ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 315 รุ่นทวดออกโรงเอง

Now you are reading ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี Chapter 315 รุ่นทวดออกโรงเอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่315 รุ่นทวดออกโรงเอง

เมื่อฟังคำวิเคราะห์ของหัวเซียงตง ทวดของพวกเขาทั้งหมด ทุกคนก็เพิ่งจะตระหนักได้ทันทีว่า บางทีอาจจะเป็นอย่างที่ว่าไว้จริงๆ

จุดประสงค์ที่แท้จริงของแผนการนี้ไม่ใช่การก่อม็อบประท้วงหรือดึงกำลังคนงานไป แต่ทั้งหมดก็เพื่อไม่ให้เรือขนส่งออกจากท่าเรือได้ตามกำหนด

แล้วใครกันที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด? เหล่าสมาชิกตระกูลหัวต่างมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป

บ้างคิดว่าหวางอวี่จุน ผู้จัดการท่าเรือเฉียนตง เพราะเขาต้องการโค่นท่าเรือหัวซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นอย่างยาวนานลง ทำไปก็เพื่อควบรวมสองท่าเรือให้เป็นหนึ่งเดียว

ส่วนอีกหลายคนก็คิดว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของจ้าวเฉียน เพราะเขาคงทราบว่า ท่าเรือหัวเป็นแหล่งทำเงินใหญ่ที่สุดของตระกูลหัวดังนั้นจึงต้องการตัดท่องน้ำเลี้ยงดังกล่าวทิ้งไป และค่อยๆ บ่อนทำลายตระกูลหัวทีละเล็กละน้อย

สองความคิดสองมุมมองแตกต่างกันออกไป หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่พวกเขาก็อดถามความเห็นของหัวเซียงตงไม่ได้เลยว่า สุดท้ายนี้ท่านทวดคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้

และสมแล้วที่หัวเซียงตงผู้นี้เป็นชายชรารุ่นทวดผู้เจนจัดมากประสบการณ์ เขาคาดเดาทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ เอ่ยตอบอย่างแช่งช้าชี้ความเห็นที่สามไปว่า

“แล้วพวกแกเคยคิดไหมว่า จ้าวเฉียนที่ว่าคือเจ้าของท่าเรือเฉียนตง?”

ทุกคนต่างประหลาดใจอย่างมากเมื่อได้ยินแบบนั้น เด็กหนุ่มคนนี้สามารถขึ้นกลายเป็นถึงเจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังท่าเรือเฉียนตงได้เชียวเหรอ? แต่ชื่อผู้จดทะเบียนนิติบุคคลของท่าเรือเฉียนตง เห็นได้ชัดว่าเป็นของหวางอวี่จุน แล้วนี่เกี่ยวข้องอะไรกับจ้าวเฉียน?

หัวเซียงตงอธิบายต่ออย่างใจเย็นว่า

“เดิมทีท่าเรือเฉียนตงไม่ได้ชื่อว่าท่าเรือเฉียนตงอย่างที่เห็นในปัจจุบัน แต่เคยมีชื่อว่าท่าเรือนฝู่ตง ฉันเคยปะทะกับพวกมันเมื่อห้าสิบปีก่อน ในเวลานั้นพวกเราเพิ่งย้ายรกรากมาจากเมืองตงไห่ และเริ่มทำการปราบปรามเจ้าถิ่นในเวลานั้นทันที แต่สุดท้ายก็ประสบความล้มเหลว พวกเราทั้งสองตระกูลจึงเจรจาสงบศึกกัน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพวกเราทั้งสองตระกูลก็อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขโดยแบ่งอาณาเขตท่าเรืออย่างชัดเจน แล้วประมาณยี่สิบปีที่แล้ว จู่ๆ ท่าเรือฝู่ตงก็ถูกเปลี่ยนกลายเป็นท่าเรือเฉียนตง ในเวลานั้นพวกเราท่าเรือหัวยังคงให้ความสนใจกับธุรกิจขนส่งทางเรือเป็นอย่างเดียว ในขณะที่พวกนั้นขยายขอบเขตทางธุรกิจให้กว้างขึ้น ทั้งการขนส่งทางน้ำ ทางรถไฟและทางเครื่องบินตามลำดับ แล้วพวกแกรู้ไหมว่า ทำไมพวกนั้นถึงเปลี่ยนชื่อจาก ท่าเรือฝู่ตงเป็นเฉียนตง? ตระกูลนี้มันชอบเอาชื่อหลานมาตั้งเป็นชื่อบริษัท เพราะตอนนั้น…จ้าวเซียงตงมีลูกชายคนหนึ่งชื่อว่า จ้าวหรง และหลานชายของมันก็มีชื่อว่า จ้าวฝู่ นับจากตอนนั้นลูกชายของจ้าวฝู่อายุน่าจะอยู่ประมาณยี่สิบต้นๆ พวกแกสังเกตเห็นอะไรไหม? มันจะบังเอิญไปรึเปล่าที่คำว่า ‘เฉียน’ ตง มันไปตรงกับไอ้เด็กที่ชื่อ จ้าว ‘เฉียน’ อย่างพอดิบพอดีแบบนี้ แถมเจ้าหนุ่มนั้นอายุก็น่าจะประมาณยี่สิบต้นๆ พอดีอีกด้วย”

พอได้ยินสิ่งที่ทวดของพวกเขากลับไป ทุกคนก็ปะติดปะต่อเรื่องทุกอย่างได้ในทันใด และตอนนี้พวกเขาเชื่อสนิทใจเลยว่า ทั้งหมดเป็นฝีมือของจ้าวเฉียน

พอรู้แล้วว่าใครกันที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด พวกเขาก็นั่งรอไม่ติดเก้าอี้อีกต่อไป และต้องการริเริ่มแผนตอบโต้กลับทันที

หัวฉีเฉินรีบโทรหาจ้าวเฉียนไปหลายสิบสาย แต่กลับถูกปฏิเสธตัดสายทิ้งทั้งหมด ไม่ว่าจะโทรเท่าไหร่ก็ถูกตัดสาย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงส่งข้อความไปหาอีกฝ่ายเท่านั้น

‘ฉันรู้แล้วว่าแกเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด ออกมาคุยกันเดี๋ยวนี้!’

หลังจากส่งข้อความไปหาแล้ว หัวฉีเฉินก็รอคอยคำตอบอยู่แบบนั้น เดินวกไปเวียนมาอยู่ไม่นิ่ง

ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีก8ชั่วโมงก่อนจะถึงเที่ยงคืนตรง หากภายใน8ชั่วโมงนี้ยังไม่สามารถเอาเรือออกจากท่าไปได้ ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที เพราะเหตุนี้เอง จ้าวเฉียนจึงไม่คิดจะเจรจาใดๆ ทั้งสิ้นกับหัวฉีเฉิน

รสชาติของการรอคอยมันไม่ได้สร้างความอึดอัดใจแก่จ้าวเฉียนเลย ในทางตรงข้ามเขากลับรู้สึกสนุกด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตอนนี้ที่ได้มีโอกาสเฝ้าดูพวกตระกูลหัวค่อยๆ ดิ้นทุรนทุรายและตายไปอย่างช้าๆ

ผ่านไปสิบวินาที ผ่านไปหนึ่งนาที ผ่านไปห้านาที และท้ายที่สุดนี้ก็ไม่ได้รับข้อความใดๆ ส่งมาจากจ้าวเฉียนเลย

“ลุงเฉิน พวกเราจะทำยังไงดี! ตอนนี้กำลังแข่งกับเวลานะ ถ้าช้าไปแม้แต่นาทีเดียว พวกเราตระกูลหัวได้ตายกันหมดแน่!”

“ใช่แล้วพี่เฉิน! พวกเรารอแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้วนะ! เราต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่ใช่นั่งรอความตายแบบนี้!”

“ท่านรองประธาน รีบคิดหาหนทางแก้ไขโดยเร็ว! พวกเราจะอยู่เฉยๆ แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!”

หัวฉีเฉินเป็นคนไม่มีความมั่นใจในตัวเอง และน้อยครั้งมากที่เขาจะตัดสินอะไรสักอย่างโดยใช้ความคิดของตัวเองเป็นหลัก ยิ่งในเวลานี้โดนทุกคนเร่งเร้า มันก็ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดคิดอะไรไม่ออกเข้าไปใหญ่

หัวเซียงตงรู้จักหลานชายคนนี้ดียิ่งกว่าอะไร เขาเป็นเด็กที่เชื่อฟังพ่อมาโดยตลอดตั้งแต่ยังเล็ก ถูกชี้นำให้ทำแบบโน้นให้เรียนแบบนี้อยู่เสมอจึงทำให้เขาไม่เคยได้แสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาสักครั้ง จึงไม่แปลกที่เวลาแบบนี้จะนึกกลยุทธ์ตอบโต้ขึ้นมาไม่ได้

ในเมื่อหวังพึ่งในหลานชายตัวเองไม่ได้ หัวเซียงตง ชายชราอายุ90ปีจึงจำเป็นต้องออกโรงเองแล้วเท่านั้น

“ไปเถอะ พวกเราต้องไปคุยกับศัตรูเก่าสักหน่อย ฉีเฉินไปเปลี่ยเสื้อฟ้าและเรียกคนขับรถมา”

หัวเซียงตงเอ่ยกล่าวอย่างใจเย็น

เขามาอายุร่วม90ปีแล้ว จะทำอะไรต้องอาศัยรถเข็นเท่านั้น และการปล่อยให้เขาออกโรงไปเผชิญหน้ากับศัตรูเป็นแนวหน้าแบบนี้ มันแสดงให้เห็นแล้วว่า ผู้สืบทอดตระกูลหัวทั้งหมดล้วนแต่ไร้น้ำยา มิฉะนั้นต้องเหนื่อยคนแก่ออกโรงเองหรอกรึ? เรื่องแบบนี้รู้ถึงไหนอายถึงนั้น!

หัวฉีเฉินรีบกล่าวขึ้นทันทีว่า

“คุณปู่ เดี๋ยวผมจัดการเองดีกว่า ผมจะรีบโทรไปคุยกับผู้รับผิดชอบบริษัทเมล็ดพืชการาจกับไชน่าปิโตรเคมีเอง อย่างน้อยที่สุดพวกเขาน่าจะเห็นใจเราบ้าง”

แม้หัวเซียงตงจะเป็นไม้ใกล้ฝั่งรอวันตายแล้ว แต่ใช่ว่าเขาจะโกรธไม่เป็น พอได้ยินคำพูดสิ้นคิดของหัวฉีเฉิน เขาถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับหลานชายไร้สมองของตัวเอง

“เฮ้อออ… ฉีเฉิน ทำไมแกยังไม่เข้าใจอะไรเลย? เห็นได้ชัดว่า ตอนนี้บริษัททั้งสองแห่งนั้นโดนซื้อไปที่เรียบร้อยแล้ว ไม่อย่างนั้นตระกูลหัวของเราจะประสบปัญหาครั้งใหญ่แบบนี้เหรอ? พวกเราไม่ได้เร่งเร้าให้พวกเรารีบนำเรือออกเลย ไม่สิ…แม้แต่จะยื่นมือช่วยยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ นี่ยังหมายความว่าอะไรได้อีกล่ะ? พวกมันกำลังร่วมหัวกับท่าเรือเฉียนตงเพื่อยกเลิกสัญญากับทางเราโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยสักหยวนไง! ในตอนนี้…มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยกอบกู้สถานการณ์ครอบครัวเราได้ก็คือ… เฮ้ออ…จ้าวเฉียน ถ้าเขายังเหลือความเมตตาอยู่บ้าง พวกเราก็รอดตาย แต่ถ้าไม่…หลังจากนี้ก็เตรียมใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในเมืองใหญ่ได้เลย”

เมื่อได้ยินคำวิเคราะห์ของหัวเซียงตง เหล่าสมาชิกตระกูลหัวต่างก็ตื่นตกใจกันทุกคน เห็นได้ชัดว่าตระกูลหัวกำลังถูกลดขั้นสู่สามัญชน พอนึกได้อย่างนั้นทุกคนต่างเหงื่อตกทันที

ไม่มีใครตระหนักถึงเลยว่า ปัญหาดังกล่าวจะร้ายแรงถึงขั้นนี้ และก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าคนที่ฆ่าพวกเขาทั้งเป็นก็คือจ้าวเฉียน

ทว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถตำหนิเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ ก็ใครจะไปจินตนาการออกว่า เด็กหนุ่มในวัยยี่สิบปีต้นๆ จะสามารถเดินหมากได้เฉียบคมปานนี้? ไม่ต้องพูดคุยหัวฉีเฉินเลย แม้แต่หัวเซินซวนที่ออกโรงเป็นการส่วนตัวยังต้องพ่ายไป เด็กหนุ่มคนนี้ทำได้ยังไงกัน?

หัวฉีเฉินรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและเรียกคนขับเตรีมรถเดินทางไปยังคฤหาสน์ตระกูลจ้าวทันที

หัวเซียงตงเหลือบมองไปที่ภูเขาจากระยะไกลผ่านหน้าต่างรถเล็กน้อย พลางครุ่นคิดเรื่องราวในวันวานและกล่าวขึ้นว่า

“กว่าห้าสิบปีแล้ว…ฉันไม่คิดเลยว่าวันนี้จะต้องเหยียบภูเขาลูกนี้อีกครั้ง”

หัวฉีเฉินได้แต่กล่าวตำหนิติเตียนตัวเองว่า

“คุณปู่ ผมขอโทษที่พวกเรามันไร้ความสามารถ สุดท้ายเลยต้องลำบากคุณปู่แบบนี้”

หัวเซียงตงคลี่ยิ้มบนมุมปากอันแห้งกรากเล็กน้อย แล้วกล่าวตอบไปว่า

“ฉันผิดเองแหละที่สั่งสอนพ่อของแกไม่ดีพอ ก็เลยลามมายันรุ่นลูกรุ่นหลานจนเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้น ถึงตายฉันก็ขอช่วยตระกูลหัวเท่าที่ช่วยไหว ฉันล่ะอิจฉาตาเฒ่าเซียงตงจริงๆ ที่มีลูกหลานเก่งกาจกันทุกคน ฮ่าฮ่า…แต่น่าเสียดายนะที่มันไม่มีโอกาสได้เห็นเหลนชายของมันเลยว่าปั่นประสาทตระกูลหัวของเราได้แค่ไหน”

เมื่อได้ยินหัวเซียงตงพูดออกมาเช่นนั้น หัวฉีเฉินก็รู้สึกหดหู่ใจเศร้าหมองเกินพรรณนา เขาไม่แม้แต่กล้ามองหน้าคุณปู่ตัวเองเลยด้วยซ้ำ

อันที่จริงแล้ว เรื่องทั้งหมดต้องขอบคุณอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหกปีที่แล้ว จึงเป็นเหตุให้จ้าวฝู่ขับไล่จ้าวเฉียนออกจากบ้านเพื่อไตร่ตรองตัวเอง และประสบการณ์อันยากลำบากที่ผ่านมาก็ได้ช่วยขัดเกลาเขาให้กลายมาเป็นตัวเขาอย่างในปัจจุบัน ไม่อย่างนั้นเขาก็คงเติบโตมาเป็นแบบหัวเซินซวนและหัวฉีเฉิน ที่ชีวิตนี้ไม่รู้จักความลำบาก นั่งจิบไวน์เซ็นเอกสารอย่างเดียว

บางที…ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีแฝงอยู่เสมอ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 315 รุ่นทวดออกโรงเอง

Now you are reading ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี Chapter 315 รุ่นทวดออกโรงเอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่315 รุ่นทวดออกโรงเอง

เมื่อฟังคำวิเคราะห์ของหัวเซียงตง ทวดของพวกเขาทั้งหมด ทุกคนก็เพิ่งจะตระหนักได้ทันทีว่า บางทีอาจจะเป็นอย่างที่ว่าไว้จริงๆ

จุดประสงค์ที่แท้จริงของแผนการนี้ไม่ใช่การก่อม็อบประท้วงหรือดึงกำลังคนงานไป แต่ทั้งหมดก็เพื่อไม่ให้เรือขนส่งออกจากท่าเรือได้ตามกำหนด

แล้วใครกันที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด? เหล่าสมาชิกตระกูลหัวต่างมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป

บ้างคิดว่าหวางอวี่จุน ผู้จัดการท่าเรือเฉียนตง เพราะเขาต้องการโค่นท่าเรือหัวซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นอย่างยาวนานลง ทำไปก็เพื่อควบรวมสองท่าเรือให้เป็นหนึ่งเดียว

ส่วนอีกหลายคนก็คิดว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของจ้าวเฉียน เพราะเขาคงทราบว่า ท่าเรือหัวเป็นแหล่งทำเงินใหญ่ที่สุดของตระกูลหัวดังนั้นจึงต้องการตัดท่องน้ำเลี้ยงดังกล่าวทิ้งไป และค่อยๆ บ่อนทำลายตระกูลหัวทีละเล็กละน้อย

สองความคิดสองมุมมองแตกต่างกันออกไป หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่พวกเขาก็อดถามความเห็นของหัวเซียงตงไม่ได้เลยว่า สุดท้ายนี้ท่านทวดคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้

และสมแล้วที่หัวเซียงตงผู้นี้เป็นชายชรารุ่นทวดผู้เจนจัดมากประสบการณ์ เขาคาดเดาทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ เอ่ยตอบอย่างแช่งช้าชี้ความเห็นที่สามไปว่า

“แล้วพวกแกเคยคิดไหมว่า จ้าวเฉียนที่ว่าคือเจ้าของท่าเรือเฉียนตง?”

ทุกคนต่างประหลาดใจอย่างมากเมื่อได้ยินแบบนั้น เด็กหนุ่มคนนี้สามารถขึ้นกลายเป็นถึงเจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังท่าเรือเฉียนตงได้เชียวเหรอ? แต่ชื่อผู้จดทะเบียนนิติบุคคลของท่าเรือเฉียนตง เห็นได้ชัดว่าเป็นของหวางอวี่จุน แล้วนี่เกี่ยวข้องอะไรกับจ้าวเฉียน?

หัวเซียงตงอธิบายต่ออย่างใจเย็นว่า

“เดิมทีท่าเรือเฉียนตงไม่ได้ชื่อว่าท่าเรือเฉียนตงอย่างที่เห็นในปัจจุบัน แต่เคยมีชื่อว่าท่าเรือนฝู่ตง ฉันเคยปะทะกับพวกมันเมื่อห้าสิบปีก่อน ในเวลานั้นพวกเราเพิ่งย้ายรกรากมาจากเมืองตงไห่ และเริ่มทำการปราบปรามเจ้าถิ่นในเวลานั้นทันที แต่สุดท้ายก็ประสบความล้มเหลว พวกเราทั้งสองตระกูลจึงเจรจาสงบศึกกัน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพวกเราทั้งสองตระกูลก็อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขโดยแบ่งอาณาเขตท่าเรืออย่างชัดเจน แล้วประมาณยี่สิบปีที่แล้ว จู่ๆ ท่าเรือฝู่ตงก็ถูกเปลี่ยนกลายเป็นท่าเรือเฉียนตง ในเวลานั้นพวกเราท่าเรือหัวยังคงให้ความสนใจกับธุรกิจขนส่งทางเรือเป็นอย่างเดียว ในขณะที่พวกนั้นขยายขอบเขตทางธุรกิจให้กว้างขึ้น ทั้งการขนส่งทางน้ำ ทางรถไฟและทางเครื่องบินตามลำดับ แล้วพวกแกรู้ไหมว่า ทำไมพวกนั้นถึงเปลี่ยนชื่อจาก ท่าเรือฝู่ตงเป็นเฉียนตง? ตระกูลนี้มันชอบเอาชื่อหลานมาตั้งเป็นชื่อบริษัท เพราะตอนนั้น…จ้าวเซียงตงมีลูกชายคนหนึ่งชื่อว่า จ้าวหรง และหลานชายของมันก็มีชื่อว่า จ้าวฝู่ นับจากตอนนั้นลูกชายของจ้าวฝู่อายุน่าจะอยู่ประมาณยี่สิบต้นๆ พวกแกสังเกตเห็นอะไรไหม? มันจะบังเอิญไปรึเปล่าที่คำว่า ‘เฉียน’ ตง มันไปตรงกับไอ้เด็กที่ชื่อ จ้าว ‘เฉียน’ อย่างพอดิบพอดีแบบนี้ แถมเจ้าหนุ่มนั้นอายุก็น่าจะประมาณยี่สิบต้นๆ พอดีอีกด้วย”

พอได้ยินสิ่งที่ทวดของพวกเขากลับไป ทุกคนก็ปะติดปะต่อเรื่องทุกอย่างได้ในทันใด และตอนนี้พวกเขาเชื่อสนิทใจเลยว่า ทั้งหมดเป็นฝีมือของจ้าวเฉียน

พอรู้แล้วว่าใครกันที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด พวกเขาก็นั่งรอไม่ติดเก้าอี้อีกต่อไป และต้องการริเริ่มแผนตอบโต้กลับทันที

หัวฉีเฉินรีบโทรหาจ้าวเฉียนไปหลายสิบสาย แต่กลับถูกปฏิเสธตัดสายทิ้งทั้งหมด ไม่ว่าจะโทรเท่าไหร่ก็ถูกตัดสาย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงส่งข้อความไปหาอีกฝ่ายเท่านั้น

‘ฉันรู้แล้วว่าแกเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด ออกมาคุยกันเดี๋ยวนี้!’

หลังจากส่งข้อความไปหาแล้ว หัวฉีเฉินก็รอคอยคำตอบอยู่แบบนั้น เดินวกไปเวียนมาอยู่ไม่นิ่ง

ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีก8ชั่วโมงก่อนจะถึงเที่ยงคืนตรง หากภายใน8ชั่วโมงนี้ยังไม่สามารถเอาเรือออกจากท่าไปได้ ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที เพราะเหตุนี้เอง จ้าวเฉียนจึงไม่คิดจะเจรจาใดๆ ทั้งสิ้นกับหัวฉีเฉิน

รสชาติของการรอคอยมันไม่ได้สร้างความอึดอัดใจแก่จ้าวเฉียนเลย ในทางตรงข้ามเขากลับรู้สึกสนุกด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตอนนี้ที่ได้มีโอกาสเฝ้าดูพวกตระกูลหัวค่อยๆ ดิ้นทุรนทุรายและตายไปอย่างช้าๆ

ผ่านไปสิบวินาที ผ่านไปหนึ่งนาที ผ่านไปห้านาที และท้ายที่สุดนี้ก็ไม่ได้รับข้อความใดๆ ส่งมาจากจ้าวเฉียนเลย

“ลุงเฉิน พวกเราจะทำยังไงดี! ตอนนี้กำลังแข่งกับเวลานะ ถ้าช้าไปแม้แต่นาทีเดียว พวกเราตระกูลหัวได้ตายกันหมดแน่!”

“ใช่แล้วพี่เฉิน! พวกเรารอแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้วนะ! เราต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่ใช่นั่งรอความตายแบบนี้!”

“ท่านรองประธาน รีบคิดหาหนทางแก้ไขโดยเร็ว! พวกเราจะอยู่เฉยๆ แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!”

หัวฉีเฉินเป็นคนไม่มีความมั่นใจในตัวเอง และน้อยครั้งมากที่เขาจะตัดสินอะไรสักอย่างโดยใช้ความคิดของตัวเองเป็นหลัก ยิ่งในเวลานี้โดนทุกคนเร่งเร้า มันก็ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดคิดอะไรไม่ออกเข้าไปใหญ่

หัวเซียงตงรู้จักหลานชายคนนี้ดียิ่งกว่าอะไร เขาเป็นเด็กที่เชื่อฟังพ่อมาโดยตลอดตั้งแต่ยังเล็ก ถูกชี้นำให้ทำแบบโน้นให้เรียนแบบนี้อยู่เสมอจึงทำให้เขาไม่เคยได้แสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาสักครั้ง จึงไม่แปลกที่เวลาแบบนี้จะนึกกลยุทธ์ตอบโต้ขึ้นมาไม่ได้

ในเมื่อหวังพึ่งในหลานชายตัวเองไม่ได้ หัวเซียงตง ชายชราอายุ90ปีจึงจำเป็นต้องออกโรงเองแล้วเท่านั้น

“ไปเถอะ พวกเราต้องไปคุยกับศัตรูเก่าสักหน่อย ฉีเฉินไปเปลี่ยเสื้อฟ้าและเรียกคนขับรถมา”

หัวเซียงตงเอ่ยกล่าวอย่างใจเย็น

เขามาอายุร่วม90ปีแล้ว จะทำอะไรต้องอาศัยรถเข็นเท่านั้น และการปล่อยให้เขาออกโรงไปเผชิญหน้ากับศัตรูเป็นแนวหน้าแบบนี้ มันแสดงให้เห็นแล้วว่า ผู้สืบทอดตระกูลหัวทั้งหมดล้วนแต่ไร้น้ำยา มิฉะนั้นต้องเหนื่อยคนแก่ออกโรงเองหรอกรึ? เรื่องแบบนี้รู้ถึงไหนอายถึงนั้น!

หัวฉีเฉินรีบกล่าวขึ้นทันทีว่า

“คุณปู่ เดี๋ยวผมจัดการเองดีกว่า ผมจะรีบโทรไปคุยกับผู้รับผิดชอบบริษัทเมล็ดพืชการาจกับไชน่าปิโตรเคมีเอง อย่างน้อยที่สุดพวกเขาน่าจะเห็นใจเราบ้าง”

แม้หัวเซียงตงจะเป็นไม้ใกล้ฝั่งรอวันตายแล้ว แต่ใช่ว่าเขาจะโกรธไม่เป็น พอได้ยินคำพูดสิ้นคิดของหัวฉีเฉิน เขาถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับหลานชายไร้สมองของตัวเอง

“เฮ้อออ… ฉีเฉิน ทำไมแกยังไม่เข้าใจอะไรเลย? เห็นได้ชัดว่า ตอนนี้บริษัททั้งสองแห่งนั้นโดนซื้อไปที่เรียบร้อยแล้ว ไม่อย่างนั้นตระกูลหัวของเราจะประสบปัญหาครั้งใหญ่แบบนี้เหรอ? พวกเราไม่ได้เร่งเร้าให้พวกเรารีบนำเรือออกเลย ไม่สิ…แม้แต่จะยื่นมือช่วยยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ นี่ยังหมายความว่าอะไรได้อีกล่ะ? พวกมันกำลังร่วมหัวกับท่าเรือเฉียนตงเพื่อยกเลิกสัญญากับทางเราโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยสักหยวนไง! ในตอนนี้…มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยกอบกู้สถานการณ์ครอบครัวเราได้ก็คือ… เฮ้ออ…จ้าวเฉียน ถ้าเขายังเหลือความเมตตาอยู่บ้าง พวกเราก็รอดตาย แต่ถ้าไม่…หลังจากนี้ก็เตรียมใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในเมืองใหญ่ได้เลย”

เมื่อได้ยินคำวิเคราะห์ของหัวเซียงตง เหล่าสมาชิกตระกูลหัวต่างก็ตื่นตกใจกันทุกคน เห็นได้ชัดว่าตระกูลหัวกำลังถูกลดขั้นสู่สามัญชน พอนึกได้อย่างนั้นทุกคนต่างเหงื่อตกทันที

ไม่มีใครตระหนักถึงเลยว่า ปัญหาดังกล่าวจะร้ายแรงถึงขั้นนี้ และก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าคนที่ฆ่าพวกเขาทั้งเป็นก็คือจ้าวเฉียน

ทว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถตำหนิเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ ก็ใครจะไปจินตนาการออกว่า เด็กหนุ่มในวัยยี่สิบปีต้นๆ จะสามารถเดินหมากได้เฉียบคมปานนี้? ไม่ต้องพูดคุยหัวฉีเฉินเลย แม้แต่หัวเซินซวนที่ออกโรงเป็นการส่วนตัวยังต้องพ่ายไป เด็กหนุ่มคนนี้ทำได้ยังไงกัน?

หัวฉีเฉินรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและเรียกคนขับเตรีมรถเดินทางไปยังคฤหาสน์ตระกูลจ้าวทันที

หัวเซียงตงเหลือบมองไปที่ภูเขาจากระยะไกลผ่านหน้าต่างรถเล็กน้อย พลางครุ่นคิดเรื่องราวในวันวานและกล่าวขึ้นว่า

“กว่าห้าสิบปีแล้ว…ฉันไม่คิดเลยว่าวันนี้จะต้องเหยียบภูเขาลูกนี้อีกครั้ง”

หัวฉีเฉินได้แต่กล่าวตำหนิติเตียนตัวเองว่า

“คุณปู่ ผมขอโทษที่พวกเรามันไร้ความสามารถ สุดท้ายเลยต้องลำบากคุณปู่แบบนี้”

หัวเซียงตงคลี่ยิ้มบนมุมปากอันแห้งกรากเล็กน้อย แล้วกล่าวตอบไปว่า

“ฉันผิดเองแหละที่สั่งสอนพ่อของแกไม่ดีพอ ก็เลยลามมายันรุ่นลูกรุ่นหลานจนเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้น ถึงตายฉันก็ขอช่วยตระกูลหัวเท่าที่ช่วยไหว ฉันล่ะอิจฉาตาเฒ่าเซียงตงจริงๆ ที่มีลูกหลานเก่งกาจกันทุกคน ฮ่าฮ่า…แต่น่าเสียดายนะที่มันไม่มีโอกาสได้เห็นเหลนชายของมันเลยว่าปั่นประสาทตระกูลหัวของเราได้แค่ไหน”

เมื่อได้ยินหัวเซียงตงพูดออกมาเช่นนั้น หัวฉีเฉินก็รู้สึกหดหู่ใจเศร้าหมองเกินพรรณนา เขาไม่แม้แต่กล้ามองหน้าคุณปู่ตัวเองเลยด้วยซ้ำ

อันที่จริงแล้ว เรื่องทั้งหมดต้องขอบคุณอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหกปีที่แล้ว จึงเป็นเหตุให้จ้าวฝู่ขับไล่จ้าวเฉียนออกจากบ้านเพื่อไตร่ตรองตัวเอง และประสบการณ์อันยากลำบากที่ผ่านมาก็ได้ช่วยขัดเกลาเขาให้กลายมาเป็นตัวเขาอย่างในปัจจุบัน ไม่อย่างนั้นเขาก็คงเติบโตมาเป็นแบบหัวเซินซวนและหัวฉีเฉิน ที่ชีวิตนี้ไม่รู้จักความลำบาก นั่งจิบไวน์เซ็นเอกสารอย่างเดียว

บางที…ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีแฝงอยู่เสมอ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 315 รุ่นทวดออกโรงเอง

Now you are reading ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี Chapter 315 รุ่นทวดออกโรงเอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่315 รุ่นทวดออกโรงเอง

เมื่อฟังคำวิเคราะห์ของหัวเซียงตง ทวดของพวกเขาทั้งหมด ทุกคนก็เพิ่งจะตระหนักได้ทันทีว่า บางทีอาจจะเป็นอย่างที่ว่าไว้จริงๆ

จุดประสงค์ที่แท้จริงของแผนการนี้ไม่ใช่การก่อม็อบประท้วงหรือดึงกำลังคนงานไป แต่ทั้งหมดก็เพื่อไม่ให้เรือขนส่งออกจากท่าเรือได้ตามกำหนด

แล้วใครกันที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด? เหล่าสมาชิกตระกูลหัวต่างมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป

บ้างคิดว่าหวางอวี่จุน ผู้จัดการท่าเรือเฉียนตง เพราะเขาต้องการโค่นท่าเรือหัวซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นอย่างยาวนานลง ทำไปก็เพื่อควบรวมสองท่าเรือให้เป็นหนึ่งเดียว

ส่วนอีกหลายคนก็คิดว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของจ้าวเฉียน เพราะเขาคงทราบว่า ท่าเรือหัวเป็นแหล่งทำเงินใหญ่ที่สุดของตระกูลหัวดังนั้นจึงต้องการตัดท่องน้ำเลี้ยงดังกล่าวทิ้งไป และค่อยๆ บ่อนทำลายตระกูลหัวทีละเล็กละน้อย

สองความคิดสองมุมมองแตกต่างกันออกไป หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่พวกเขาก็อดถามความเห็นของหัวเซียงตงไม่ได้เลยว่า สุดท้ายนี้ท่านทวดคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้

และสมแล้วที่หัวเซียงตงผู้นี้เป็นชายชรารุ่นทวดผู้เจนจัดมากประสบการณ์ เขาคาดเดาทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ เอ่ยตอบอย่างแช่งช้าชี้ความเห็นที่สามไปว่า

“แล้วพวกแกเคยคิดไหมว่า จ้าวเฉียนที่ว่าคือเจ้าของท่าเรือเฉียนตง?”

ทุกคนต่างประหลาดใจอย่างมากเมื่อได้ยินแบบนั้น เด็กหนุ่มคนนี้สามารถขึ้นกลายเป็นถึงเจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังท่าเรือเฉียนตงได้เชียวเหรอ? แต่ชื่อผู้จดทะเบียนนิติบุคคลของท่าเรือเฉียนตง เห็นได้ชัดว่าเป็นของหวางอวี่จุน แล้วนี่เกี่ยวข้องอะไรกับจ้าวเฉียน?

หัวเซียงตงอธิบายต่ออย่างใจเย็นว่า

“เดิมทีท่าเรือเฉียนตงไม่ได้ชื่อว่าท่าเรือเฉียนตงอย่างที่เห็นในปัจจุบัน แต่เคยมีชื่อว่าท่าเรือนฝู่ตง ฉันเคยปะทะกับพวกมันเมื่อห้าสิบปีก่อน ในเวลานั้นพวกเราเพิ่งย้ายรกรากมาจากเมืองตงไห่ และเริ่มทำการปราบปรามเจ้าถิ่นในเวลานั้นทันที แต่สุดท้ายก็ประสบความล้มเหลว พวกเราทั้งสองตระกูลจึงเจรจาสงบศึกกัน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพวกเราทั้งสองตระกูลก็อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขโดยแบ่งอาณาเขตท่าเรืออย่างชัดเจน แล้วประมาณยี่สิบปีที่แล้ว จู่ๆ ท่าเรือฝู่ตงก็ถูกเปลี่ยนกลายเป็นท่าเรือเฉียนตง ในเวลานั้นพวกเราท่าเรือหัวยังคงให้ความสนใจกับธุรกิจขนส่งทางเรือเป็นอย่างเดียว ในขณะที่พวกนั้นขยายขอบเขตทางธุรกิจให้กว้างขึ้น ทั้งการขนส่งทางน้ำ ทางรถไฟและทางเครื่องบินตามลำดับ แล้วพวกแกรู้ไหมว่า ทำไมพวกนั้นถึงเปลี่ยนชื่อจาก ท่าเรือฝู่ตงเป็นเฉียนตง? ตระกูลนี้มันชอบเอาชื่อหลานมาตั้งเป็นชื่อบริษัท เพราะตอนนั้น…จ้าวเซียงตงมีลูกชายคนหนึ่งชื่อว่า จ้าวหรง และหลานชายของมันก็มีชื่อว่า จ้าวฝู่ นับจากตอนนั้นลูกชายของจ้าวฝู่อายุน่าจะอยู่ประมาณยี่สิบต้นๆ พวกแกสังเกตเห็นอะไรไหม? มันจะบังเอิญไปรึเปล่าที่คำว่า ‘เฉียน’ ตง มันไปตรงกับไอ้เด็กที่ชื่อ จ้าว ‘เฉียน’ อย่างพอดิบพอดีแบบนี้ แถมเจ้าหนุ่มนั้นอายุก็น่าจะประมาณยี่สิบต้นๆ พอดีอีกด้วย”

พอได้ยินสิ่งที่ทวดของพวกเขากลับไป ทุกคนก็ปะติดปะต่อเรื่องทุกอย่างได้ในทันใด และตอนนี้พวกเขาเชื่อสนิทใจเลยว่า ทั้งหมดเป็นฝีมือของจ้าวเฉียน

พอรู้แล้วว่าใครกันที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด พวกเขาก็นั่งรอไม่ติดเก้าอี้อีกต่อไป และต้องการริเริ่มแผนตอบโต้กลับทันที

หัวฉีเฉินรีบโทรหาจ้าวเฉียนไปหลายสิบสาย แต่กลับถูกปฏิเสธตัดสายทิ้งทั้งหมด ไม่ว่าจะโทรเท่าไหร่ก็ถูกตัดสาย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงส่งข้อความไปหาอีกฝ่ายเท่านั้น

‘ฉันรู้แล้วว่าแกเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด ออกมาคุยกันเดี๋ยวนี้!’

หลังจากส่งข้อความไปหาแล้ว หัวฉีเฉินก็รอคอยคำตอบอยู่แบบนั้น เดินวกไปเวียนมาอยู่ไม่นิ่ง

ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีก8ชั่วโมงก่อนจะถึงเที่ยงคืนตรง หากภายใน8ชั่วโมงนี้ยังไม่สามารถเอาเรือออกจากท่าไปได้ ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที เพราะเหตุนี้เอง จ้าวเฉียนจึงไม่คิดจะเจรจาใดๆ ทั้งสิ้นกับหัวฉีเฉิน

รสชาติของการรอคอยมันไม่ได้สร้างความอึดอัดใจแก่จ้าวเฉียนเลย ในทางตรงข้ามเขากลับรู้สึกสนุกด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตอนนี้ที่ได้มีโอกาสเฝ้าดูพวกตระกูลหัวค่อยๆ ดิ้นทุรนทุรายและตายไปอย่างช้าๆ

ผ่านไปสิบวินาที ผ่านไปหนึ่งนาที ผ่านไปห้านาที และท้ายที่สุดนี้ก็ไม่ได้รับข้อความใดๆ ส่งมาจากจ้าวเฉียนเลย

“ลุงเฉิน พวกเราจะทำยังไงดี! ตอนนี้กำลังแข่งกับเวลานะ ถ้าช้าไปแม้แต่นาทีเดียว พวกเราตระกูลหัวได้ตายกันหมดแน่!”

“ใช่แล้วพี่เฉิน! พวกเรารอแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้วนะ! เราต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่ใช่นั่งรอความตายแบบนี้!”

“ท่านรองประธาน รีบคิดหาหนทางแก้ไขโดยเร็ว! พวกเราจะอยู่เฉยๆ แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!”

หัวฉีเฉินเป็นคนไม่มีความมั่นใจในตัวเอง และน้อยครั้งมากที่เขาจะตัดสินอะไรสักอย่างโดยใช้ความคิดของตัวเองเป็นหลัก ยิ่งในเวลานี้โดนทุกคนเร่งเร้า มันก็ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดคิดอะไรไม่ออกเข้าไปใหญ่

หัวเซียงตงรู้จักหลานชายคนนี้ดียิ่งกว่าอะไร เขาเป็นเด็กที่เชื่อฟังพ่อมาโดยตลอดตั้งแต่ยังเล็ก ถูกชี้นำให้ทำแบบโน้นให้เรียนแบบนี้อยู่เสมอจึงทำให้เขาไม่เคยได้แสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาสักครั้ง จึงไม่แปลกที่เวลาแบบนี้จะนึกกลยุทธ์ตอบโต้ขึ้นมาไม่ได้

ในเมื่อหวังพึ่งในหลานชายตัวเองไม่ได้ หัวเซียงตง ชายชราอายุ90ปีจึงจำเป็นต้องออกโรงเองแล้วเท่านั้น

“ไปเถอะ พวกเราต้องไปคุยกับศัตรูเก่าสักหน่อย ฉีเฉินไปเปลี่ยเสื้อฟ้าและเรียกคนขับรถมา”

หัวเซียงตงเอ่ยกล่าวอย่างใจเย็น

เขามาอายุร่วม90ปีแล้ว จะทำอะไรต้องอาศัยรถเข็นเท่านั้น และการปล่อยให้เขาออกโรงไปเผชิญหน้ากับศัตรูเป็นแนวหน้าแบบนี้ มันแสดงให้เห็นแล้วว่า ผู้สืบทอดตระกูลหัวทั้งหมดล้วนแต่ไร้น้ำยา มิฉะนั้นต้องเหนื่อยคนแก่ออกโรงเองหรอกรึ? เรื่องแบบนี้รู้ถึงไหนอายถึงนั้น!

หัวฉีเฉินรีบกล่าวขึ้นทันทีว่า

“คุณปู่ เดี๋ยวผมจัดการเองดีกว่า ผมจะรีบโทรไปคุยกับผู้รับผิดชอบบริษัทเมล็ดพืชการาจกับไชน่าปิโตรเคมีเอง อย่างน้อยที่สุดพวกเขาน่าจะเห็นใจเราบ้าง”

แม้หัวเซียงตงจะเป็นไม้ใกล้ฝั่งรอวันตายแล้ว แต่ใช่ว่าเขาจะโกรธไม่เป็น พอได้ยินคำพูดสิ้นคิดของหัวฉีเฉิน เขาถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับหลานชายไร้สมองของตัวเอง

“เฮ้อออ… ฉีเฉิน ทำไมแกยังไม่เข้าใจอะไรเลย? เห็นได้ชัดว่า ตอนนี้บริษัททั้งสองแห่งนั้นโดนซื้อไปที่เรียบร้อยแล้ว ไม่อย่างนั้นตระกูลหัวของเราจะประสบปัญหาครั้งใหญ่แบบนี้เหรอ? พวกเราไม่ได้เร่งเร้าให้พวกเรารีบนำเรือออกเลย ไม่สิ…แม้แต่จะยื่นมือช่วยยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ นี่ยังหมายความว่าอะไรได้อีกล่ะ? พวกมันกำลังร่วมหัวกับท่าเรือเฉียนตงเพื่อยกเลิกสัญญากับทางเราโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยสักหยวนไง! ในตอนนี้…มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยกอบกู้สถานการณ์ครอบครัวเราได้ก็คือ… เฮ้ออ…จ้าวเฉียน ถ้าเขายังเหลือความเมตตาอยู่บ้าง พวกเราก็รอดตาย แต่ถ้าไม่…หลังจากนี้ก็เตรียมใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในเมืองใหญ่ได้เลย”

เมื่อได้ยินคำวิเคราะห์ของหัวเซียงตง เหล่าสมาชิกตระกูลหัวต่างก็ตื่นตกใจกันทุกคน เห็นได้ชัดว่าตระกูลหัวกำลังถูกลดขั้นสู่สามัญชน พอนึกได้อย่างนั้นทุกคนต่างเหงื่อตกทันที

ไม่มีใครตระหนักถึงเลยว่า ปัญหาดังกล่าวจะร้ายแรงถึงขั้นนี้ และก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าคนที่ฆ่าพวกเขาทั้งเป็นก็คือจ้าวเฉียน

ทว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถตำหนิเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ ก็ใครจะไปจินตนาการออกว่า เด็กหนุ่มในวัยยี่สิบปีต้นๆ จะสามารถเดินหมากได้เฉียบคมปานนี้? ไม่ต้องพูดคุยหัวฉีเฉินเลย แม้แต่หัวเซินซวนที่ออกโรงเป็นการส่วนตัวยังต้องพ่ายไป เด็กหนุ่มคนนี้ทำได้ยังไงกัน?

หัวฉีเฉินรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและเรียกคนขับเตรีมรถเดินทางไปยังคฤหาสน์ตระกูลจ้าวทันที

หัวเซียงตงเหลือบมองไปที่ภูเขาจากระยะไกลผ่านหน้าต่างรถเล็กน้อย พลางครุ่นคิดเรื่องราวในวันวานและกล่าวขึ้นว่า

“กว่าห้าสิบปีแล้ว…ฉันไม่คิดเลยว่าวันนี้จะต้องเหยียบภูเขาลูกนี้อีกครั้ง”

หัวฉีเฉินได้แต่กล่าวตำหนิติเตียนตัวเองว่า

“คุณปู่ ผมขอโทษที่พวกเรามันไร้ความสามารถ สุดท้ายเลยต้องลำบากคุณปู่แบบนี้”

หัวเซียงตงคลี่ยิ้มบนมุมปากอันแห้งกรากเล็กน้อย แล้วกล่าวตอบไปว่า

“ฉันผิดเองแหละที่สั่งสอนพ่อของแกไม่ดีพอ ก็เลยลามมายันรุ่นลูกรุ่นหลานจนเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้น ถึงตายฉันก็ขอช่วยตระกูลหัวเท่าที่ช่วยไหว ฉันล่ะอิจฉาตาเฒ่าเซียงตงจริงๆ ที่มีลูกหลานเก่งกาจกันทุกคน ฮ่าฮ่า…แต่น่าเสียดายนะที่มันไม่มีโอกาสได้เห็นเหลนชายของมันเลยว่าปั่นประสาทตระกูลหัวของเราได้แค่ไหน”

เมื่อได้ยินหัวเซียงตงพูดออกมาเช่นนั้น หัวฉีเฉินก็รู้สึกหดหู่ใจเศร้าหมองเกินพรรณนา เขาไม่แม้แต่กล้ามองหน้าคุณปู่ตัวเองเลยด้วยซ้ำ

อันที่จริงแล้ว เรื่องทั้งหมดต้องขอบคุณอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหกปีที่แล้ว จึงเป็นเหตุให้จ้าวฝู่ขับไล่จ้าวเฉียนออกจากบ้านเพื่อไตร่ตรองตัวเอง และประสบการณ์อันยากลำบากที่ผ่านมาก็ได้ช่วยขัดเกลาเขาให้กลายมาเป็นตัวเขาอย่างในปัจจุบัน ไม่อย่างนั้นเขาก็คงเติบโตมาเป็นแบบหัวเซินซวนและหัวฉีเฉิน ที่ชีวิตนี้ไม่รู้จักความลำบาก นั่งจิบไวน์เซ็นเอกสารอย่างเดียว

บางที…ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีแฝงอยู่เสมอ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+