ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 259 ง้อเอง

Now you are reading ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี Chapter 259 ง้อเอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่259 ง้อเอง

จ้าวเฉียนไม่อยากโทรหาหวางเจียงในเวลานี้

คนอย่างเธอไม่ยอมเสียหน้ากลับคำมาอย่างแน่นอน และประการที่สอง ถ้าเธอรู้ว่าต้องมาพบปะญาติมากมายปานนี้ หวานเจียงคงด่าเขาซ้ำสองข้อหาล่อลวงเธอมา จ้าวเฉียนรู้จักนิสัยของเธอดี

ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงพยายามอธิบายให้พ่อฟังว่า

“พ่อครับ ทำไมพ่อถึงต้องทำอะไรให้มันวุ่นวายขนาดนี้? อีกประมาณ20วันก็ถึงวันชาติแล้ว เดี๋ยวผมพาเธอมาดูขบวนทหารกับพวกพ่อก็ยังได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบร้อนมาตอนนี้เลยจริงไหม?”

จ้าวฝู่เตะจ้าวเฉียนไปทีหนึ่งและดุต่อว่า

“นี่แกคิดจะล้อเล่นกับฉันรึไง? เห็นฉันไอคิวต่ำนักเหรอ? รีบโทรหาเธอเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นก็ไสหัวกลับตงไห่ไปเลย! ฉันเคยไล่แกออกไปที่นั่นได้ตั้งห้าปีแล้ว อีกห้าปีมันจะเป็นอะไรไป!”

อวีกุ้ยเฟิงที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบดึงลูกชายของเธอหันมาคุยด้วยทันที เธอพยายามเกลี้ยกล่อมเสียงอ่อนว่า

“ลูกแม่ ทำไมถึงไม่ฟังที่พ่อพูดเลย นี่เป็นโอกาสดีแล้วนะที่ลูกจะได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์พ่อลูก แล้วทำไมถึงยังไปขัดเจตนาดีของพ่อเขาอีก? บอกแม่ได้ไหมว่าทำไมจู่ๆเธอถึงเปลี่ยนใจล่ะ?”

จ้าวเฉียนเข้าใจพวกเขาเลย ทั้งๆที่ตอนนี้ทุกอย่างก๋ลงตัวเรียบร้อยดี แล้วทำไมยังจะไปลากตัวปัญหาอย่างหวานเจียงมาอีก?

ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม จ้าวเฉียนต้องอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่างชัด

“แม่ ถ้าผมโทรหาเธอตอนนี้ก็เท่ากับว่าผมกำลังวิ่งไล่ง้อเธอนะ ถ้าในอนาคตผมไม่ได้แต่งงานกับเธอก็แล้วไป แต่ถ้าแต่งขึ้นมาจริง เธออาจจะติดเป็นนิสัยใช้วิธีแบบนี้เพื่อบีบบังคับผมต่อไปเรื่อยๆ แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะ? ผมต้องฟังเธอไปตลอดชีวิต ถ้าขัดขืนขึ้นมาเล็กน้อย เธอก็จะใช้วิธีแย่ๆแบบนี้อีก แม่เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม?”

อวีกุ้ยเฟิงเข้าใจความหมายที่ลูกชายของเขาดี แต่อย่างไรเธอก็ไม่คิดว่า หวานเจียงไม่ใช่ผู้หญิงงี่เง่าแบบนั้น เธอจึงตัดสินใจโทรหาหวานเจียงด้วยตัวเอง เพื่อถามหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

จ้าวเฉียนที่เห็นแม่หยิบมือถือขึ้นมาก็นรู้ได้ทันทีว่ากำลังจะทำอะไร เขาจึงรีบกล่าวขัดไปว่า ถ้าแม่ทำแบบนี้ก็เท่ากับแม่เองก็ต้องยอมเธอด้วย และในฐานะคนเป็นลูก เขาไม่อยากให้แม่ตัวเองถูกหวานเจียงปีนเกลียว

แต่อวีกุ้ยเฟิงยังคงยืนกรานคำเดิมและกดโทรออกทันที แต่สุดท้ายก็ขึ้นแค่มิสคอล นี่แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังปิดเครื่องอยู่

อวีกุ้ยเฟิงถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า

“เห้ออ…ดูเหมือนว่าพวกเราจะถูกลิขิตให้เป็นครอบครัวที่ไร้ซึ่งโชคชะตาจริงๆ ช่างมันเถอะ ลูกชายของฉันทั้งหล่อทั้งมีความสามารถ ลูกแม่ไม่ต้องกังวล พวกเรายังหาผู้หญิงที่ดีกว่าเธอได้อีกเยอะแยะ เข้าไปข้างในกันเถอะ”

จ้าวเฉียนยิ้มพลางพยักหน้าตอบ และเดินตามแม่ของเขากลับเข้าตัวบ้าน

แต่จ้าวฝู่ยังคงยืนหน้าบึ้ง จับจ้องจ้วาเฉียนตาเขม็งด้วยความโกรธ

อวีกุถ้ยเฟิงที่เห็นดังนั้นจึงรีบพูดแทนลูกชายของเธอทันทีว่า

“คุณค่ะ อย่าอารมณ์เสียไปเลย ผู้หญิงคนนั้นที่จู่ๆก็เปลี่ยนใจไม่มา แสดงว่าเธออาจจะไม่ได้จริงจังกับลูกเราก็ได้ แม้แต่หน้าพ่อหน้าแม่ของฝ่ายชายยังไม่กล้ามาพบ แล้วผู้หญิงแบบนี้จะไปคู่ควรกับลูกชายของเราได้ยังไงจริงไหม?”

จ้าวฝู่สูดหายใจเย็นแช่มลึกและเปล่งน้ำเสียงเย็นตอบไปว่า

“นี่คุณคิดว่าผมโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ? ลูกชายใครใครก็รัก ผมตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดของฝ่ายหญิงมาหมดแล้ว เธอเป็นคุณหนูคนโตของตระกูลหวางแห่งฮวาหยินกรุ๊ป ทั้งรูปลักษณ์หน้าตาและสติปัญญานับว่าเป็นเลิศ ไม่มีใครคู่ควรกับลูกชายของฉันไปมากกว่าเธอแล้ว! เหอะ! ไอ้ลูกชายตัวดีมันก็โง่เหลือเกิน คงใช้แต่อารมณ์จนเธอถึงไม่อยากอยู่ด้วยไง!”

จ้าวฝู่บ่นลูกตัวเองไม่หยุดราวกับว่าตัวเขาพึงพอใจกับหวานเจียงคนนี้มาก อวีกุ้ยเฟิงสวนขึ้นทันทีว่า

“นี่คุณหมายความว่ายังไง? ทำไมถึงต้องต่อว่าลูกเราขนาดนั้นด้วย!”

จ้าวฝู่กลอกตาสบถตอบไปว่า

“ก็มันจริงไหมล่ะ!”

เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของจ้าวฝู่และช่วยลูกชายของเธอให้พ้นจากสถานการณ์น่าอึดอัดนี้ อวีกุ้ยเฟิงจึงออกโรงหาเรื่องทะเลาะขึ้นเองทันที

“จ้าวฝู่! ที่คุณพูดแบบนี้ออกมาไม่ใช่ว่า ถูกใจแม่สาวนั่นเองหรอกนะ!?”

“ห่ะ? นี่คุณคิดว่าผมอายุเท่าไหร่แล้ว? ผมจะไปคิดเรื่องทุเรศแบบนั้นได้ยังไง!”

“มันก็ไม่แน่หรอก เดี๋ยวนี้พวกเฒ่าหัวงูที่ชอบสาวๆสวยๆเยอะแยะเต็มไปหมด มันไม่เกี่ยวกับอายุ!”

“คุณ! หยุดพูดไร้สาระเดี๋ยวนี้นะ ที่นี่ไม่ได้มีแค่พวกเรา!”

ทั้งสองทะเลาะกันไปขณะเดินขึ้นไปยังภูเขาเพื่อเข้าคฤหาสน์

บรรดาญาติๆก็รีบเข้าไปปลอบจ้าวเฉียนทันที เนื่องด้วยไม่อยากให้คิดมากในวันรวมญาติแบบนี้ และพาเขาขึ้นภูเขาตามไปติดๆ

สิบนาทีต่อมา ในที่สุดจ้าวเฉียนก็ขึ้นมาถึงคฤหาสน์ที่อยู่บนยอดเขา

คุณปู่ที่กำลังนั่งรถเข็นอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ พอเห็ฌนว่าจ้าวเฉียนกลับมาแล้ว เขาก็รีบเอื้อมมือออกไปกอดทันที

จ้าวเฉียนรีบวิ่งไปหาทันทีและก้มตัวกอดคุณปู่ทั้งน้ำตา

“ไอ้หมาน้อย ในที่สุดแกก็กลับมาสักทีนะ พ่อของแกใจร้ายจริงๆ ถ้ามันไม่ต้องการแก ฉันจะดูแลแกเอง!”

คุณปู่พูดน้ำเสียงสั่นเทาอย่างโศกเศร้า

จ้าวเฉียนร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของคุณปู่ทั้งตื่นเต้นและคิดถึง เขารีบตอบกลับทันทีว่า

“ผมกลับมาแล้วครับ ผมกลับมาแล้ว… ขนาดผมกลับมาแล้ว…พ่อยังรังแกผมต่อไม่หยุดเลย คุณปู่ต้องล้างแค้นแทนผมนะ ปู่ต้องสั่งสอนบทเรียกแก่เขา”

คุณปู่ยิ้มทั้งน้ำตากล่าวตอบไปว่า

“ได้เลย! เดี๋ยวปู่จะจัดการไอ้พ่อไม่รักดีเอง! ขอเพียงได้เห็นหน้าแกทุกวันหลังจากนี้ในอนาคต ไม่ว่าแกจะต้องการอะไรฉันจะหามาให้เอง ไอ้ฝู่มานี่! ครั้งนี้ฉันจะสั่งสอนแกให้หลาบจำเลยคอยดู!”

จ้าวฝู่หงุดหงิดกับคู่ปู่หลานตรงหน้าจริงๆ เขารีบเดินไปพูดกับคุณพ่อของเขาทันทีว่า

“โถ่พ่อ! นี่ผมเป็นลูกพ่อนะ ไหงถึงรักหลานมากกว่า!”

จ้าวเฉียนโต้กลับไปทันทีว่า

“ก็ใช่ไง! ผมเป็นลูกพ่อเหมือนกัน! แต่ทำไมถึงเข้าข้างคนอื่นมากกว่าลูกชายตัวเอง! ดุด่าผมอย่างกับไม่ใช่ลูกแล้ว! นี่ยังเห็นผมเป็นลูกชายอยู่ไหม หรือไม่ได้เจอกันหลายปีสายเลือดมันจะจืดจางไปแล้ว!”

พอเจอคำพูดของลูกชายเข้าไป จ้าวฝู่ถึงกับยืนอึ้งพูดไม่ออกไปครู่ใหญ่ คนอื่นๆที่เห็นแบบนั้นก็รีบออกตัวกล่าวแทรกขึ้นมาทันทีเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศไม่ให้ตึงเครียดจนเกินไป

น้าสาวของจ้าวเฉียนปรบมือให้สัญญาณเล็กน้อยและยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“เอาล่ะ เอาล่ะ ไหนๆไอ้หมาน้อยก็กลับมาแล้ว อย่าทำลายบรรยากาศดีๆแบบนี้เลยดีกว่านะ เข้าไปในบ้านแล้วค่อยคุยกันเถอะ”

น้าสาวคนรองกล่าวขึ้นเสริมว่า

“พี่สาวพูดถูก เข้าบ้านแล้วค่อยพูดค่อยจากันดีกว่านะ”

จ้าวฝู่พยักหน้าและสั่งให้จ้าวเฉียนเข็นคุณปู่เข้ามาในบ้านก่อน

ขณะที่ครอบครัวสุขสันต์มารวมตัวกันพร้อมหน้า ในอีกด้านหนึ่ง หวานเจียงก็เช็คอินเข้าเก็ตสนามบินมาแล้ว ตอนนี้เธอรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปเป็นอย่างมาก ตอนนี้เธอรู้สึกสับสนรวนเรไปหมด

ประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง จ้าวเฉียนเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับประสบการณ์ต่างๆในตอนที่อยู่เมืองตงไห่ หลายปีที่ผ่านมาเขาต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างสามัญชนคนธรรมดา และระหว่างที่กำลังเล่าอยู่ หวานเจียงก็โทรเข้ามาหาเขา

จ้าวเฉียนเหลือบหางตามองไปที่มือถือเล็กน้อยและกดตัดสายไปอย่างลับๆ เขามั่นใจได้เลยว่า ถ้ารับสายตอนนี้มีหวังพวกเขาทั้งคู่ทะเลาะกันแน่นอน ซึ่งเขาไม่อยากทำลายบรรยากาศดีๆที่กำลังไปได้สวยอยู่ในขณะนี้

แต่อวีกุ้ยเฟิงตาไวกว่ามาก พลันเห็นสีหน้าการแสดงออกของลูกชายที่แปรเปลี่ยนไปแม้จะเป็นชั่วขณะหนึ่ง ก็รู้ได้ทันทีว่าต้องมีอะไรบางอย่าง เธอจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างรวดเร็ว

“แม่สาวนั่นโทรมา? ทำไมถึงไม่รับล่ะ?”

จ้าวเฉียนไม่อยากให้ทุกคนเบนความสนใจไปที่หวานเจียงอีกแล้ว เขาจึงส่ายหน้าปฏิเสธทันที

“ไม่ใช่ครับ เอ่อ…ประกันรถโทรมา ไม่ได้สำคัญอะไรครับ”

แต่มีหรือที่อวีกุ้ยเฟิงจะเชื่อ? เธอลุกขึ้นและเดินไปแบมือขอมือถือของชูกชายตัวเองมาดูทันที

“แม่จ๋า คงไม่อยากทำลายบรรยากาศดีๆแบบนี้จริงๆไหม?”

อวีกุ้ยเฟิงกลับเพิกเฉยต่อคำพูดของลูกชายเธอโดยสิ้นเชิง ในเมื่อหวานเจียงโทรกลับมาหาแล้ว นั้นหมายความว่า เธอคงรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปแล้วแน่นอน ในเมื่อฝ่ายผู้หญิงยอมให้ถึงขนาดนี้แล้ว ฝ่ายชายก็ไม่ควรจะเล่นตัวอีกต่อไป

โทรศัพท์ในมือจ้าวเฉียนถูกแม่ขโมยไปต่อหน้าต่อตา เมื่ออวีกุ้ยเฟิงเห็นว่าสายล่าสุดเป็นหวานเจียงโทรมา เธอก็คืนโทรศัพท์ให้ลูกชายทันทีและสั่งเสียงแข็งขึ้นว่า

“โทรกลับไปหาเธอซะ”

จ้าวเฉียนไม่อยากทะเลาะกับหวานเจียงอีกแล้ว เขาจึงตอบปฏิเสธทันควัน

จ้าวฝู่ที่เห็นแบบนั้นก็เลือดขึ้นหน้าทันที

“ไอ้ลูกเวร! ฝ่ายหญิงเขาอุตส่าห์โทรง้อแกก่อนขนาดนี้แล้ว แกยังเป็นลูกผู้ชายอยู่รึเปล่า? เล่นตัวขนาดนี้เดี๋ยวฉันจะไล่ให้แกไปใส่กระโปร่งจริงๆนะ!”

อวี้กุยเฟิงหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา และกดไปที่เบอร์ของหวานเจียงโดยตรงและกล่าวขึ้นว่า

“ถ้าลูกไม่โทร แม่จะโทรเอง”

จ้าวเฉียนหันไปมองทั้งพ่อและแม่ พลางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยไวและเดินออกไปโทรศัพท์หาหวานเจียง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 259 ง้อเอง

Now you are reading ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี Chapter 259 ง้อเอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่259 ง้อเอง

จ้าวเฉียนไม่อยากโทรหาหวางเจียงในเวลานี้

คนอย่างเธอไม่ยอมเสียหน้ากลับคำมาอย่างแน่นอน และประการที่สอง ถ้าเธอรู้ว่าต้องมาพบปะญาติมากมายปานนี้ หวานเจียงคงด่าเขาซ้ำสองข้อหาล่อลวงเธอมา จ้าวเฉียนรู้จักนิสัยของเธอดี

ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงพยายามอธิบายให้พ่อฟังว่า

“พ่อครับ ทำไมพ่อถึงต้องทำอะไรให้มันวุ่นวายขนาดนี้? อีกประมาณ20วันก็ถึงวันชาติแล้ว เดี๋ยวผมพาเธอมาดูขบวนทหารกับพวกพ่อก็ยังได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบร้อนมาตอนนี้เลยจริงไหม?”

จ้าวฝู่เตะจ้าวเฉียนไปทีหนึ่งและดุต่อว่า

“นี่แกคิดจะล้อเล่นกับฉันรึไง? เห็นฉันไอคิวต่ำนักเหรอ? รีบโทรหาเธอเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นก็ไสหัวกลับตงไห่ไปเลย! ฉันเคยไล่แกออกไปที่นั่นได้ตั้งห้าปีแล้ว อีกห้าปีมันจะเป็นอะไรไป!”

อวีกุ้ยเฟิงที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบดึงลูกชายของเธอหันมาคุยด้วยทันที เธอพยายามเกลี้ยกล่อมเสียงอ่อนว่า

“ลูกแม่ ทำไมถึงไม่ฟังที่พ่อพูดเลย นี่เป็นโอกาสดีแล้วนะที่ลูกจะได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์พ่อลูก แล้วทำไมถึงยังไปขัดเจตนาดีของพ่อเขาอีก? บอกแม่ได้ไหมว่าทำไมจู่ๆเธอถึงเปลี่ยนใจล่ะ?”

จ้าวเฉียนเข้าใจพวกเขาเลย ทั้งๆที่ตอนนี้ทุกอย่างก๋ลงตัวเรียบร้อยดี แล้วทำไมยังจะไปลากตัวปัญหาอย่างหวานเจียงมาอีก?

ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม จ้าวเฉียนต้องอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่างชัด

“แม่ ถ้าผมโทรหาเธอตอนนี้ก็เท่ากับว่าผมกำลังวิ่งไล่ง้อเธอนะ ถ้าในอนาคตผมไม่ได้แต่งงานกับเธอก็แล้วไป แต่ถ้าแต่งขึ้นมาจริง เธออาจจะติดเป็นนิสัยใช้วิธีแบบนี้เพื่อบีบบังคับผมต่อไปเรื่อยๆ แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะ? ผมต้องฟังเธอไปตลอดชีวิต ถ้าขัดขืนขึ้นมาเล็กน้อย เธอก็จะใช้วิธีแย่ๆแบบนี้อีก แม่เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม?”

อวีกุ้ยเฟิงเข้าใจความหมายที่ลูกชายของเขาดี แต่อย่างไรเธอก็ไม่คิดว่า หวานเจียงไม่ใช่ผู้หญิงงี่เง่าแบบนั้น เธอจึงตัดสินใจโทรหาหวานเจียงด้วยตัวเอง เพื่อถามหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

จ้าวเฉียนที่เห็นแม่หยิบมือถือขึ้นมาก็นรู้ได้ทันทีว่ากำลังจะทำอะไร เขาจึงรีบกล่าวขัดไปว่า ถ้าแม่ทำแบบนี้ก็เท่ากับแม่เองก็ต้องยอมเธอด้วย และในฐานะคนเป็นลูก เขาไม่อยากให้แม่ตัวเองถูกหวานเจียงปีนเกลียว

แต่อวีกุ้ยเฟิงยังคงยืนกรานคำเดิมและกดโทรออกทันที แต่สุดท้ายก็ขึ้นแค่มิสคอล นี่แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังปิดเครื่องอยู่

อวีกุ้ยเฟิงถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า

“เห้ออ…ดูเหมือนว่าพวกเราจะถูกลิขิตให้เป็นครอบครัวที่ไร้ซึ่งโชคชะตาจริงๆ ช่างมันเถอะ ลูกชายของฉันทั้งหล่อทั้งมีความสามารถ ลูกแม่ไม่ต้องกังวล พวกเรายังหาผู้หญิงที่ดีกว่าเธอได้อีกเยอะแยะ เข้าไปข้างในกันเถอะ”

จ้าวเฉียนยิ้มพลางพยักหน้าตอบ และเดินตามแม่ของเขากลับเข้าตัวบ้าน

แต่จ้าวฝู่ยังคงยืนหน้าบึ้ง จับจ้องจ้วาเฉียนตาเขม็งด้วยความโกรธ

อวีกุถ้ยเฟิงที่เห็นดังนั้นจึงรีบพูดแทนลูกชายของเธอทันทีว่า

“คุณค่ะ อย่าอารมณ์เสียไปเลย ผู้หญิงคนนั้นที่จู่ๆก็เปลี่ยนใจไม่มา แสดงว่าเธออาจจะไม่ได้จริงจังกับลูกเราก็ได้ แม้แต่หน้าพ่อหน้าแม่ของฝ่ายชายยังไม่กล้ามาพบ แล้วผู้หญิงแบบนี้จะไปคู่ควรกับลูกชายของเราได้ยังไงจริงไหม?”

จ้าวฝู่สูดหายใจเย็นแช่มลึกและเปล่งน้ำเสียงเย็นตอบไปว่า

“นี่คุณคิดว่าผมโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ? ลูกชายใครใครก็รัก ผมตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดของฝ่ายหญิงมาหมดแล้ว เธอเป็นคุณหนูคนโตของตระกูลหวางแห่งฮวาหยินกรุ๊ป ทั้งรูปลักษณ์หน้าตาและสติปัญญานับว่าเป็นเลิศ ไม่มีใครคู่ควรกับลูกชายของฉันไปมากกว่าเธอแล้ว! เหอะ! ไอ้ลูกชายตัวดีมันก็โง่เหลือเกิน คงใช้แต่อารมณ์จนเธอถึงไม่อยากอยู่ด้วยไง!”

จ้าวฝู่บ่นลูกตัวเองไม่หยุดราวกับว่าตัวเขาพึงพอใจกับหวานเจียงคนนี้มาก อวีกุ้ยเฟิงสวนขึ้นทันทีว่า

“นี่คุณหมายความว่ายังไง? ทำไมถึงต้องต่อว่าลูกเราขนาดนั้นด้วย!”

จ้าวฝู่กลอกตาสบถตอบไปว่า

“ก็มันจริงไหมล่ะ!”

เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของจ้าวฝู่และช่วยลูกชายของเธอให้พ้นจากสถานการณ์น่าอึดอัดนี้ อวีกุ้ยเฟิงจึงออกโรงหาเรื่องทะเลาะขึ้นเองทันที

“จ้าวฝู่! ที่คุณพูดแบบนี้ออกมาไม่ใช่ว่า ถูกใจแม่สาวนั่นเองหรอกนะ!?”

“ห่ะ? นี่คุณคิดว่าผมอายุเท่าไหร่แล้ว? ผมจะไปคิดเรื่องทุเรศแบบนั้นได้ยังไง!”

“มันก็ไม่แน่หรอก เดี๋ยวนี้พวกเฒ่าหัวงูที่ชอบสาวๆสวยๆเยอะแยะเต็มไปหมด มันไม่เกี่ยวกับอายุ!”

“คุณ! หยุดพูดไร้สาระเดี๋ยวนี้นะ ที่นี่ไม่ได้มีแค่พวกเรา!”

ทั้งสองทะเลาะกันไปขณะเดินขึ้นไปยังภูเขาเพื่อเข้าคฤหาสน์

บรรดาญาติๆก็รีบเข้าไปปลอบจ้าวเฉียนทันที เนื่องด้วยไม่อยากให้คิดมากในวันรวมญาติแบบนี้ และพาเขาขึ้นภูเขาตามไปติดๆ

สิบนาทีต่อมา ในที่สุดจ้าวเฉียนก็ขึ้นมาถึงคฤหาสน์ที่อยู่บนยอดเขา

คุณปู่ที่กำลังนั่งรถเข็นอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ พอเห็ฌนว่าจ้าวเฉียนกลับมาแล้ว เขาก็รีบเอื้อมมือออกไปกอดทันที

จ้าวเฉียนรีบวิ่งไปหาทันทีและก้มตัวกอดคุณปู่ทั้งน้ำตา

“ไอ้หมาน้อย ในที่สุดแกก็กลับมาสักทีนะ พ่อของแกใจร้ายจริงๆ ถ้ามันไม่ต้องการแก ฉันจะดูแลแกเอง!”

คุณปู่พูดน้ำเสียงสั่นเทาอย่างโศกเศร้า

จ้าวเฉียนร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของคุณปู่ทั้งตื่นเต้นและคิดถึง เขารีบตอบกลับทันทีว่า

“ผมกลับมาแล้วครับ ผมกลับมาแล้ว… ขนาดผมกลับมาแล้ว…พ่อยังรังแกผมต่อไม่หยุดเลย คุณปู่ต้องล้างแค้นแทนผมนะ ปู่ต้องสั่งสอนบทเรียกแก่เขา”

คุณปู่ยิ้มทั้งน้ำตากล่าวตอบไปว่า

“ได้เลย! เดี๋ยวปู่จะจัดการไอ้พ่อไม่รักดีเอง! ขอเพียงได้เห็นหน้าแกทุกวันหลังจากนี้ในอนาคต ไม่ว่าแกจะต้องการอะไรฉันจะหามาให้เอง ไอ้ฝู่มานี่! ครั้งนี้ฉันจะสั่งสอนแกให้หลาบจำเลยคอยดู!”

จ้าวฝู่หงุดหงิดกับคู่ปู่หลานตรงหน้าจริงๆ เขารีบเดินไปพูดกับคุณพ่อของเขาทันทีว่า

“โถ่พ่อ! นี่ผมเป็นลูกพ่อนะ ไหงถึงรักหลานมากกว่า!”

จ้าวเฉียนโต้กลับไปทันทีว่า

“ก็ใช่ไง! ผมเป็นลูกพ่อเหมือนกัน! แต่ทำไมถึงเข้าข้างคนอื่นมากกว่าลูกชายตัวเอง! ดุด่าผมอย่างกับไม่ใช่ลูกแล้ว! นี่ยังเห็นผมเป็นลูกชายอยู่ไหม หรือไม่ได้เจอกันหลายปีสายเลือดมันจะจืดจางไปแล้ว!”

พอเจอคำพูดของลูกชายเข้าไป จ้าวฝู่ถึงกับยืนอึ้งพูดไม่ออกไปครู่ใหญ่ คนอื่นๆที่เห็นแบบนั้นก็รีบออกตัวกล่าวแทรกขึ้นมาทันทีเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศไม่ให้ตึงเครียดจนเกินไป

น้าสาวของจ้าวเฉียนปรบมือให้สัญญาณเล็กน้อยและยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“เอาล่ะ เอาล่ะ ไหนๆไอ้หมาน้อยก็กลับมาแล้ว อย่าทำลายบรรยากาศดีๆแบบนี้เลยดีกว่านะ เข้าไปในบ้านแล้วค่อยคุยกันเถอะ”

น้าสาวคนรองกล่าวขึ้นเสริมว่า

“พี่สาวพูดถูก เข้าบ้านแล้วค่อยพูดค่อยจากันดีกว่านะ”

จ้าวฝู่พยักหน้าและสั่งให้จ้าวเฉียนเข็นคุณปู่เข้ามาในบ้านก่อน

ขณะที่ครอบครัวสุขสันต์มารวมตัวกันพร้อมหน้า ในอีกด้านหนึ่ง หวานเจียงก็เช็คอินเข้าเก็ตสนามบินมาแล้ว ตอนนี้เธอรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปเป็นอย่างมาก ตอนนี้เธอรู้สึกสับสนรวนเรไปหมด

ประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง จ้าวเฉียนเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับประสบการณ์ต่างๆในตอนที่อยู่เมืองตงไห่ หลายปีที่ผ่านมาเขาต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างสามัญชนคนธรรมดา และระหว่างที่กำลังเล่าอยู่ หวานเจียงก็โทรเข้ามาหาเขา

จ้าวเฉียนเหลือบหางตามองไปที่มือถือเล็กน้อยและกดตัดสายไปอย่างลับๆ เขามั่นใจได้เลยว่า ถ้ารับสายตอนนี้มีหวังพวกเขาทั้งคู่ทะเลาะกันแน่นอน ซึ่งเขาไม่อยากทำลายบรรยากาศดีๆที่กำลังไปได้สวยอยู่ในขณะนี้

แต่อวีกุ้ยเฟิงตาไวกว่ามาก พลันเห็นสีหน้าการแสดงออกของลูกชายที่แปรเปลี่ยนไปแม้จะเป็นชั่วขณะหนึ่ง ก็รู้ได้ทันทีว่าต้องมีอะไรบางอย่าง เธอจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างรวดเร็ว

“แม่สาวนั่นโทรมา? ทำไมถึงไม่รับล่ะ?”

จ้าวเฉียนไม่อยากให้ทุกคนเบนความสนใจไปที่หวานเจียงอีกแล้ว เขาจึงส่ายหน้าปฏิเสธทันที

“ไม่ใช่ครับ เอ่อ…ประกันรถโทรมา ไม่ได้สำคัญอะไรครับ”

แต่มีหรือที่อวีกุ้ยเฟิงจะเชื่อ? เธอลุกขึ้นและเดินไปแบมือขอมือถือของชูกชายตัวเองมาดูทันที

“แม่จ๋า คงไม่อยากทำลายบรรยากาศดีๆแบบนี้จริงๆไหม?”

อวีกุ้ยเฟิงกลับเพิกเฉยต่อคำพูดของลูกชายเธอโดยสิ้นเชิง ในเมื่อหวานเจียงโทรกลับมาหาแล้ว นั้นหมายความว่า เธอคงรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปแล้วแน่นอน ในเมื่อฝ่ายผู้หญิงยอมให้ถึงขนาดนี้แล้ว ฝ่ายชายก็ไม่ควรจะเล่นตัวอีกต่อไป

โทรศัพท์ในมือจ้าวเฉียนถูกแม่ขโมยไปต่อหน้าต่อตา เมื่ออวีกุ้ยเฟิงเห็นว่าสายล่าสุดเป็นหวานเจียงโทรมา เธอก็คืนโทรศัพท์ให้ลูกชายทันทีและสั่งเสียงแข็งขึ้นว่า

“โทรกลับไปหาเธอซะ”

จ้าวเฉียนไม่อยากทะเลาะกับหวานเจียงอีกแล้ว เขาจึงตอบปฏิเสธทันควัน

จ้าวฝู่ที่เห็นแบบนั้นก็เลือดขึ้นหน้าทันที

“ไอ้ลูกเวร! ฝ่ายหญิงเขาอุตส่าห์โทรง้อแกก่อนขนาดนี้แล้ว แกยังเป็นลูกผู้ชายอยู่รึเปล่า? เล่นตัวขนาดนี้เดี๋ยวฉันจะไล่ให้แกไปใส่กระโปร่งจริงๆนะ!”

อวี้กุยเฟิงหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา และกดไปที่เบอร์ของหวานเจียงโดยตรงและกล่าวขึ้นว่า

“ถ้าลูกไม่โทร แม่จะโทรเอง”

จ้าวเฉียนหันไปมองทั้งพ่อและแม่ พลางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยไวและเดินออกไปโทรศัพท์หาหวานเจียง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+