ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 318 ไร้เดียงสาเกินไป

Now you are reading ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี Chapter 318 ไร้เดียงสาเกินไป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่318 ไร้เดียงสาเกินไป

หัวฉีเฉินละทิ้งการเจรจาทุกอย่างลง ตัดสินใจไม่ต่อล้อต่อเถียงใดๆ อีกและทำได้เพียงรับปากตอบรับข้อเรียกร้องของทุกคน และยอมจ่ายเงินโอนเข้าบัญชีทุกคนโดยตรง

อย่างไรก็ตามแต่ เขามีเงื่อนไขว่า พวกเขาทุกคนจะต้องเข้าไปทำงานทันทีหลังได้รับค่าจ้างแล้ว

คนงานเหล่านี้ทราบดีว่ากำลังทำอะไร ขอแค่พวกเขาได้รับค่าจ้างก่อน ไม่ว่าหัวฉีเฉินจะสั่งอะไรย่อมทำตามโดยไม่ปฏิเสธ

หัวฉีเฉินโทรหาฝ่ายบัญชีให้โอนเงินค่าจ้างทั้งหมดให้แก่คนงานทุกคนทันที

คนงานบางคนต้องการช่วยเหลือบริษัทจริงๆ และพอได้รับข้อความแจ้งเตือนเงินเข้าบัญชี พวกเขาก็รีบวิ่งเข้าโกดังไปทำงานโดยไว

แต่ก็มีบางคนที่ไม่คิดอย่างนั้น หลังจากได้เงินค่าจ้างแล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องสนใจคำสั่งของหัวฉีเฉินอีกต่อไป

“รองประธานครับ มีตำรวจคอยเฝ้าหน้าโกดังเต็มไปหมด ถ้าเราบุกเข้าไปทำงานพวกเขาจะไม่ทำอะไรเราใช่ไหมครับ? แต่ถ้าตำรวจเกิดจับเราล่ะ?”

“ใช่แล้ว! รองประธาน พวกเราติดคุกตอนนี้ไม่ได้นะ แล้วลูกเมียพวกผมจะเอาอะไรกินอะไรใช้ล่ะ?”

…..

หัวฉีเฉินรีบโกหกไปทันทีว่า

“ไม่ต้องกลัวไป ฉันได้แจ้งให้ทางตำรวจและกรมท่าเรือทราบแล้ว และพวกเขาอนุญาตให้พวกเราเข้าไปดำเนินงานได้ตามปกติ ตำรวจที่คุมหน้าโกดังก็แค่มายืนเป็นพิธีเฉยๆ เพื่อให้นักข่าวเข้าใจเป็นแบบนั้น ด้วยความสามารถของพวกเราตระกูลหัว เรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้คิดว่าเราคุมไม่อยู่งั้นเหรอ?”

พอคนงานได้ยินแบบนั้นต่างก็รู้สึกว่า คำพูดของเขาสมเหตุสมผลดี ตระกูลหัวทั้งร่ำรวยและทรงอิทธิพลอย่างมากในหยานจิ้ง พวกเขาย่อมจ่ายเงินใต้โต๊ะให้ทางการได้อยู่แล้วไม่มีปัญหา

ทางด้านไส้ศึกที่จ้าวเฉียนส่งมายามนี้ยังไม่กล้าพูดค้านอะไรออกมา เพราะกลัวว่าจะโดนจับได้

ซึ่งอันที่จริงแล้ว จ้าวเฉียนเองก็คาดการณ์มาล่วงหน้าเรียบร้อยเช่นกันว่า ตระกูลหัวที่โดนต้อนจนมุมจะต้องหลอกให้คนงานเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามเพื่อขนของขึ้นเรือ และกระทำการเดินเรืออย่างผิดกฎหมายแน่นอน เพราะเหตุนี้เองเขาถึงสั่งให้พวกนักข่าวคอยเฝ้าระหว่างที่โกดังไว้ล่วงหน้า

เมื่อบริเวณโกดังของท่าเรือหัวเริ่มมีการเคลื่อนไหว หวางอวี่จุนที่เฝ้ามองจากระยะไกลมาโดยตลอดก็โทรสายไปหากรมการท่าเรือและสำนักงานเขตทันที เพื่อรายงานว่า ท่าเรือหัวกำลังดำเนินการเดินเรืออย่างผิดกฎหมายอยู่

ไม่นาน ทางสำนักงานเขตก็โทรแจ้งตำรวจที่คุมอยู่หน้าด้านให้บุกเข้าไปจับคนงานทันที พร้อมตะโกนเสียงดังลั่นเพื่อสร้างความตื่นตระหนกตกใจว่า

“หยุดเดี๋ยวนี้! ใครสั่งให้เข้ามาทำงาน! ออกไปให้หมด!”

หัวฉีเฉินทำใจดีสู้เสือฝืนยิ้มเข้าไปคุยด้วยทันทีว่า

“พี่ชาย ใจเย็นก่อน พวกเราได้รับการอนุญาตจากเบื้องบนแล้ว อย่าได้กังวลไป”

แต่ตำรวจเหล่านี้ก็ไม่กล้าปล่อยไปทั้งแบบนี้เช่นกัน เขาจึงโทรหาเจาฮุ้ยหมินทันทีเพื่อรายงานเรื่องนี้ให้ทราบและขอคำแนะนำว่าควรดำเนินการอย่างไรต่อไป

เจาฮุ้ยหมินที่ได้ยินแบบนั้นก็ตกใจอย่างมาก และโทรหาหัวฉีเฉินเอ่ยปากตำหนิใส่ทันควัน

“ฮาโหล คุณหัวกำลังทำอะไรอยู่ครับ! นี่คุณไม่เห็นผมอยู่ในสายตาเลยรึไง ถึงไม่ฟังกันแบบนี้! การที่คุณลอบเข้ามาทำงานทั้งๆ ที่ยังโดนคำสั่งห้ามจากทางตำรวจอยู่ มันเข้าค่ายเพิกเฉยต่อคำสั่งเจ้าหน้าที่ แล้วคนที่จะซวยคือผม! ก่อนจะทำอะไรเคยคิดถึงผลที่ตามมาบ้างไหม!”

หัวฉีเฉินโง่เกินกว่าจะคิดวิธีที่ดีกว่านี้ออก ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่หลอกซ้ำหลอกซ้อนต่อไปจนกว่าเรื่องทั้งหมดจะจบลง ซึ่งนี่เป็นวิธีที่เรียบง่ายและได้ผลเร็วที่สุดแล้ว แม้ว่าหลังจากนี้จะต้องโทษ แต่ก็คงถูกปรับเงินแค่ไม่กี่หมื่นหยวน

“หัวหน้าเจา คุณเข้าใจผิดแล้วครับ ผมไม่ได้ละเลยคำพูดของคุณเลย แต่ผมได้ขออนุญาตจากทางสำนักงานเขตแล้ว เรื่องนี้จะไม่สร้างความลำบากให้คุณแน่นอน กลับไปทำงานตามเดิมเถอะครับไม่ต้องห่วง”

หัวฉีเฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ทว่าเจาฮุ้ยหมินกลับไม่เชื่อว่า ทางสำนักงานเขตจะอนุญาตให้หัวฉีเฉินดำเนินงานได้ หลังจากวางสายไป เขาก็รีบโทรหาหลินเซียะต่อทันทีและถามว่า

“ผู้ว่าหลิน นี่คุณอนุญาตให้ท่าเรือหัวดำเนินการต่อแล้วเหรอ? แต่คำสั่งจากเบื้องบนยังไม่มีลงมานะ คุณกำลังละเมิดคำสั่งอยู่รู้ไหม?”

ในเวลาเดียวกันจ้าวเฉียนก็โทรแจ้งพวกนักข่าวแถวโกดังทันทีว่า ตอนนี้บรรดาคนงานของท่าเรือหัวกำลังลักลอบขนสินค้าขึ้นเรืออยู่ท้ายโกดีง ไม่กี่นาทีต่อมา จู่ๆ ก็มีข่าวถ่ายทอดสดออกมาทันทีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งคลิปวีดีโอและภาพถ่ายทั้งหมดเกี่ยวกับการลักลอบทำงานอย่างผิดกฎหมายของท่าเรือหัว ผ่านไปไม่ถึง10นาที ยอดผู้เข้าชมถ่ายทอดสดนี้ก็ทะลุไปกว่าหลายแสนคนแล้ว

หลินเซียะรีบเปิดดูถ่ายทอดสดทางอินเตอร์เน็ตทันที เขาก็ตะคอกสวนกลับด้วยความโกรธเกรี้ยวยิ่งว่า

“อนุญาตกับผีน่ะสิ!! มันมาขอร้องให้ฉันช่วยก็จริง แต่สุดท้ายฉันก็ปฏิเสธไป! ตอนนี้ไม่ต้องถามอะไรให้มากความ ส่งทีมตำรวจบุกเข้าไปจับพวกละเมิดกฎได้เลยไม่ต้องไว้หน้า!”

เจาฮุ้ยหมินขมวดคิ้วด้วยความงุนงง และเอ่ยถามเจือน้ำเสียงหงุดหงิดว่า

“เอ้า? แต่เขาโทรมาบอกผมเองว่า คุณอนุญาตให้เขาทำงานได้ไม่ต้องห่วงจริงๆ นะครับ แถมยังบอกด้วยว่าให้ผมกลับไปทำงานต่อไม่ต้องห่วง ชายคนนี้กล้าโกหกพวกเราจริงๆ”

หลินเซียะกรนเสียงเย็นใส่ไปคำโตและกล่าวว่า

“หึ! ฉันรู้ดีว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ ขอแค่แล่นเรือออกจากฝั่งได้และไม่ละเมิดสัญญาก็พอ แม้จะถูกปรับหรือต้องโทษทีหลังมันก็ไม่สน! แต่มันกล้าทำอะไรข้ามหัวฉันจริงๆ เรื่องนี้ฉันไม่ยอมแน่นอน! ส่งคนไปจัดการกับพวกแรงงานท่าเรือหัวได้เลยโดยตรง!”

เจาฮุ้ยหมินตอบตกลงก่อนวางสายไป

หลินเซียะผู้ว่าเมืองสั่งการเป็นการส่วนตัวแบบนี้ ไม่มีใครกล้าละเลย ทีมตำรวจทั้งหมดยกำลังเข้าประชิดล้อมรอบโกดังท่าเรือหัวทันที พวกคนงานทั้งหมดไม่เคยเห็นท่าทีของตำรวจที่จริงจังขนาดนี้มาก่อน จึงหยุดทุกการกระทำและรีบยกมือทั้งสองข้างกุมหัวทันที

“คุณตำรวจ เราถูกเจ้านายบังคับให้ทำครับ อย่าจับพวกเราเลย!”

“ใช่แล้วครับ ก็เจ้านายของพวกเราบอกว่าไม่เป็นไร แถมยังย่ำอีกว่าไม่ต้องกลัว สั่งให้รีบขนสินค้าขึ้นเรือโดยเร็วที่สุดก็พอ”

“คุณตำรวจ พวกเรายังมีลูกมีเมีย ได้โปรดอย่าจับพวกเราเลย”

……..

บรรดาคนงานทั้งหลายรีบโยนความผิดให้หัวฉีเฉินโดยไว ซึ่งเขาเองก็สมควรได้รับผลที่ก่อไว้แล้ว

หัวฉีเฉินแค่ต้องการอธิบายอะไรสักอย่างออกมา แต่พวกตำรวจไม่รับฟังใดๆ ทั้งสิ้น ในเมื่อเพิกเฉยต่อคำสั่งของทางการและลักลอบทำงานอย่างผิดกฎหมาย มันก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีกแล้ว ตำรวจนำทีมเข้าจับกุมหัวฉีเฉินเข้าสอบสวนต่อทันทีโดยตรง

คนงานเหล่านั้นเองก็โดนจับกุมตัวไปเช่นกัน ทั้งลูกเรือและคนงาน รวมไปถึงคนดูแลโกดังทั้งหมดล้วนโดนจับเข้าโรงพักยกแผง ตำรวจได้ชี้แจงความผิดของพวกเขาอย่างชัดเจน ลักลอบเข้าทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ฝ่าฝืนคำสั่งของทางการ และตำรวจอีกส่วนหนึ่งประมาณสิบกว่านายยังคงเข้าเฝ้าระวังรอบโกดัง เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นแอบลักลอบเข้าทำงานอีก

ณ จุดนี้กล่าวได้อย่างเต็มปากว่า ชะตากรรมของท่าเรือหัวได้ถูกกำหนดโดยสมบูรณ์แล้ว และจะไม่มีวันแปรเปลี่ยนใดๆ ได้อีก

แสงแรกอรุณยามเช้าสาดผ่านกระจกหน้าต่างห้องนอนของจ้าวเฉียนเข้ามา เขาลุกขึ้นยืนพลันบิดขี้เกียจเล็กน้อย

เวลาสิบโมงเช้า มีข้อความจากบริษัทเมล็ดพืชการาจและไชน่าปิโตรเคมีส่งเข้ามาในเมลโดยพร้อมเพรียง โดยขอเรียนเชิญจ้าวเฉียนให้เข้าร่วมการประชุมที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์หัวกรุ๊ป

จ้าวเฉียนรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที และโทรเรียกหวางอวี่จุนให้เตรียมตัวออกเดินทาง จากนั้นทั้งสองก็รีบตรงเข้าไปในสำนักงานใหญ่บริษัทอสังหาริมทรัพย์หัวกรุ๊ปทันทีเพื่อเข้าห้องประชุม

ผู้รับผิดชอบของบริษัทเมล็ดพืชการาจคือชางหย่า ส่วนของบริษัทไชน่าปิโตรเคมีก็คือจ้านรุย และผู้นำการประชุมในครั้งนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหัวเซียงตงที่เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาล

เมื่อเห็นหน้าจ้าวเฉียน หัวฉีเฉินก็โมโหทันที เขากัดฟันแน่นกรนเสียงเย็นเอ่ยถามขึ้นว่า

“นี่แก! แกใช่ไหมที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด! แกมันไร้ยางอายสิ้นดี! ไหนว่าจะยอมสงบศึกกับพวกเรา แต่สุดท้ายก็แอบตีท้ายครัวกันนี่น่ะเหรอ? ไร้จรรยาบรรณเกินไป! ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่ไหมห๊ะ!?”

จ้าวเฉียนยิ้มและกล่าวตอบอย่างใจเย็นไปว่า

“คุณหัวพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะครับ ดั่งคำกล่าวที่ว่า สมรภูมิธุรกิจก็เหมือนกับสนามรบ ผลสุดท้ายที่หลงเหลือมีแค่ชัยชนะกับพ่ายแพ้ ใครเขาสนวิธีการกัน? แล้วที่สำคัญเลยนะครับ คุณควรเข้าใจสาเหตุของเรื่องทั้งหมดดีที่สุด เพราะลูกชายของคุณกล้าบุกไปทำลายหลุมศพของคุณย่าของผมจนเละไม่เหลือ ตั้งแต่วันนั้นชะตากรรมของตระกูลหัวก็ถูกำหนดไว้แล้วครับ ผมไม่คิดที่จะปล่อยพวกคุณไปอยู่แล้ว ส่วนคุณหัวเองก็ไร้เดียงสาเกินไปนะครับ คิดว่าทุกอย่างจะแก้ไขได้ด้วยเงินจริงๆ เหรอครับ? บางทีถ้าพวกคุณมีทัศนคติดีกว่านี้หน่อยและหัดจริงใจที่จะขอโทษผมมากกว่านี้ เรื่องราวทั้งหมดคงไม่มาไกลแบบนี้แน่นอน”

“แก…”

หัวฉีเฉินโกรธจนพูดไม่ออก

ทันใดนั้นเอง จู่ๆ หัวเซียงตงก็ระเบิดหัวเราะออกมา และกล่าวน้ำเสียงแช่มช้าขึ้นว่า

“นี่คงเป็นวีรบุรุษกลับชาติมาเกิดใหม่…คำพูดนี้คงไม่เกินจริงเท่าไหร่? ไอ้หนุ่ม…แกทั้งโหดเหี้ยมและเลือดเย็นยิ่งกว่าคุณทวดและคุณปู่ของแกอีก พวกเขาเองก็เคยต่อสู้กับฉันในครั้งอดีต แต่ฉันไม่เคยเห็นพวกเขาหยิบใช้วิธีที่เหี้ยมขนาดนี้มาก่อนสักครั้ง เฮ้ออ…ฉันล่ะอิจฉาพวกเขาสองคนจริงๆ ที่มีลูกหลานมากความสามารถแบบแก ส่วนฉันคงไม่โชคดีถึงมีลูกหลานไม่เก่งเก่า”

หัวฉีเฉินใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายคล้อยหลังได้ยินคุณปู่พูดออกไปแบบนั้น ซึ่งแท้ที่จริงแล้วแค่จ้าวเฉียนคนเดียวก็สามารถรับมือตระกูลหัวทั้งตระกูลได้อย่างอยู่หมัดจริงๆ แม้ตระกูลหัวจะรอดจากเหตุการณ์นี้ได้ แต่ก็คงไม่ยิ่งใหญ่เท่าเดิมอีกแล้ว

หากไม่สามารถคว้าชัยในการเจรจาครั้งนี้ได้อีก มีหวังตระกูลหัวเตรียมตกสู่ห้วงชีวิตอันแสนยากลำบากได้เลย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 318 ไร้เดียงสาเกินไป

Now you are reading ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี Chapter 318 ไร้เดียงสาเกินไป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่318 ไร้เดียงสาเกินไป

หัวฉีเฉินละทิ้งการเจรจาทุกอย่างลง ตัดสินใจไม่ต่อล้อต่อเถียงใดๆ อีกและทำได้เพียงรับปากตอบรับข้อเรียกร้องของทุกคน และยอมจ่ายเงินโอนเข้าบัญชีทุกคนโดยตรง

อย่างไรก็ตามแต่ เขามีเงื่อนไขว่า พวกเขาทุกคนจะต้องเข้าไปทำงานทันทีหลังได้รับค่าจ้างแล้ว

คนงานเหล่านี้ทราบดีว่ากำลังทำอะไร ขอแค่พวกเขาได้รับค่าจ้างก่อน ไม่ว่าหัวฉีเฉินจะสั่งอะไรย่อมทำตามโดยไม่ปฏิเสธ

หัวฉีเฉินโทรหาฝ่ายบัญชีให้โอนเงินค่าจ้างทั้งหมดให้แก่คนงานทุกคนทันที

คนงานบางคนต้องการช่วยเหลือบริษัทจริงๆ และพอได้รับข้อความแจ้งเตือนเงินเข้าบัญชี พวกเขาก็รีบวิ่งเข้าโกดังไปทำงานโดยไว

แต่ก็มีบางคนที่ไม่คิดอย่างนั้น หลังจากได้เงินค่าจ้างแล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องสนใจคำสั่งของหัวฉีเฉินอีกต่อไป

“รองประธานครับ มีตำรวจคอยเฝ้าหน้าโกดังเต็มไปหมด ถ้าเราบุกเข้าไปทำงานพวกเขาจะไม่ทำอะไรเราใช่ไหมครับ? แต่ถ้าตำรวจเกิดจับเราล่ะ?”

“ใช่แล้ว! รองประธาน พวกเราติดคุกตอนนี้ไม่ได้นะ แล้วลูกเมียพวกผมจะเอาอะไรกินอะไรใช้ล่ะ?”

…..

หัวฉีเฉินรีบโกหกไปทันทีว่า

“ไม่ต้องกลัวไป ฉันได้แจ้งให้ทางตำรวจและกรมท่าเรือทราบแล้ว และพวกเขาอนุญาตให้พวกเราเข้าไปดำเนินงานได้ตามปกติ ตำรวจที่คุมหน้าโกดังก็แค่มายืนเป็นพิธีเฉยๆ เพื่อให้นักข่าวเข้าใจเป็นแบบนั้น ด้วยความสามารถของพวกเราตระกูลหัว เรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้คิดว่าเราคุมไม่อยู่งั้นเหรอ?”

พอคนงานได้ยินแบบนั้นต่างก็รู้สึกว่า คำพูดของเขาสมเหตุสมผลดี ตระกูลหัวทั้งร่ำรวยและทรงอิทธิพลอย่างมากในหยานจิ้ง พวกเขาย่อมจ่ายเงินใต้โต๊ะให้ทางการได้อยู่แล้วไม่มีปัญหา

ทางด้านไส้ศึกที่จ้าวเฉียนส่งมายามนี้ยังไม่กล้าพูดค้านอะไรออกมา เพราะกลัวว่าจะโดนจับได้

ซึ่งอันที่จริงแล้ว จ้าวเฉียนเองก็คาดการณ์มาล่วงหน้าเรียบร้อยเช่นกันว่า ตระกูลหัวที่โดนต้อนจนมุมจะต้องหลอกให้คนงานเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามเพื่อขนของขึ้นเรือ และกระทำการเดินเรืออย่างผิดกฎหมายแน่นอน เพราะเหตุนี้เองเขาถึงสั่งให้พวกนักข่าวคอยเฝ้าระหว่างที่โกดังไว้ล่วงหน้า

เมื่อบริเวณโกดังของท่าเรือหัวเริ่มมีการเคลื่อนไหว หวางอวี่จุนที่เฝ้ามองจากระยะไกลมาโดยตลอดก็โทรสายไปหากรมการท่าเรือและสำนักงานเขตทันที เพื่อรายงานว่า ท่าเรือหัวกำลังดำเนินการเดินเรืออย่างผิดกฎหมายอยู่

ไม่นาน ทางสำนักงานเขตก็โทรแจ้งตำรวจที่คุมอยู่หน้าด้านให้บุกเข้าไปจับคนงานทันที พร้อมตะโกนเสียงดังลั่นเพื่อสร้างความตื่นตระหนกตกใจว่า

“หยุดเดี๋ยวนี้! ใครสั่งให้เข้ามาทำงาน! ออกไปให้หมด!”

หัวฉีเฉินทำใจดีสู้เสือฝืนยิ้มเข้าไปคุยด้วยทันทีว่า

“พี่ชาย ใจเย็นก่อน พวกเราได้รับการอนุญาตจากเบื้องบนแล้ว อย่าได้กังวลไป”

แต่ตำรวจเหล่านี้ก็ไม่กล้าปล่อยไปทั้งแบบนี้เช่นกัน เขาจึงโทรหาเจาฮุ้ยหมินทันทีเพื่อรายงานเรื่องนี้ให้ทราบและขอคำแนะนำว่าควรดำเนินการอย่างไรต่อไป

เจาฮุ้ยหมินที่ได้ยินแบบนั้นก็ตกใจอย่างมาก และโทรหาหัวฉีเฉินเอ่ยปากตำหนิใส่ทันควัน

“ฮาโหล คุณหัวกำลังทำอะไรอยู่ครับ! นี่คุณไม่เห็นผมอยู่ในสายตาเลยรึไง ถึงไม่ฟังกันแบบนี้! การที่คุณลอบเข้ามาทำงานทั้งๆ ที่ยังโดนคำสั่งห้ามจากทางตำรวจอยู่ มันเข้าค่ายเพิกเฉยต่อคำสั่งเจ้าหน้าที่ แล้วคนที่จะซวยคือผม! ก่อนจะทำอะไรเคยคิดถึงผลที่ตามมาบ้างไหม!”

หัวฉีเฉินโง่เกินกว่าจะคิดวิธีที่ดีกว่านี้ออก ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่หลอกซ้ำหลอกซ้อนต่อไปจนกว่าเรื่องทั้งหมดจะจบลง ซึ่งนี่เป็นวิธีที่เรียบง่ายและได้ผลเร็วที่สุดแล้ว แม้ว่าหลังจากนี้จะต้องโทษ แต่ก็คงถูกปรับเงินแค่ไม่กี่หมื่นหยวน

“หัวหน้าเจา คุณเข้าใจผิดแล้วครับ ผมไม่ได้ละเลยคำพูดของคุณเลย แต่ผมได้ขออนุญาตจากทางสำนักงานเขตแล้ว เรื่องนี้จะไม่สร้างความลำบากให้คุณแน่นอน กลับไปทำงานตามเดิมเถอะครับไม่ต้องห่วง”

หัวฉีเฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ทว่าเจาฮุ้ยหมินกลับไม่เชื่อว่า ทางสำนักงานเขตจะอนุญาตให้หัวฉีเฉินดำเนินงานได้ หลังจากวางสายไป เขาก็รีบโทรหาหลินเซียะต่อทันทีและถามว่า

“ผู้ว่าหลิน นี่คุณอนุญาตให้ท่าเรือหัวดำเนินการต่อแล้วเหรอ? แต่คำสั่งจากเบื้องบนยังไม่มีลงมานะ คุณกำลังละเมิดคำสั่งอยู่รู้ไหม?”

ในเวลาเดียวกันจ้าวเฉียนก็โทรแจ้งพวกนักข่าวแถวโกดังทันทีว่า ตอนนี้บรรดาคนงานของท่าเรือหัวกำลังลักลอบขนสินค้าขึ้นเรืออยู่ท้ายโกดีง ไม่กี่นาทีต่อมา จู่ๆ ก็มีข่าวถ่ายทอดสดออกมาทันทีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งคลิปวีดีโอและภาพถ่ายทั้งหมดเกี่ยวกับการลักลอบทำงานอย่างผิดกฎหมายของท่าเรือหัว ผ่านไปไม่ถึง10นาที ยอดผู้เข้าชมถ่ายทอดสดนี้ก็ทะลุไปกว่าหลายแสนคนแล้ว

หลินเซียะรีบเปิดดูถ่ายทอดสดทางอินเตอร์เน็ตทันที เขาก็ตะคอกสวนกลับด้วยความโกรธเกรี้ยวยิ่งว่า

“อนุญาตกับผีน่ะสิ!! มันมาขอร้องให้ฉันช่วยก็จริง แต่สุดท้ายฉันก็ปฏิเสธไป! ตอนนี้ไม่ต้องถามอะไรให้มากความ ส่งทีมตำรวจบุกเข้าไปจับพวกละเมิดกฎได้เลยไม่ต้องไว้หน้า!”

เจาฮุ้ยหมินขมวดคิ้วด้วยความงุนงง และเอ่ยถามเจือน้ำเสียงหงุดหงิดว่า

“เอ้า? แต่เขาโทรมาบอกผมเองว่า คุณอนุญาตให้เขาทำงานได้ไม่ต้องห่วงจริงๆ นะครับ แถมยังบอกด้วยว่าให้ผมกลับไปทำงานต่อไม่ต้องห่วง ชายคนนี้กล้าโกหกพวกเราจริงๆ”

หลินเซียะกรนเสียงเย็นใส่ไปคำโตและกล่าวว่า

“หึ! ฉันรู้ดีว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ ขอแค่แล่นเรือออกจากฝั่งได้และไม่ละเมิดสัญญาก็พอ แม้จะถูกปรับหรือต้องโทษทีหลังมันก็ไม่สน! แต่มันกล้าทำอะไรข้ามหัวฉันจริงๆ เรื่องนี้ฉันไม่ยอมแน่นอน! ส่งคนไปจัดการกับพวกแรงงานท่าเรือหัวได้เลยโดยตรง!”

เจาฮุ้ยหมินตอบตกลงก่อนวางสายไป

หลินเซียะผู้ว่าเมืองสั่งการเป็นการส่วนตัวแบบนี้ ไม่มีใครกล้าละเลย ทีมตำรวจทั้งหมดยกำลังเข้าประชิดล้อมรอบโกดังท่าเรือหัวทันที พวกคนงานทั้งหมดไม่เคยเห็นท่าทีของตำรวจที่จริงจังขนาดนี้มาก่อน จึงหยุดทุกการกระทำและรีบยกมือทั้งสองข้างกุมหัวทันที

“คุณตำรวจ เราถูกเจ้านายบังคับให้ทำครับ อย่าจับพวกเราเลย!”

“ใช่แล้วครับ ก็เจ้านายของพวกเราบอกว่าไม่เป็นไร แถมยังย่ำอีกว่าไม่ต้องกลัว สั่งให้รีบขนสินค้าขึ้นเรือโดยเร็วที่สุดก็พอ”

“คุณตำรวจ พวกเรายังมีลูกมีเมีย ได้โปรดอย่าจับพวกเราเลย”

……..

บรรดาคนงานทั้งหลายรีบโยนความผิดให้หัวฉีเฉินโดยไว ซึ่งเขาเองก็สมควรได้รับผลที่ก่อไว้แล้ว

หัวฉีเฉินแค่ต้องการอธิบายอะไรสักอย่างออกมา แต่พวกตำรวจไม่รับฟังใดๆ ทั้งสิ้น ในเมื่อเพิกเฉยต่อคำสั่งของทางการและลักลอบทำงานอย่างผิดกฎหมาย มันก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีกแล้ว ตำรวจนำทีมเข้าจับกุมหัวฉีเฉินเข้าสอบสวนต่อทันทีโดยตรง

คนงานเหล่านั้นเองก็โดนจับกุมตัวไปเช่นกัน ทั้งลูกเรือและคนงาน รวมไปถึงคนดูแลโกดังทั้งหมดล้วนโดนจับเข้าโรงพักยกแผง ตำรวจได้ชี้แจงความผิดของพวกเขาอย่างชัดเจน ลักลอบเข้าทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ฝ่าฝืนคำสั่งของทางการ และตำรวจอีกส่วนหนึ่งประมาณสิบกว่านายยังคงเข้าเฝ้าระวังรอบโกดัง เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นแอบลักลอบเข้าทำงานอีก

ณ จุดนี้กล่าวได้อย่างเต็มปากว่า ชะตากรรมของท่าเรือหัวได้ถูกกำหนดโดยสมบูรณ์แล้ว และจะไม่มีวันแปรเปลี่ยนใดๆ ได้อีก

แสงแรกอรุณยามเช้าสาดผ่านกระจกหน้าต่างห้องนอนของจ้าวเฉียนเข้ามา เขาลุกขึ้นยืนพลันบิดขี้เกียจเล็กน้อย

เวลาสิบโมงเช้า มีข้อความจากบริษัทเมล็ดพืชการาจและไชน่าปิโตรเคมีส่งเข้ามาในเมลโดยพร้อมเพรียง โดยขอเรียนเชิญจ้าวเฉียนให้เข้าร่วมการประชุมที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์หัวกรุ๊ป

จ้าวเฉียนรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที และโทรเรียกหวางอวี่จุนให้เตรียมตัวออกเดินทาง จากนั้นทั้งสองก็รีบตรงเข้าไปในสำนักงานใหญ่บริษัทอสังหาริมทรัพย์หัวกรุ๊ปทันทีเพื่อเข้าห้องประชุม

ผู้รับผิดชอบของบริษัทเมล็ดพืชการาจคือชางหย่า ส่วนของบริษัทไชน่าปิโตรเคมีก็คือจ้านรุย และผู้นำการประชุมในครั้งนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหัวเซียงตงที่เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาล

เมื่อเห็นหน้าจ้าวเฉียน หัวฉีเฉินก็โมโหทันที เขากัดฟันแน่นกรนเสียงเย็นเอ่ยถามขึ้นว่า

“นี่แก! แกใช่ไหมที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด! แกมันไร้ยางอายสิ้นดี! ไหนว่าจะยอมสงบศึกกับพวกเรา แต่สุดท้ายก็แอบตีท้ายครัวกันนี่น่ะเหรอ? ไร้จรรยาบรรณเกินไป! ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่ไหมห๊ะ!?”

จ้าวเฉียนยิ้มและกล่าวตอบอย่างใจเย็นไปว่า

“คุณหัวพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะครับ ดั่งคำกล่าวที่ว่า สมรภูมิธุรกิจก็เหมือนกับสนามรบ ผลสุดท้ายที่หลงเหลือมีแค่ชัยชนะกับพ่ายแพ้ ใครเขาสนวิธีการกัน? แล้วที่สำคัญเลยนะครับ คุณควรเข้าใจสาเหตุของเรื่องทั้งหมดดีที่สุด เพราะลูกชายของคุณกล้าบุกไปทำลายหลุมศพของคุณย่าของผมจนเละไม่เหลือ ตั้งแต่วันนั้นชะตากรรมของตระกูลหัวก็ถูกำหนดไว้แล้วครับ ผมไม่คิดที่จะปล่อยพวกคุณไปอยู่แล้ว ส่วนคุณหัวเองก็ไร้เดียงสาเกินไปนะครับ คิดว่าทุกอย่างจะแก้ไขได้ด้วยเงินจริงๆ เหรอครับ? บางทีถ้าพวกคุณมีทัศนคติดีกว่านี้หน่อยและหัดจริงใจที่จะขอโทษผมมากกว่านี้ เรื่องราวทั้งหมดคงไม่มาไกลแบบนี้แน่นอน”

“แก…”

หัวฉีเฉินโกรธจนพูดไม่ออก

ทันใดนั้นเอง จู่ๆ หัวเซียงตงก็ระเบิดหัวเราะออกมา และกล่าวน้ำเสียงแช่มช้าขึ้นว่า

“นี่คงเป็นวีรบุรุษกลับชาติมาเกิดใหม่…คำพูดนี้คงไม่เกินจริงเท่าไหร่? ไอ้หนุ่ม…แกทั้งโหดเหี้ยมและเลือดเย็นยิ่งกว่าคุณทวดและคุณปู่ของแกอีก พวกเขาเองก็เคยต่อสู้กับฉันในครั้งอดีต แต่ฉันไม่เคยเห็นพวกเขาหยิบใช้วิธีที่เหี้ยมขนาดนี้มาก่อนสักครั้ง เฮ้ออ…ฉันล่ะอิจฉาพวกเขาสองคนจริงๆ ที่มีลูกหลานมากความสามารถแบบแก ส่วนฉันคงไม่โชคดีถึงมีลูกหลานไม่เก่งเก่า”

หัวฉีเฉินใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายคล้อยหลังได้ยินคุณปู่พูดออกไปแบบนั้น ซึ่งแท้ที่จริงแล้วแค่จ้าวเฉียนคนเดียวก็สามารถรับมือตระกูลหัวทั้งตระกูลได้อย่างอยู่หมัดจริงๆ แม้ตระกูลหัวจะรอดจากเหตุการณ์นี้ได้ แต่ก็คงไม่ยิ่งใหญ่เท่าเดิมอีกแล้ว

หากไม่สามารถคว้าชัยในการเจรจาครั้งนี้ได้อีก มีหวังตระกูลหัวเตรียมตกสู่ห้วงชีวิตอันแสนยากลำบากได้เลย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+