ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 311 ลงมือขั้นเด็ดขาด

Now you are reading ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี Chapter 311 ลงมือขั้นเด็ดขาด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่311 ลงมือขั้นเด็ดขาด

หลังจากพวกคนงานท่าเรือเฉียนตงช่วยกันปั่นประสาทอีกฝ่ายเป็นเวลาสามวันสามคืนเต็ม ในท้ายที่สุดเป้าหมายของจ้าวเฉียนก็ประสบความสำเร็จ

เช้าตรู่วันนี้ จ้าวเฉียนรีบเดินทางมายังท่าเรือแต่หัววันเพื่อมารับชม‘การประท้วง’

พวกคนงานของท่าเรือเฉียนตงล้วนสามัคคีกลมเกลียว ตั้งใจทำงานกันตั้งแต่เช้า

แต่ในขณะเดียวกัน ฝ่ายท่าเรือหัวพวกคนงานกลับเริ่มก่อม็อบขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่มีใครทำงานเลยสักคนเดียว

เวลา9:30 น. ผู้จัดการท่าเรือหัวก็เดินทางมาถึง พอเห็นพวกพนักงานเอาแต่รวมตัวจับกลุ่มกันไม่ยอมไปทำงาน เขาก็เริ่มโกรธทันที

ในเวลานี้เอง ไส้ศึกของท่าเรือเฉียนตงที่อยุ่ท่มกลางม็อบของท่าเรือหัวก็เริ่มการแสดงปลุกปั่นผู้คนทันที

“นี่พวกเรากำลังทำอะไรอยู่กัน? ทำงานไปชีวิตก็ไม่เจริญแบบนี้แล้วเรายังมีหน้าทำต่อได้ยังไง! พวกเราจำไอ้เด็กใหม่จางฟ่าได้ไหม? ตอนนี้เขาทำงานอยู่ในท่าเรือเฉียนตง ได้เงินเดือนเยอะกว่าเราอีก เยอะจนขนาดที่ว่ามีเงินเหลือไปเที่ยวกับสาวสวย! แล้วพวกเราล่ะ?”

“ใช่แล้ว! ไอ้จางฟ่าแต่ก่อนมันเป็นเด็กเดินบุหรี่ให้ฉันวันละสิบหยวน ประสบการณ์เดินเรือก็แทบไม่มี ถ้าให้ทำงานเดียวกัน ฉันมั่นใจได้เลยว่าตัวเองทำได้ดีกว่าแน่นอน แล้วทำไมฐานเงินเดือนถึงได้ต่างกันราวกับฟ้ากับเหวแบบนี้!”

“น้องชายของฉันกับฉันแต่เดิมพวกเราทำงานที่ท่าเรือหัวนี่แหละ ฉันหาเงินได้มากกว่าเดือนละหมื่นหยวนต่อเดือน ครอบครัวฉันต่างยกย่องฉันกันอย่างมาก แต่พอตอนนี้น้องชายของฉันได้ย้ายไปที่ท่าเรือเฉียนตง เงินเดือนของเขาก็เพิ่มขึ้นทันทีเป็นหมื่นห้าพันหยวน สถานะของฉันที่บ้านถูกลดค่าลงทันที คุณลุงคุณป้าต่างยกย่องความสามารถของน้องชายแทนฉันไปแล้ว ทั้งๆที่ฉันทำงานเดินเรือมาสิบปี แต่ทำไมได้แค่หมื่นเดียว ในขณะที่น้องชายฉันเพิ่งทำได้สองสามปี กลับได้ตั้งหมื่นห้า! นี่มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด!”

……………

หลังจากถยอยระบายความในใจกันออกมา คนงานที่เหลือเองก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจกันมากขึ้น

“เราต้องการเพิ่มค่าแรง!”

“ใช่แล้ว! เราไม่ควรโดดนกดค่าแรงแบบนี้!”

“เพิ่มค่าแรง! เพิ่มค่าแรง! เพิ่มค่าแรงให้พวกเรา…”

คนงานทั้งหมดในขณะนี้รวมตัวกันประท้วงอย่างเป็นทางการแล้ว พวกเขาเริ่มส่งเสียงตะโกนดังขึ้น ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ทำงาน

ในไม่ช้า อาหมิงก็ต้องออกมาควบคุมสถานการณ์ด้วยตังเอง เขารีบเอ่ยถามเสียงดังขึ้นทันทีว่า

“ทุกคนเกิดอะไรขึ้น? ถ้ามีอะไรก็ค่อยว่ากันได้ไหม? วันนี้พวกเรามีเรือสองลำที่ต้องเดินทางนะ จะล่าช้าแบบนี้ไม่ได้!”

“เราต้องการขึ้นค่าแรง!”

“ถูกต้อง! เราควรได้เงินมากกว่าที่ควรได้ตอนนี้!”

“ผมไม่ยอมหรอกนะครับ ประสบการณ์การเดินเรือของพวกเราการันตีไม่น้อยกว่าสิบปี แล้วทำไมถึงได้น้อยกว่าพวกมือใหม่ของท่าเรือเฉียนตงอีก!”

“ทุกวันนี้ผมต้องกินข้าวคลุกเกลือเพื่อประหยัดไปจ่ายค่าบ้าน! ต้องประหยัดค่ากินค่าเรียนของลูกกับเมียอีก! ดังนั้นผมต้องการค่าแรงเพิ่ม!”

“ค่าแรงเพิ่ม! ค่าแรงเพิ่ม!”

…………

อาหมิงสงสัยอย่างมากว่าทำไมจู่ๆคนพวกนี้ถึงประท้วงอยากได้ค่าแรงเพิ่มกันอีกแล้ว? พอจับใจความฟังเนื้อความที่แต่คนละพูดออกมาถึงจะค่อยเข้าใจ ว่าสาเหตุทั้งหมดมันเกิดจากการสนทนาระหว่างคนงานด้วยกันเองระหว่างท่าเรือสองฝ่าย และนี่ทำให้คนงานของทางท่าเรือหัวรู้สึกไม่ยุติธรรมต่อตัวพวกเขาเอง

แต่นี่ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน เพราะสองท่าเรืออยู่ติดกันจะให้ห้ามไม่ให้ติดต่อสัมพันธ์เลยคงจะไม่ได้ และที่สำคัญคือ ณ ปัจจุบันทัศนคติของพวกเขาเป็นแบบนี้ไปแล้ว จะให้เปลี่ยนทันทีตอนนี้ก็คงทำไม่เช่นกัน

แต่เรื่องความน้อยอกน้อยใจแบบนี้ก็ควรพูดคุยกันดีๆ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ประท้วงท่าเดียว

โดยเฉพาะกับวันนี้ที่ต้องส่งเรือใหญ่ทั้งสองลำออกจากท่า จะไม่พอใจแค่ไหนก็ช่วยรวบยอดกันพรุ่งนี้ได้ไหม ส่วนวันนี้ก็ช่วยทำงานกันให้เต็มที่กันไปก่อน

นี่คือสิ่งที่อาหมิงคิด แต่พวกคนงานกลับไม่คิดแบบนั้น ที่เลือกประท้วงวันนี้ก็เหตุผลก็เพราะวันนี้มีเรือใหญ่สองลำออกจากท่า ไม่อย่างนั้นหากเป็นวันธรรมดาทั่วไป ต่อให้ประท้วงยังไงพวกผู้บริหารระดับสูงคงไม่มาสนใจแน่นอน

เมื่อเห็นว่าบรรดาคนงานเริ่มแสดงความรุนแรงออกมาจนเกินจะควบคุมอยู่แล้ว หัวหมิงก็รู้ตัวทันทีว่านี่เกินความสามารถตนเองไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบโทรเรียกหัวฉีเฉินมาจัดการทันที

หัวฉีเฉินรับสายและฟังสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก่อนจะรับโทรไปหาหัวเซินซวนต่อทันควัน

หัวเซินซวนทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่าอย่างช่วยไม่ได้ และรีบพาผู้คนอื่นๆมาที่ท่าเรือทันที

หัวฉีเฉินตะโกนเสียงดังฟังชัดไปว่า

“ทุกคน! จะร้องขออะไรก็ได้พวกเราไม่ว่า แต่จะมาหยุดงานส่งเดชแบบนี้ไม่ได้! ไม่ว่าทุกคนอยากเรียกร้องอะไรขอเป็นวันพรุ่งนี้ได้ไหม? วันนี้พวกเราต้องส่งสินค้าโกดังใหญ่ถึงสองลำ จะให้เกิดความล่าช้าไม่ได้โดยเด็ดขาด!”

“ถ้าไม่แก้ปัญหาภายในวันนี้ พวกเราจะไม่ทำงาน!”

“ใช่! จนถึงขนาดนี้แล้วพวกคุณก็เอาแต่สนใจในเรื่องของตัวเอง เคยสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของลูกน้องบ้างไหม!”

“เพิ่มค่าแรง! เพิ่มค่าแรง! เพิ่มค่าแรง!”

…………..

หัวเซินซวนกัดฟันแน่นและกล่าวขึ้นว่า

“ฉีเฉิน รีบเห็นด้วยกับคำขอของพวกมันเร็วเข้า ในเวลาแบบนี้ เราไม่ควรสร้างความบาดหมางกับพวกเมล็ดพืชดาราจกับไชน่าปิโตรเคมี ไม่อย่างนั้นพวกเราจะประสบปัญหาครั้งใหญ่!”

หัวฉีเฉินเอ่ยตอบน้ำเสียงแผ่วเบาดูไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก

“แต่พวกเขาขอมากเกินไป เราไม่มีปัญญาจ่ายค่าตอบแทนสูงขนาดนี้ให้ทุกคนไหว!”

หัวเซินซวนยิ่งแสดงความไม่พอใจออกมา เขาไม่พอใจอย่างยิ่งกับการตัดสินใจของหัวฉีเฉินลูกชายเขามากขึ้นเรื่อยๆ แล้วถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป หัวฉีเฉินจะเข้ารับตำแหน่งผู้นำตระกูลหัวรุ่นต่อไปยังไง?

สมาชิกตระกูลหัวรับร้อยต้องพึ่งพาธุรกิจท่าเรือหัวเพื่อกินอยู่อาศัย แล้วหัวฉีเฉินที่ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้เลยแบบนี้ เขายังเหลือคุณสมบัติเข้าสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลอยู่หรือไม่?

หัวฉีเฉินรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันใด สถานการณ์ตอนี้ของเขาไม่ต่างอะไรจากเดินบนแผ่นน้ำแข็งบางที่ไม่รู้จะแตกตอนไหน ถ้าเดินผิดสิ่งที่มาเดิมพันคือตำแหน่งผู้นำตระกูลหัว

หัวเซินซวนเองก็พยายามระงับความโกรธเกรี้ยวภายในใจลงและกล่าวกับหัวฉีเฉินต่อว่า

“รีบๆสัญญากับพวกมันไปก่อน ตอนนี้พวกเราไม่สามารถเลื่อนวันจัดส่งน้ำมันกับเมล็ดพืชได้อีกแล้ว เข้าใจไหม!?”

หัวฉีเฉินรีบพยักหน้าตอบโดยไว และหันศีรษะป่าวประกาศกับทุกคนไปว่า

“ทุกคน! ผมขอสัญญาว่าจะทำตามคำร้องขอของทุกคน! พวกเราจะเซ็นสัญญาเพิ่มค่าแรงให้ทันทีหลังจากขนส่งสินค้ารอบนี้เสร็จ ตกลงไหม?”

“ไม่! พวกเราต้องเซ็นสัญญาก่อนถึงจะยอมทำงาน! คุณหักหลังพวกเรามาสองรอบแล้ว! ดังนั้นเราไม่เชื่อใจคุณแล้ว!”

“ใช่! เรื่องเครื่องปรับอากาศจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีให้ใช้เลย! เรื่องประกันสังคมก็เอาแต่ผลัดวันประกันพรุ่ง! ความไว้ใจของพวกเรามันไม่เหลือแล้ว! ดังนั้นต้องให้เซ็นสัญญาเดี๋ยวนี้!”

“เซ็นสัญญา! เซ็นสัญญา!”

………..

หัวเซินซวนพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่และลุกขึ้นยืนทันที ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ เขาต้องงัดมาตรการพิเศษซึ่งเป็นไพ่ตายออกมาใช่แล้ว

หัวเซินซวนคว้าโทรโขงตะโกนลั่นว่า

“ทุกคน! ทั้งหมดล้วนเป็นความรับผิดชอบของประธานใหญ่อย่างฉัน! ดังนั้นแล้วฉันขอประกาศอย่างเป็นทางการ ขอถอดถอนตำแหน่งรองประธานบริหาร หัวฉีเฉินออกจากตำแหน่ง และอาหมิงจากตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป หัวหน้าฝ่ายการเงินและฝ่ายขนส่งก็ด้วย! เราจะดำเนินการปรับเปลี่ยนแผนงานกันใหม่ในภายหลัง ตอนนี้ฉันก็ขับไล่ไอ้พวกมีปัญหาออกไปหมดแล้ว ทีนี้ทุกคนคงจะเชื่อใจกันบ้างแล้ว ถ้าหมดศรัทธากับท่าเรือหัว อย่างน้อยก็ขอให้เชื่อใจหัวเซินซวนคนนี้สักครั้ง!”

คำพูดประโยคนี้ของหัวเซินซวนทำให้สถานการณ์โดยรอบทั้งหมดพลันเงียบสนิทลงทันใด

หัวฉีเฉินเหลือบมองพ่อของเดขาด้วยความกังวล และรีบเอ่ยถามขึ้นว่า

“พ่อ! เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลยนะ แล้วทำไมถึงต้องไล่ผมออกด้วย?”

หัวเซินซวนตวาดสวนกลับไปว่า

“แกเป็นถึงรองประธานบริหารใหญ่ แล้วปล่อยให้ท่าเรือหัวของเราวุ่นวายขนาดนี้ได้ยังไง แถมยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เลย ก็สมควรแล้วที่โดนถอดจากตำแหน่ง!”

หัวฉีเฉินกล่าวขึ้นสีหน้ารวนเรชักไม่แน่ใจว่า

“พ่อ! ผมมีหน้าที่บริหารเครืออสังหาเป็นส่วนใหญ่นะ แต่ทางนี้อาหมิงทำได้ไม่ดีเอง แล้วทำไมถึงโยงมาหาผมด้วย! นี่ไม่เกี่ยวกันเลย!”

ดวงตาคู่นั้นของหัวเซินซวนดูเย็นเฉียบขึ้นทันใด เขากล่าวว่า

“หื้ม? นี่แกยังจะแก้ตัวอีกงั้นเหรอ?”

หัวฉีเฉินกล่าวแย้งขึ้นทันที

“พ่อ! ถ้าพ่อตัดสินอย่างยุติธรรมผมก็น้อมรับ แต่นี่มันไม่ยุติธรรมกับตัวผมเลย!”

“อวดดี! ฉันอุตส่าห์คาดหวังในตัวแกว่าจะเข้ามารับสืบทอดตำแหน่งผู้นำต่อจากฉันได้ ปรากฏว่าฉันคิดผิด! ไสหัวไปซะ!”

หัวเซินซวนคำรามเสียงดังลั่นด้วยความโกรธจัด

หัวฉีเฉินที่โดนพ่อดุด่ากระทั้งไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองได้ ก็ได้แต่สบถพึมพำด้วยคามโกรธและหันหลังจากไปโดยตรง

อาหมิงรีบก้าวย่างออกไปข้างหน้าและกล่าวว่า

“ท่านประธาน ผมไม่ดีเองครับและรู้ตัวว่าผิดจริงๆ แต่ผมขอร้องเถอะครับ ให้โอกาสผมแก้ไขอีกสักครั้ง ผมจะพิสูจน์ให้ประธานเห็นเองว่าผมสามารถจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้!”

“เหอะ เหอะ…ไม่จำเป็น ไสหัวไป!”

หัวเซินซวนปฏิเสธอย่างไร้เยื้อใย

อาหมิงไม่เหลือความมั่นใจใดๆอีกต่อไป แม้แต่หัวเรือใหญ่สุดแห่งตระกูลหัว หัวเซินซวนยังขับไล่เขา แล้วเขายังจะทำอะไรได้? จึงทำได้เพียงหันหลังเดินคอตกจากไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 311 ลงมือขั้นเด็ดขาด

Now you are reading ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี Chapter 311 ลงมือขั้นเด็ดขาด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่311 ลงมือขั้นเด็ดขาด

หลังจากพวกคนงานท่าเรือเฉียนตงช่วยกันปั่นประสาทอีกฝ่ายเป็นเวลาสามวันสามคืนเต็ม ในท้ายที่สุดเป้าหมายของจ้าวเฉียนก็ประสบความสำเร็จ

เช้าตรู่วันนี้ จ้าวเฉียนรีบเดินทางมายังท่าเรือแต่หัววันเพื่อมารับชม‘การประท้วง’

พวกคนงานของท่าเรือเฉียนตงล้วนสามัคคีกลมเกลียว ตั้งใจทำงานกันตั้งแต่เช้า

แต่ในขณะเดียวกัน ฝ่ายท่าเรือหัวพวกคนงานกลับเริ่มก่อม็อบขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่มีใครทำงานเลยสักคนเดียว

เวลา9:30 น. ผู้จัดการท่าเรือหัวก็เดินทางมาถึง พอเห็นพวกพนักงานเอาแต่รวมตัวจับกลุ่มกันไม่ยอมไปทำงาน เขาก็เริ่มโกรธทันที

ในเวลานี้เอง ไส้ศึกของท่าเรือเฉียนตงที่อยุ่ท่มกลางม็อบของท่าเรือหัวก็เริ่มการแสดงปลุกปั่นผู้คนทันที

“นี่พวกเรากำลังทำอะไรอยู่กัน? ทำงานไปชีวิตก็ไม่เจริญแบบนี้แล้วเรายังมีหน้าทำต่อได้ยังไง! พวกเราจำไอ้เด็กใหม่จางฟ่าได้ไหม? ตอนนี้เขาทำงานอยู่ในท่าเรือเฉียนตง ได้เงินเดือนเยอะกว่าเราอีก เยอะจนขนาดที่ว่ามีเงินเหลือไปเที่ยวกับสาวสวย! แล้วพวกเราล่ะ?”

“ใช่แล้ว! ไอ้จางฟ่าแต่ก่อนมันเป็นเด็กเดินบุหรี่ให้ฉันวันละสิบหยวน ประสบการณ์เดินเรือก็แทบไม่มี ถ้าให้ทำงานเดียวกัน ฉันมั่นใจได้เลยว่าตัวเองทำได้ดีกว่าแน่นอน แล้วทำไมฐานเงินเดือนถึงได้ต่างกันราวกับฟ้ากับเหวแบบนี้!”

“น้องชายของฉันกับฉันแต่เดิมพวกเราทำงานที่ท่าเรือหัวนี่แหละ ฉันหาเงินได้มากกว่าเดือนละหมื่นหยวนต่อเดือน ครอบครัวฉันต่างยกย่องฉันกันอย่างมาก แต่พอตอนนี้น้องชายของฉันได้ย้ายไปที่ท่าเรือเฉียนตง เงินเดือนของเขาก็เพิ่มขึ้นทันทีเป็นหมื่นห้าพันหยวน สถานะของฉันที่บ้านถูกลดค่าลงทันที คุณลุงคุณป้าต่างยกย่องความสามารถของน้องชายแทนฉันไปแล้ว ทั้งๆที่ฉันทำงานเดินเรือมาสิบปี แต่ทำไมได้แค่หมื่นเดียว ในขณะที่น้องชายฉันเพิ่งทำได้สองสามปี กลับได้ตั้งหมื่นห้า! นี่มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด!”

……………

หลังจากถยอยระบายความในใจกันออกมา คนงานที่เหลือเองก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจกันมากขึ้น

“เราต้องการเพิ่มค่าแรง!”

“ใช่แล้ว! เราไม่ควรโดดนกดค่าแรงแบบนี้!”

“เพิ่มค่าแรง! เพิ่มค่าแรง! เพิ่มค่าแรงให้พวกเรา…”

คนงานทั้งหมดในขณะนี้รวมตัวกันประท้วงอย่างเป็นทางการแล้ว พวกเขาเริ่มส่งเสียงตะโกนดังขึ้น ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ทำงาน

ในไม่ช้า อาหมิงก็ต้องออกมาควบคุมสถานการณ์ด้วยตังเอง เขารีบเอ่ยถามเสียงดังขึ้นทันทีว่า

“ทุกคนเกิดอะไรขึ้น? ถ้ามีอะไรก็ค่อยว่ากันได้ไหม? วันนี้พวกเรามีเรือสองลำที่ต้องเดินทางนะ จะล่าช้าแบบนี้ไม่ได้!”

“เราต้องการขึ้นค่าแรง!”

“ถูกต้อง! เราควรได้เงินมากกว่าที่ควรได้ตอนนี้!”

“ผมไม่ยอมหรอกนะครับ ประสบการณ์การเดินเรือของพวกเราการันตีไม่น้อยกว่าสิบปี แล้วทำไมถึงได้น้อยกว่าพวกมือใหม่ของท่าเรือเฉียนตงอีก!”

“ทุกวันนี้ผมต้องกินข้าวคลุกเกลือเพื่อประหยัดไปจ่ายค่าบ้าน! ต้องประหยัดค่ากินค่าเรียนของลูกกับเมียอีก! ดังนั้นผมต้องการค่าแรงเพิ่ม!”

“ค่าแรงเพิ่ม! ค่าแรงเพิ่ม!”

…………

อาหมิงสงสัยอย่างมากว่าทำไมจู่ๆคนพวกนี้ถึงประท้วงอยากได้ค่าแรงเพิ่มกันอีกแล้ว? พอจับใจความฟังเนื้อความที่แต่คนละพูดออกมาถึงจะค่อยเข้าใจ ว่าสาเหตุทั้งหมดมันเกิดจากการสนทนาระหว่างคนงานด้วยกันเองระหว่างท่าเรือสองฝ่าย และนี่ทำให้คนงานของทางท่าเรือหัวรู้สึกไม่ยุติธรรมต่อตัวพวกเขาเอง

แต่นี่ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน เพราะสองท่าเรืออยู่ติดกันจะให้ห้ามไม่ให้ติดต่อสัมพันธ์เลยคงจะไม่ได้ และที่สำคัญคือ ณ ปัจจุบันทัศนคติของพวกเขาเป็นแบบนี้ไปแล้ว จะให้เปลี่ยนทันทีตอนนี้ก็คงทำไม่เช่นกัน

แต่เรื่องความน้อยอกน้อยใจแบบนี้ก็ควรพูดคุยกันดีๆ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ประท้วงท่าเดียว

โดยเฉพาะกับวันนี้ที่ต้องส่งเรือใหญ่ทั้งสองลำออกจากท่า จะไม่พอใจแค่ไหนก็ช่วยรวบยอดกันพรุ่งนี้ได้ไหม ส่วนวันนี้ก็ช่วยทำงานกันให้เต็มที่กันไปก่อน

นี่คือสิ่งที่อาหมิงคิด แต่พวกคนงานกลับไม่คิดแบบนั้น ที่เลือกประท้วงวันนี้ก็เหตุผลก็เพราะวันนี้มีเรือใหญ่สองลำออกจากท่า ไม่อย่างนั้นหากเป็นวันธรรมดาทั่วไป ต่อให้ประท้วงยังไงพวกผู้บริหารระดับสูงคงไม่มาสนใจแน่นอน

เมื่อเห็นว่าบรรดาคนงานเริ่มแสดงความรุนแรงออกมาจนเกินจะควบคุมอยู่แล้ว หัวหมิงก็รู้ตัวทันทีว่านี่เกินความสามารถตนเองไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบโทรเรียกหัวฉีเฉินมาจัดการทันที

หัวฉีเฉินรับสายและฟังสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก่อนจะรับโทรไปหาหัวเซินซวนต่อทันควัน

หัวเซินซวนทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่าอย่างช่วยไม่ได้ และรีบพาผู้คนอื่นๆมาที่ท่าเรือทันที

หัวฉีเฉินตะโกนเสียงดังฟังชัดไปว่า

“ทุกคน! จะร้องขออะไรก็ได้พวกเราไม่ว่า แต่จะมาหยุดงานส่งเดชแบบนี้ไม่ได้! ไม่ว่าทุกคนอยากเรียกร้องอะไรขอเป็นวันพรุ่งนี้ได้ไหม? วันนี้พวกเราต้องส่งสินค้าโกดังใหญ่ถึงสองลำ จะให้เกิดความล่าช้าไม่ได้โดยเด็ดขาด!”

“ถ้าไม่แก้ปัญหาภายในวันนี้ พวกเราจะไม่ทำงาน!”

“ใช่! จนถึงขนาดนี้แล้วพวกคุณก็เอาแต่สนใจในเรื่องของตัวเอง เคยสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของลูกน้องบ้างไหม!”

“เพิ่มค่าแรง! เพิ่มค่าแรง! เพิ่มค่าแรง!”

…………..

หัวเซินซวนกัดฟันแน่นและกล่าวขึ้นว่า

“ฉีเฉิน รีบเห็นด้วยกับคำขอของพวกมันเร็วเข้า ในเวลาแบบนี้ เราไม่ควรสร้างความบาดหมางกับพวกเมล็ดพืชดาราจกับไชน่าปิโตรเคมี ไม่อย่างนั้นพวกเราจะประสบปัญหาครั้งใหญ่!”

หัวฉีเฉินเอ่ยตอบน้ำเสียงแผ่วเบาดูไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก

“แต่พวกเขาขอมากเกินไป เราไม่มีปัญญาจ่ายค่าตอบแทนสูงขนาดนี้ให้ทุกคนไหว!”

หัวเซินซวนยิ่งแสดงความไม่พอใจออกมา เขาไม่พอใจอย่างยิ่งกับการตัดสินใจของหัวฉีเฉินลูกชายเขามากขึ้นเรื่อยๆ แล้วถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป หัวฉีเฉินจะเข้ารับตำแหน่งผู้นำตระกูลหัวรุ่นต่อไปยังไง?

สมาชิกตระกูลหัวรับร้อยต้องพึ่งพาธุรกิจท่าเรือหัวเพื่อกินอยู่อาศัย แล้วหัวฉีเฉินที่ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้เลยแบบนี้ เขายังเหลือคุณสมบัติเข้าสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลอยู่หรือไม่?

หัวฉีเฉินรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันใด สถานการณ์ตอนี้ของเขาไม่ต่างอะไรจากเดินบนแผ่นน้ำแข็งบางที่ไม่รู้จะแตกตอนไหน ถ้าเดินผิดสิ่งที่มาเดิมพันคือตำแหน่งผู้นำตระกูลหัว

หัวเซินซวนเองก็พยายามระงับความโกรธเกรี้ยวภายในใจลงและกล่าวกับหัวฉีเฉินต่อว่า

“รีบๆสัญญากับพวกมันไปก่อน ตอนนี้พวกเราไม่สามารถเลื่อนวันจัดส่งน้ำมันกับเมล็ดพืชได้อีกแล้ว เข้าใจไหม!?”

หัวฉีเฉินรีบพยักหน้าตอบโดยไว และหันศีรษะป่าวประกาศกับทุกคนไปว่า

“ทุกคน! ผมขอสัญญาว่าจะทำตามคำร้องขอของทุกคน! พวกเราจะเซ็นสัญญาเพิ่มค่าแรงให้ทันทีหลังจากขนส่งสินค้ารอบนี้เสร็จ ตกลงไหม?”

“ไม่! พวกเราต้องเซ็นสัญญาก่อนถึงจะยอมทำงาน! คุณหักหลังพวกเรามาสองรอบแล้ว! ดังนั้นเราไม่เชื่อใจคุณแล้ว!”

“ใช่! เรื่องเครื่องปรับอากาศจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีให้ใช้เลย! เรื่องประกันสังคมก็เอาแต่ผลัดวันประกันพรุ่ง! ความไว้ใจของพวกเรามันไม่เหลือแล้ว! ดังนั้นต้องให้เซ็นสัญญาเดี๋ยวนี้!”

“เซ็นสัญญา! เซ็นสัญญา!”

………..

หัวเซินซวนพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่และลุกขึ้นยืนทันที ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ เขาต้องงัดมาตรการพิเศษซึ่งเป็นไพ่ตายออกมาใช่แล้ว

หัวเซินซวนคว้าโทรโขงตะโกนลั่นว่า

“ทุกคน! ทั้งหมดล้วนเป็นความรับผิดชอบของประธานใหญ่อย่างฉัน! ดังนั้นแล้วฉันขอประกาศอย่างเป็นทางการ ขอถอดถอนตำแหน่งรองประธานบริหาร หัวฉีเฉินออกจากตำแหน่ง และอาหมิงจากตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป หัวหน้าฝ่ายการเงินและฝ่ายขนส่งก็ด้วย! เราจะดำเนินการปรับเปลี่ยนแผนงานกันใหม่ในภายหลัง ตอนนี้ฉันก็ขับไล่ไอ้พวกมีปัญหาออกไปหมดแล้ว ทีนี้ทุกคนคงจะเชื่อใจกันบ้างแล้ว ถ้าหมดศรัทธากับท่าเรือหัว อย่างน้อยก็ขอให้เชื่อใจหัวเซินซวนคนนี้สักครั้ง!”

คำพูดประโยคนี้ของหัวเซินซวนทำให้สถานการณ์โดยรอบทั้งหมดพลันเงียบสนิทลงทันใด

หัวฉีเฉินเหลือบมองพ่อของเดขาด้วยความกังวล และรีบเอ่ยถามขึ้นว่า

“พ่อ! เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลยนะ แล้วทำไมถึงต้องไล่ผมออกด้วย?”

หัวเซินซวนตวาดสวนกลับไปว่า

“แกเป็นถึงรองประธานบริหารใหญ่ แล้วปล่อยให้ท่าเรือหัวของเราวุ่นวายขนาดนี้ได้ยังไง แถมยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เลย ก็สมควรแล้วที่โดนถอดจากตำแหน่ง!”

หัวฉีเฉินกล่าวขึ้นสีหน้ารวนเรชักไม่แน่ใจว่า

“พ่อ! ผมมีหน้าที่บริหารเครืออสังหาเป็นส่วนใหญ่นะ แต่ทางนี้อาหมิงทำได้ไม่ดีเอง แล้วทำไมถึงโยงมาหาผมด้วย! นี่ไม่เกี่ยวกันเลย!”

ดวงตาคู่นั้นของหัวเซินซวนดูเย็นเฉียบขึ้นทันใด เขากล่าวว่า

“หื้ม? นี่แกยังจะแก้ตัวอีกงั้นเหรอ?”

หัวฉีเฉินกล่าวแย้งขึ้นทันที

“พ่อ! ถ้าพ่อตัดสินอย่างยุติธรรมผมก็น้อมรับ แต่นี่มันไม่ยุติธรรมกับตัวผมเลย!”

“อวดดี! ฉันอุตส่าห์คาดหวังในตัวแกว่าจะเข้ามารับสืบทอดตำแหน่งผู้นำต่อจากฉันได้ ปรากฏว่าฉันคิดผิด! ไสหัวไปซะ!”

หัวเซินซวนคำรามเสียงดังลั่นด้วยความโกรธจัด

หัวฉีเฉินที่โดนพ่อดุด่ากระทั้งไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองได้ ก็ได้แต่สบถพึมพำด้วยคามโกรธและหันหลังจากไปโดยตรง

อาหมิงรีบก้าวย่างออกไปข้างหน้าและกล่าวว่า

“ท่านประธาน ผมไม่ดีเองครับและรู้ตัวว่าผิดจริงๆ แต่ผมขอร้องเถอะครับ ให้โอกาสผมแก้ไขอีกสักครั้ง ผมจะพิสูจน์ให้ประธานเห็นเองว่าผมสามารถจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้!”

“เหอะ เหอะ…ไม่จำเป็น ไสหัวไป!”

หัวเซินซวนปฏิเสธอย่างไร้เยื้อใย

อาหมิงไม่เหลือความมั่นใจใดๆอีกต่อไป แม้แต่หัวเรือใหญ่สุดแห่งตระกูลหัว หัวเซินซวนยังขับไล่เขา แล้วเขายังจะทำอะไรได้? จึงทำได้เพียงหันหลังเดินคอตกจากไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 311 ลงมือขั้นเด็ดขาด

Now you are reading ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี Chapter 311 ลงมือขั้นเด็ดขาด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่311 ลงมือขั้นเด็ดขาด

หลังจากพวกคนงานท่าเรือเฉียนตงช่วยกันปั่นประสาทอีกฝ่ายเป็นเวลาสามวันสามคืนเต็ม ในท้ายที่สุดเป้าหมายของจ้าวเฉียนก็ประสบความสำเร็จ

เช้าตรู่วันนี้ จ้าวเฉียนรีบเดินทางมายังท่าเรือแต่หัววันเพื่อมารับชม‘การประท้วง’

พวกคนงานของท่าเรือเฉียนตงล้วนสามัคคีกลมเกลียว ตั้งใจทำงานกันตั้งแต่เช้า

แต่ในขณะเดียวกัน ฝ่ายท่าเรือหัวพวกคนงานกลับเริ่มก่อม็อบขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่มีใครทำงานเลยสักคนเดียว

เวลา9:30 น. ผู้จัดการท่าเรือหัวก็เดินทางมาถึง พอเห็นพวกพนักงานเอาแต่รวมตัวจับกลุ่มกันไม่ยอมไปทำงาน เขาก็เริ่มโกรธทันที

ในเวลานี้เอง ไส้ศึกของท่าเรือเฉียนตงที่อยุ่ท่มกลางม็อบของท่าเรือหัวก็เริ่มการแสดงปลุกปั่นผู้คนทันที

“นี่พวกเรากำลังทำอะไรอยู่กัน? ทำงานไปชีวิตก็ไม่เจริญแบบนี้แล้วเรายังมีหน้าทำต่อได้ยังไง! พวกเราจำไอ้เด็กใหม่จางฟ่าได้ไหม? ตอนนี้เขาทำงานอยู่ในท่าเรือเฉียนตง ได้เงินเดือนเยอะกว่าเราอีก เยอะจนขนาดที่ว่ามีเงินเหลือไปเที่ยวกับสาวสวย! แล้วพวกเราล่ะ?”

“ใช่แล้ว! ไอ้จางฟ่าแต่ก่อนมันเป็นเด็กเดินบุหรี่ให้ฉันวันละสิบหยวน ประสบการณ์เดินเรือก็แทบไม่มี ถ้าให้ทำงานเดียวกัน ฉันมั่นใจได้เลยว่าตัวเองทำได้ดีกว่าแน่นอน แล้วทำไมฐานเงินเดือนถึงได้ต่างกันราวกับฟ้ากับเหวแบบนี้!”

“น้องชายของฉันกับฉันแต่เดิมพวกเราทำงานที่ท่าเรือหัวนี่แหละ ฉันหาเงินได้มากกว่าเดือนละหมื่นหยวนต่อเดือน ครอบครัวฉันต่างยกย่องฉันกันอย่างมาก แต่พอตอนนี้น้องชายของฉันได้ย้ายไปที่ท่าเรือเฉียนตง เงินเดือนของเขาก็เพิ่มขึ้นทันทีเป็นหมื่นห้าพันหยวน สถานะของฉันที่บ้านถูกลดค่าลงทันที คุณลุงคุณป้าต่างยกย่องความสามารถของน้องชายแทนฉันไปแล้ว ทั้งๆที่ฉันทำงานเดินเรือมาสิบปี แต่ทำไมได้แค่หมื่นเดียว ในขณะที่น้องชายฉันเพิ่งทำได้สองสามปี กลับได้ตั้งหมื่นห้า! นี่มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด!”

……………

หลังจากถยอยระบายความในใจกันออกมา คนงานที่เหลือเองก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจกันมากขึ้น

“เราต้องการเพิ่มค่าแรง!”

“ใช่แล้ว! เราไม่ควรโดดนกดค่าแรงแบบนี้!”

“เพิ่มค่าแรง! เพิ่มค่าแรง! เพิ่มค่าแรงให้พวกเรา…”

คนงานทั้งหมดในขณะนี้รวมตัวกันประท้วงอย่างเป็นทางการแล้ว พวกเขาเริ่มส่งเสียงตะโกนดังขึ้น ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ทำงาน

ในไม่ช้า อาหมิงก็ต้องออกมาควบคุมสถานการณ์ด้วยตังเอง เขารีบเอ่ยถามเสียงดังขึ้นทันทีว่า

“ทุกคนเกิดอะไรขึ้น? ถ้ามีอะไรก็ค่อยว่ากันได้ไหม? วันนี้พวกเรามีเรือสองลำที่ต้องเดินทางนะ จะล่าช้าแบบนี้ไม่ได้!”

“เราต้องการขึ้นค่าแรง!”

“ถูกต้อง! เราควรได้เงินมากกว่าที่ควรได้ตอนนี้!”

“ผมไม่ยอมหรอกนะครับ ประสบการณ์การเดินเรือของพวกเราการันตีไม่น้อยกว่าสิบปี แล้วทำไมถึงได้น้อยกว่าพวกมือใหม่ของท่าเรือเฉียนตงอีก!”

“ทุกวันนี้ผมต้องกินข้าวคลุกเกลือเพื่อประหยัดไปจ่ายค่าบ้าน! ต้องประหยัดค่ากินค่าเรียนของลูกกับเมียอีก! ดังนั้นผมต้องการค่าแรงเพิ่ม!”

“ค่าแรงเพิ่ม! ค่าแรงเพิ่ม!”

…………

อาหมิงสงสัยอย่างมากว่าทำไมจู่ๆคนพวกนี้ถึงประท้วงอยากได้ค่าแรงเพิ่มกันอีกแล้ว? พอจับใจความฟังเนื้อความที่แต่คนละพูดออกมาถึงจะค่อยเข้าใจ ว่าสาเหตุทั้งหมดมันเกิดจากการสนทนาระหว่างคนงานด้วยกันเองระหว่างท่าเรือสองฝ่าย และนี่ทำให้คนงานของทางท่าเรือหัวรู้สึกไม่ยุติธรรมต่อตัวพวกเขาเอง

แต่นี่ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน เพราะสองท่าเรืออยู่ติดกันจะให้ห้ามไม่ให้ติดต่อสัมพันธ์เลยคงจะไม่ได้ และที่สำคัญคือ ณ ปัจจุบันทัศนคติของพวกเขาเป็นแบบนี้ไปแล้ว จะให้เปลี่ยนทันทีตอนนี้ก็คงทำไม่เช่นกัน

แต่เรื่องความน้อยอกน้อยใจแบบนี้ก็ควรพูดคุยกันดีๆ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ประท้วงท่าเดียว

โดยเฉพาะกับวันนี้ที่ต้องส่งเรือใหญ่ทั้งสองลำออกจากท่า จะไม่พอใจแค่ไหนก็ช่วยรวบยอดกันพรุ่งนี้ได้ไหม ส่วนวันนี้ก็ช่วยทำงานกันให้เต็มที่กันไปก่อน

นี่คือสิ่งที่อาหมิงคิด แต่พวกคนงานกลับไม่คิดแบบนั้น ที่เลือกประท้วงวันนี้ก็เหตุผลก็เพราะวันนี้มีเรือใหญ่สองลำออกจากท่า ไม่อย่างนั้นหากเป็นวันธรรมดาทั่วไป ต่อให้ประท้วงยังไงพวกผู้บริหารระดับสูงคงไม่มาสนใจแน่นอน

เมื่อเห็นว่าบรรดาคนงานเริ่มแสดงความรุนแรงออกมาจนเกินจะควบคุมอยู่แล้ว หัวหมิงก็รู้ตัวทันทีว่านี่เกินความสามารถตนเองไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบโทรเรียกหัวฉีเฉินมาจัดการทันที

หัวฉีเฉินรับสายและฟังสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก่อนจะรับโทรไปหาหัวเซินซวนต่อทันควัน

หัวเซินซวนทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่าอย่างช่วยไม่ได้ และรีบพาผู้คนอื่นๆมาที่ท่าเรือทันที

หัวฉีเฉินตะโกนเสียงดังฟังชัดไปว่า

“ทุกคน! จะร้องขออะไรก็ได้พวกเราไม่ว่า แต่จะมาหยุดงานส่งเดชแบบนี้ไม่ได้! ไม่ว่าทุกคนอยากเรียกร้องอะไรขอเป็นวันพรุ่งนี้ได้ไหม? วันนี้พวกเราต้องส่งสินค้าโกดังใหญ่ถึงสองลำ จะให้เกิดความล่าช้าไม่ได้โดยเด็ดขาด!”

“ถ้าไม่แก้ปัญหาภายในวันนี้ พวกเราจะไม่ทำงาน!”

“ใช่! จนถึงขนาดนี้แล้วพวกคุณก็เอาแต่สนใจในเรื่องของตัวเอง เคยสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของลูกน้องบ้างไหม!”

“เพิ่มค่าแรง! เพิ่มค่าแรง! เพิ่มค่าแรง!”

…………..

หัวเซินซวนกัดฟันแน่นและกล่าวขึ้นว่า

“ฉีเฉิน รีบเห็นด้วยกับคำขอของพวกมันเร็วเข้า ในเวลาแบบนี้ เราไม่ควรสร้างความบาดหมางกับพวกเมล็ดพืชดาราจกับไชน่าปิโตรเคมี ไม่อย่างนั้นพวกเราจะประสบปัญหาครั้งใหญ่!”

หัวฉีเฉินเอ่ยตอบน้ำเสียงแผ่วเบาดูไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก

“แต่พวกเขาขอมากเกินไป เราไม่มีปัญญาจ่ายค่าตอบแทนสูงขนาดนี้ให้ทุกคนไหว!”

หัวเซินซวนยิ่งแสดงความไม่พอใจออกมา เขาไม่พอใจอย่างยิ่งกับการตัดสินใจของหัวฉีเฉินลูกชายเขามากขึ้นเรื่อยๆ แล้วถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป หัวฉีเฉินจะเข้ารับตำแหน่งผู้นำตระกูลหัวรุ่นต่อไปยังไง?

สมาชิกตระกูลหัวรับร้อยต้องพึ่งพาธุรกิจท่าเรือหัวเพื่อกินอยู่อาศัย แล้วหัวฉีเฉินที่ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้เลยแบบนี้ เขายังเหลือคุณสมบัติเข้าสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลอยู่หรือไม่?

หัวฉีเฉินรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันใด สถานการณ์ตอนี้ของเขาไม่ต่างอะไรจากเดินบนแผ่นน้ำแข็งบางที่ไม่รู้จะแตกตอนไหน ถ้าเดินผิดสิ่งที่มาเดิมพันคือตำแหน่งผู้นำตระกูลหัว

หัวเซินซวนเองก็พยายามระงับความโกรธเกรี้ยวภายในใจลงและกล่าวกับหัวฉีเฉินต่อว่า

“รีบๆสัญญากับพวกมันไปก่อน ตอนนี้พวกเราไม่สามารถเลื่อนวันจัดส่งน้ำมันกับเมล็ดพืชได้อีกแล้ว เข้าใจไหม!?”

หัวฉีเฉินรีบพยักหน้าตอบโดยไว และหันศีรษะป่าวประกาศกับทุกคนไปว่า

“ทุกคน! ผมขอสัญญาว่าจะทำตามคำร้องขอของทุกคน! พวกเราจะเซ็นสัญญาเพิ่มค่าแรงให้ทันทีหลังจากขนส่งสินค้ารอบนี้เสร็จ ตกลงไหม?”

“ไม่! พวกเราต้องเซ็นสัญญาก่อนถึงจะยอมทำงาน! คุณหักหลังพวกเรามาสองรอบแล้ว! ดังนั้นเราไม่เชื่อใจคุณแล้ว!”

“ใช่! เรื่องเครื่องปรับอากาศจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีให้ใช้เลย! เรื่องประกันสังคมก็เอาแต่ผลัดวันประกันพรุ่ง! ความไว้ใจของพวกเรามันไม่เหลือแล้ว! ดังนั้นต้องให้เซ็นสัญญาเดี๋ยวนี้!”

“เซ็นสัญญา! เซ็นสัญญา!”

………..

หัวเซินซวนพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่และลุกขึ้นยืนทันที ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ เขาต้องงัดมาตรการพิเศษซึ่งเป็นไพ่ตายออกมาใช่แล้ว

หัวเซินซวนคว้าโทรโขงตะโกนลั่นว่า

“ทุกคน! ทั้งหมดล้วนเป็นความรับผิดชอบของประธานใหญ่อย่างฉัน! ดังนั้นแล้วฉันขอประกาศอย่างเป็นทางการ ขอถอดถอนตำแหน่งรองประธานบริหาร หัวฉีเฉินออกจากตำแหน่ง และอาหมิงจากตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป หัวหน้าฝ่ายการเงินและฝ่ายขนส่งก็ด้วย! เราจะดำเนินการปรับเปลี่ยนแผนงานกันใหม่ในภายหลัง ตอนนี้ฉันก็ขับไล่ไอ้พวกมีปัญหาออกไปหมดแล้ว ทีนี้ทุกคนคงจะเชื่อใจกันบ้างแล้ว ถ้าหมดศรัทธากับท่าเรือหัว อย่างน้อยก็ขอให้เชื่อใจหัวเซินซวนคนนี้สักครั้ง!”

คำพูดประโยคนี้ของหัวเซินซวนทำให้สถานการณ์โดยรอบทั้งหมดพลันเงียบสนิทลงทันใด

หัวฉีเฉินเหลือบมองพ่อของเดขาด้วยความกังวล และรีบเอ่ยถามขึ้นว่า

“พ่อ! เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลยนะ แล้วทำไมถึงต้องไล่ผมออกด้วย?”

หัวเซินซวนตวาดสวนกลับไปว่า

“แกเป็นถึงรองประธานบริหารใหญ่ แล้วปล่อยให้ท่าเรือหัวของเราวุ่นวายขนาดนี้ได้ยังไง แถมยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เลย ก็สมควรแล้วที่โดนถอดจากตำแหน่ง!”

หัวฉีเฉินกล่าวขึ้นสีหน้ารวนเรชักไม่แน่ใจว่า

“พ่อ! ผมมีหน้าที่บริหารเครืออสังหาเป็นส่วนใหญ่นะ แต่ทางนี้อาหมิงทำได้ไม่ดีเอง แล้วทำไมถึงโยงมาหาผมด้วย! นี่ไม่เกี่ยวกันเลย!”

ดวงตาคู่นั้นของหัวเซินซวนดูเย็นเฉียบขึ้นทันใด เขากล่าวว่า

“หื้ม? นี่แกยังจะแก้ตัวอีกงั้นเหรอ?”

หัวฉีเฉินกล่าวแย้งขึ้นทันที

“พ่อ! ถ้าพ่อตัดสินอย่างยุติธรรมผมก็น้อมรับ แต่นี่มันไม่ยุติธรรมกับตัวผมเลย!”

“อวดดี! ฉันอุตส่าห์คาดหวังในตัวแกว่าจะเข้ามารับสืบทอดตำแหน่งผู้นำต่อจากฉันได้ ปรากฏว่าฉันคิดผิด! ไสหัวไปซะ!”

หัวเซินซวนคำรามเสียงดังลั่นด้วยความโกรธจัด

หัวฉีเฉินที่โดนพ่อดุด่ากระทั้งไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองได้ ก็ได้แต่สบถพึมพำด้วยคามโกรธและหันหลังจากไปโดยตรง

อาหมิงรีบก้าวย่างออกไปข้างหน้าและกล่าวว่า

“ท่านประธาน ผมไม่ดีเองครับและรู้ตัวว่าผิดจริงๆ แต่ผมขอร้องเถอะครับ ให้โอกาสผมแก้ไขอีกสักครั้ง ผมจะพิสูจน์ให้ประธานเห็นเองว่าผมสามารถจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้!”

“เหอะ เหอะ…ไม่จำเป็น ไสหัวไป!”

หัวเซินซวนปฏิเสธอย่างไร้เยื้อใย

อาหมิงไม่เหลือความมั่นใจใดๆอีกต่อไป แม้แต่หัวเรือใหญ่สุดแห่งตระกูลหัว หัวเซินซวนยังขับไล่เขา แล้วเขายังจะทำอะไรได้? จึงทำได้เพียงหันหลังเดินคอตกจากไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+