ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 265 ทำลายภาพพจน์

Now you are reading ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี Chapter 265 ทำลายภาพพจน์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่265 ทำลายภาพพจน์

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ จ้าวเฉียนไม่อยากขึ้นรับสืบทอดมรดกและนั่งเสวยสุขรอวันตายแบบทายาทมหาเศรษฐีคนอื่นๆ แต่เขาอยากจะเลือกออกไปสร้างธุรกิจด้วยตัวเองโดยอาศัยความสามารถที่มีอยู่เท่านั้น พูดง่ายๆ ว่าจ้าวเฉียนมีความใจกล้ามากกว่าพวกทายาทเศรษฐนีโดยส่วนใหญ่ เฉกเช่นหวานเจียงเป็นต้น

ดังนั้น หวานเจียงจึงค่อนข้างชื่นชมจ้าวเฉียนในเรื่องนี้อย่างยิ่งภายในใจ อย่างน้อยที่สุดเขาก็สามารถทำในสิ่งที่เธอต้องการมาตลอดได้ เพราะเธอถูกบังคับให้เรื่องมาตรงสายงานเพื่อรับช่วงต่อบริหารฮวาหยินกรุ๊ปโดยเฉพาะ และเธอไม่เคยทำตามฝันของตัวเองเลย

งานฉลองในมื้อเย็นกินเวลาไปเกือบสองชั่วโมงก่อนจะสิ้นสุดลง บรรดาญาติพี่น้องของจ้าวเฉียนถึงเวลาต้องลากันแล้ว จ้าวเฉียนกับหวานเจียงจึงอาสาเดินไปส่งพวกเขาลงจากภูเขา

หลังจากที่ญาติกลับกันหมด จ้าวเฉียนก็พาหวามนเจียงไปเดินเล่นในสนามกลอฟ์ส่วนตัวบนภูเขา

ทั้งสองพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นจ้าวเฉียนก็เพิ่งจำสิ่งหนึ่งได้ นั้นคือเรื่องความร่วมมือระหว่างหวังเฉียงและหัวโหย่ว

เหลียวปี้เอ๋อร์ในขณะนี้กำลังพยายามซื้อหุ้นจากพี่ชายของเธออยู่ แต่จ้าวเฉียนค่อนข้างมั่นใจว่า เธอไม่น่าจะซื้อได้สำเร็จ

ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงต้องการให้หวานเจียงออกโรงไปจัดการเอง และแอบซื้อหุ้นหัวโหย่วมาในนามของฮวาหยินกรุ๊ป นี่คงเป็นการดีที่สุดในการเข้าฮุบหัวโหย่วจากในเงามืด

ตราบใดที่หัวโหย่วถูกควบคุมโดยจ้าวเฉียนอย่างเบ็ดเสร็จ หลังจากนี้ต่อไปเขาย่อมสามารถทำอะไรก็ได้แล้ว และจะเริ่มวางรากฐานธุรกิจระยะยาวเพื่อเก็บเกี่ยวกำไรจำนวนมหาศาลในอนาคตต่อไป

เขาเล่าแผนการและความต้องการของเขาให้แก่หวานเจียงฟัง และขอให้เธอช่วยออกหน้าเจรจากับหัวโหย้ว

หวานเจียงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า

“ทำไมนายถึงสนในบริษัทเกมนี้จัง?”

จ้าวเฉียนไม่คิดจะปิดบังอะไรอยู่แล้ว เขาตอบไปตามตรงว่า

“ก็ความคับข้องใจส่วนตัวน่ะ ฉันไม่อยากให้คู่แข่งพัฒนาขึ้นมาเทียบชั้นได้”

“อ่าหะ? แค่เพราะข้องใจส่วนตัว นายจึงต้องการใช้เงินหลายร้อยล้านหยวนเพื่อแก้แค้นให้เป็นจริง? นี่นายคิดตื้นเกินไปรึเปล่า? แม้ว่าครอบครัวของนายจะมีเงินใช้ไม่ขาดมือ แต่ด้วยมุมมองความคิดและทัศนคติแบบนี้ของนาย สักวันสมบัติในครอบครัวจะต้องถูกนายผลาญเล่นในไม่ช้า ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นขึ้นจริง ฉันคงไม่กล้าแต่งงานกับนาย อุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ขนาดนี้ ถ้าล้มขึ้นมาทีคงเป็นหนี้มหาศาล ฉันคงไม่มีปัญญาจ่ายไหว”

จ้าวเฉียนอารมณ์เสียมากเมื่อได้ยิน นี่มันหมายความว่ายังไง? ครอบครัวของเขามีเงินนับล้านล้าน และเพราะแบบนี้เธอเลยอยากแต่งงานกับเขา? แต่ถ้าตระกูลจ้าวล้มละลายขึ้นมา เธอจะไม่รักเขาแล้ว ตกลงนี่คบหากันที่เงินหรือหัวใจกันแน่?

“เหอะ เหอะ ที่แท้เธอก็หวังสมบัตินี่เอง! ถ้าฉันมีเงินเธอก็รัก ถ้าไม่มีก็แค่ทิ้ง ง่ายดีหนิ!”

จ้าวเฉียนกรนเสียงเย็นใส่

หวานเจียงตระหนักได้ทันทีว่า เธอพูดอะไรผิดไป แต่อันที่จริง สิ่งที่เธอต้องการจะสื่อมันไม่ได้หมายความแบบนั้น แค่ต้องการอยากจะเตือนสติจ้าวเฉียนไม่ให้ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งในการลงทุน เพราะอาณาจักรธุรกิจตระกูลจ้าวล้มขึ้นมา หนี้สินจำนวนกว่าล้านล้านจะถาโถมเข้าใส่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเธอคงไม่น่าจะเอาชีวิตรอดเช่นกันท่ามกลางสถานการณ์แบบนั้น

อย่างไรเสีย จ้าวเฉียนไม่ต้องการฟังคำอธิบายใดๆ ของเธอ และสะบัดแขนเธอทิ้งออกไปโดยตรง มุ่งหน้ากลับขึ้นเขา ซึ่งเธอเองก็วิ่งตามไปติดๆ ตลอดทางนั้นทั้งคู่ยังคงเงียบไม่พูดไม่จา

หวานเจียงทนต่อบรรยากาศแบบนี้ไม่ไหวแล้ว เธอจึงรีบวิ่งขึ้นหน้าตรงไปหยุดจ้าวเฉียนและขอโทษทันที

“อย่าทำแบบนี้ได้ไหม ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันแค่อยากให้นายปรับเปลี่ยนวิธีคิดซะใหม่ ไม่อย่างนั้นชีวิตของพวกเราหลังจากนี้จะต้องทำงานใช้หนี้นับล้านล้าน ฉันไม่สนหรอกนะว่านายจะมีเงินมากน้อยเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็ไม่อยากมีหนี้สินมากมายขนาดนั้น เข้าใจไหม?”

จ้าวเฉียนหัวเราะเย้ยคำหนึ่ง เอ่ยถามกลับไปว่า

“งั้นถ้าเราแต่งงานกันไป แล้วฉันล้มละลายขึ้นมา เธอจะขอหย่ากับฉันทันทีโดยไม่สนใจความรู้สึกกันเลยงั้นเหรอ?”

หวานเจียงถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกถามแบบนี้ ขณะที่จ้าวเฉียนจับมือกำลังจะพาเธอกลับไป เธอก็ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนสักนิด ในกรณีแบบนี้เธอไม่อยากจะกลับเข้าบ้านจ้าวเฉียนอีกต่อไปแล้ว

หวานเจียงรีบชักมือกลับทันทีและกล่าวขึ้นว่า

“ในเมื่อนายไม่เชื่อใจฉัน ฉันคงไม่จำเป็นต้องกลับบ้านกับนายแล้ว”

“เหอะ เหอะ…จะมาไม้ไหนอีกล่ะ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นมีท่าทีเริ่มหงุดหงิด

หวานเจียงรู้สึกผิดภายในใจซ้ำสอง แต่เธอเป็นหญิงแกร่งตั้งแต่ยังเด็กแล้ว จึงแทบไม่เคยถูกใครพูดทำร้ายจิตใจ แต่จ้าวเฉียนคนนี้เป็นอย่างกับเจ้ากรรมนายเวร ทำให้เธอรู้สึกแย่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอเกลียดความรู้สึกแบบนี้เป็นที่สุด

หวางเจียงกลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไป เธอตะคอกใส่จ้าวเฉียนทั้งน้ำตาเสียงดังลั่นว่า

“จ้าวเฉียน! อย่าคิดว่าบ้านนายจะรวยแล้วจะพูดจาดูถูกอะไรฉันก็ได้! ถึงครอบครัวฉันจะไม่รวยเท่านาย แต่พวกเราก็มีเงินพอกินพอใช้ไปทั้งชาติ! ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าเลียแข้งเลียขาคนอย่างนาย! อย่าคิดว่าตัวเองมีศักดิ์ศรีความเป็นคนสูงกว่าฉัน! ทุกคนล้วนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน และไม่ได้วัดกันแค่ตัวเงิน!”

เมื่อหกปีก่อน จ้าวเฉียนเป็นคุณชายทายาทเศรษฐีที่ทำตัวเสเพ ใช้ชีวิตในวงการดำมืด แต่หลังจากอุบัติเหตุของอู่ซินในตอนนั้น มันก็ทำให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่และรู้จักคิดมากขึ้น อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นเขาไม่มีวันดูถูกหรือลดค่าใครอีกกับเพียงเพราะตัวเงิน

เหตุผลที่จ้าวเฉียนโกรธหวานเจียงขนาดนี้ เป็นเพราะหวานเจียงไม่สามารถตอบสนองความเป็นผู้หญิงในอุดมคติเขาได้ เธอชอบทำเรื่องผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ จนทำลายภาพลักษณ์ของเธอในใจของเขาไป

จ้าวเฉียนรู้สึกว่า เขากับหวานเจียงยังต้องปรับความเข้าใจกันอีกมาก ย่างน้อยที่สุดก็ยังไม่แต่งงานกันเร็วๆ นี้แน่นอน

แต่สมาชิกครอบครัวทั้งหลายกลับค่อนข้างพอใจในตัวหวานเจียงเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นขาไม่สามารถสู้กับเธอได้อีกแล้วในเวลานี้ มิฉะนั้นเกรงว่า ครอวครัวของเขาจะต้องออกโรงปกป้องเธอแน่นอน

ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงจำใจต้องอธิบายกับหวานเจียงให้กระจ่าง เขาพยายามสงบสติอารมณ์อยู่สักครู่ก่อนกล่าวขึ้นว่า

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกเธอเลย แค่ภาพลักษณ์ของเธอในหัวฉันทีแรกมันสมบูรณ์แบบมาก แต่เธอก็ชอบที่จะสร้างปัญหาเล็กๆ น้อยๆ จนเริ่มทำลายความสมบูรณ์แบบในอุดมคติของฉันทีละเล็กละน้อย เธอเข้าใจสิ่งที่ฉันเป็นอยู่ในตอนนี้ไหม? ฉันไม่ได้โกรธเธอเพราะเธอด้อยกว่าฉัน แต่เป็นเพราะเธอในตอนนี้มันไม่สมบูรณ์แบบมากพอ”

หวานเจียงถึงกับพูดไม่ออก เธอไม่รู้เลยว่าตัวเธอควรจะรู้สึกดีใจหรือเสียใจดีในขณะนี้? แต่ในทางตรงข้าม เขากลับขอให้เธอเป็นคนที่สมบูรณ์แบบในอุดมคติของเขา? แล้วทำไมเขาถึงขอให้เธอเป็นแบบนั้น? ไม่มีเพชรใดที่ไร้ตำหนิ ไม่มีมนุษย์คนใดสมบูรณ์แบบไปหมด แค่ต้องการใช้ชีวิตร่วมกับเขา เธอจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองให้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติขนาดนั้นเหรองั้นเหรอ? นี่เป็นความปรารถนาที่สูงเกินจะเอื้อมถึง

หวานเจียงหัวเราะเยาะกับตัวเองและกล่าวตอบไปว่า

“ฉันไม่มีทั้งเงินและความสมบูรณ์แบบให้นายได้ ฉันว่าเราควรดูใจกันก่อนจริงๆ ถ้ายังแต่งงานทั้งที่ยังสับสนไม่เข้าใจกันอยู่แบบนี้ ฉันว่าอนาคตคงจบไม่สวยหรูเท่าไหร่”

จ้าวเฉียนพยักหน้าเห็นด้วยกับหวานเจียง

พอเห็นแบบนั้น หวานเจียงก็ยิ่งรู้สึกเศร้าใจจนส่งผ่านมายังใบหน้าอย่างชัดเจน เธอรู้สึกว่าจ้าวเฉียนกำลังปฏิเสธตัวเธอ เพียงเพราะไม่สามารถเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบในอุดมคติเขาได้

หวานเจียงกล่าวต่อว่า

“ฉันจะจัดการเรื่องที่นายขอเอง ตราบเท่าที่หัวโหย้วยินดีขายหุ้น ฉันจะซื้อคืนกลับมาได้ให้มากที่สุดในนามฮวาหยินกรุ๊ป ในเวลานั้นถ้าได้ทั้งหมดตามต้องการแล้ว ฉันจะโอนหุ้นให้นายโดยตรง หลังจากนั้นนายก็จะสามารถตามล้างแค้นได้ตามต้องการตกลงไหม?”

จ้าวเฉียนพยักหน้ายิ้มตอบไปว่า

“ขอบคุณมาก ตอนนี้ฉันยังต้องรบกวนให้เธอเล่นตามน้ำไปก่อน หลังจากเทศกาลไหว้พระจันทร์จบลงและกลับเมืองตงไห่ เธอก็เป็นอิสระแล้วล่ะ ไม่ต้องห่วง ไปกันเถอะ กลับไปนอนกันดีกว่า”

หวานเจียงพยักหน้าและเดินกลับพร้อมควงแขนจ้าวเฉียนเดินจากไป จนถึงตอนนี้ไม่ว่าจ้าวเฉียนจะคิดกับเธอยังไง แต่เธอก็ยังเต็มใจที่จะช่วยเหลือจ้าวเฉียนให้ถึงที่สุด

ไม่นานทั้งสองก็กลับเข้าบ้าน

อวีกุ้ยเฟิงทำความสะอาดห้องนอนให้แกทั้งคู่ไว้แล้ว ห้องนอนเป็นเตียงคู่สำหรับสองคน ทั่วทั้งห้องประดับตกแต่งเป็นโทรสีแดงหรูหร่า ราวกับเป็นเรือนหออย่างไงอย่างงั้น

“อิอิ…กลับมากันแล้วเหรอ? นี่ก็ดึกมากแล้วนะ รีบอาบน้ำนอนกันเถอะ ฝันดีนะ หุหุ…”

อวีกุ้ยเฟิงโบกมือลาทั้งคู่และเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มแปลกๆ

จ้าวเฉียนและหวานเจียงเองก็เดินออกไปส่งเธอกลับเข้านอน และเข้าห้องปิดประตูอย่างรวดเร็ว นี่มันน่าอายชะมัด ทั้งสองกำลังอยู่ในช่วงไม่ลงรอยกันอยู่แท้ๆ แล้วใครจะกล้านอนร่วมเตียงกัน?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 265 ทำลายภาพพจน์

Now you are reading ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี Chapter 265 ทำลายภาพพจน์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่265 ทำลายภาพพจน์

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ จ้าวเฉียนไม่อยากขึ้นรับสืบทอดมรดกและนั่งเสวยสุขรอวันตายแบบทายาทมหาเศรษฐีคนอื่นๆ แต่เขาอยากจะเลือกออกไปสร้างธุรกิจด้วยตัวเองโดยอาศัยความสามารถที่มีอยู่เท่านั้น พูดง่ายๆ ว่าจ้าวเฉียนมีความใจกล้ามากกว่าพวกทายาทเศรษฐนีโดยส่วนใหญ่ เฉกเช่นหวานเจียงเป็นต้น

ดังนั้น หวานเจียงจึงค่อนข้างชื่นชมจ้าวเฉียนในเรื่องนี้อย่างยิ่งภายในใจ อย่างน้อยที่สุดเขาก็สามารถทำในสิ่งที่เธอต้องการมาตลอดได้ เพราะเธอถูกบังคับให้เรื่องมาตรงสายงานเพื่อรับช่วงต่อบริหารฮวาหยินกรุ๊ปโดยเฉพาะ และเธอไม่เคยทำตามฝันของตัวเองเลย

งานฉลองในมื้อเย็นกินเวลาไปเกือบสองชั่วโมงก่อนจะสิ้นสุดลง บรรดาญาติพี่น้องของจ้าวเฉียนถึงเวลาต้องลากันแล้ว จ้าวเฉียนกับหวานเจียงจึงอาสาเดินไปส่งพวกเขาลงจากภูเขา

หลังจากที่ญาติกลับกันหมด จ้าวเฉียนก็พาหวามนเจียงไปเดินเล่นในสนามกลอฟ์ส่วนตัวบนภูเขา

ทั้งสองพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นจ้าวเฉียนก็เพิ่งจำสิ่งหนึ่งได้ นั้นคือเรื่องความร่วมมือระหว่างหวังเฉียงและหัวโหย่ว

เหลียวปี้เอ๋อร์ในขณะนี้กำลังพยายามซื้อหุ้นจากพี่ชายของเธออยู่ แต่จ้าวเฉียนค่อนข้างมั่นใจว่า เธอไม่น่าจะซื้อได้สำเร็จ

ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงต้องการให้หวานเจียงออกโรงไปจัดการเอง และแอบซื้อหุ้นหัวโหย่วมาในนามของฮวาหยินกรุ๊ป นี่คงเป็นการดีที่สุดในการเข้าฮุบหัวโหย่วจากในเงามืด

ตราบใดที่หัวโหย่วถูกควบคุมโดยจ้าวเฉียนอย่างเบ็ดเสร็จ หลังจากนี้ต่อไปเขาย่อมสามารถทำอะไรก็ได้แล้ว และจะเริ่มวางรากฐานธุรกิจระยะยาวเพื่อเก็บเกี่ยวกำไรจำนวนมหาศาลในอนาคตต่อไป

เขาเล่าแผนการและความต้องการของเขาให้แก่หวานเจียงฟัง และขอให้เธอช่วยออกหน้าเจรจากับหัวโหย้ว

หวานเจียงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า

“ทำไมนายถึงสนในบริษัทเกมนี้จัง?”

จ้าวเฉียนไม่คิดจะปิดบังอะไรอยู่แล้ว เขาตอบไปตามตรงว่า

“ก็ความคับข้องใจส่วนตัวน่ะ ฉันไม่อยากให้คู่แข่งพัฒนาขึ้นมาเทียบชั้นได้”

“อ่าหะ? แค่เพราะข้องใจส่วนตัว นายจึงต้องการใช้เงินหลายร้อยล้านหยวนเพื่อแก้แค้นให้เป็นจริง? นี่นายคิดตื้นเกินไปรึเปล่า? แม้ว่าครอบครัวของนายจะมีเงินใช้ไม่ขาดมือ แต่ด้วยมุมมองความคิดและทัศนคติแบบนี้ของนาย สักวันสมบัติในครอบครัวจะต้องถูกนายผลาญเล่นในไม่ช้า ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นขึ้นจริง ฉันคงไม่กล้าแต่งงานกับนาย อุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ขนาดนี้ ถ้าล้มขึ้นมาทีคงเป็นหนี้มหาศาล ฉันคงไม่มีปัญญาจ่ายไหว”

จ้าวเฉียนอารมณ์เสียมากเมื่อได้ยิน นี่มันหมายความว่ายังไง? ครอบครัวของเขามีเงินนับล้านล้าน และเพราะแบบนี้เธอเลยอยากแต่งงานกับเขา? แต่ถ้าตระกูลจ้าวล้มละลายขึ้นมา เธอจะไม่รักเขาแล้ว ตกลงนี่คบหากันที่เงินหรือหัวใจกันแน่?

“เหอะ เหอะ ที่แท้เธอก็หวังสมบัตินี่เอง! ถ้าฉันมีเงินเธอก็รัก ถ้าไม่มีก็แค่ทิ้ง ง่ายดีหนิ!”

จ้าวเฉียนกรนเสียงเย็นใส่

หวานเจียงตระหนักได้ทันทีว่า เธอพูดอะไรผิดไป แต่อันที่จริง สิ่งที่เธอต้องการจะสื่อมันไม่ได้หมายความแบบนั้น แค่ต้องการอยากจะเตือนสติจ้าวเฉียนไม่ให้ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งในการลงทุน เพราะอาณาจักรธุรกิจตระกูลจ้าวล้มขึ้นมา หนี้สินจำนวนกว่าล้านล้านจะถาโถมเข้าใส่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเธอคงไม่น่าจะเอาชีวิตรอดเช่นกันท่ามกลางสถานการณ์แบบนั้น

อย่างไรเสีย จ้าวเฉียนไม่ต้องการฟังคำอธิบายใดๆ ของเธอ และสะบัดแขนเธอทิ้งออกไปโดยตรง มุ่งหน้ากลับขึ้นเขา ซึ่งเธอเองก็วิ่งตามไปติดๆ ตลอดทางนั้นทั้งคู่ยังคงเงียบไม่พูดไม่จา

หวานเจียงทนต่อบรรยากาศแบบนี้ไม่ไหวแล้ว เธอจึงรีบวิ่งขึ้นหน้าตรงไปหยุดจ้าวเฉียนและขอโทษทันที

“อย่าทำแบบนี้ได้ไหม ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันแค่อยากให้นายปรับเปลี่ยนวิธีคิดซะใหม่ ไม่อย่างนั้นชีวิตของพวกเราหลังจากนี้จะต้องทำงานใช้หนี้นับล้านล้าน ฉันไม่สนหรอกนะว่านายจะมีเงินมากน้อยเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็ไม่อยากมีหนี้สินมากมายขนาดนั้น เข้าใจไหม?”

จ้าวเฉียนหัวเราะเย้ยคำหนึ่ง เอ่ยถามกลับไปว่า

“งั้นถ้าเราแต่งงานกันไป แล้วฉันล้มละลายขึ้นมา เธอจะขอหย่ากับฉันทันทีโดยไม่สนใจความรู้สึกกันเลยงั้นเหรอ?”

หวานเจียงถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกถามแบบนี้ ขณะที่จ้าวเฉียนจับมือกำลังจะพาเธอกลับไป เธอก็ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนสักนิด ในกรณีแบบนี้เธอไม่อยากจะกลับเข้าบ้านจ้าวเฉียนอีกต่อไปแล้ว

หวานเจียงรีบชักมือกลับทันทีและกล่าวขึ้นว่า

“ในเมื่อนายไม่เชื่อใจฉัน ฉันคงไม่จำเป็นต้องกลับบ้านกับนายแล้ว”

“เหอะ เหอะ…จะมาไม้ไหนอีกล่ะ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นมีท่าทีเริ่มหงุดหงิด

หวานเจียงรู้สึกผิดภายในใจซ้ำสอง แต่เธอเป็นหญิงแกร่งตั้งแต่ยังเด็กแล้ว จึงแทบไม่เคยถูกใครพูดทำร้ายจิตใจ แต่จ้าวเฉียนคนนี้เป็นอย่างกับเจ้ากรรมนายเวร ทำให้เธอรู้สึกแย่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอเกลียดความรู้สึกแบบนี้เป็นที่สุด

หวางเจียงกลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไป เธอตะคอกใส่จ้าวเฉียนทั้งน้ำตาเสียงดังลั่นว่า

“จ้าวเฉียน! อย่าคิดว่าบ้านนายจะรวยแล้วจะพูดจาดูถูกอะไรฉันก็ได้! ถึงครอบครัวฉันจะไม่รวยเท่านาย แต่พวกเราก็มีเงินพอกินพอใช้ไปทั้งชาติ! ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าเลียแข้งเลียขาคนอย่างนาย! อย่าคิดว่าตัวเองมีศักดิ์ศรีความเป็นคนสูงกว่าฉัน! ทุกคนล้วนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน และไม่ได้วัดกันแค่ตัวเงิน!”

เมื่อหกปีก่อน จ้าวเฉียนเป็นคุณชายทายาทเศรษฐีที่ทำตัวเสเพ ใช้ชีวิตในวงการดำมืด แต่หลังจากอุบัติเหตุของอู่ซินในตอนนั้น มันก็ทำให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่และรู้จักคิดมากขึ้น อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นเขาไม่มีวันดูถูกหรือลดค่าใครอีกกับเพียงเพราะตัวเงิน

เหตุผลที่จ้าวเฉียนโกรธหวานเจียงขนาดนี้ เป็นเพราะหวานเจียงไม่สามารถตอบสนองความเป็นผู้หญิงในอุดมคติเขาได้ เธอชอบทำเรื่องผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ จนทำลายภาพลักษณ์ของเธอในใจของเขาไป

จ้าวเฉียนรู้สึกว่า เขากับหวานเจียงยังต้องปรับความเข้าใจกันอีกมาก ย่างน้อยที่สุดก็ยังไม่แต่งงานกันเร็วๆ นี้แน่นอน

แต่สมาชิกครอบครัวทั้งหลายกลับค่อนข้างพอใจในตัวหวานเจียงเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นขาไม่สามารถสู้กับเธอได้อีกแล้วในเวลานี้ มิฉะนั้นเกรงว่า ครอวครัวของเขาจะต้องออกโรงปกป้องเธอแน่นอน

ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงจำใจต้องอธิบายกับหวานเจียงให้กระจ่าง เขาพยายามสงบสติอารมณ์อยู่สักครู่ก่อนกล่าวขึ้นว่า

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกเธอเลย แค่ภาพลักษณ์ของเธอในหัวฉันทีแรกมันสมบูรณ์แบบมาก แต่เธอก็ชอบที่จะสร้างปัญหาเล็กๆ น้อยๆ จนเริ่มทำลายความสมบูรณ์แบบในอุดมคติของฉันทีละเล็กละน้อย เธอเข้าใจสิ่งที่ฉันเป็นอยู่ในตอนนี้ไหม? ฉันไม่ได้โกรธเธอเพราะเธอด้อยกว่าฉัน แต่เป็นเพราะเธอในตอนนี้มันไม่สมบูรณ์แบบมากพอ”

หวานเจียงถึงกับพูดไม่ออก เธอไม่รู้เลยว่าตัวเธอควรจะรู้สึกดีใจหรือเสียใจดีในขณะนี้? แต่ในทางตรงข้าม เขากลับขอให้เธอเป็นคนที่สมบูรณ์แบบในอุดมคติของเขา? แล้วทำไมเขาถึงขอให้เธอเป็นแบบนั้น? ไม่มีเพชรใดที่ไร้ตำหนิ ไม่มีมนุษย์คนใดสมบูรณ์แบบไปหมด แค่ต้องการใช้ชีวิตร่วมกับเขา เธอจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองให้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติขนาดนั้นเหรองั้นเหรอ? นี่เป็นความปรารถนาที่สูงเกินจะเอื้อมถึง

หวานเจียงหัวเราะเยาะกับตัวเองและกล่าวตอบไปว่า

“ฉันไม่มีทั้งเงินและความสมบูรณ์แบบให้นายได้ ฉันว่าเราควรดูใจกันก่อนจริงๆ ถ้ายังแต่งงานทั้งที่ยังสับสนไม่เข้าใจกันอยู่แบบนี้ ฉันว่าอนาคตคงจบไม่สวยหรูเท่าไหร่”

จ้าวเฉียนพยักหน้าเห็นด้วยกับหวานเจียง

พอเห็นแบบนั้น หวานเจียงก็ยิ่งรู้สึกเศร้าใจจนส่งผ่านมายังใบหน้าอย่างชัดเจน เธอรู้สึกว่าจ้าวเฉียนกำลังปฏิเสธตัวเธอ เพียงเพราะไม่สามารถเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบในอุดมคติเขาได้

หวานเจียงกล่าวต่อว่า

“ฉันจะจัดการเรื่องที่นายขอเอง ตราบเท่าที่หัวโหย้วยินดีขายหุ้น ฉันจะซื้อคืนกลับมาได้ให้มากที่สุดในนามฮวาหยินกรุ๊ป ในเวลานั้นถ้าได้ทั้งหมดตามต้องการแล้ว ฉันจะโอนหุ้นให้นายโดยตรง หลังจากนั้นนายก็จะสามารถตามล้างแค้นได้ตามต้องการตกลงไหม?”

จ้าวเฉียนพยักหน้ายิ้มตอบไปว่า

“ขอบคุณมาก ตอนนี้ฉันยังต้องรบกวนให้เธอเล่นตามน้ำไปก่อน หลังจากเทศกาลไหว้พระจันทร์จบลงและกลับเมืองตงไห่ เธอก็เป็นอิสระแล้วล่ะ ไม่ต้องห่วง ไปกันเถอะ กลับไปนอนกันดีกว่า”

หวานเจียงพยักหน้าและเดินกลับพร้อมควงแขนจ้าวเฉียนเดินจากไป จนถึงตอนนี้ไม่ว่าจ้าวเฉียนจะคิดกับเธอยังไง แต่เธอก็ยังเต็มใจที่จะช่วยเหลือจ้าวเฉียนให้ถึงที่สุด

ไม่นานทั้งสองก็กลับเข้าบ้าน

อวีกุ้ยเฟิงทำความสะอาดห้องนอนให้แกทั้งคู่ไว้แล้ว ห้องนอนเป็นเตียงคู่สำหรับสองคน ทั่วทั้งห้องประดับตกแต่งเป็นโทรสีแดงหรูหร่า ราวกับเป็นเรือนหออย่างไงอย่างงั้น

“อิอิ…กลับมากันแล้วเหรอ? นี่ก็ดึกมากแล้วนะ รีบอาบน้ำนอนกันเถอะ ฝันดีนะ หุหุ…”

อวีกุ้ยเฟิงโบกมือลาทั้งคู่และเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มแปลกๆ

จ้าวเฉียนและหวานเจียงเองก็เดินออกไปส่งเธอกลับเข้านอน และเข้าห้องปิดประตูอย่างรวดเร็ว นี่มันน่าอายชะมัด ทั้งสองกำลังอยู่ในช่วงไม่ลงรอยกันอยู่แท้ๆ แล้วใครจะกล้านอนร่วมเตียงกัน?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+