ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 332 ขอแต่งงาน (จบบริบูรณ์)

Now you are reading ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี Chapter 332 ขอแต่งงาน (จบบริบูรณ์) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่332 ขอแต่งงาน (จบบริบูรณ์)

จ้าวเฉียนเหลือบสายตาลงไปมองจางหยางที่กำลังขอขมาเขาอยู่ พอเห็นแบบนั้นเขาก็เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มว่า

“คุณจางทำแบบนี้หมายความว่ายังไงครับเนี่ย? นี่ทำให้ผมประหม่านะรู้ไหม?”

จางหยางรีบคลี่ยิ้มเข้าประจบสอพอทันที

“คุณชายจ้าวผมยินดีติดตามรับใช้คุณจากนี้ตลอดไป! ผมจะอำนวยความสะดวกให้คุณทุกอย่างที่ต้องการเลยครับ เห็นแบบนี้ผมเป็นคนจัดตารางเวลาเก่งนะครับ! ผมสามารถเป็นเลขาส่วนตัวให้คุณชายจ้าวได้! หรือถ้าที่บ้านยังขาดพ่อบ้าน…”

ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ จ้าวเฉียนก็ยกมือตบหน้าจางหยางไปฉะหนึ่งและกล่าวว่า

“นี่ฝันอยู่รึไงครับ ตื่น ตื่น! ระหว่างผมกับคุณมันไม่มีเรื่องขัดแย้งอะไรขนาดนั้น ตราบเท่าคุณยอมขอโทษผมด้วยความจริงใจสักครั้ง ผมจะปล่ยอคุณไป แต่ยังไงก็ตาม…ไม่ว่าคุณจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นผมจะไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น และอย่าอ้างชื่อผมเพื่อใช้หนุนหลังเป็นอันขาด เข้าใจไหมครับ?”

แต่อย่างไรจางหยางคนนี้ค่อนข้างหน้าด้านมากจริงๆ เขายังคงประจบสอพอจ้าวเฉียนไม่หยุดหย่อนว่า

“ไม่ครับ ต้องไม่ใช่แบบนี้สิครับคุณชายจ้าว! ดุด่าผมอีกสิครับผมขอร้อง! ผมยอมเป็นอะไรก็ได้ขอแค่ได้อยู่ข้างคุณ! จะดุจะด่าหรือตบตีผมยังไงก็ได้ ช่วยรับผมไปเป็นคนใช้ก็ยังดี ตีผมอีกสิครับ ตีผมอีก! นี่ถือเป็นเกียรติของตัวผม!!”

หัวใจของฟางนี่ราวกับแตกสลายทันทีที่เห็นจางหยางผู้เห็นค่าของศักดิ์ศรีสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดต้องมาทำตัวแบบนี้ อย่าว่าแต่ศักดิ์ศรีเลยตอนนี้…ต้องถามว่าจางหยางยังเหลือค่าความเป็นมนุษย์อยู่อีกไหม?

“จางหยาง! ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้! ตอนนี้คุณทำตัวได้น่าอายมากเลยนะรู้ไหม!”

ฟางนี่ตะโกนด่าคำโตและรีบตรงเข้ามาดึงจางหยางให้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

แต่จางหยางไม่รู้สึกว่ามันน่าอายแต่อย่างใด เขาผลักร่างของฟางนี่ออกไปไกลๆ และสบถด่าใส่ทันที

“เธอแหละมันไอ้โง่! คุณชายจ้าวทำงานในบริษัทเธอก็นานมากแล้ว แต่ดันไม่รู้เลยเหรอว่าตันตนที่แท้จริงของเขาเป็นใคร! ถ้าเธอหัดสังเกตซะบ้างป่านนี้เรื่องทั้งหมดคงไม่กลับกลายมาเป็นแบบนี้หรอก! ทั้งหมดเป็นความผิดของเธอคนเดียว! ทำไมเธอถึงได้โง่เง่าขนาดนี้หะ!?”

ฟางนี่ลุกขึ้นมาสวนกลับทันทีว่า

“จางหยาง! ตั้งแต่คุณกลับมาจากต่างประเทศ คุณก็ทำให้ฉันผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า! แต่ฉันก็ยังโง่เชื่อใจคุณ! ที่จริงแล้วคุณจงใจทำให้ฉันตั้งท้อง เพื่อจะเอาบริษัทฟางนี่ไปเป็นของตัวเองใช่ไหม!? นี่คุณยังมีความเป็นคนอยู่รึเปล่า? ในท้องของฉันยังมีเด็กอยู่ทั้งคนนะ! นี่คุณเห็นลูกของเราเป็นเครื่องมืองั้นเหรอ? ได้! ฉันผิดเองที่แต่งงานกับคนอย่างคุณ พรุ่งนี้พวกเราไปหย่ากันเถอะ!”

จางหยางรีบอธิบายทันทีว่า

“นี่คุณกำลังพูดไร้สาระอะไรอยู่? แล้วที่ผมทำไปมันไม่ใช่เพื่อครอบครัวของเรารึไง? จะหย่างั้นเหรอ? นี่เธออยากให้เด็กเกิดมาไม่มีพ่อรึไงกัน!”

ฟางนี่กรนเสียงเย็นหัวเราะเย้ยเยาะใส่คนหนึ่งและกล่าวว่า

“คุณมันอคติกับจ้าวเฉียนเกินไป เขาเป็นคนดีมีน้ำใจ ช่วยเหลือบริษัทของเรามาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่คุณก็ยังเลือกที่จะกลั้นแกล้งเขา! นี่ถือเป็นโทษของคุณที่หัวสูงหยิ่งผยองไม่เคยมองคนรอบข้าง และก็เป็นโทษของฉันเช่นกันที่โง่หลงเชื่อคนอย่างคุณ!”

“เธอมันไม่เข้าใจอะไรหรอก! ถ้าผมหัวสูงหยิ่งผยองอย่างที่คุณว่าจริงๆนะ ป่านนี้จุดจบของผมคงเป็นเหมือนฟู่เทียนไม่ก็ไอ้สองคนนั้นแล้ว! ผมแค่ขัดแย้งกับเขาเรื่องงาน แล้วตอนนี้ผมก็กำลังขอโทษในสิ่งที่ทำผิดไปเท่านั้น แล้วทำไมเธอต้องถึงหย่ากับผมเลยล่ะ?!”

“ไม่ ไม่ใช่เลย คุณก็แค่เองเรื่องงานมาเป็นข้ออ้าง ที่ขัดแย้งกับจ้าวเฉียนเพราะความรู้สึกส่วนตัวของคุณล้วนๆ กี่ครั้งแล้วที่ฉันพยายามเตือนคุณ กี่ครั้งแล้วที่ฉันบอกคุณว่า ให้ลดเรื่องอีโก้ลงหน่อย ถ้าเชื่อฉันแล้วปรับตัวตั้งแต่ตอนนั้น เรื่องทุกอย่างคงไม่ต้องมาจบลงแบบนี้ แล้วดูตอนนี้สิ…คุณยังเปลี่ยนอะไรได้อีกเหรอ?”

“พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง? ถ้าเห็นผมเฮงซวยขนาดนี้ แล้วยังจะแต่งงานกับผมทำไมตั้งแต่แรก!”

“ทำไมน่ะเหรอ? ก็คุณบอกเองว่า คุณมีความรู้สึกดีๆ กับฉันและต้องการสร้างครอบครัวที่อบอุ่นด้วยกัน และฉันเองก็ยังชอบคุณและรอคอยคุณเสมอมา ฉันก็เลยยอมแต่งงานกับคุณไง แล้วตอนนี้จางหยางที่ฉันรู้จักมันหายไปไหนแล้ว? ทำไมหลังจากที่คุณกลับมาจากต่างประเทศคุณถึงเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้? ให้มันจบแค่นี้เถอะ จางหยาง…เราหย่ากันเถอะ!”

คล้อยหลังพูดจบฟางนี่ก็หันกลับและเดินจากไปทันที

จางหยางรีบวิ่งตามฟางนี่ไปติดๆ พยายามรั้งเธอไว้และกล่าวว่า

“ฟางนี่คุณใจเย็นๆ ก่อนสิ รอให้อารมณ์เย็นแล้วค่อยคุยกันอีกทีดีไหม?”

“ไม่! ฉันตัดสินใจเรื่องนี้ดีแล้ว! ฉันผิดหวังกับคุณเกินกว่าจะให้อภัยแล้วจริงๆ และในอนาคตฉันก็ไม่ต้องการให้ลูกรู้ด้วยว่า ใครคือพ่อของแก!”

ทันทีที่พูดจบฟางนี่ก็ผลักจางหยางจนล้มทั้งยืน เธอหันหลังและเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย

จางหยางที่โดนผลักก้นจ้ำเบ่าก็โมโหเล็กน้อย เขารีบลุกขึ้นมาและผลักฟางนี่กลับไปทันที ทว่าครั้งนี้กลับเป็นบริเวณหน้าท้องของเธอที่ลงกระแทกพื้นเป็นส่วนแรก ทำให้เด็กในท้องกระทบกระเทือนโดยตรง

“อ๊ากก…”

ฟางนี่กรีดร้องระงมลั่นด้วยความเจ็บปวดขณะเดียวกันมือทั้งสองข้างก็กำลังกุมท้องแน่น ทันใดนั้นก็มีเลือดไหลออกมาจากหว่างขาของเธอ

“ปวด…ปวดท้อง! ฉันปวดท้อง! เรียกรถพยาบาลมาที.. เร็วเข้า…”

ฟางนี่กรัดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด

จางหยางตะโกนสุดเสียงราวกับสติแตกไปแล้ว

“ใครก็ได้! ใครก็ได้โทรเรียกรถพยาบาลที! ใครก็ได้….”

จ้าวเฉียนถึงกับยกมือกุมขมำอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะหันไปหาหวู่เสี่ยวหัวให้เธอโทรเรียกรถพยาบาล และไปช่วยดูแลฟางนี่ก่อนเป็นการด่วน

ณ ปัจจุบัน เหลือเพียงเหลียวปี้ซ่งกับจ้าวเฉียนอยู่ในห้องประชุมกันสองต่อสอง

ซึ่งเอาเข้าจริง จ้าวเฉียนแทบจะไม่ได้มีความแค้นอะไรกับเหลียวปี้ซ่งเลย และเขาเองก็ไม่อยากจะทำอะไรอีกฝ่ายเช่นกัน

“คุณเหลียว ยังไงก็ฝากบริษัทเกมฟางนี่กับหัวโหย้วต่อด้วยนะครับในฐานะประธานบริษัท คุณมีคำถามอะไรไหมครับ?”

เหลียวปี้ซ่งถึงกับโพล่งตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจยิ่ง จ้าวเฉียนกำลังหมายถึงอะไรกันแน่? จะให้เขาเป็นประธานบริษัทช่วยดูแลกิจการที่อีกฝ่ายกว้านซื้อมานี่นะ?

“เอ่อ…คุณชายจ้าวครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่พูดไปเท่าไหร่น่ะครับ คือ…คุณทุ่มเงินไปเป็นจำนวนมหาศาลมากเลยนะครับในการเทคโอเวอร์สามบริษัทเกมมา แล้วตอนนี้จู่ๆ ก็จะให้ผมขึ้นมาเป็นประธานดูแลบริษัทง่ายๆ เลยงั้นเหรอครับ?”

เหลียวปี้ซ่งเอ่ยแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

“หรือไม่อยากเป็น? ผมมอบหน้าที่นี้กับคนอื่นก็ได้นะครับ”

“อยากเป็นสิครับอยากเป็น! ผมจะทำให้สุดความสามารถเลยครับ!”

“แต่ผมต้องเตือนไว้ก่อนเลยนะครับว่า ทุกไตรมาทจะมีการประเมินความสามารถของคุณว่าบริหารได้ดีแค่ไหน ถ้าคุณทำผลงานออกมาได้ดีย่อมมีรางวัลให้แน่นอน แต่ถ้าไม่…ผมก็จำเป็นต้องลงโทษคุณตามกฎนะครับ”

“โปรดมั่นใจได้เลยครับคุณชายจ้าว! ผมจะไม่ทำให้คุณต้องอับอายหรือเสียหน้าเด็ดขาด! จากนี้ต่อไปผมขออุทิศตนให้กับบริษัททั้งสามอย่างสุดความสามารถครับ!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและกล่าวจบการประชุม

เหลียวปี้ซ่งรีบลุกขึ้นและโค้งคำนับจ้าวเฉียนด้วยความสุภาพอย่างที่ไม่เคยสุภาพมาก่อนในชีวิต และขณะลงลิฟต์ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ เหลียวปี้ซ่งก็มีน้ำตาไหลรินออกมา ถ้าจะพูดให้เข้าใจโดยง่ายก็คือ ตอนนี้เขารู้สึกราวกับเป็นคนเดียวที่รอดชีวิตจากสงครามมาได้และพบจุดจบที่สวยงาม

หนี้บัญชีแค้นทั้งหมดได้ถูกสะสางไปจนหมดแล้ว จ้าวเฉียนในตอนนี้ถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พอหวู่เสี่ยวหัวส่งฟางนี่กับจางหยางขึ้นรถพยาบาลไป เธอก็ขึ้นมาหาจ้าวเฉียนในห้องประชุม หลังจากคุยเรื่องแผนการในอนาคตเสร็จสิ้น จ้าวเฉียนก็ขอตัวกลับและขับรถออกจากฟู่ไห่

ครึ่งชั่วโมงต่อมา จ้าวเฉียนเดินทางมาถึงสำนักงานใหญ่ของฮวาหยินกรุ๊ป และตรงเข้าหาหวานเจียงที่ห้องทำงาน

หวางเจียงที่กำลังปวดหัวอยู่กับกองเอกสารตรงหน้า ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา เธอรีบลืมเรื่องงานทุกอย่างไปจนหมดและตะโกนว่า

“เข้ามา”

จ้าวเฉียนค่อยๆ เปิดประตูโผล่หน้าให้หวานเจียงพร้อมรอยยิ้ม

เมื่อเห็นว่าจ้าวเฉียนมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอแบบนี้ หวานเจียงก็อดยิ้มไม่ได้ แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น เธอก็ปั้นหน้าบูดบึ้งกล่าวน้ำเสียงเย็นชาใส่ทันทีว่า

“นายมาที่นี่ทำไม?”

“ผมมีบางอย่างอยากมอบให้คุณน่ะ”

“อะไรของนาย? จู่ๆ ก็พูดเพราะเฉยเลย?”

“ผมว่ามันถึงเวลาแล้วแหละที่ต้องมอบสิ่งนี้กับคุณ”

“อะไรล่ะ?”

“ฮ่าฮ่า….สมุดบัญชีเงินฝากผมไง! ก็คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าถ้าอยากแต่งงานกับคุณ ต้องให้เจ้าสิ่งนี้พร้อมกับเงินสี่พันล้าน? แต่ต้องขอโทษจริงๆ นะ สมุดบัญชีทุกเล่มของผมมันเกินสี่พันล้านหมดเลย คุณจะผิดหวังไหมเนี่ย?”

หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็วางสมุดบัญชีลงบนโต๊ะ จากนั้นก็หยิบกล่องแหวนหรืออะไรสักอย่างออกมาต่อหน้าเธอ

หวางเจียงใจเต็นแรงขึ้นทันทีที่ได้เห็น พอมองดูจากขนาดและตัวกล่องแล้วนี่น่าจะเป็นแหวน….เขากำลังจะขอแต่งงานงั้นเหรอ?

พอคิดได้ดังนั้น ไม่ว่าภายในกล่องจะเป็นอะไร แต่ตัวหวานเจียงไม่กล้าแม้แต่จะลืมตามองด้วยซ้ำ

จ้าวเฉียนดูงุนงงเล็กน้อยที่เห็นหวานเจียงเขินจนตัวบิดไปบิดมาอยู่แบบนั้น เขาหัวเราะเสียงคิกคักและยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“ลองเปิดมันขึ้นมาดูสิ”

หวานเจียงพยักหน้าประดับพร้อมใบหน้าที่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ลมหายใจของเธอถี่เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ค่อยๆ ยื่นมือไปเปิดกล่องดังกล่าวอย่างระมัดระวัง และมันเป็นไปอย่างที่เธอคิดไว้จริงๆ ภายในกล่องใบนี้ปรากฏเป็นแหวนเพชรวงสวยอยู่ นี่เป็นเพชรน้ำงามที่สวยที่สุดตั้งแต่เธอเคยเห็นมาเลยในชีวิต

“แล้ว…จะเอาไงต่อ?”

หวานเจียงเอ่ยถามเจือน้ำเสียงขี้เล่นราวกับรู้ทัน

จ้าวเฉียนหยิบแหวนวงดังกล่าวขึ้นมาและสวมให้หวานเจียงอย่างนุ่มนวล เขากล่าวว่า

“ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นร่วมกัน อีกอย่างพ่อกับแม่ของพวกเราคงอยากอุ้มหลานจะแย่แล้ว รีบมีลูกให้พวกท่านตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่นดีกว่าจริงไหม?”

หวานเจียงหัวเราะคิกคัก เธอโผล่เข้ากอดจ้าวเฉียนทั้งน้ำตาแห่งความปลื้มปีติ และทั้งสองก็ประกบจูบกันอย่างมีความสุข……

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด