ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ 182 กินหรือไม่กิน (1)

Now you are reading ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ Chapter 182 กินหรือไม่กิน (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เงาร่างสายหนึ่งยืนเงียบๆ อยู่ริมน้ำ ลมแม่น้ำพัดเอาชายเสื้อดำสลับเงินพลิ้วไหว ร่างคนที่อยู่ท่ามกลางสายหมอก ดูแล้วสง่าเย็นเยือกเป็นสีเดียวกับเกลียวคลื่น คล้ายเทพเทวาที่แปลงร่างเป็นคน

 

 

เงาดำสายหนึ่งพลันเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว คารวะอย่างนอบน้อม

 

 

“คุณชายใหญ่ พวกเราค้นจนทั่วแล้ว คนของค่ายฉงฉีที่มาวันนี้ตายไปสามสิบหก บาดเจ็บสาหัสสาม สาบสูญหนึ่งคน…คนที่สาบสูญบังเอิญเป็นเหล่าเจอกู!”

 

 

เหมยซูฟังแล้วหันหน้าเล็กน้อย ยิ้มจางๆ ที่มุมปาก แต่แววตามิมีรอยยิ้มแม้แต่น้อย “เป็นเช่นนี้จริง ดูท่าความเฉียบไวของหัวหน้ากองชิวอยู่เหนือกว่าที่คิด ถึงกับจับเหล่าเจอกูหนีไป”

 

 

“คนที่เข้าออกก็ตรวจสอบหมดแล้ว ตั้งแต่เช้าจรดค่ำมีคนกลุ่มเดียวที่จากไป ก็คือคณะของเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่ สองคนที่พวกเราพบเมื่อเช้านี้ก็คือเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่กับไต้ซือเมิ่งอี๋” รองพ่อบ้านพอพูดถึงฉายาเมิ่งอี๋ก็สีหน้าพิกล

 

 

“ดูท่าใต้เท้าชิวของเราฐานะไม่ธรรมดา เจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่…ฮ่าๆ” เหมยซูหลุบตาเรียวยาว แววตาวิบวับเย็นเยือกจนน่ากลัว

 

 

วานนี้พอถึงตงอั้น เดิมทีเขาจะไปบ้านตระกูลหลี่ก่อน แต่ก็ได้ข่าวอย่างรวดเร็วว่าเห็นคนต่างถิ่นอายุน้อยคล้ายชิวเยี่ยไป๋ปรากฏตัวบนริมฝั่งตะวันออก ต่อยตีกับคนในเหลาสุราของเหล่าจูก่อน แล้วพาหลวงจีนคนหนึ่งหายตัวไป และมีคนเห็นว่าใกล้บริเวณที่หายตัวไปปรากฏเรือข้ามฟากของอินชวนกง

 

 

เขาคิดดูแล้วก็นึกถึงข่าวเกี่ยวกับงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของหัวหน้าใหญ่สามสิบหกลุ่มน้ำ จึงเปลี่ยนเป็นตรงมาที่ท่าเรือ ให้คนส่งข่าวถึงหลินชงลั่งด้วยวิธีพิเศษ บอกว่าจะขอเข้าไปอวยพรวันเกิด

 

 

ต่อมาก็สืบรู้ว่าคืนนั้นบนเกาะมีคนของหอซ่อนกระบี่หลายคน แต่วันนี้ที่ออกจากเกาะมีเพียงคนของสำนักหอซ่อนกระบี่เพียงกลุ่มเดียว และหลังเขาส่งเทียบแสดงตัวแล้ว จู่ๆ รองพ่อบ้านก็สิ้นสติไปอย่างประหลาดจนกระทั่งฟื้นขึ้นมาคนของสำนักหอซ่อนกระบี่ก็ไปกันหมดแล้ว

 

 

แม้ฟังดูแล้วแทบไม่น่าเชื่อ แต่เขาแทบจะตัดสินได้เลยว่าชิวเยี่ยไป๋ก็คือคุณชายสี่เย่ของสำนักหอซ่อนกระบี่!

 

 

เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าลูกคนที่สี่ที่เกิดจากอนุของตระกูลชิว จะเก่งกาจสามารถถึงเพียงนี้ และอธิบายไม่ได้ว่าทำไมชิวเยี่ยไป๋จึงมีพลังฝีมือระดับสุดยอด

 

 

รองพ่อบ้านหัวร่อ “คุณชายใหญ่ ทุกอย่างล้วนอยู่ในความคาดหมายของท่าน เจ้าเด็กแซ่ชิวแทบจะให้คนถล่มค่ายฉงฉีจนวอดวาย แม้เหล่าเจอกูจะถูกเจ้าเด็กน้อยเอาตัวไป แต่คนข้างตัวซูจิ่นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเหล่าเจอกูไม่เอาไหน ท่านไม่ต้องกังวล…”

 

 

เหมยซูพลันขัดขึ้น “ซูจิ่นพูดหรือเปล่าว่าเรือพวกนั้นและสมุดบัญชีอยู่ที่ไหน”

 

 

รองพ่อบ้านงงงัน แล้วตอบอย่างนอบน้อมว่า “บ่าวจะไปถามดู แต่ซูจิ่นกับคนข้างตัวล้วนบาดเจ็บสาหัส พวกเราใช้วิธีรุนแรงง้างปากเขาแล้ว ขืน…อีกที…เกรงว่าพวกเขาจะทนไม่ไหวนะขอรับ”

 

 

เหมยซูหันกายเหม่อมองลำน้ำมืดมิด “ไม่เสียดายคุณค่าใดๆ ข้าต้องการคำตอบ ไม่ต้องการฟังขั้นตอน”

 

 

รองพ่อบ้านฟังแล้วสะดุ้งในใจ รีบกัดฟันตอบว่า “ขอรับ บ่าวจะเค้นปากคำซูจิ่นให้ได้ก่อนที่มันจะสิ้นใจ!”

 

 

พูดจบก็รีบถอยออกไป

 

 

เหมยซูเงยหน้าเล็กน้อย มองดูจันทรากลางฟ้า คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มพึมพำว่า “ชายสี่แซ่ชิว คิดไม่ถึงว่าเช้านี้คลาดกันไปชนิดเฉียดฉิว เหมยซูไม่เคยเจอคู่ปรับเช่นเจ้ามานานแล้ว เจ้าจงอย่าด่วนตายไปเสียก่อน เหมยซูจะผิดหวังมาก”

 

 

ผู้เยาว์คนนั้นไยจึงมีฐานะถึงเพียงนี้ ทำให้เขาแปลกใจจริงๆ คนที่สามารถทำลายกลเกมของตนมีไม่มาก แถมยังเป็นคนที่รูปโฉมและความสามารถทัดเทียมกับตนด้วย

 

 

ก็มิรู้ว่าคนคนนั้นนอกจากความลับเรื่องที่เป็นเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่แล้ว ยังมีความลับอื่นใดอีกหรือไม่…ช่างน่าขุดคุ้ยจริงๆ

 

 

คนเราพอมีความลับก็จะมีจุดอ่อน

 

 

เมื่อมีจุดอ่อนก็ง่ายต่อการควบคุม

 

 

เขาหวังว่าจะกุมความลับของคนคนนั้นได้ รอดูวันที่ชิวเยี่ยไป๋สยบต่อตนด้วยสีหน้าอับจนปัญญา

 

 

การจะได้สยบคนที่เข้มแข็งเท่าเทียมกับตน มักทำให้รู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน

 

 

เขาเชื่อมั่นในความรู้สึกของตนเอง ชิวเยี่ยไป๋ต้องมีความลับใหญ่โตกว่านี้แน่

 

 

หึ…

 

 

ไม่นานนักรองพ่อบ้านก็รุดกลับมาอย่างรีบร้อน สีหน้าขาวซีด คราบเลือดบนตัวยังไม่ได้เช็ดออกด้วยซ้ำ พอมาถึงก็คุกเข่าโครมต่อแทบเท้าเหมยซู “คุณชายใหญ่ บ่าว…ผิดไปแล้ว แม้ซูจิ่นจะไม่ยอมสารภาพ แต่คนข้างตัวเขายืนยันว่า เรือพวกนั้นพอซูจิ่นปล้นเสร็จก็ทิ้งไว้ตรงจุดที่เห็นถนัดที่สุดของลำน้ำ แต่ต่อมาจู่ๆ ก็หายไปอย่างลึกลับ ซูจิ่นเคยส่งคนไปสืบเสาะ แต่ไม่ได้อะไรเลย”

 

 

เหมยซูหลุบตา มุมปากรั้งขึ้น “คนที่ทำเช่นนี้ได้ นอกจากรองหัวหน้าค่ายแล้ว ย่อมต้องเป็นหัวหน้าค่ายฉงฉีแล้ว”

 

 

รองพ่อบ้านกัดฟันกล่าวว่า “คุณชายใหญ่ เกรงว่าเจ้าคนแซ่ชิวคงสืบพบอะไรบ้างแล้ว เกิดสมุดบัญชีตกอยู่ในมือมัน…”

 

 

เหมยซูหันกาย รั้งชายเสื้อแล้วกล่าวอ้อยอิ่งว่า “พาข้าไปพบซูจิ่น”

 

 

แสงตะเกียงริบหรี่ เงาร่างแต่ละคนทอดยาวบนพื้นราวกับภูตผี

 

 

เสื้อคลุมหรูหราสีเงินและสีดำตัดกันลากกับพื้นช้าๆ ลากเอาฝุ่นดินลอยฟุ้งเล็กน้อย การเคลื่อนตัวของอากาศดูเหมือนจะกระทบต่อคนที่นอนสิ้นสติอยู่บนพื้น เขาพลันขยับนิ้วมือที่เลือดเนื้อเละเทะ

 

 

ขณะที่เสื้อคลุมสีเงินดำหยุดลงที่เบื้องหน้าเขา ชายผู้ผมเผ้ายุ่งเหยิงคราบเลือดเต็มตัวจึงลืมตาขึ้นช้าๆ เขาอยากชันกายลุกขึ้น แต่ร่างกายที่บอบช้ำจึงทำได้เพียงสั่นเทาเล็กน้อย แต่ลุกขึ้นไม่ไหว

 

 

เขาส่งเสียงสั่นเครือแหบแห้ง “เหมยซู…เป็น…แค่ก แค่ก…เป็นเจ้าหรือ!”

 

 

เหมยซูก้มมองร่างที่ฟุบกับแทบเท้า กล่าวเนือยๆ ว่า “ซูจิ่น หรือข้าควรเรียกเจ้าว่าเหมยจิ่นดี”

 

 

บุรุษผู้ฟุบกับแทบเท้าพลันหัวร่อเบาๆ มินำพาต่อโลหิตที่หลั่งไหลจากมุมปาก กล่าวอย่างเย้ยหยันชิงชังว่า “แค่ก แค่ก…ข้า…ข้าไม่แซ่เหมย…ข้าชังแซ่นี้…โดยเฉพาะ…เป็นแซ่เดียวกับเจ้า!”

 

 

เหมยซูปล่อยให้เขาพูดกระท่อนกระแท่นจนจบ แล้วถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “น้องเล็ก เจ้าดื้อรั้นถึงเพียงนี้ ถึงไม่มีใครชอบเจ้าอย่างไรเล่า ความดื้อรั้นมิใช่เป็นของคนอ่อนแอ”

 

 

ซูจิ่นหรือจะเรียกให้ถูกว่าเหมยจิ่นฟุบกับพื้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ถุย…เจ้ามันไร้ยางอาย…เจ้าชิงทุกอย่างไปจากข้า…ล่อลวงมารดาข้าอย่างไร้ยางอาย…ทำให้เหมยเทียนอีเลิกกับมารดาข้า…ขับข้าออกจากบ้าน…ก็เพราะสมบัติของตระกูลเหมยมิใช่หรือ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ 182 กินหรือไม่กิน (1)

Now you are reading ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ Chapter 182 กินหรือไม่กิน (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เงาร่างสายหนึ่งยืนเงียบๆ อยู่ริมน้ำ ลมแม่น้ำพัดเอาชายเสื้อดำสลับเงินพลิ้วไหว ร่างคนที่อยู่ท่ามกลางสายหมอก ดูแล้วสง่าเย็นเยือกเป็นสีเดียวกับเกลียวคลื่น คล้ายเทพเทวาที่แปลงร่างเป็นคน

 

 

เงาดำสายหนึ่งพลันเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว คารวะอย่างนอบน้อม

 

 

“คุณชายใหญ่ พวกเราค้นจนทั่วแล้ว คนของค่ายฉงฉีที่มาวันนี้ตายไปสามสิบหก บาดเจ็บสาหัสสาม สาบสูญหนึ่งคน…คนที่สาบสูญบังเอิญเป็นเหล่าเจอกู!”

 

 

เหมยซูฟังแล้วหันหน้าเล็กน้อย ยิ้มจางๆ ที่มุมปาก แต่แววตามิมีรอยยิ้มแม้แต่น้อย “เป็นเช่นนี้จริง ดูท่าความเฉียบไวของหัวหน้ากองชิวอยู่เหนือกว่าที่คิด ถึงกับจับเหล่าเจอกูหนีไป”

 

 

“คนที่เข้าออกก็ตรวจสอบหมดแล้ว ตั้งแต่เช้าจรดค่ำมีคนกลุ่มเดียวที่จากไป ก็คือคณะของเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่ สองคนที่พวกเราพบเมื่อเช้านี้ก็คือเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่กับไต้ซือเมิ่งอี๋” รองพ่อบ้านพอพูดถึงฉายาเมิ่งอี๋ก็สีหน้าพิกล

 

 

“ดูท่าใต้เท้าชิวของเราฐานะไม่ธรรมดา เจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่…ฮ่าๆ” เหมยซูหลุบตาเรียวยาว แววตาวิบวับเย็นเยือกจนน่ากลัว

 

 

วานนี้พอถึงตงอั้น เดิมทีเขาจะไปบ้านตระกูลหลี่ก่อน แต่ก็ได้ข่าวอย่างรวดเร็วว่าเห็นคนต่างถิ่นอายุน้อยคล้ายชิวเยี่ยไป๋ปรากฏตัวบนริมฝั่งตะวันออก ต่อยตีกับคนในเหลาสุราของเหล่าจูก่อน แล้วพาหลวงจีนคนหนึ่งหายตัวไป และมีคนเห็นว่าใกล้บริเวณที่หายตัวไปปรากฏเรือข้ามฟากของอินชวนกง

 

 

เขาคิดดูแล้วก็นึกถึงข่าวเกี่ยวกับงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของหัวหน้าใหญ่สามสิบหกลุ่มน้ำ จึงเปลี่ยนเป็นตรงมาที่ท่าเรือ ให้คนส่งข่าวถึงหลินชงลั่งด้วยวิธีพิเศษ บอกว่าจะขอเข้าไปอวยพรวันเกิด

 

 

ต่อมาก็สืบรู้ว่าคืนนั้นบนเกาะมีคนของหอซ่อนกระบี่หลายคน แต่วันนี้ที่ออกจากเกาะมีเพียงคนของสำนักหอซ่อนกระบี่เพียงกลุ่มเดียว และหลังเขาส่งเทียบแสดงตัวแล้ว จู่ๆ รองพ่อบ้านก็สิ้นสติไปอย่างประหลาดจนกระทั่งฟื้นขึ้นมาคนของสำนักหอซ่อนกระบี่ก็ไปกันหมดแล้ว

 

 

แม้ฟังดูแล้วแทบไม่น่าเชื่อ แต่เขาแทบจะตัดสินได้เลยว่าชิวเยี่ยไป๋ก็คือคุณชายสี่เย่ของสำนักหอซ่อนกระบี่!

 

 

เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าลูกคนที่สี่ที่เกิดจากอนุของตระกูลชิว จะเก่งกาจสามารถถึงเพียงนี้ และอธิบายไม่ได้ว่าทำไมชิวเยี่ยไป๋จึงมีพลังฝีมือระดับสุดยอด

 

 

รองพ่อบ้านหัวร่อ “คุณชายใหญ่ ทุกอย่างล้วนอยู่ในความคาดหมายของท่าน เจ้าเด็กแซ่ชิวแทบจะให้คนถล่มค่ายฉงฉีจนวอดวาย แม้เหล่าเจอกูจะถูกเจ้าเด็กน้อยเอาตัวไป แต่คนข้างตัวซูจิ่นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเหล่าเจอกูไม่เอาไหน ท่านไม่ต้องกังวล…”

 

 

เหมยซูพลันขัดขึ้น “ซูจิ่นพูดหรือเปล่าว่าเรือพวกนั้นและสมุดบัญชีอยู่ที่ไหน”

 

 

รองพ่อบ้านงงงัน แล้วตอบอย่างนอบน้อมว่า “บ่าวจะไปถามดู แต่ซูจิ่นกับคนข้างตัวล้วนบาดเจ็บสาหัส พวกเราใช้วิธีรุนแรงง้างปากเขาแล้ว ขืน…อีกที…เกรงว่าพวกเขาจะทนไม่ไหวนะขอรับ”

 

 

เหมยซูหันกายเหม่อมองลำน้ำมืดมิด “ไม่เสียดายคุณค่าใดๆ ข้าต้องการคำตอบ ไม่ต้องการฟังขั้นตอน”

 

 

รองพ่อบ้านฟังแล้วสะดุ้งในใจ รีบกัดฟันตอบว่า “ขอรับ บ่าวจะเค้นปากคำซูจิ่นให้ได้ก่อนที่มันจะสิ้นใจ!”

 

 

พูดจบก็รีบถอยออกไป

 

 

เหมยซูเงยหน้าเล็กน้อย มองดูจันทรากลางฟ้า คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มพึมพำว่า “ชายสี่แซ่ชิว คิดไม่ถึงว่าเช้านี้คลาดกันไปชนิดเฉียดฉิว เหมยซูไม่เคยเจอคู่ปรับเช่นเจ้ามานานแล้ว เจ้าจงอย่าด่วนตายไปเสียก่อน เหมยซูจะผิดหวังมาก”

 

 

ผู้เยาว์คนนั้นไยจึงมีฐานะถึงเพียงนี้ ทำให้เขาแปลกใจจริงๆ คนที่สามารถทำลายกลเกมของตนมีไม่มาก แถมยังเป็นคนที่รูปโฉมและความสามารถทัดเทียมกับตนด้วย

 

 

ก็มิรู้ว่าคนคนนั้นนอกจากความลับเรื่องที่เป็นเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่แล้ว ยังมีความลับอื่นใดอีกหรือไม่…ช่างน่าขุดคุ้ยจริงๆ

 

 

คนเราพอมีความลับก็จะมีจุดอ่อน

 

 

เมื่อมีจุดอ่อนก็ง่ายต่อการควบคุม

 

 

เขาหวังว่าจะกุมความลับของคนคนนั้นได้ รอดูวันที่ชิวเยี่ยไป๋สยบต่อตนด้วยสีหน้าอับจนปัญญา

 

 

การจะได้สยบคนที่เข้มแข็งเท่าเทียมกับตน มักทำให้รู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน

 

 

เขาเชื่อมั่นในความรู้สึกของตนเอง ชิวเยี่ยไป๋ต้องมีความลับใหญ่โตกว่านี้แน่

 

 

หึ…

 

 

ไม่นานนักรองพ่อบ้านก็รุดกลับมาอย่างรีบร้อน สีหน้าขาวซีด คราบเลือดบนตัวยังไม่ได้เช็ดออกด้วยซ้ำ พอมาถึงก็คุกเข่าโครมต่อแทบเท้าเหมยซู “คุณชายใหญ่ บ่าว…ผิดไปแล้ว แม้ซูจิ่นจะไม่ยอมสารภาพ แต่คนข้างตัวเขายืนยันว่า เรือพวกนั้นพอซูจิ่นปล้นเสร็จก็ทิ้งไว้ตรงจุดที่เห็นถนัดที่สุดของลำน้ำ แต่ต่อมาจู่ๆ ก็หายไปอย่างลึกลับ ซูจิ่นเคยส่งคนไปสืบเสาะ แต่ไม่ได้อะไรเลย”

 

 

เหมยซูหลุบตา มุมปากรั้งขึ้น “คนที่ทำเช่นนี้ได้ นอกจากรองหัวหน้าค่ายแล้ว ย่อมต้องเป็นหัวหน้าค่ายฉงฉีแล้ว”

 

 

รองพ่อบ้านกัดฟันกล่าวว่า “คุณชายใหญ่ เกรงว่าเจ้าคนแซ่ชิวคงสืบพบอะไรบ้างแล้ว เกิดสมุดบัญชีตกอยู่ในมือมัน…”

 

 

เหมยซูหันกาย รั้งชายเสื้อแล้วกล่าวอ้อยอิ่งว่า “พาข้าไปพบซูจิ่น”

 

 

แสงตะเกียงริบหรี่ เงาร่างแต่ละคนทอดยาวบนพื้นราวกับภูตผี

 

 

เสื้อคลุมหรูหราสีเงินและสีดำตัดกันลากกับพื้นช้าๆ ลากเอาฝุ่นดินลอยฟุ้งเล็กน้อย การเคลื่อนตัวของอากาศดูเหมือนจะกระทบต่อคนที่นอนสิ้นสติอยู่บนพื้น เขาพลันขยับนิ้วมือที่เลือดเนื้อเละเทะ

 

 

ขณะที่เสื้อคลุมสีเงินดำหยุดลงที่เบื้องหน้าเขา ชายผู้ผมเผ้ายุ่งเหยิงคราบเลือดเต็มตัวจึงลืมตาขึ้นช้าๆ เขาอยากชันกายลุกขึ้น แต่ร่างกายที่บอบช้ำจึงทำได้เพียงสั่นเทาเล็กน้อย แต่ลุกขึ้นไม่ไหว

 

 

เขาส่งเสียงสั่นเครือแหบแห้ง “เหมยซู…เป็น…แค่ก แค่ก…เป็นเจ้าหรือ!”

 

 

เหมยซูก้มมองร่างที่ฟุบกับแทบเท้า กล่าวเนือยๆ ว่า “ซูจิ่น หรือข้าควรเรียกเจ้าว่าเหมยจิ่นดี”

 

 

บุรุษผู้ฟุบกับแทบเท้าพลันหัวร่อเบาๆ มินำพาต่อโลหิตที่หลั่งไหลจากมุมปาก กล่าวอย่างเย้ยหยันชิงชังว่า “แค่ก แค่ก…ข้า…ข้าไม่แซ่เหมย…ข้าชังแซ่นี้…โดยเฉพาะ…เป็นแซ่เดียวกับเจ้า!”

 

 

เหมยซูปล่อยให้เขาพูดกระท่อนกระแท่นจนจบ แล้วถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “น้องเล็ก เจ้าดื้อรั้นถึงเพียงนี้ ถึงไม่มีใครชอบเจ้าอย่างไรเล่า ความดื้อรั้นมิใช่เป็นของคนอ่อนแอ”

 

 

ซูจิ่นหรือจะเรียกให้ถูกว่าเหมยจิ่นฟุบกับพื้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ถุย…เจ้ามันไร้ยางอาย…เจ้าชิงทุกอย่างไปจากข้า…ล่อลวงมารดาข้าอย่างไร้ยางอาย…ทำให้เหมยเทียนอีเลิกกับมารดาข้า…ขับข้าออกจากบ้าน…ก็เพราะสมบัติของตระกูลเหมยมิใช่หรือ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+