล่าเรื่องทั้งหมดให้เลขาหวังฟัง
เลขาหวังได้ฟังถึงกับตกใจจนแทบช็อค“คุณว่าอะไรนะ มีคนนำเช็คจำนวนยี่สิบล้านมามอบให้เป็นของขวัญงั้นเหรอ? แล้วหลี่เทียนก็ถูกทำร้าย? และไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำด้วย?”
“นี่คุณพูดกำลังพูดบ้าอะไรกัน!”
คิ้วของเลขาหวังขมวดเข้าหากันและร้องถามชีเต๋อเปียวเสียงดัง..
ชีเต๋อเปียวยิ้มขื่นพร้อมกับตอบไปว่า“เลขาหวัง.. ผมไม่กล้าล้อเล่นเรื่องแบบนี้แน่! ตอนนี้เช็คยี่สิบล้านก็อยู่ในมือแล้ว และตรวจสอบแล้วว่าเป็นเช็คจริง ส่วนหลี่เทียนก็หน้าบวมเปล่งอยู่ตอนนี้..”
สีหน้าของเลขาหวังเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวขึ้นมาทันทีเขายืนนิ่งนานกว่าสิบวินาทีแล้วจึงพูดขึ้นว่า
“เอาล่ะ..คุณรีบไปที่หน้าห้องจัดเลี้ยงก่อน ผมจะไปรายงานผู้อำนวยการหลี่เดี๋ยวนี้!”
“อย่าลืมส่งคนไปจับตามองผู้หญิงหกคนนั้นไว้ให้ดีผมจะไปรายงานผู้อำนวยการ และจะรีบกลับออกมาโดยเร็ว”
เลขาหวังรู้สึกเป็นกังวลและกระวนกระวายใจอย่างมากจึงรีบเดินกลับเข้าไปในห้องรับรองทันที และตรงเข้าไปหาหลี่จิ่วเจียงด้วยสีหน้ากังวล
เขากระซิบข้างหูหลี่จิ่วเจียง“ผู้อำนวยการครับ.. เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ!”
บทที่ 844 : บรรยากาศเริ่มร้อนระอุ!
“ฮ่า..ฮ่า.. หลี่เทียนสอบเอนทรานซ์ได้คะแนนสูงสุดของมณฑลเจียงหนาน เวลานี้ใครๆต่างก็พากันอยากจะมาตีสนิทผมกันหมด..”
เมื่อเลขาของเขาเดินออกไปนอกห้องหลี่จิ่วเจียงก็โอ้อวดออกมาอย่างหน้าไม่อาย นับว่าหนังหน้าของเขานั้นหนาไม่เบาเลยทีเดียว..
แม้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของหลี่จิ่วเจียงจะรู้กันดีว่าคะแนนสูงสุดของหลี่เทียนนั้นได้มาอย่างไร แต่ทุกคนต่างก็พากันพูดชื่นชมเพื่อเป็นการเอาอกเอาใจหลี่จิ่วเจียงแทน..
แต่คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่เลขาหวังเดินหน้าตาตื่นเข้ามารายงานเท่านั้น เหตุการณ์ภายในห้องก็เปลี่ยนไปทันที!
“ห๊ะ!”
หลี่จิ่วเจียงได้ฟังคำบอกเล่าของเลขาหวังก็ถึงกับร้องอุทานออกมาเบาๆ!
เลขาหวังนั้นเป็นเลขานุการส่วนตัวของหลี่จิ่วเจียงและทำงานกับเขามาร่วมสิบปีแล้ว เรียกได้ว่ารู้ใจกันถึงขั้นมองตาก็สามารถเข้าใจได้
หลี่จิ่วเจียงมีเงินอยู่ในธนาคารเท่าไหร่มีภรรยาน้อยกี่คน? ซุกซ่อนอยู่ที่ใหนบ้าง? เรียกได้ว่าเลขาหวังนั้นรู้หมดทุกอย่าง เขาจึงเปรียบเสมือนเงาของหลี่จิ่วเจียงมานานหลายปี
ตั้งแต่ที่เลขาหวังมากระซิบบอกเขาว่าเกิดเรื่องใหญ่นั้น!หลี่จิ่วเจียงก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างที่ไม่ปกติเกิดขึ้นแล้ว และได้แต่คิดในใจว่าใครกันนะที่กล้ามาสร้างปัญหาให้กับเขาถึงที่นี่
ที่นี่เป็นโรงแรงหรูหราระดับห้าดาวพวกเขาได้ทำการปิดชั้นห้าของโรงแรมทั้งชั้นเพื่อจัดงานเลี้ยงใหญ่โตเช่นนี้ ใครกันช่างกล้าที่จะมาสร้างความวุ่นวายที่นี่ได้
แม้หลี่จิ่วเจียงจะรู้สึกไม่พอใจแต่ก็มีเพียงแววตาเท่านั้นที่เปลี่ยนไป เขาลุกขึ้นยืนและบอกกับทุกคนในโต๊ะว่า
“ทุกท่านคุยกันตามสบาย..ผมขอตัวไปจัดการธุระบางอย่างก่อน!”
หลังจากนั้น..หลี่จิ่วเจียงก็ลุกเดินออกจากโต๊ะไปยังห้องรับรองอีกห้องหนึ่งทันที และเลขาหวังก็เดินตามไปติดๆ
ห้องรับรองนี้เป็นห้องที่จัดไว้ให้แขกเหรื่อสามารถเข้ามานั่งพักผ่อนและพูดคุยกันได้ ภายในห้องนั้นมีระบบกันเสียงอย่างดี ไม่ต้องกลัวว่าเสียงหนวกหูจากภายนอกจะเข้ามาด้านในได้ หรือเสียงจากด้านในจะรั่วไหลไปด้านนอกได้ ต่อให้พูดคุยอยู่หน้าประตูห้อง คนข้างนอกก็ไม่มีทางได้ยินอย่างแน่นอน
เลขาหวังเดินตามหลี่จิ่วเจียงเข้าไปในห้องที่ว่านั้นและจัดการปิดประตูทันที!
หลี่จิ่วเจียงหันมาถามเลขาหวังด้วยสียงที่เบา“นี่เลขาหวัง.. มีเรื่องอะไรรุนแรงก็พูดมาตรงๆเลย!”
และเลขาหวังก็ไม่มีเวลาจะพูดอ้อมค้อมเขาตอบหลี่จิ่วเจียงไปตามตรง “ท่านผู้อำนวยการครับ.. มีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรก.. มีแขกพิเศษที่ไม่มีบัตรเชิญเข้ามาในงานหกคน และได้นำเช็คจำนวนยี่สิบล้านมามอบให้เป็นของขวัญอีกด้วย..”
“อะไรนะ!ยี่สิบล้าน?!”
หลี่จิ่วเจียงได้ฟังถึงกับใจสั่นด้วยความตกใจเขาได้แต่คิดว่าตนเองนั้นหูฝาดไปหรือเปล่า
ที่หลี่จิ่วเจียงตื่นเต้นอย่างมากนั้นใช่ว่าหลี่จิ่วเจียงจะไม่เคยสัมผัสเงินจำนวนนั้น เพียงแต่เงินจำนวนมากถึงเพียงนี้ ไม่ควรปรากฏในงานเลี้ยงลักษณะนี้ต่างหาก!
“แล้วเรื่องที่สองล่ะ..!”หลี่จิ่วเจียงถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเคียด
เลขาหวังกัดริมฝีปากเล็กน้อยคล้ายลังเลใจแต่แล้วก็ตัดสินใจตอบไปว่า “คุณหนูหลี่เทียนถูกตบหน้าอยู่ที่หน้าทางเข้าห้องจัดเลี้ยงครับ..”
“อะไรนะ!”
หลี่จิ่วเจียงได้ยินก็โกรธจนหน้าดำหน้าแดงและแทบจะกระโจนจากพื้นด้วยความตกใจ แต่ถึงกระนั้นก็ถามออกมาอย่างคนมีสติ
“คุณว่ายังไงนะ!นี่ผมไม่ได้ฟังผิดใช่มั๊ย? หลี่เทียนถูกทำร้ายอีกแล้วเหรอ? แล้วก็ที่หน้าห้องจัดเลี้ยงนี่ด้วย ใครกันที่กล้าทำร้ายหลานชายของฉันแบบนี้?”
เวลานี้สีหน้าของหลี่จิ่วเจียงไม่เหลือร่องรอยแห่งความสุขอีกต่อไปแต่เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงขึ้นมาแทน!
การทำร้ายหลานชายของเขาถึงในงานเช่นนี้ไม่เพียงเป็นการฉีกหน้าหลี่เทียน แต่ยังเป็นการไม่ไว้หน้าผู้อำนวยการอย่างเขาด้วยเช่นกัน!
ยิ่งไปกว่านั้นนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลี่เทียนถูกคนทำร้าย! ผ่านมายังไม่ถึงเดือนหลี่เทียนก็ถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงเป็นครั้งที่สองแล้ว!
เพราะเหตุใดหลี่จิ่วเจียงจึงได้ลงมาจัดการกับหลิงหยุนด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือนั่นเพราะก่อนที่จะมีการสอบเอนทรานซ์ หลิงหยุนได้ทำร้ายร่างกายของหลี่เทียนอย่างรุนแรง ทำให้หลี่เทียนถึงกับหวาดผวา ไม่กล้าแม้แต่จะไปสอบเอนทรานซ์!
หลี่ซันเจียงและหลี่จิ่วเจียงนั้นต่างก็รับราชการด้วยกันทั้งคู่ส่วนหลี่เทียนก็เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของหลี่ซันเจียง
ตั้งแต่เล็กจนโต..หลี่เทียนถูกเลี้ยงดูประคบประหงมมาอย่างดี เรียกได้ว่าลิ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมก็ว่าได้ อีกทั้งยังไม่เคยถูกทำโทษ และได้รับการตามอกตามใจจนเสียคน..
แล้วหลิงหยุนกล้าดีอย่างไรจึงได้กล้าเล่นงานหลี่เทียนอย่างหนัก จนมันไม่กล้าออกนอกบ้านเกือบครึ่งเดือน!
หลี่ซันเจียงอาศัยอยู่ที่ฮู๋ตง..หลังจากที่ทราบเรื่องนี้ ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และรีบโทรมาด่าว่าน้องชายของตนเองนานเกือบชั่วโมง!
แต่ถึงกระนั้นหลี่ซันเจียงก็ไม่ได้ถามหลี่เทียนถึงสาเหตุที่เขาถูกคนทำร้ายเพียงแต่สั่งให้หลี่จิ่วเจียงไปจัดการกับคนที่ทำร้ายร่างกายลูกชายของตนเองจนปางตายเท่านั้น!
หลังจากที่หลี่จิ่วเจียงสอบถามจนได้ความเขาจึงเลือกที่จะใช้วิธีนี้ในการจัดการกับหลิงหยุน!
คืนนี้นับเป็นวันดีวันมงคลและเหมาะที่จะจัดงานเลี้ยงฉลอง แต่งานยังไม่ทันจะเริ่ม อีกทั้งหลี่จิ่วเจียงก็ยังอยู่ในงานด้วย แต่หลี่เทียนกลับถูกทำร้ายร่างกายอีกครั้งด้วยการตบหน้า!
“ใครกันที่กล้าทำกับหลี่เทียนแบบนี้ใช่ครอบครัวของเด็กสาวที่หลี่เทียนหมายตาอยู่หรือเปล่า?!”
หลี่จิ่วเจียงกัดฟันและรู้สึกว่าตนเองกำลังโมโหจนศรีษะแทบระเบิด..
เรื่องที่หลี่เทียนต้องการครอบครองเด็กนักเรียนหญิงที่ชื่อฉีเสี่ยวชิงนั้นหลี่จิ่วเจียงเองก็รู้ดี เขาจึงได้ถามออกไปเช่นนั้น..
เลขาหวังรีบส่ายหัวพร้อมตอบกลับไปว่า“ท่านผู้อำนวยการ.. พอดีผมรีบร้อนมารายงาน ก็เลยไม่ได้สอบถามรายละเอียด แต่ก็ได้สั่งให้ชีเต๋อเปียวกลับไปเฝ้าดูที่หน้าห้องจัดเลี้ยงไว้ก่อน..”
“แต่ชีเต๋อเปียวก็เล่าให้ฟังว่ามันน่าแปลกที่ทุกคนได้ยินเสียงคุณหนูหลี่เทียนถูกตบหน้า แต่กลับไม่มีคนเห็นว่าใครเป็นผู้ลงมือ
“ห๊ะ..ว่าไงนะ!”
หลี่จิ่วเจียงได้แต่คิดในใจว่าถูกตบหน้าแต่กลับไม่มีใครเห็น เป็นผีสางหรือยังไงกัน!
“เอาล่ะ..อย่าได้กระโตกกระตากไป เดี๋ยวคุณจัดการพาคนของเราไปสักสองสามค นออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วถ้ามีเรื่องอะไรที่คุณไม่สามารถจัดการได้ ก็รีบโทรหาผมทันที!”
หลี่จิ่วเจียงนั้นใช่ว่าจะไม่เคยพบเจอเรื่องใหญ่โตมาก่อนหลังจากตื่นเต้นตกใจเล็กน้อย เขาก็สามารถกลับเข้าสู่ความสงบได้ และได้สั่งให้เลขาหวังไปจัดการแทน..
“ครับท่านผู้อำนวยการ!”
เลขาหวังตอบกลับไปแล้วจึงกระซิบถามเสียงเบาว่า“แล้วเช็คยี่สิบล้านล่ะครับท่านผู้อำนวยการ”
“ก็รับไว้สิ!ในเมื่อมีคนใจกล้านำมาให้ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่กล้ารับไม่ใช่รึ รับไว้.. แล้วก็จัดการเก็บเช็คใบนั้นไว้กับคุณ! เข้าใจมั๊ย?”
“ครับ..”
จากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกจากห้องทันทีหลี่จิ่วเจียงยืนมองเลขาหวังที่เดินออกไป แต่ครั้งนี้เขาไม่สามารถหัวเราะออกมาได้..
ช่างน่าแปลกจริงๆ!
แขกภายในห้องยี่สิบกว่าคนต่างก็เห็นผู้อำนวยการหลี่กลับมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมากแต่ก็ไม่มีใครกล้าถามอะไร บรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนเป็นอึมครึมขึ้นมาทันที
เสียเจิ้นติงกับกู่เหลียนเฉิงจับตามองสีหน้าของชายลึกลับทั้งสามคนและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทั้งสองคนหันไปมองหน้าพร้อมกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง!
และแล้วทั้งคู่ก็เกิดลางสังหรณ์บางอย่างขึ้นพร้อมกัน!
“เอ่อ..อาจารย์ทั้งสามท่าน ผมมีเรื่องจะ..”
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งหลี่จิ่วเจียงก็คิดว่าเรื่องที่หลี่เทียนถูกทำร้ายนั้น ควรจะต้องปรึกษากับชายทั้งสามที่ตระกูลซันเป็นผู้ส่งมา แต่ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยค หนึ่งในชายลึกลับทั้งสามคนก็ตอบกลับมา
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเล่า..พวกข้ารู้หมดแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่บาดเจ็บระดับผิวหนังเท่านั้น..”
หลี่จิ่วเจียงถึงกับอ้าปากหวอเมื่อได้ยินสิ่งที่ชายลึกลับตอบกลับมา..
“ห๊ะ!นี่ท่าน..”
ชายลึกลับคนหนึ่งยิ้มบางก่อนจะยกมือขึ้นชี้มาที่ตัวเองและพวกเขาอีกสองคน “สิ่งที่พวกเจ้าพูด และสิ่งที่เกิดขึ้นในบริเวณชั้นห้าทั้งหมดนี้ พวกข้าต่างก็ได้ยินหมดแล้ว!”
ไม่แปลกที่ชายลึกลับทั้งสามคนจะไม่เห็นผู้อำนวยการหลี่อยู่ในสายตาเพราะจากความสามารถในการได้ยินของทั้งสามคนนั้น ดูเหมือนว่าจะอยู่ในขั้นที่ไม่ต่ำกว่าเซียงเทียน-3 อย่างแน่นอน!
“แต่เจ้าไม่ต้องกังวลใจไปตราบใดที่พวกเราสามคนอยู่ที่นี่ ไม่ว่าคืนนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเราจะจัดการให้กับเจ้าเอง!”
ในบรรดาชายลึกลับทั้งสามคนดูเหมือนว่าคนที่พูดจะเป็นหัวหน้า..
……
ไป๋เซียนเอ๋อแทบไม่รู้ว่าการที่ตนเองจัดการตบหน้าหลี่เทียนนั้นทำให้หลี่จิ่วเจียงที่อยู่ในห้องรับรองหรูหราถึงกับนั่งไม่ติด..
ภายในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่มีแขกทั้งชาย หญิง และเด็กรวมสามร้อยกว่าคน ในเมื่อมีผู้คนมารวมตัวกันมากมายเช่นนี้ จึงแทบไม่ต้องพูดถึงเสียงที่คุยกันดังสนั่นไปทั่วทั้งห้อง!
แต่เมื่อหลินเมิ่งหานและสาวงามอีกทั้งห้าคนปรากฏตัวขึ้นในห้องจัดเลี้ยง เสียงพูดคุยที่ดังหนวกหูนั่นก็เงียบลงไปทันที! เงียบจนกระทั่งว่าหากมีเข็มหล่นสักเล่มก็คงได้ยินอย่างชัดเจน และทำให้สามารถได้ยินเสียงฝนที่กระหน่ำอยู่ด้านนอกได้ชัดเจนด้วย..
แต่ความเงียบสงัดนั้นก็เกิดขึ้นอยู่เพียงแค่ยี่สิบวินาทีจากนั้นก็มีเสียงร้องอุทานดังออกมาด้วยความตกใจ!
“พระเจ้า..นี่ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่มั๊ย นั่นมันหลินเมิ่งหานตำรวจหญิงของสำนักงานรักษาความมั่นคงประจำมณฑลเจียงหนานนี่ ทำไมเธอถึงมาอยู่ในงานนี้ได้ล่ะ?!”
ผู้ที่ร้องตะโกนออกมานี้ดูเหมือนจะเป็นเจ้าหน้าที่จากสำนักงานรักษาความมั่นคงอย่างแน่นอน..
“นั่น..ผู้หญิงคนนั้นก็คือเจ้าของคลินิกสามัญชน ฉันเคยพาลูกไปรักษาครั้งหนึ่ง เธอเป็นผู้ที่ลงมือรักษาให้!”
“ใช่ๆฉันก็จำได้เหมือนกัน ดูเหมือนว่าจะแซ่เหมี่ยว โอ้โห.. ทักษะทางการแพทย์ของเธอน่าอัศจรรย์มากจริงๆ!”
แน่นอนว่า..ทั้งคู่นั้นน่าจะเคยไปที่คลินิกสามัญชนมาก่อน
“ดูผู้หญิงที่ตัวสูงที่สุดนั่นสิ!นั่นน่ะเป็นลูกสาวของหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวเชียวนะ! ดูเหมือนเธอจะชื่อหลงหวู่ นี่เธอก็มางานนี้ด้วยเหรอ”
และดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะเคยร่วมงานกับแก๊งมังกรเขียว..
“รู้สึกว่าสาวงามทั้งหมดนี้จะเป็นผู้หญิงที่เคยไปร่วมงานพิธีเปิดคลินิกสามัญชนด้วย ว่าแต่ทำไมพวกเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
เมื่อสาวงามทั้งหกคนปรากฏตัวขึ้นในห้องจัดเลี้ยงพวกเธอก็ได้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนในงานทันที และเวลานี้บรรยากาศภายในห้องจัดเลี้ยงดูเหมือนจะเริ่มร้อนระอุ!
ระหว่างนั้นเอง..ประตูลิฟท์ด้านนอกก็กำลังเปิดออกอย่างช้าๆ
หลิงหยุนยืนอยู่ในท่าทางที่สง่างามริมฝีปากปรากฏขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มที่มีเลศนัย และกำลังก้าวเท้าออกมาจากลิฟท์!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+