ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 312 ต้านไม่ไหว

Now you are reading ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี Chapter 312 ต้านไม่ไหว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่312 ต้านไม่ไหว

หัวเซินซวนได้แสดงทัศนคติอันมั่นคงให้แก่ทุกคนได้เห็นแล้ว แม้แต่ลูกชายตัวเองยังโดนชับไล่ไสส่งอย่างไม่ไยดี ซึ่งนี่เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าเขาจริงใจขนาดไหน

คนงานส่วนใหญ่พร้อมใจเลิกประท้วงแล้ว และเดินขึ้นโหลดสินคค้าขึ้นเรือก่อนออกเดินทาง เรื่องขึ้นค่าแรงค่อยว่ากันวันพรุ่งนี้อีกที

บรรดาบอดี้การ์ดของหัวเซินซวรวิ่งลงไปจับคนงานอยู่กลุ่มหนึ่ง พวกเขาเหล่านี้คือแกนนำการประท้วง หรือก็คือพวกไส้ศึกของท่าเรือเฉียนตงนั้นเอง

แต่ทันทีทันใด หวางอวี่จุนก็พาพวกมากลุ่มหนึ่ง แต่ละคนเดินถ่ายคลิปวีดีโอมาแต่ไกล

หัวเซินซวนเห็นดังนั้นก็เดือดจัด ชี้หน้าด่าหวางอวี่จุนทันทีว่า

“พวกแกกำลังทำบ้าอะไรอยู่? ใครใช้ให้แกถ่ายคลิป? ลบไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะสั่งพวกบอดี้การ์ดให้ไปแย่งมาเอง! เลิกกวนประสาทฉันได้แล้วก่อนที่จะหมดความอดทน!”

หวางอวี่จุนหัวเราะและกล่าวตอบไปว่า

“ประธานหัวคงคิดว่าตัวเองมีอำนาจเหนือหัวคนอื่นใช่ไหม? ผมเป็นคนของท่าเรือเฉียนตงทำไมต้องฟังคำพูดของคุณด้วย?”

หัวเซินซวนพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ใส่ไปทีหนึ่งและกล่าวว่า

“แล้วแกมีสิทธิ์อะไรมาถ่ายคลิปพวกเรา ไอ้สิ่งที่แกกำลังถ่ายมันอยู่ในอาณาเขตของฉัน! และฉันเองก็ไม่อนุญาต! รีบลบมันทิ้งไปซะ!”

รอยยิ้มบนใบหน้าของหวางอวี่จุนหายวับทันควัน แทนที่ด้วยความมืดมนทันที เขากล่าวพร้อมน้ำเสียงแข็งกระด้างยิ่งว่า

“ผมยังคงเคราพท่านประธานหัวอยู่เสมอนะครับ แต่ผมไม่เข้าใจจริงๆว่าคุณกำลังพล่ามอะไรอยู่? วันนี้เห็นว่าอากาศค่อนข้างแจ่มใสเลยอยากไลฟ์สดลงบนโซเซียลแค่นั้นเอง!”

หัวเซินซวนยิ่งโกรธจัดเข้าไปใหญ่ คำรามเสียงดังลั่นว่า

“แกกล้า!? นี่แกกำลังรนหาที่ตายอยู่รึไง!? อย่าคิดว่าเป็นผู้จัดการของท่าเรือเฉียนตงแล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจอยาก! ต่อหน้าฉัน หัวเซินซวน แกมันก็แค่มดปลวกเท่านั้น!”

หวางอวี่จึนยังคงปั้นสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก ปัจจุบันเขายังมีจ้าวเฉียนคอยหนุนหลังอยู่ แล้วทำไมถึงต้องกลัวคำขู่ของหัวเซินซวนด้วย?

“ถ้าประธานหัวยังไม่หยุดพล่าม ระวังคนของผมอารมณ์เสียเอานะ!”

ได้ทีหวางอวี่จุนกล่าวขู่สวน

หัวเซินซวนโกรธจัดจนมือไม้สั่นเทาไปหมดแล้ว ตะโกนขึ้นเสียงคำโตสั่งการพวกบอดี้การ์ดให้ไปหยิบโทรศัพท์มือถือในมือของคนพวกนั้นทิ้งไปซะ

หวางอวี่จุนถ่มน้ำลายใส่พื้นไปทีหนึ่ง ตะคอกสุ่มเสียงเย็นชาขึ้นลั่นว่า

“พวกมึงกล้าก็เข้ามา! คิดว่ากูไม่มีคนช่วยรึไง!”

ทันใดนั้นเอง ก็มีกลุ่มคนงานแห่ออกมาเป็นโขยงจากโกดังสินค้าท่าเรือเฉียนตงพร้อมเครื่องไม้เครื่องมือและอาวุธต่างๆในมือ

หัวเซินซวนเข้าใจชักแม่น้ำทั้งแปดปะติปะต่อเรื่องได้ทันที ปรากฏว่าเหตุการณ์ทั้งหมดในครั้งนี้เกิดจากแผนการของหวางอวี่จุน เพื่อสร้างความแตกแยกภายในท่าเรือหัว

ไม่นานบรรดาคนงานทั้งหลายจากท่าเรือเฉียนตงก็ออกมา พวกบอดี้การ์ดที่กำลังกุมตัวแกนนำคนงานก็เริ่มหวาดกลัวร่นถอยออกห่าง

หัวเซินซวนพยายามสงบสติอารมณ์โดยไวและเอ่ยถามเสียงดังว่า

“นี่มึงคิดจะสู้กับกูใช่ไหม?! กูก็อยากเห็นเหมือนกันว่าพวกมึงจะตายยังไง!”

หวางอวี่จุนยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ประธานหัวโปรดมั่นใจได้ จะไม่มีพวกเราสักคนล้ำเส้นอาณาเขตของคุณ อย่างไรก็ตาม ผมก็ขอเตือนไว้ก่อนว่า อย่าคิดหาเรื่องคุกคามสิทธิ์เสรีภาพของพวกผมเช่นกัน จุดที่ผมยืนอยู่คืออาณาเขตของท่าเรือเฉียนตง และผมจะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ! ไม่ใช่ให้คนนอกอย่างคุณมาบงการ!”

ในเวลานี้เอง บรรดาแกนนำที่เป็นไส้ศึกและโดนพวกบอดี้การ์ดกุมตัวอยู่ จู่ๆก็ตะโกนออกมาว่า

“ช่วยพวกเราด้วย! พวกเราอยากย้ายไปทำงานให้พวกคุณท่าเรือเฉียนตง!”

“คุณช่วยเอาวีดีโอที่ถ่ายทั้งหมดลงบนอินเตอร์ที แฉให้ทุกคนรู้ว่าพวกท่าเรือหัวมันปฏิบัติต่อคนงานอย่างพวกเรายังไง!”

“ใช่แล้ว! รีบถ่ายใบหน้าของชายแก่คนนี้เร็ว! นี่แหละโฉมหน้าที่แท้จริงที่บงการท่าเรือหัว!”

……….

หวางอวี่จุนแอบแสยะยิ้มมุมปากอย่างลับๆ และโบกมือขึ้นขอให้ทุกคนเงียบก่อนจึงถามว่า

“พวกคุณอยากย้ายมาทำงานกับทางเราจริงๆเหรอ?”

แต่เดิมพวกเขาก็เป็นไส้ศึกของท่าเรือเฉียนตงอยู่แล้ว ยามนี้ถึงเวลาที่แต่ละคนต้องแสดงละครฉากใหญ่

“คนอื่นผมไม่รู้ แต่ความรู้สึกนี้ของผมมันออกมาจากใจจริง! ผมอยากเติบโตไปพร้อมกับท่าเรือเฉียนตง!”

“ใช่แล้ว! ผมด้วย! พวกคุณดูแลพนักงานทุกคนด้วยความจริงใจ ดังนั้นพวกเราเองก็จะปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์และจริงใจเช่นกัน!”

“ผมด้วยครับ! ผมด้วย…”

……..

ทันใดนั้นเอง ท่าเรือหัวก็เกิดจลาจลขึ้นอีกครั้งฉับพลัน ทุกคนต่างแสดงจุดยืนของตัวเองหวังเพื่อจะได้เข้าทำงานในท่าเรือเฉียนตง

หัวเซินซวนทั้งตื่นตระหนกและประหลาดใจอย่างมากกับภาพฉากดังกล่าว หากคนงานพวกนี้ออกไป เรือขนส่งของวันนี้จะไม่สามารถออกได้เลยสักลำ

ไม่ว่าจะกรณัใด ถ้าท่าเรือหัวไม่สามารถขนส่งสินค้าของบริษัทเมล็ดพืชการาจและไชน่าปิโตรเคมีได้ตามกำหนด ผลที่ตามมาจะร้ายแรงอย่างยิ่ง

หัวเซินซวนตะโกนแทรกขึ้นทันที

“ทุกคน! ทุกคน! สิ่งที่ทุกคนต้องการคือการเพิ่มค่าแรงใช่ไหม? ช่วยฉันทำงานในวันนี้ให้ลุล่วงก่อนได้ไหม แล้วเราจะมานั่งคุยกันเรื่องแผนการปรับขึ้นค่าแรง! พรุ่งนี้รับประกันได้เลยว่าสัญญาจ้างฉบับใหม่ส่งตรงถึงมือทุกคนแน่นอน! ฉันหัวเซินซวนขอเอาหัวเป็นประกัน!”

คนงานเริ่มลังเลกันอีกครั้ง และเริ่มมีหลายคนตักสินใจหยุดประท้วงแล้ว

แต่ในขณะเดียวกัน จู่ๆก็มีนักข่าวกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามามากมาย พวกเขาไม่พูดพล่ำทำเพลงถ่ายหน้าหัวเซินซวนก่อนเป็นอย่างแรก

หัวเซินซวนที่เห็นแบบนั้นก็ตวาดใส่ทันที

“พวกแกเป็นใคร! มีสิทธิ์อะไรมาถ่ายหน้าฉัน!?”

นักข่าวเหล่านี้เร่งแสดงบัตรประจำตัวของแต่ละคนทันที และหัวเซินซวนที่เห็นแบบนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก นักข่าวเหล่านี้มาจากสื่อใหญ่ในหวานจิ้ง ถ้าทำให้คนพวกนี้ขุ่นเคืองขึ้นมา อาจจะโดนแกล้งประโคมข่าวโจมตีในทางลบได้

“เพื่อนนักข่าวทุกท่านโปรดใจเย็นก่อน ผมค่อนข้างสนิทกับหัวหน้ากองบรรณามธิการของพวกคุณ ถ้ายังถ่ายหน้าผมอยู่แบบนี้ ผมคงต้องแจ้งไปทางหัวหน้าของพวกคุณโดยตรง ทางที่ดีรบกวนออกไปจากที่ตรงนี้ด้วยครับ ไม่อย่างนั้นเจ้านายของคุณอาจปลดพวกคุณออกได้ อย่าหาว่าผมไม่เตือน”

หัวเซินซวนพยายามกล่าวข่มขู่พวกนักข่าวไป

แต่พวกนักข่าวเหล่านี้มาเพื่อบันทึกถ่ายและทำข่าวตามคำสั่งจากหัวหน้าของพวกเขานี่แหละ จึงไม่ได้สนใจฟังอะไรและเริ่มจดบันทึกในสมุดโน๊ตตามรูปการร์ที่เห็นในปัจจุบัน

ไม่ว่าหัวเซินซวนจะข่มขู่สักเท่าไหร่ มันก็ไร้ประโยชน์ พวกนักข่าวยังคงถ่ายภาพและจดบันทึกต่อไป

และสิ่งที่ซวยที่สุดคือ บริเวณที่นักข่าวเหล่านี้กำลังใช้ถ่ายทำอยู่กลับเป็นอาณาเขตของท่าเรือเฉียนตง และหัวเซินซวนไม่กล้าเสี่ยงล้ำเส้นไปยังอีกฝ่าย เพราะกลัวว่าหวางอวี่จุนจะพาพวกคนงานบุกมาทั้งแบบนี้

ชั่วอึดใจต่อมา พวกคนงานแกนนำที่โดนพวกบอดี้ดาร์ดคุมตัวก็ใช้โอกาสชุลมุนนี้วิ่งหนีเข้าไปยังอาณาเขตของท่าเรือเฉียนตงทันที

“พี่น้องทั้งหลาย นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของทุกคนแล้ว! ถ้าพลาดมันไปแล้วอาจต้องเสียใจไปตลอดชีวิต!”

“พวกเราทำอาชีพเดียวกันแต่ทางเฉียนตงกลับให้เงินเดือนมากกว่าถึงสองเท่าตัว! ก็คิดดูแล้วกันว่าจะยอมให้ถูกกดขี่ต่อไป หรือมาตั้งตัวใหม่ด้วยกันที่นี่!”

“พี่น้องมาเถอะ! มาเป็นครอบครัวเดียวกันในอนาคต!”

……..

พอพวกแกนนำคนงานพูดปลุกใจออกไปแบบนี้ ยิ่งทำให้คนงานของท่าเรือหัวยิ่งรู๔สึกกระวนกระวายใจเข้าไปใหญ่ หลังจากคำพูดกินใจสั้นๆ ทันใดนั้นก็มีคนงานคนหนึ่งเข้าข้ามเส้นแบ่งอาณาเขตเข้ามายังท่าเรือเฉียนตงอย่างกล้าหาญ

ตราบใดที่มีคนเริ่มย่อมมีคนตามเสมอ พวกที่เหลือค่อยๆถยอยกันเข้าตามกันไปอย่างรวดเร็ว คล้อยหลังผ่านไปได้สิบอึดใจ จำนวนคนงานของฝ่ายท่าเรือหัวก็ลดลงมากกว่าครึ่ง!

ภาพฉากนี้ยิ่งทำให้หัวเซินซวนวิตกกังวลหนัก เขารีบตะโกนเสียงดังลั่นว่า

“อย่า! อย่าไป! กลับมาเดี๋ยวนี้! พวกมันแค่หลอกพวกแกไปเท่านั้น! รีบกลับมาหาฉันเร็วๆเข้า!”

ทว่าราวกับคนงานพวกนั้นไม่ได้ยินเสียงตะโกนของเขา และแห่เข้ามาที่ท่าเรือเฉียนตง

หัวเซินซวนไม่สามารถทนได้ไหวอีกต่อไป เขาตะโกนสั่งให้พวกบอดี้การ์ดเข้าไปหยุดคนงานทันที ห้ามปล่อยให้คนพวกนั้นล้ำเส้นอาณาเขตไปได้โดยเด็ดขาด

พวกบอดี้การ์ดรีบรุกขึ้นหน้า มีกันโดยรวมสามสี่คน แต่แน่นอนว่าด้วยจำนวนที่มากกว่ามากของพวกคนงาน บอดี้การ์ดเพียงไม่กี่คนจะไปต้านทานไหวได้อย่างไร?

“พวกแกจะทำอะไร! ปล่อย! ปล่อยเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นพวกเราจะแจ้งตำรวจ!”

“ใช่! ถ้ายังกล้าหยุดพวกเรา เราจะโทรแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้!”

“เลิกพูดไร้สาระกับพวกมันได้แล้ว รับโทรแจ้งตำรวจกันเถอะ! โอกาสดีๆแบบนี้จะปล่อยให้หลุดมือได้ยังไง พวกเราไม่ยอม!”

………….

พวกคนงานหงุดหงิดกันอย่างมากเมื่อบอดี้การ์ดเหล่านี้พยายามฉุดรั้งไม่ยอมให้ออกไป ไม่นานก็มีพนักงานคนหนึ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นและกำลังจะกดโทรแจ้งตำรวจ

แต่ทันใดนั้นเอง เสียงไซเรนตำรวจก็ดังขึ้นจากไม่ใกล้ไม่ไกล ทุกคนทั่วบริเวณต่างยืนอึ้งอ้าปากค้างกันเป็นแถว ทำไมรถตำรวจถึงมาก่อนที่จะกดโทรแจ้งอีกล่ะ? หรือเบื้องหลังของพวกเขามีมหาศาสดาที่มองไม่เห็นคอยช่วยเหลืออยู่?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 312 ต้านไม่ไหว

Now you are reading ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี Chapter 312 ต้านไม่ไหว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่312 ต้านไม่ไหว

หัวเซินซวนได้แสดงทัศนคติอันมั่นคงให้แก่ทุกคนได้เห็นแล้ว แม้แต่ลูกชายตัวเองยังโดนชับไล่ไสส่งอย่างไม่ไยดี ซึ่งนี่เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าเขาจริงใจขนาดไหน

คนงานส่วนใหญ่พร้อมใจเลิกประท้วงแล้ว และเดินขึ้นโหลดสินคค้าขึ้นเรือก่อนออกเดินทาง เรื่องขึ้นค่าแรงค่อยว่ากันวันพรุ่งนี้อีกที

บรรดาบอดี้การ์ดของหัวเซินซวรวิ่งลงไปจับคนงานอยู่กลุ่มหนึ่ง พวกเขาเหล่านี้คือแกนนำการประท้วง หรือก็คือพวกไส้ศึกของท่าเรือเฉียนตงนั้นเอง

แต่ทันทีทันใด หวางอวี่จุนก็พาพวกมากลุ่มหนึ่ง แต่ละคนเดินถ่ายคลิปวีดีโอมาแต่ไกล

หัวเซินซวนเห็นดังนั้นก็เดือดจัด ชี้หน้าด่าหวางอวี่จุนทันทีว่า

“พวกแกกำลังทำบ้าอะไรอยู่? ใครใช้ให้แกถ่ายคลิป? ลบไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะสั่งพวกบอดี้การ์ดให้ไปแย่งมาเอง! เลิกกวนประสาทฉันได้แล้วก่อนที่จะหมดความอดทน!”

หวางอวี่จุนหัวเราะและกล่าวตอบไปว่า

“ประธานหัวคงคิดว่าตัวเองมีอำนาจเหนือหัวคนอื่นใช่ไหม? ผมเป็นคนของท่าเรือเฉียนตงทำไมต้องฟังคำพูดของคุณด้วย?”

หัวเซินซวนพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ใส่ไปทีหนึ่งและกล่าวว่า

“แล้วแกมีสิทธิ์อะไรมาถ่ายคลิปพวกเรา ไอ้สิ่งที่แกกำลังถ่ายมันอยู่ในอาณาเขตของฉัน! และฉันเองก็ไม่อนุญาต! รีบลบมันทิ้งไปซะ!”

รอยยิ้มบนใบหน้าของหวางอวี่จุนหายวับทันควัน แทนที่ด้วยความมืดมนทันที เขากล่าวพร้อมน้ำเสียงแข็งกระด้างยิ่งว่า

“ผมยังคงเคราพท่านประธานหัวอยู่เสมอนะครับ แต่ผมไม่เข้าใจจริงๆว่าคุณกำลังพล่ามอะไรอยู่? วันนี้เห็นว่าอากาศค่อนข้างแจ่มใสเลยอยากไลฟ์สดลงบนโซเซียลแค่นั้นเอง!”

หัวเซินซวนยิ่งโกรธจัดเข้าไปใหญ่ คำรามเสียงดังลั่นว่า

“แกกล้า!? นี่แกกำลังรนหาที่ตายอยู่รึไง!? อย่าคิดว่าเป็นผู้จัดการของท่าเรือเฉียนตงแล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจอยาก! ต่อหน้าฉัน หัวเซินซวน แกมันก็แค่มดปลวกเท่านั้น!”

หวางอวี่จึนยังคงปั้นสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก ปัจจุบันเขายังมีจ้าวเฉียนคอยหนุนหลังอยู่ แล้วทำไมถึงต้องกลัวคำขู่ของหัวเซินซวนด้วย?

“ถ้าประธานหัวยังไม่หยุดพล่าม ระวังคนของผมอารมณ์เสียเอานะ!”

ได้ทีหวางอวี่จุนกล่าวขู่สวน

หัวเซินซวนโกรธจัดจนมือไม้สั่นเทาไปหมดแล้ว ตะโกนขึ้นเสียงคำโตสั่งการพวกบอดี้การ์ดให้ไปหยิบโทรศัพท์มือถือในมือของคนพวกนั้นทิ้งไปซะ

หวางอวี่จุนถ่มน้ำลายใส่พื้นไปทีหนึ่ง ตะคอกสุ่มเสียงเย็นชาขึ้นลั่นว่า

“พวกมึงกล้าก็เข้ามา! คิดว่ากูไม่มีคนช่วยรึไง!”

ทันใดนั้นเอง ก็มีกลุ่มคนงานแห่ออกมาเป็นโขยงจากโกดังสินค้าท่าเรือเฉียนตงพร้อมเครื่องไม้เครื่องมือและอาวุธต่างๆในมือ

หัวเซินซวนเข้าใจชักแม่น้ำทั้งแปดปะติปะต่อเรื่องได้ทันที ปรากฏว่าเหตุการณ์ทั้งหมดในครั้งนี้เกิดจากแผนการของหวางอวี่จุน เพื่อสร้างความแตกแยกภายในท่าเรือหัว

ไม่นานบรรดาคนงานทั้งหลายจากท่าเรือเฉียนตงก็ออกมา พวกบอดี้การ์ดที่กำลังกุมตัวแกนนำคนงานก็เริ่มหวาดกลัวร่นถอยออกห่าง

หัวเซินซวนพยายามสงบสติอารมณ์โดยไวและเอ่ยถามเสียงดังว่า

“นี่มึงคิดจะสู้กับกูใช่ไหม?! กูก็อยากเห็นเหมือนกันว่าพวกมึงจะตายยังไง!”

หวางอวี่จุนยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ประธานหัวโปรดมั่นใจได้ จะไม่มีพวกเราสักคนล้ำเส้นอาณาเขตของคุณ อย่างไรก็ตาม ผมก็ขอเตือนไว้ก่อนว่า อย่าคิดหาเรื่องคุกคามสิทธิ์เสรีภาพของพวกผมเช่นกัน จุดที่ผมยืนอยู่คืออาณาเขตของท่าเรือเฉียนตง และผมจะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ! ไม่ใช่ให้คนนอกอย่างคุณมาบงการ!”

ในเวลานี้เอง บรรดาแกนนำที่เป็นไส้ศึกและโดนพวกบอดี้การ์ดกุมตัวอยู่ จู่ๆก็ตะโกนออกมาว่า

“ช่วยพวกเราด้วย! พวกเราอยากย้ายไปทำงานให้พวกคุณท่าเรือเฉียนตง!”

“คุณช่วยเอาวีดีโอที่ถ่ายทั้งหมดลงบนอินเตอร์ที แฉให้ทุกคนรู้ว่าพวกท่าเรือหัวมันปฏิบัติต่อคนงานอย่างพวกเรายังไง!”

“ใช่แล้ว! รีบถ่ายใบหน้าของชายแก่คนนี้เร็ว! นี่แหละโฉมหน้าที่แท้จริงที่บงการท่าเรือหัว!”

……….

หวางอวี่จุนแอบแสยะยิ้มมุมปากอย่างลับๆ และโบกมือขึ้นขอให้ทุกคนเงียบก่อนจึงถามว่า

“พวกคุณอยากย้ายมาทำงานกับทางเราจริงๆเหรอ?”

แต่เดิมพวกเขาก็เป็นไส้ศึกของท่าเรือเฉียนตงอยู่แล้ว ยามนี้ถึงเวลาที่แต่ละคนต้องแสดงละครฉากใหญ่

“คนอื่นผมไม่รู้ แต่ความรู้สึกนี้ของผมมันออกมาจากใจจริง! ผมอยากเติบโตไปพร้อมกับท่าเรือเฉียนตง!”

“ใช่แล้ว! ผมด้วย! พวกคุณดูแลพนักงานทุกคนด้วยความจริงใจ ดังนั้นพวกเราเองก็จะปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์และจริงใจเช่นกัน!”

“ผมด้วยครับ! ผมด้วย…”

……..

ทันใดนั้นเอง ท่าเรือหัวก็เกิดจลาจลขึ้นอีกครั้งฉับพลัน ทุกคนต่างแสดงจุดยืนของตัวเองหวังเพื่อจะได้เข้าทำงานในท่าเรือเฉียนตง

หัวเซินซวนทั้งตื่นตระหนกและประหลาดใจอย่างมากกับภาพฉากดังกล่าว หากคนงานพวกนี้ออกไป เรือขนส่งของวันนี้จะไม่สามารถออกได้เลยสักลำ

ไม่ว่าจะกรณัใด ถ้าท่าเรือหัวไม่สามารถขนส่งสินค้าของบริษัทเมล็ดพืชการาจและไชน่าปิโตรเคมีได้ตามกำหนด ผลที่ตามมาจะร้ายแรงอย่างยิ่ง

หัวเซินซวนตะโกนแทรกขึ้นทันที

“ทุกคน! ทุกคน! สิ่งที่ทุกคนต้องการคือการเพิ่มค่าแรงใช่ไหม? ช่วยฉันทำงานในวันนี้ให้ลุล่วงก่อนได้ไหม แล้วเราจะมานั่งคุยกันเรื่องแผนการปรับขึ้นค่าแรง! พรุ่งนี้รับประกันได้เลยว่าสัญญาจ้างฉบับใหม่ส่งตรงถึงมือทุกคนแน่นอน! ฉันหัวเซินซวนขอเอาหัวเป็นประกัน!”

คนงานเริ่มลังเลกันอีกครั้ง และเริ่มมีหลายคนตักสินใจหยุดประท้วงแล้ว

แต่ในขณะเดียวกัน จู่ๆก็มีนักข่าวกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามามากมาย พวกเขาไม่พูดพล่ำทำเพลงถ่ายหน้าหัวเซินซวนก่อนเป็นอย่างแรก

หัวเซินซวนที่เห็นแบบนั้นก็ตวาดใส่ทันที

“พวกแกเป็นใคร! มีสิทธิ์อะไรมาถ่ายหน้าฉัน!?”

นักข่าวเหล่านี้เร่งแสดงบัตรประจำตัวของแต่ละคนทันที และหัวเซินซวนที่เห็นแบบนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก นักข่าวเหล่านี้มาจากสื่อใหญ่ในหวานจิ้ง ถ้าทำให้คนพวกนี้ขุ่นเคืองขึ้นมา อาจจะโดนแกล้งประโคมข่าวโจมตีในทางลบได้

“เพื่อนนักข่าวทุกท่านโปรดใจเย็นก่อน ผมค่อนข้างสนิทกับหัวหน้ากองบรรณามธิการของพวกคุณ ถ้ายังถ่ายหน้าผมอยู่แบบนี้ ผมคงต้องแจ้งไปทางหัวหน้าของพวกคุณโดยตรง ทางที่ดีรบกวนออกไปจากที่ตรงนี้ด้วยครับ ไม่อย่างนั้นเจ้านายของคุณอาจปลดพวกคุณออกได้ อย่าหาว่าผมไม่เตือน”

หัวเซินซวนพยายามกล่าวข่มขู่พวกนักข่าวไป

แต่พวกนักข่าวเหล่านี้มาเพื่อบันทึกถ่ายและทำข่าวตามคำสั่งจากหัวหน้าของพวกเขานี่แหละ จึงไม่ได้สนใจฟังอะไรและเริ่มจดบันทึกในสมุดโน๊ตตามรูปการร์ที่เห็นในปัจจุบัน

ไม่ว่าหัวเซินซวนจะข่มขู่สักเท่าไหร่ มันก็ไร้ประโยชน์ พวกนักข่าวยังคงถ่ายภาพและจดบันทึกต่อไป

และสิ่งที่ซวยที่สุดคือ บริเวณที่นักข่าวเหล่านี้กำลังใช้ถ่ายทำอยู่กลับเป็นอาณาเขตของท่าเรือเฉียนตง และหัวเซินซวนไม่กล้าเสี่ยงล้ำเส้นไปยังอีกฝ่าย เพราะกลัวว่าหวางอวี่จุนจะพาพวกคนงานบุกมาทั้งแบบนี้

ชั่วอึดใจต่อมา พวกคนงานแกนนำที่โดนพวกบอดี้ดาร์ดคุมตัวก็ใช้โอกาสชุลมุนนี้วิ่งหนีเข้าไปยังอาณาเขตของท่าเรือเฉียนตงทันที

“พี่น้องทั้งหลาย นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของทุกคนแล้ว! ถ้าพลาดมันไปแล้วอาจต้องเสียใจไปตลอดชีวิต!”

“พวกเราทำอาชีพเดียวกันแต่ทางเฉียนตงกลับให้เงินเดือนมากกว่าถึงสองเท่าตัว! ก็คิดดูแล้วกันว่าจะยอมให้ถูกกดขี่ต่อไป หรือมาตั้งตัวใหม่ด้วยกันที่นี่!”

“พี่น้องมาเถอะ! มาเป็นครอบครัวเดียวกันในอนาคต!”

……..

พอพวกแกนนำคนงานพูดปลุกใจออกไปแบบนี้ ยิ่งทำให้คนงานของท่าเรือหัวยิ่งรู๔สึกกระวนกระวายใจเข้าไปใหญ่ หลังจากคำพูดกินใจสั้นๆ ทันใดนั้นก็มีคนงานคนหนึ่งเข้าข้ามเส้นแบ่งอาณาเขตเข้ามายังท่าเรือเฉียนตงอย่างกล้าหาญ

ตราบใดที่มีคนเริ่มย่อมมีคนตามเสมอ พวกที่เหลือค่อยๆถยอยกันเข้าตามกันไปอย่างรวดเร็ว คล้อยหลังผ่านไปได้สิบอึดใจ จำนวนคนงานของฝ่ายท่าเรือหัวก็ลดลงมากกว่าครึ่ง!

ภาพฉากนี้ยิ่งทำให้หัวเซินซวนวิตกกังวลหนัก เขารีบตะโกนเสียงดังลั่นว่า

“อย่า! อย่าไป! กลับมาเดี๋ยวนี้! พวกมันแค่หลอกพวกแกไปเท่านั้น! รีบกลับมาหาฉันเร็วๆเข้า!”

ทว่าราวกับคนงานพวกนั้นไม่ได้ยินเสียงตะโกนของเขา และแห่เข้ามาที่ท่าเรือเฉียนตง

หัวเซินซวนไม่สามารถทนได้ไหวอีกต่อไป เขาตะโกนสั่งให้พวกบอดี้การ์ดเข้าไปหยุดคนงานทันที ห้ามปล่อยให้คนพวกนั้นล้ำเส้นอาณาเขตไปได้โดยเด็ดขาด

พวกบอดี้การ์ดรีบรุกขึ้นหน้า มีกันโดยรวมสามสี่คน แต่แน่นอนว่าด้วยจำนวนที่มากกว่ามากของพวกคนงาน บอดี้การ์ดเพียงไม่กี่คนจะไปต้านทานไหวได้อย่างไร?

“พวกแกจะทำอะไร! ปล่อย! ปล่อยเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นพวกเราจะแจ้งตำรวจ!”

“ใช่! ถ้ายังกล้าหยุดพวกเรา เราจะโทรแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้!”

“เลิกพูดไร้สาระกับพวกมันได้แล้ว รับโทรแจ้งตำรวจกันเถอะ! โอกาสดีๆแบบนี้จะปล่อยให้หลุดมือได้ยังไง พวกเราไม่ยอม!”

………….

พวกคนงานหงุดหงิดกันอย่างมากเมื่อบอดี้การ์ดเหล่านี้พยายามฉุดรั้งไม่ยอมให้ออกไป ไม่นานก็มีพนักงานคนหนึ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นและกำลังจะกดโทรแจ้งตำรวจ

แต่ทันใดนั้นเอง เสียงไซเรนตำรวจก็ดังขึ้นจากไม่ใกล้ไม่ไกล ทุกคนทั่วบริเวณต่างยืนอึ้งอ้าปากค้างกันเป็นแถว ทำไมรถตำรวจถึงมาก่อนที่จะกดโทรแจ้งอีกล่ะ? หรือเบื้องหลังของพวกเขามีมหาศาสดาที่มองไม่เห็นคอยช่วยเหลืออยู่?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 312 ต้านไม่ไหว

Now you are reading ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี Chapter 312 ต้านไม่ไหว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่312 ต้านไม่ไหว

หัวเซินซวนได้แสดงทัศนคติอันมั่นคงให้แก่ทุกคนได้เห็นแล้ว แม้แต่ลูกชายตัวเองยังโดนชับไล่ไสส่งอย่างไม่ไยดี ซึ่งนี่เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าเขาจริงใจขนาดไหน

คนงานส่วนใหญ่พร้อมใจเลิกประท้วงแล้ว และเดินขึ้นโหลดสินคค้าขึ้นเรือก่อนออกเดินทาง เรื่องขึ้นค่าแรงค่อยว่ากันวันพรุ่งนี้อีกที

บรรดาบอดี้การ์ดของหัวเซินซวรวิ่งลงไปจับคนงานอยู่กลุ่มหนึ่ง พวกเขาเหล่านี้คือแกนนำการประท้วง หรือก็คือพวกไส้ศึกของท่าเรือเฉียนตงนั้นเอง

แต่ทันทีทันใด หวางอวี่จุนก็พาพวกมากลุ่มหนึ่ง แต่ละคนเดินถ่ายคลิปวีดีโอมาแต่ไกล

หัวเซินซวนเห็นดังนั้นก็เดือดจัด ชี้หน้าด่าหวางอวี่จุนทันทีว่า

“พวกแกกำลังทำบ้าอะไรอยู่? ใครใช้ให้แกถ่ายคลิป? ลบไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะสั่งพวกบอดี้การ์ดให้ไปแย่งมาเอง! เลิกกวนประสาทฉันได้แล้วก่อนที่จะหมดความอดทน!”

หวางอวี่จุนหัวเราะและกล่าวตอบไปว่า

“ประธานหัวคงคิดว่าตัวเองมีอำนาจเหนือหัวคนอื่นใช่ไหม? ผมเป็นคนของท่าเรือเฉียนตงทำไมต้องฟังคำพูดของคุณด้วย?”

หัวเซินซวนพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ใส่ไปทีหนึ่งและกล่าวว่า

“แล้วแกมีสิทธิ์อะไรมาถ่ายคลิปพวกเรา ไอ้สิ่งที่แกกำลังถ่ายมันอยู่ในอาณาเขตของฉัน! และฉันเองก็ไม่อนุญาต! รีบลบมันทิ้งไปซะ!”

รอยยิ้มบนใบหน้าของหวางอวี่จุนหายวับทันควัน แทนที่ด้วยความมืดมนทันที เขากล่าวพร้อมน้ำเสียงแข็งกระด้างยิ่งว่า

“ผมยังคงเคราพท่านประธานหัวอยู่เสมอนะครับ แต่ผมไม่เข้าใจจริงๆว่าคุณกำลังพล่ามอะไรอยู่? วันนี้เห็นว่าอากาศค่อนข้างแจ่มใสเลยอยากไลฟ์สดลงบนโซเซียลแค่นั้นเอง!”

หัวเซินซวนยิ่งโกรธจัดเข้าไปใหญ่ คำรามเสียงดังลั่นว่า

“แกกล้า!? นี่แกกำลังรนหาที่ตายอยู่รึไง!? อย่าคิดว่าเป็นผู้จัดการของท่าเรือเฉียนตงแล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจอยาก! ต่อหน้าฉัน หัวเซินซวน แกมันก็แค่มดปลวกเท่านั้น!”

หวางอวี่จึนยังคงปั้นสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก ปัจจุบันเขายังมีจ้าวเฉียนคอยหนุนหลังอยู่ แล้วทำไมถึงต้องกลัวคำขู่ของหัวเซินซวนด้วย?

“ถ้าประธานหัวยังไม่หยุดพล่าม ระวังคนของผมอารมณ์เสียเอานะ!”

ได้ทีหวางอวี่จุนกล่าวขู่สวน

หัวเซินซวนโกรธจัดจนมือไม้สั่นเทาไปหมดแล้ว ตะโกนขึ้นเสียงคำโตสั่งการพวกบอดี้การ์ดให้ไปหยิบโทรศัพท์มือถือในมือของคนพวกนั้นทิ้งไปซะ

หวางอวี่จุนถ่มน้ำลายใส่พื้นไปทีหนึ่ง ตะคอกสุ่มเสียงเย็นชาขึ้นลั่นว่า

“พวกมึงกล้าก็เข้ามา! คิดว่ากูไม่มีคนช่วยรึไง!”

ทันใดนั้นเอง ก็มีกลุ่มคนงานแห่ออกมาเป็นโขยงจากโกดังสินค้าท่าเรือเฉียนตงพร้อมเครื่องไม้เครื่องมือและอาวุธต่างๆในมือ

หัวเซินซวนเข้าใจชักแม่น้ำทั้งแปดปะติปะต่อเรื่องได้ทันที ปรากฏว่าเหตุการณ์ทั้งหมดในครั้งนี้เกิดจากแผนการของหวางอวี่จุน เพื่อสร้างความแตกแยกภายในท่าเรือหัว

ไม่นานบรรดาคนงานทั้งหลายจากท่าเรือเฉียนตงก็ออกมา พวกบอดี้การ์ดที่กำลังกุมตัวแกนนำคนงานก็เริ่มหวาดกลัวร่นถอยออกห่าง

หัวเซินซวนพยายามสงบสติอารมณ์โดยไวและเอ่ยถามเสียงดังว่า

“นี่มึงคิดจะสู้กับกูใช่ไหม?! กูก็อยากเห็นเหมือนกันว่าพวกมึงจะตายยังไง!”

หวางอวี่จุนยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ประธานหัวโปรดมั่นใจได้ จะไม่มีพวกเราสักคนล้ำเส้นอาณาเขตของคุณ อย่างไรก็ตาม ผมก็ขอเตือนไว้ก่อนว่า อย่าคิดหาเรื่องคุกคามสิทธิ์เสรีภาพของพวกผมเช่นกัน จุดที่ผมยืนอยู่คืออาณาเขตของท่าเรือเฉียนตง และผมจะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ! ไม่ใช่ให้คนนอกอย่างคุณมาบงการ!”

ในเวลานี้เอง บรรดาแกนนำที่เป็นไส้ศึกและโดนพวกบอดี้การ์ดกุมตัวอยู่ จู่ๆก็ตะโกนออกมาว่า

“ช่วยพวกเราด้วย! พวกเราอยากย้ายไปทำงานให้พวกคุณท่าเรือเฉียนตง!”

“คุณช่วยเอาวีดีโอที่ถ่ายทั้งหมดลงบนอินเตอร์ที แฉให้ทุกคนรู้ว่าพวกท่าเรือหัวมันปฏิบัติต่อคนงานอย่างพวกเรายังไง!”

“ใช่แล้ว! รีบถ่ายใบหน้าของชายแก่คนนี้เร็ว! นี่แหละโฉมหน้าที่แท้จริงที่บงการท่าเรือหัว!”

……….

หวางอวี่จุนแอบแสยะยิ้มมุมปากอย่างลับๆ และโบกมือขึ้นขอให้ทุกคนเงียบก่อนจึงถามว่า

“พวกคุณอยากย้ายมาทำงานกับทางเราจริงๆเหรอ?”

แต่เดิมพวกเขาก็เป็นไส้ศึกของท่าเรือเฉียนตงอยู่แล้ว ยามนี้ถึงเวลาที่แต่ละคนต้องแสดงละครฉากใหญ่

“คนอื่นผมไม่รู้ แต่ความรู้สึกนี้ของผมมันออกมาจากใจจริง! ผมอยากเติบโตไปพร้อมกับท่าเรือเฉียนตง!”

“ใช่แล้ว! ผมด้วย! พวกคุณดูแลพนักงานทุกคนด้วยความจริงใจ ดังนั้นพวกเราเองก็จะปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์และจริงใจเช่นกัน!”

“ผมด้วยครับ! ผมด้วย…”

……..

ทันใดนั้นเอง ท่าเรือหัวก็เกิดจลาจลขึ้นอีกครั้งฉับพลัน ทุกคนต่างแสดงจุดยืนของตัวเองหวังเพื่อจะได้เข้าทำงานในท่าเรือเฉียนตง

หัวเซินซวนทั้งตื่นตระหนกและประหลาดใจอย่างมากกับภาพฉากดังกล่าว หากคนงานพวกนี้ออกไป เรือขนส่งของวันนี้จะไม่สามารถออกได้เลยสักลำ

ไม่ว่าจะกรณัใด ถ้าท่าเรือหัวไม่สามารถขนส่งสินค้าของบริษัทเมล็ดพืชการาจและไชน่าปิโตรเคมีได้ตามกำหนด ผลที่ตามมาจะร้ายแรงอย่างยิ่ง

หัวเซินซวนตะโกนแทรกขึ้นทันที

“ทุกคน! ทุกคน! สิ่งที่ทุกคนต้องการคือการเพิ่มค่าแรงใช่ไหม? ช่วยฉันทำงานในวันนี้ให้ลุล่วงก่อนได้ไหม แล้วเราจะมานั่งคุยกันเรื่องแผนการปรับขึ้นค่าแรง! พรุ่งนี้รับประกันได้เลยว่าสัญญาจ้างฉบับใหม่ส่งตรงถึงมือทุกคนแน่นอน! ฉันหัวเซินซวนขอเอาหัวเป็นประกัน!”

คนงานเริ่มลังเลกันอีกครั้ง และเริ่มมีหลายคนตักสินใจหยุดประท้วงแล้ว

แต่ในขณะเดียวกัน จู่ๆก็มีนักข่าวกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามามากมาย พวกเขาไม่พูดพล่ำทำเพลงถ่ายหน้าหัวเซินซวนก่อนเป็นอย่างแรก

หัวเซินซวนที่เห็นแบบนั้นก็ตวาดใส่ทันที

“พวกแกเป็นใคร! มีสิทธิ์อะไรมาถ่ายหน้าฉัน!?”

นักข่าวเหล่านี้เร่งแสดงบัตรประจำตัวของแต่ละคนทันที และหัวเซินซวนที่เห็นแบบนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก นักข่าวเหล่านี้มาจากสื่อใหญ่ในหวานจิ้ง ถ้าทำให้คนพวกนี้ขุ่นเคืองขึ้นมา อาจจะโดนแกล้งประโคมข่าวโจมตีในทางลบได้

“เพื่อนนักข่าวทุกท่านโปรดใจเย็นก่อน ผมค่อนข้างสนิทกับหัวหน้ากองบรรณามธิการของพวกคุณ ถ้ายังถ่ายหน้าผมอยู่แบบนี้ ผมคงต้องแจ้งไปทางหัวหน้าของพวกคุณโดยตรง ทางที่ดีรบกวนออกไปจากที่ตรงนี้ด้วยครับ ไม่อย่างนั้นเจ้านายของคุณอาจปลดพวกคุณออกได้ อย่าหาว่าผมไม่เตือน”

หัวเซินซวนพยายามกล่าวข่มขู่พวกนักข่าวไป

แต่พวกนักข่าวเหล่านี้มาเพื่อบันทึกถ่ายและทำข่าวตามคำสั่งจากหัวหน้าของพวกเขานี่แหละ จึงไม่ได้สนใจฟังอะไรและเริ่มจดบันทึกในสมุดโน๊ตตามรูปการร์ที่เห็นในปัจจุบัน

ไม่ว่าหัวเซินซวนจะข่มขู่สักเท่าไหร่ มันก็ไร้ประโยชน์ พวกนักข่าวยังคงถ่ายภาพและจดบันทึกต่อไป

และสิ่งที่ซวยที่สุดคือ บริเวณที่นักข่าวเหล่านี้กำลังใช้ถ่ายทำอยู่กลับเป็นอาณาเขตของท่าเรือเฉียนตง และหัวเซินซวนไม่กล้าเสี่ยงล้ำเส้นไปยังอีกฝ่าย เพราะกลัวว่าหวางอวี่จุนจะพาพวกคนงานบุกมาทั้งแบบนี้

ชั่วอึดใจต่อมา พวกคนงานแกนนำที่โดนพวกบอดี้ดาร์ดคุมตัวก็ใช้โอกาสชุลมุนนี้วิ่งหนีเข้าไปยังอาณาเขตของท่าเรือเฉียนตงทันที

“พี่น้องทั้งหลาย นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของทุกคนแล้ว! ถ้าพลาดมันไปแล้วอาจต้องเสียใจไปตลอดชีวิต!”

“พวกเราทำอาชีพเดียวกันแต่ทางเฉียนตงกลับให้เงินเดือนมากกว่าถึงสองเท่าตัว! ก็คิดดูแล้วกันว่าจะยอมให้ถูกกดขี่ต่อไป หรือมาตั้งตัวใหม่ด้วยกันที่นี่!”

“พี่น้องมาเถอะ! มาเป็นครอบครัวเดียวกันในอนาคต!”

……..

พอพวกแกนนำคนงานพูดปลุกใจออกไปแบบนี้ ยิ่งทำให้คนงานของท่าเรือหัวยิ่งรู๔สึกกระวนกระวายใจเข้าไปใหญ่ หลังจากคำพูดกินใจสั้นๆ ทันใดนั้นก็มีคนงานคนหนึ่งเข้าข้ามเส้นแบ่งอาณาเขตเข้ามายังท่าเรือเฉียนตงอย่างกล้าหาญ

ตราบใดที่มีคนเริ่มย่อมมีคนตามเสมอ พวกที่เหลือค่อยๆถยอยกันเข้าตามกันไปอย่างรวดเร็ว คล้อยหลังผ่านไปได้สิบอึดใจ จำนวนคนงานของฝ่ายท่าเรือหัวก็ลดลงมากกว่าครึ่ง!

ภาพฉากนี้ยิ่งทำให้หัวเซินซวนวิตกกังวลหนัก เขารีบตะโกนเสียงดังลั่นว่า

“อย่า! อย่าไป! กลับมาเดี๋ยวนี้! พวกมันแค่หลอกพวกแกไปเท่านั้น! รีบกลับมาหาฉันเร็วๆเข้า!”

ทว่าราวกับคนงานพวกนั้นไม่ได้ยินเสียงตะโกนของเขา และแห่เข้ามาที่ท่าเรือเฉียนตง

หัวเซินซวนไม่สามารถทนได้ไหวอีกต่อไป เขาตะโกนสั่งให้พวกบอดี้การ์ดเข้าไปหยุดคนงานทันที ห้ามปล่อยให้คนพวกนั้นล้ำเส้นอาณาเขตไปได้โดยเด็ดขาด

พวกบอดี้การ์ดรีบรุกขึ้นหน้า มีกันโดยรวมสามสี่คน แต่แน่นอนว่าด้วยจำนวนที่มากกว่ามากของพวกคนงาน บอดี้การ์ดเพียงไม่กี่คนจะไปต้านทานไหวได้อย่างไร?

“พวกแกจะทำอะไร! ปล่อย! ปล่อยเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นพวกเราจะแจ้งตำรวจ!”

“ใช่! ถ้ายังกล้าหยุดพวกเรา เราจะโทรแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้!”

“เลิกพูดไร้สาระกับพวกมันได้แล้ว รับโทรแจ้งตำรวจกันเถอะ! โอกาสดีๆแบบนี้จะปล่อยให้หลุดมือได้ยังไง พวกเราไม่ยอม!”

………….

พวกคนงานหงุดหงิดกันอย่างมากเมื่อบอดี้การ์ดเหล่านี้พยายามฉุดรั้งไม่ยอมให้ออกไป ไม่นานก็มีพนักงานคนหนึ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นและกำลังจะกดโทรแจ้งตำรวจ

แต่ทันใดนั้นเอง เสียงไซเรนตำรวจก็ดังขึ้นจากไม่ใกล้ไม่ไกล ทุกคนทั่วบริเวณต่างยืนอึ้งอ้าปากค้างกันเป็นแถว ทำไมรถตำรวจถึงมาก่อนที่จะกดโทรแจ้งอีกล่ะ? หรือเบื้องหลังของพวกเขามีมหาศาสดาที่มองไม่เห็นคอยช่วยเหลืออยู่?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+