ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 277 เลือกพูดคุยเพื่อสันติ

Now you are reading ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี Chapter 277 เลือกพูดคุยเพื่อสันติ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่277 เลือกพูดคุยเพื่อสันติ

หัวเซินซวนนั่งอยู่หัวโต๊ะเป็นประธานการประชุมตระกูลกล่าวขึ้นว่า

“ตอนนี้ทางตำรวจแจ้งกับฉันว่า พวกเขาต้องการให้พวกเราคุยกันอย่างสันติ ทุกคนมีความเห็นว่ายังไง จะเลือกวิธีสันติหรือจะสู้กับพวกมัน เราเน้นเสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก”

ทัศนคติของหัวฉีเฉิน พ่อของหัวเซียงชานมั่นคงอย่างยิ่ง เขาคำรามเสียงดังลั่นว่า

“ไม่มีทาง! ต้องสู้เท่านั้น! ถ้าไม่ใช่วิธีนี้แล้วเราจะเอาหน้าที่ไหนอยู่ในเมืองหยานจิ้งนี้ต่อไปในอนาคต? แล้วเราจะอธิบายให้เซียงชานฟังยังไง?!”

แต่ลุงของหัวเซียงชานกลับมีทัศนคติที่แตกต่างกับเขา บางคนเห็นด้วยให้ต่อสู้ใช้กำลัง ส่วนอีกกลุ่มบอกเจรจาเพื่อสันติดีกว่า เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต

เหตุผลที่หลายคนเลือกที่จะสู้ล้วนเหมือนกันหัวฉีเฉินคือ เพื่อไม่ให้เสียหน้า

ถึงการเจรจาเพื่อสันติจะส่งผลดีกว่าก็จริงในอนาคต แต่พวกเขาในฐานะตระกูลใหญ่จะยอมเสียหน้าได้ยังไง?

ฮัวฉีเฉินตะโกนลั่นกล่าวว่า

“ไร้สาระ! พวกมันเป็นฝ่ายเริ่มก่อน! จะปล่อยให้มันรังแกแบบนี้ต่อไปงั้นเหรอ? พวกเราเรียกลูกเรือทั้งหมดกลับมา อย่างน้อยๆก็รวบรวมกำลังคนกว่าหลายร้อยแล้ว ดังนั้นยังมีอะไรต้องกลัวอีก?”

หัวเซินซวนค่อนข้างระมัดระวังตัว เขากล่าวกับหัวฉีเฉินว่า

“ฉีเฉิน พรุ่งนี้แกส่งคนไปที่ท่าเรือเฉียนตงกับบริษัทรปภ.ของจ้าวฝู่ที่ไอ้เด็กนั่นยัดเงินจ้างมา พวกเราจะจ้างพวกมันกลับและให้ไปจัดการไอ้เด็กเวรนั่น! แต่ก่อนอื่นลองเจรจากันดูก่อน ถ้าความเห็นไม่ลงรอยค่อยลงมือ!”

หัวเซินซวนค่อนข้างรอบคอบจริงๆ ที่เขาต้องการทำแบบนี้ก็เพื่อเช็กดูว่าครอบครัวภูมิหลังของจ้าวเฉียนใหญ่แค่ไหน ถ้าสองบริษัทที่ไอ้เด็กนี่จ้างมาถูกพวกเขาซื้อใจไปได้ ก็หมายความว่าเบื้องหลังของมันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร การจะเด็ดหัวทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องยาก

ในทางตรงข้าม ถ้าสองบริษัทปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับตระกูลหัว นั้นหมายความว่า ตระกูลของจ้าวเฉียนไม่เพียงแค่ร่ำรวยเท่านั้น แต่ก็ยังเรืองอำนาจอีกด้วย จนถึงขั้นทั้งสองบริษัทไม่กล้าล้ำเส้นรุกราน

ทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนเข้าใจความหมายของหัวเซินซวนที่กล่าวไปดี และตกลงที่จะลองทดสอบดูในวันำรุ่งนี้ ได้ความมายังไงหลังจากนั้นค่อยลงมัติกันอีกที

เช้าวันรุ่งขึ้น หัวฉีเฉินส่งคนไปที่ท่าเรือเฉียนตงและบริษัทของจ้าวฝู่ตามลำดับ โดยเสนอราคาค่าจ่าย100ล้านหยวน แลกกับให้มากระทืบจ้าวเฉียน

และอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ทั้งสองบริษัทปฏิเสธข้อตกลงแทบจะในทันทีที่ได้ยิน

หลังจากที่หัวฉีเฉินได้รับทราบข่าวดังกล่าว เขาก็รีบไปหาหัวเซินซวนทันที

“พ่อ ดูเหมือนว่าไอ้เด็กสกุลจ้าวจะไม่ง่ายอย่างที่คิด สองบริษัทนี้ถึงขั้นปฏิเสธเงินร้อยล้าน นี่เหลือคำอธิบายได้แค่อย่างเดียว….ไอ้เด็กนี่จะต้องแซ่จ้าว…แซ่เดียวกับจ้าวฝู่แน่นอน! แต่ไม่ยักรู้เลยว่าพวกสกุลจ้าวจะใหญ่คับฟ้าขนาดนี้ในหยานจิ้ง!”

หัวฉีเฉินกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย

หัวเซินซวนที่เงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยกล่าวขึ้นมาว่า

“เหนือฟ้าย่อมมีฟ้าเสมอ ทุกหนแห่งล้วนมียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่ บางทีพวกสกุลจ้าวที่เรารู้จักอาจเป็นยอดภูเขาน้ำแข็ง สิ่งที่เห็นอาจจะเป็นเสี้ยวเดียวของพวกมัน อนิจจา…นับว่าเป็นโชคร้ายที่ดันไปยั่วยุพวกสกุลจ้าวเข้า…”

หัวฉีเฉินเอ่ยถามต่อว่า

“แล้วผมควรจะทำยังไงดี? ให้ยอมแพ้แค่นี้เหรอ?”

ในเวลาเดียวกันหัวเซียงซิ่วก็เดินเข้ามา เธอเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจว่า

“คุณปู่ นี่เราทำอะไรไม่ได้จริงๆเหรอ? หนูไม่เห็นจะเข้าใจเลย ทำไมตำรวจถึงไม่จับมัน? กฎหมายของประเทศนี้เป็นอะไรไปหมดแล้ว?”

หัวฉีเฉินกล่าวตอบพร้อมสีหน้าจริงจังกลับไปว่า

“แน่นอนว่ากฎหมายของประเทศนี้ยังศักดิ์สิทธิ์ แต่ระดับชนชั้นในสังคมมันไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น ไม่ใช่ว่า ทุกคนที่ฝ่าฝืนกฎหมายจะต้องถูกลงโทษเสมอไป นี่ยังขึ้นอยู่กับพลังอำนาจของทั้งสองฝ่ายด้วย การจะมัดตัวส่งเข้าคุกเลยไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”

หัวเซียงซิ่วเกิดและเติบโตที่อเมริกา ดังนั้นเธอจึงไม่เข้าใจความหมายที่หัวฉีเฉินพยายามจะสื่อเลย พลางรู้สึกว่ากฎหมายของประเทศนี้จ้องพ่ายแพ้ให้แก่เงินตรา

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เธอเข้ามาวุ่นวายไปมากกว่านี้ หัวเซินซวนจึงกล่าวเตือนเธอไปว่า

“เซียงซิ่ว สิ่งที่เธอไปเรียนรู้มาจากอเมริกามันมาใช้กับประเทศจีนไม่ไกเ อย่ากังวลไปดเลย พ่อของหลานกับปู่คนนี้จะจัดการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด กลับไปโรงพยาบาลดูและเซียงชานเถอะ”

หัวเซียงซิ่วพ่นลมหายใจอย่างแรงพร้อมกับท่าทีผิดหวังและเดินจากไป

หัวเซินซวนพูดกับหัวฉีเฉินว่า

“ฉีเฉิน ไปเรียกทุกคนให้มาประชุมกันเดี๋ยวนี้ เราจะหารือเกี่ยวกับแนวทางว่าจะจัดการยังไงต่อ”

หัวฉีเฉินพยักหน้าและรีบโทรเรียกทุกคนให้มาที่บ้านกันโดยด่วน

หัวเซินซวนกล่าวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ว่า

“ฉีเฉินส่งคนไปทดสอบดูแล้ว ปรากฎว่าคนที่เรากำลังสู้อยู่ด้วยคือพวกสกุลจ้าว บางทีพวกมันอาจจะทรงอำนาจกว่าที่พวกเราเห็นเพียงผิวเผิน”

เมื่อคำกล่าวพวกนี้เปล่งดังออกมา ฝูงชนพลันต้องโกลาหลในทันใด

“ผมไม่ยักรู้เลยว่าพวกสกุลจ้าวจะทรงพลังขนาดนี้!”

“ใช่แล้ว เป็นเพราะสองบริษัทนี้เป็นของพวกมันรึเปล่า?”

“ในเมืองหยานจิ้งแห่งนี้ พวกสกุลจ้าวไม่เห็นจะมีชื่อเสียงอะไรมากมายเลย?”

……………

หัวเซินซวนกล่าวตอบอย่างช่วยไม่ได้ว่า

“นี่แหละคือสิ่งที่ฉันกลัวที่สุด เพราะเราแทบไม่รู้จักตราะกูลจ้าวเลย จึงไม่รู้ว่าอีกด้านหนึ่งที่พวกเราไม่เคยเห็นมันจะทรงพลังขนาดไหน ฉันกลัวว่าสิ่งที่เราเห็นจะเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งของพวกมัน ถ้าเผลอสร้างปัญหาให้ กลับเป็นพวกเราที่จะซวย ดังนั้น…ฉันถึงเรียกทุกคนมาประชุมนี่ไง พวกแกว่าเราควรจะทำยังไงต่อไปดี?”

เมื่อได้ยินสิ่งที่หัวเซินซวนพูดไป สมาชิกแต่ละคนของตระกูลหัวก็ปั้นสีหน้าชักจะลังเลขึ้นมา กลัวว่าคราวนี้พวกเขาจะแกว่งเท้าเสี้ยนเสียเอง

แต่แค่เพราะอีกฝ่ายทรงอำนาจกว่าก็เลยยอมอย่างงั้นเหรอ? อย่าพูดถึงเรื่องศักดิ์ศรีเลย จะปล่อยให้พวกมันตัดมือหัวเซียวลานไปฟรีๆอย่างงั้นเหรอ?

ในฐานะคนเป็นะพ่อ หัวฉีเฉินย่อมไม่กลัวอยู่แล้ว เขากล่าวขึ้นทันทีว่า

“ต่อให้พวกมันจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่เรื่องนี้ผมไม่ยอมปล่อยให้จบลงง่ายๆแน่นอน เราต้องคืนความยุติธรรมให้เซียงชาน!”

ความเห็นของหัวฉีเฉินได้รับการสนับสนุนจากหลายๆคน พวกเขารู้สึกว่า ตระกูลจ้าวที่พวกเขาเคยได้ยินหรือรู้จักไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย และเป็นฝ่ายหัวเซินซวนที่คิดมากไปเองมากกว่า

อย่างไรเสียก็ยังมีบางคนที่ค่อนข้างรอบคอบ ต้องการเจรจากับอีกฝ่ายโดยสันติมากกว่า เพราะถ้าไม่รู้ไส้รู้พุงอีกฝ่ายดีพอก็ไม่ควรใช้ความรุนแรงโดยไม่จำเป็น

หัวฉีเฉินเองก็เข้าใจความคิดของคนพวกนี้ ตอนนี้มีบางอย่างเกิดขึ้นกับหัวเซียงชาน ทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำรุ่นที่สี่ของตระกูลหัว และถ้าพวกเขาลงมือสุ่มสี่สุ่มห้าและพลาดท่าขึ้นมา นั่นหมายถึงอนานคตของตระกูลหัวเตรียมตัวจบสิ้นได้เลย

เมื่อพิจารณาสถานการณ์โดยรวม หัวเซินซวนก็ตัดสินใจได้ในที่สุด เขาป่าวประกาศเสียงดังว่า

“ฉันคิดว่าโดยส่วนใหญ่ต้องการให้เจรจาอย่างสันติ แม้ว่าสิ่งนี้จะเป็นความอัปยศครั้งใหญ่สำหรับตระกูลเรา แต่เพื่อประโยชน์ของลูกหลานในอนาคต นี่คงเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดแล้ว อย่างไรก็ตาม นี่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะปล่อยให้เซียงชานได้รับความอยุติธรรมเช่นกัน”

หัวฉีเฉินที่ได้ยินแบบนั้นก็ลุกขึ้นคัดค้านทันที

“พ่อ! เซียงชานเป็นหลานชายของพ่อนะ! ทำไมถึงปฏิบัติกับเขาเย็นชาแบบนี้ แม้ว่าครอบครัวอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งขนาดไหน เราก็จะไม่มีวันยอมก้มหัวให้มันเด็ดขาด!”

หัวเซินซวนตบโต๊ะดังปังลุกขึ้นพร้อมชี้หน้าทุกคนให้เห็น กล่าวว่า

“แล้วคนอื่นๆในนี้มีใครกล้าเสี่ยงตายไปพร้อมกับแกไหม! พวกเราตระกูลหัวมีกันเกือบร้อยคน ถ้าตัดสินใจอะไรโดยไม่คิด อาจจะทำให้ทุกคนเดือดร้อนกันหมด!”

ในความเป็นจริง การที่หัวเซินซวนตัดสินใจแบบนี้ก็หมายความได้อีกอย่างว่า เขาถอดตำแหน่งผู้สืบทอดออกจากหัวเซียงชานแล้ว เป็นใครจะยอมเสี่ยงฝากอนาคตของตระกูลไว้กับคนพิการ?

หัวฉีเฉินต้องการจะโต้แย่งกลับ แต่โดนหัวเซินซวนตะคอกสวนก่อนว่า

“เพราะฉันยังรักเซียงชานอยู่ไง จึงตัดสินใจเลือกที่จะยอมก้มหัวขอโทษและเจรจาหาข้อตกลงที่เป็นธรรมที่สุดสำหรับเขา! อีกอย่างหลานชายที่จะขั้นมาสืบทอดตระกูลยังมีอีกตั้งมากมาย ทั้งเซียงจุน เซียงหยุน เซียงไห่ ฉันรักหลานทุกคนเท่ากัน และการเลือกที่จะเลี่ยงปะทะก็เพื่อความเป็นอยู่ของทุกคน!”

ความหมายของหัวเซินซวนค่อนข้างชัดเจนมาก เขาไม่ยอมปล่อยให้เรื่องของหัวเซียงชานเพียงคนเดียว มาทำลายอนาคตของหลานๆทั้งหลายในตระกูลหัวอย่างเด็ดขาด

แต่สำหรับหัวฉีเฉินกับหัวเซียงชาน สองพ่อลูกคู่นี้ มันไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือการทอดทิ้งกันอย่างชัดแจ้ง

หัวฉีเฉินโกรธจัด ลุกขึ้นพรวกและเดินจากออกไปโดยตรง

ดวงตาคู่นั้นของหัวเซินซวนที่สาดสะท้อนออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ทำอะไรไม่ถูก ใจหนึ่งเขาก็รักทั้งลูกทั้งหลานคนนี้ แต่ในฐานะผู้นำครอบครัว เขาจำเป็นต้องพิจารณาและคำนึงถึงส่วนร่วมเป็นหลัก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 277 เลือกพูดคุยเพื่อสันติ

Now you are reading ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี Chapter 277 เลือกพูดคุยเพื่อสันติ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่277 เลือกพูดคุยเพื่อสันติ

หัวเซินซวนนั่งอยู่หัวโต๊ะเป็นประธานการประชุมตระกูลกล่าวขึ้นว่า

“ตอนนี้ทางตำรวจแจ้งกับฉันว่า พวกเขาต้องการให้พวกเราคุยกันอย่างสันติ ทุกคนมีความเห็นว่ายังไง จะเลือกวิธีสันติหรือจะสู้กับพวกมัน เราเน้นเสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก”

ทัศนคติของหัวฉีเฉิน พ่อของหัวเซียงชานมั่นคงอย่างยิ่ง เขาคำรามเสียงดังลั่นว่า

“ไม่มีทาง! ต้องสู้เท่านั้น! ถ้าไม่ใช่วิธีนี้แล้วเราจะเอาหน้าที่ไหนอยู่ในเมืองหยานจิ้งนี้ต่อไปในอนาคต? แล้วเราจะอธิบายให้เซียงชานฟังยังไง?!”

แต่ลุงของหัวเซียงชานกลับมีทัศนคติที่แตกต่างกับเขา บางคนเห็นด้วยให้ต่อสู้ใช้กำลัง ส่วนอีกกลุ่มบอกเจรจาเพื่อสันติดีกว่า เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต

เหตุผลที่หลายคนเลือกที่จะสู้ล้วนเหมือนกันหัวฉีเฉินคือ เพื่อไม่ให้เสียหน้า

ถึงการเจรจาเพื่อสันติจะส่งผลดีกว่าก็จริงในอนาคต แต่พวกเขาในฐานะตระกูลใหญ่จะยอมเสียหน้าได้ยังไง?

ฮัวฉีเฉินตะโกนลั่นกล่าวว่า

“ไร้สาระ! พวกมันเป็นฝ่ายเริ่มก่อน! จะปล่อยให้มันรังแกแบบนี้ต่อไปงั้นเหรอ? พวกเราเรียกลูกเรือทั้งหมดกลับมา อย่างน้อยๆก็รวบรวมกำลังคนกว่าหลายร้อยแล้ว ดังนั้นยังมีอะไรต้องกลัวอีก?”

หัวเซินซวนค่อนข้างระมัดระวังตัว เขากล่าวกับหัวฉีเฉินว่า

“ฉีเฉิน พรุ่งนี้แกส่งคนไปที่ท่าเรือเฉียนตงกับบริษัทรปภ.ของจ้าวฝู่ที่ไอ้เด็กนั่นยัดเงินจ้างมา พวกเราจะจ้างพวกมันกลับและให้ไปจัดการไอ้เด็กเวรนั่น! แต่ก่อนอื่นลองเจรจากันดูก่อน ถ้าความเห็นไม่ลงรอยค่อยลงมือ!”

หัวเซินซวนค่อนข้างรอบคอบจริงๆ ที่เขาต้องการทำแบบนี้ก็เพื่อเช็กดูว่าครอบครัวภูมิหลังของจ้าวเฉียนใหญ่แค่ไหน ถ้าสองบริษัทที่ไอ้เด็กนี่จ้างมาถูกพวกเขาซื้อใจไปได้ ก็หมายความว่าเบื้องหลังของมันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร การจะเด็ดหัวทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องยาก

ในทางตรงข้าม ถ้าสองบริษัทปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับตระกูลหัว นั้นหมายความว่า ตระกูลของจ้าวเฉียนไม่เพียงแค่ร่ำรวยเท่านั้น แต่ก็ยังเรืองอำนาจอีกด้วย จนถึงขั้นทั้งสองบริษัทไม่กล้าล้ำเส้นรุกราน

ทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนเข้าใจความหมายของหัวเซินซวนที่กล่าวไปดี และตกลงที่จะลองทดสอบดูในวันำรุ่งนี้ ได้ความมายังไงหลังจากนั้นค่อยลงมัติกันอีกที

เช้าวันรุ่งขึ้น หัวฉีเฉินส่งคนไปที่ท่าเรือเฉียนตงและบริษัทของจ้าวฝู่ตามลำดับ โดยเสนอราคาค่าจ่าย100ล้านหยวน แลกกับให้มากระทืบจ้าวเฉียน

และอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ทั้งสองบริษัทปฏิเสธข้อตกลงแทบจะในทันทีที่ได้ยิน

หลังจากที่หัวฉีเฉินได้รับทราบข่าวดังกล่าว เขาก็รีบไปหาหัวเซินซวนทันที

“พ่อ ดูเหมือนว่าไอ้เด็กสกุลจ้าวจะไม่ง่ายอย่างที่คิด สองบริษัทนี้ถึงขั้นปฏิเสธเงินร้อยล้าน นี่เหลือคำอธิบายได้แค่อย่างเดียว….ไอ้เด็กนี่จะต้องแซ่จ้าว…แซ่เดียวกับจ้าวฝู่แน่นอน! แต่ไม่ยักรู้เลยว่าพวกสกุลจ้าวจะใหญ่คับฟ้าขนาดนี้ในหยานจิ้ง!”

หัวฉีเฉินกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย

หัวเซินซวนที่เงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยกล่าวขึ้นมาว่า

“เหนือฟ้าย่อมมีฟ้าเสมอ ทุกหนแห่งล้วนมียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่ บางทีพวกสกุลจ้าวที่เรารู้จักอาจเป็นยอดภูเขาน้ำแข็ง สิ่งที่เห็นอาจจะเป็นเสี้ยวเดียวของพวกมัน อนิจจา…นับว่าเป็นโชคร้ายที่ดันไปยั่วยุพวกสกุลจ้าวเข้า…”

หัวฉีเฉินเอ่ยถามต่อว่า

“แล้วผมควรจะทำยังไงดี? ให้ยอมแพ้แค่นี้เหรอ?”

ในเวลาเดียวกันหัวเซียงซิ่วก็เดินเข้ามา เธอเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจว่า

“คุณปู่ นี่เราทำอะไรไม่ได้จริงๆเหรอ? หนูไม่เห็นจะเข้าใจเลย ทำไมตำรวจถึงไม่จับมัน? กฎหมายของประเทศนี้เป็นอะไรไปหมดแล้ว?”

หัวฉีเฉินกล่าวตอบพร้อมสีหน้าจริงจังกลับไปว่า

“แน่นอนว่ากฎหมายของประเทศนี้ยังศักดิ์สิทธิ์ แต่ระดับชนชั้นในสังคมมันไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น ไม่ใช่ว่า ทุกคนที่ฝ่าฝืนกฎหมายจะต้องถูกลงโทษเสมอไป นี่ยังขึ้นอยู่กับพลังอำนาจของทั้งสองฝ่ายด้วย การจะมัดตัวส่งเข้าคุกเลยไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”

หัวเซียงซิ่วเกิดและเติบโตที่อเมริกา ดังนั้นเธอจึงไม่เข้าใจความหมายที่หัวฉีเฉินพยายามจะสื่อเลย พลางรู้สึกว่ากฎหมายของประเทศนี้จ้องพ่ายแพ้ให้แก่เงินตรา

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เธอเข้ามาวุ่นวายไปมากกว่านี้ หัวเซินซวนจึงกล่าวเตือนเธอไปว่า

“เซียงซิ่ว สิ่งที่เธอไปเรียนรู้มาจากอเมริกามันมาใช้กับประเทศจีนไม่ไกเ อย่ากังวลไปดเลย พ่อของหลานกับปู่คนนี้จะจัดการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด กลับไปโรงพยาบาลดูและเซียงชานเถอะ”

หัวเซียงซิ่วพ่นลมหายใจอย่างแรงพร้อมกับท่าทีผิดหวังและเดินจากไป

หัวเซินซวนพูดกับหัวฉีเฉินว่า

“ฉีเฉิน ไปเรียกทุกคนให้มาประชุมกันเดี๋ยวนี้ เราจะหารือเกี่ยวกับแนวทางว่าจะจัดการยังไงต่อ”

หัวฉีเฉินพยักหน้าและรีบโทรเรียกทุกคนให้มาที่บ้านกันโดยด่วน

หัวเซินซวนกล่าวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ว่า

“ฉีเฉินส่งคนไปทดสอบดูแล้ว ปรากฎว่าคนที่เรากำลังสู้อยู่ด้วยคือพวกสกุลจ้าว บางทีพวกมันอาจจะทรงอำนาจกว่าที่พวกเราเห็นเพียงผิวเผิน”

เมื่อคำกล่าวพวกนี้เปล่งดังออกมา ฝูงชนพลันต้องโกลาหลในทันใด

“ผมไม่ยักรู้เลยว่าพวกสกุลจ้าวจะทรงพลังขนาดนี้!”

“ใช่แล้ว เป็นเพราะสองบริษัทนี้เป็นของพวกมันรึเปล่า?”

“ในเมืองหยานจิ้งแห่งนี้ พวกสกุลจ้าวไม่เห็นจะมีชื่อเสียงอะไรมากมายเลย?”

……………

หัวเซินซวนกล่าวตอบอย่างช่วยไม่ได้ว่า

“นี่แหละคือสิ่งที่ฉันกลัวที่สุด เพราะเราแทบไม่รู้จักตราะกูลจ้าวเลย จึงไม่รู้ว่าอีกด้านหนึ่งที่พวกเราไม่เคยเห็นมันจะทรงพลังขนาดไหน ฉันกลัวว่าสิ่งที่เราเห็นจะเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งของพวกมัน ถ้าเผลอสร้างปัญหาให้ กลับเป็นพวกเราที่จะซวย ดังนั้น…ฉันถึงเรียกทุกคนมาประชุมนี่ไง พวกแกว่าเราควรจะทำยังไงต่อไปดี?”

เมื่อได้ยินสิ่งที่หัวเซินซวนพูดไป สมาชิกแต่ละคนของตระกูลหัวก็ปั้นสีหน้าชักจะลังเลขึ้นมา กลัวว่าคราวนี้พวกเขาจะแกว่งเท้าเสี้ยนเสียเอง

แต่แค่เพราะอีกฝ่ายทรงอำนาจกว่าก็เลยยอมอย่างงั้นเหรอ? อย่าพูดถึงเรื่องศักดิ์ศรีเลย จะปล่อยให้พวกมันตัดมือหัวเซียวลานไปฟรีๆอย่างงั้นเหรอ?

ในฐานะคนเป็นะพ่อ หัวฉีเฉินย่อมไม่กลัวอยู่แล้ว เขากล่าวขึ้นทันทีว่า

“ต่อให้พวกมันจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่เรื่องนี้ผมไม่ยอมปล่อยให้จบลงง่ายๆแน่นอน เราต้องคืนความยุติธรรมให้เซียงชาน!”

ความเห็นของหัวฉีเฉินได้รับการสนับสนุนจากหลายๆคน พวกเขารู้สึกว่า ตระกูลจ้าวที่พวกเขาเคยได้ยินหรือรู้จักไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย และเป็นฝ่ายหัวเซินซวนที่คิดมากไปเองมากกว่า

อย่างไรเสียก็ยังมีบางคนที่ค่อนข้างรอบคอบ ต้องการเจรจากับอีกฝ่ายโดยสันติมากกว่า เพราะถ้าไม่รู้ไส้รู้พุงอีกฝ่ายดีพอก็ไม่ควรใช้ความรุนแรงโดยไม่จำเป็น

หัวฉีเฉินเองก็เข้าใจความคิดของคนพวกนี้ ตอนนี้มีบางอย่างเกิดขึ้นกับหัวเซียงชาน ทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำรุ่นที่สี่ของตระกูลหัว และถ้าพวกเขาลงมือสุ่มสี่สุ่มห้าและพลาดท่าขึ้นมา นั่นหมายถึงอนานคตของตระกูลหัวเตรียมตัวจบสิ้นได้เลย

เมื่อพิจารณาสถานการณ์โดยรวม หัวเซินซวนก็ตัดสินใจได้ในที่สุด เขาป่าวประกาศเสียงดังว่า

“ฉันคิดว่าโดยส่วนใหญ่ต้องการให้เจรจาอย่างสันติ แม้ว่าสิ่งนี้จะเป็นความอัปยศครั้งใหญ่สำหรับตระกูลเรา แต่เพื่อประโยชน์ของลูกหลานในอนาคต นี่คงเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดแล้ว อย่างไรก็ตาม นี่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะปล่อยให้เซียงชานได้รับความอยุติธรรมเช่นกัน”

หัวฉีเฉินที่ได้ยินแบบนั้นก็ลุกขึ้นคัดค้านทันที

“พ่อ! เซียงชานเป็นหลานชายของพ่อนะ! ทำไมถึงปฏิบัติกับเขาเย็นชาแบบนี้ แม้ว่าครอบครัวอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งขนาดไหน เราก็จะไม่มีวันยอมก้มหัวให้มันเด็ดขาด!”

หัวเซินซวนตบโต๊ะดังปังลุกขึ้นพร้อมชี้หน้าทุกคนให้เห็น กล่าวว่า

“แล้วคนอื่นๆในนี้มีใครกล้าเสี่ยงตายไปพร้อมกับแกไหม! พวกเราตระกูลหัวมีกันเกือบร้อยคน ถ้าตัดสินใจอะไรโดยไม่คิด อาจจะทำให้ทุกคนเดือดร้อนกันหมด!”

ในความเป็นจริง การที่หัวเซินซวนตัดสินใจแบบนี้ก็หมายความได้อีกอย่างว่า เขาถอดตำแหน่งผู้สืบทอดออกจากหัวเซียงชานแล้ว เป็นใครจะยอมเสี่ยงฝากอนาคตของตระกูลไว้กับคนพิการ?

หัวฉีเฉินต้องการจะโต้แย่งกลับ แต่โดนหัวเซินซวนตะคอกสวนก่อนว่า

“เพราะฉันยังรักเซียงชานอยู่ไง จึงตัดสินใจเลือกที่จะยอมก้มหัวขอโทษและเจรจาหาข้อตกลงที่เป็นธรรมที่สุดสำหรับเขา! อีกอย่างหลานชายที่จะขั้นมาสืบทอดตระกูลยังมีอีกตั้งมากมาย ทั้งเซียงจุน เซียงหยุน เซียงไห่ ฉันรักหลานทุกคนเท่ากัน และการเลือกที่จะเลี่ยงปะทะก็เพื่อความเป็นอยู่ของทุกคน!”

ความหมายของหัวเซินซวนค่อนข้างชัดเจนมาก เขาไม่ยอมปล่อยให้เรื่องของหัวเซียงชานเพียงคนเดียว มาทำลายอนาคตของหลานๆทั้งหลายในตระกูลหัวอย่างเด็ดขาด

แต่สำหรับหัวฉีเฉินกับหัวเซียงชาน สองพ่อลูกคู่นี้ มันไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือการทอดทิ้งกันอย่างชัดแจ้ง

หัวฉีเฉินโกรธจัด ลุกขึ้นพรวกและเดินจากออกไปโดยตรง

ดวงตาคู่นั้นของหัวเซินซวนที่สาดสะท้อนออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ทำอะไรไม่ถูก ใจหนึ่งเขาก็รักทั้งลูกทั้งหลานคนนี้ แต่ในฐานะผู้นำครอบครัว เขาจำเป็นต้องพิจารณาและคำนึงถึงส่วนร่วมเป็นหลัก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+