ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ 296 คนผู้นี้เป็นบ้าไปแล้วหรือ (1)

Now you are reading ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ Chapter 296 คนผู้นี้เป็นบ้าไปแล้วหรือ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ถึงอย่างไรแม้องค์ชายหกจะสิ้นชีพแต่วัยเยาว์ แต่ก่อนองค์ชายแปดองค์นี้ยังมีองค์ชายสี่ที่เกิดแต่อนุเช่นกัน กระทั่งบัดนี้องค์ชายเจ็ดที่เกิดแต่จักรพรรดินีก็ยังมิได้แต่งตั้งเป็นอ๋อง เกียรติยศจึงเป็นของเขาแต่ผู้เดียว

“ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บเพื่อแค้วน ข้าน้อยที่เป็นเพียงราษฎรชาวยุทธจักรได้ร่วมโต๊ะเดียวกับฝ่าบาทก็เป็นเกียรติใหญ่หลวงแล้ว” การใช้คำพูดเกรงอกเกรงใจตามมารยาทชิวเยี่ยไป๋เก่งกาจอยู่แล้ว

แม้ไป๋หลี่หลิงเฟิงจะฟังคำยกยอปอปั้นมานักต่อนัก แต่ถึงอย่างไรชิวเยี่ยไป๋ก็มีฐานะไม่เหมือนกัน เขารู้ดีว่าศักดิ์ฐานะของสำนักหอซ่อนกระบี่ในยุทธจักรไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ต่างก็พูดกันว่าชาวยุทธจักรพูดจาตรงไปตรงมา เมื่อได้ยินคำยกย่องออกจากปากของเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่ ในใจเขายังคงยินดีอย่างยิ่ง

และไป๋หลี่หลิงเฟิงก็ไม่ปิดบังความยินดีนี้ ยิ้มกว้างอย่างเปิดเผย “คุณชายสี่มิต้องเกรงอกเกรงใจต่อข้า แม้ข้าจะเป็นคนในราชวงศ์แต่ติดตามกองทัพมานานปี นับถือจอมยุทธ์ในยุทธจักรเสมอ ในกองทัพใต้ร่มธงก็มีชาวยุทธจักรไม่น้อยที่สร้างความดีความชอบจากการศึก รับใช้แว่นแคว้น หากได้รับการสนับสนุนจากเจ้าสำนักชิวจึงจะเป็นเกียรติกับข้า”

คราวนี้ชิวเยี่ยไป๋ฟังความนัยออกแล้ว นางจึงยกกาหยกขึ้นรินชากุ้ยฮวาจอกหนึ่งยื่นให้ไป๋หลี่หลิงเฟิง กล่าวเนือยๆ ว่า “ฝ่าบาทล้อเล่นแล้ว ชิวเยี่ยไป๋เป็นเพียงคนหยาบกร้านธรรมดา และบัดนี้ยังเป็นผู้ต้องหาที่ถูกตามล่าทั่วแผ่นดิน ไหนเลยจะมีคุณสมบัติรับใช้ฝ่าบาท”

ไป๋หลี่หลิงเฟิงรับจอกชากุ้ยฮวาจากมือนาง ถึงกับไม่กริ่งเกรงว่านางจะวางยาพิษแม้แต่น้อย และจิบไปอึกหนึ่งกล่าวอย่างจริงจังว่า “คุณชายสี่เป็นผู้ต้องหาคดีไหวหนานหรือไม่ เจ้ากับข้าย่อมรู้อยู่แก่ใจ ขอเพียงคุณชายสี่นำหลักฐานออกมา ข้ายินดีช่วยคุณชายสี่ล้างมลทินทุกเวลาและหาฆาตกรตัวจริงให้ได้ ไม่เพียงจะคืนความบริสุทธิ์ให้เจ้าทั้งยังรับรองว่า…”

“ยังรับรองว่าต้องได้ตำแหน่งคืนหรือไม่ก็เลื่อนตำแหน่ง” ชิวเยี่ยไป๋ขัดคำของเขา ดวงตาที่แฝงรอยยิ้มคมวาวเป็นพิเศษ “แต่ฝ่าบาทแปดท่านลืมไปแล้วหรือ ตอนแรกท่านส่งหัวหน้ากองมั่วเสียนผู้นั้นไปหลอกเอาสมุดบัญชีในมือข้า และยังพยายามจะยิงข้ากับคนของข้าในทุ่งร้างไหวหนานด้วย”

ไป๋หลี่หลิงเฟิงแลดูดวงตาคู่งามที่วาววับของนาง รอยยิ้มบนใบหน้าที่เปิดเผยยิ่งเข้มกว่าเดิม “ที่แท้คุณชายสี่ยังจำได้ แต่ข้าลืมไปแล้ว”

ชิวเยี่ยไป๋พลันเข้าใจแล้วว่าที่แท้ความหน้าด้านไร้ยางอายของเจ้าวิปริตไป๋หลี่ชูถ่ายทอดจากสายโลหิต เป็นรากเหง้าของตระกูล พี่น้องทั้งครอบครัวเหมือนกันหมด!

“อย่างนั้นหรือ น่าเสียดายที่ข้าจำได้อย่างแม่นยำ แต่ไหนแต่ไรสำนักหอซ่อนกระบี่ข้าหาเรื่องใครน้อยมาก ขอเพียงผู้อื่นไม่มาราวีข้าก็ไม่เคยตอแยใคร ดังนั้นบัญชีรายนี้ย่อมต้องจดจำให้ชัดเจน” ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเนิบนาบ

ความจริงนางออกจะนับถือความสามารถของพวกราชนิกุลที่พอถูกฉีกหน้าก็ไม่ยอมรับใดๆ เลย นี่ก็เป็นสุดยอดวิชาประเภทหนึ่ง

ไป๋หลี่หลิงเฟิงแลดูนาง เลิกคิ้วกล่าวว่า “ข้ายังคิดว่าคุณชายสี่มาเพื่อร่วมมือกันเสียอีก นึกไม่ถึงว่าจะมาคิดบัญชี แต่ข้าออกจะแปลกใจว่า เจ้าจะคิดบัญชีกับข้าอย่างไร สิบก้าวฆ่าหนึ่งคน ไม่เหลือใครเลยในพันลี้ ข้าชักอยากรู้อยากเห็นความสามารถของยอดมือสังหารที่เล่าขานกันสักหน่อย”

รอยยิ้มยังไม่สร่าง ทำเหมือนกำลังสนทนากับสหายเก่า ซ้ำยังแฝงด้วยความอยากรู้อยากเห็น ราวกับมิกังวลเลยว่าชิวเยี่ยไป๋อาจแทงกระบี่ทะลุอกเขาจริงๆ

ชิวเยี่ยไป๋เหมือนหูทวนลมไม่ได้ยินคำพูดแฝงแววเย้ยหยันนี้ เพียงรินน้ำชาให้ตนเองจอกหนึ่งอย่างสบายอารมณ์แล้วจิบช้าๆ คำหนึ่ง รู้สึกได้ว่ากลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวากรุ่นไปทั่วปาก

อืม กุ้ยฮวาที่นี่เป็นสุดยอดดอกกุ้ยฮวาจริงๆ เจ้าไป๋หลี่ชูต้องนิยมชมชอบกลิ่นหอมละมุนเช่นนี้แน่…

เหมือนกับกลิ่นหอมดอกเหมยเลือดที่ลอยล่องในบ่อสุราวันนั้น

นางหยุดครู่หนึ่ง มิรู้ว่าเพราะอะไรตนเองจึงดันไปนึกถึงเจ้าจิตวิปริต นางน่าจะคิดใช้กุ้ยฮวาทำเป็นขนมกุ้ยฮวาให้หลวงจีนโง่อาเจ๋อจึงจะถูก ไม่ควรไปนึกถึงไป๋หลี่ชูสักหน่อย

อาจเพราะกลิ่นหอมนี้ละมุนเกินไปกระมัง

ไป๋หลี่หลิงเฟิงมองดูผู้เยาว์เบื้องหน้าที่มีท่าทางเหม่อลอยต่อหน้าต่อตาตนและนึกขัน กวาดตามองผิงหนิงที่สีหน้าไม่สู้ดีเหมือนอยากพูดอะไร เห็นผิงหนิงถอยออกไปเขาก็ไม่ร้อนใจแม้แต่น้อย และจิบชาต่ออย่างสบายอารมณ์ ราวกับเขาเพียงเชื้อเชิญสหายเก่ามาร่วมจิบชาเท่านั้น

นางส่ายหน้าแล้วจิบชากุ้ยฮวาอีกคำจึงกล่าวช้าๆ ว่า “ไม่ ฝ่าบาทเดาไม่ผิด ข้ามาเจรจาร่วมมือกับฝ่าบาทจริง”

ไป๋หลี่หลิงเฟิงงุนงง เลิกคิ้วเสียงยาว “คุณชายสี่?”

ชิวเยี่ยไป๋แลดูเขาผ่านควันกรุ่นของจอกน้ำชา โค้งมุมปากกล่าวว่า “ฝ่าบาทแปดอยากเจรจาร่วมมือกับข้ามิใช่หรือ แม้ฝ่าบาทจะเคยใช้คนไปสังหารข้า แต่คนที่คิดจะฆ่าข้าให้ตายก็ใช่ว่าจะมีฝ่าบาทคนเดียว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยจึงไม่ลองเลือกคนที่ดูดีหน่อยมาร่วมมือกันเล่า ท่านใจกล้ามาก ข้าชื่นชมคนใจกล้า”

ไป๋หลี่หลิงเฟิงฟังแล้วจ้องชิวเยี่ยไป๋ครู่หนึ่ง หรี่ตาลงเล็กน้อย “เจ้าอยากได้อะไร”

ชิวเยี่ยไป๋แลดูไป๋หลี่หลิงเฟิง พลันหัวร่อเบาๆ “ถ้าข้าบอกว่าอยากได้ฝ่าบาทแปดล่ะ”

คำพูดพล่อยปากเช่นนี้ทำเอาบริเวณศาลาเก๋งเงียบลงในพริบตา

บรรดาองค์รักษ์ที่สำรวมอยู่รอบบริเวณศาลาเก๋งพริบตานั้นสีหน้าไม่สำรวมอีกต่อไป ความโกรธแค้นทั้งมวลกลายเป็นตื่นตระหนก สายตาที่มองดูชิวเยี่ยไป๋เหมือนกำลังมองคนบ้า

คนผู้นี้บ้าไปแล้วหรืออย่างไร

ถึงกับกล้ากระลิ้มกระเหลี่ยต่อเจ้านายของตน

ต่อให้ในหมู่ชนชั้นสูงของอาณาจักรเคยมีเรื่องประเภทชายชอบชายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นที่เปิดเผย ราษฎรสามัญธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ ผู้ต้องหาที่ถูกประกาศจับคนหนึ่ง ถึงกับพูดจาไร้ยางอายเช่นนี้ต่อโอรสของอาณาจักร

ไป๋หลี่หลิงเฟิงแลดูชิวเยี่ยไป๋ แววตาเปลี่ยนจากตะลึงเป็นคมกริบสุดจะหยั่งคะเน จากนั้นกวาดตาใส่นางจากศีรษะจรดเท้ารอบหนึ่ง

ชิวเยี่ยไป๋แทบจะรู้สึกได้ถึงคาวเลือดอำมหิตในแววตาของเขา เหมือนดาบคมกริบเล่มหนึ่งที่กรีดเฉือนนางทุกตารางนิ้วจากศีรษะถึงเท้า

นั่นเป็นแววตาที่มีเฉพาะตัวของนักรบที่เคยสัมผัสคาวเลือดของผู้คนนับมิถ้วน เป็นกลิ่นอายอำมหิตของผู้เคยเห็นกระดูกเลือดเนื้อแหลกละเอียด เลือดนองเป็นท้องธาร คนที่มัวแต่ลอบหักเล่ห์ชิงเหลี่ยมในราชสำนักไม่มีทางมีแววตาเช่นนี้

ไป๋หลี่หลิงเฟิงเห็นชิวเยี่ยไป๋ภายใต้แววตาคมกริบและเปี่ยมด้วยพลานุภาพยังคงประคองจอกจิบน้ำชาอย่างเฉยเมยราวกับไม่รู้สึกรู้สา จึงยิ้มน้อยๆ กล่าวช้าๆ ทีละคำว่า “คุณชายสี่ เจ้ากำลังล้อเล่นหรือ”

เขาแปลกใจจริงๆ คนผู้นี้ถือดีอย่างไรถึงกับกล้ากล่าวคำพูดลบหลู่เช่นนี้ต่อราชโอรสคนหนึ่ง

ชิวเยี่ยไป๋ช้อนตามองเขา ครู่หนึ่งก็เงยหน้ามองฟ้า ถอนใจกล่าวว่า “โอ ใช่แล้ว ข้าน้อยล้อเล่น ชีวิตยากเย็นเช่นนี้หนอ เกิดเป็นคนต้องมีอารมณ์ขันบ้าง”

รอยยิ้มที่มุมปากของไป๋หลี่หลิงเฟิงแข็งตัว “…”

แววตาของเหล่าองครักษ์เปลี่ยนเป็นความแน่ใจ…ไม่ผิด คนผู้นี้เป็นบ้าจริงๆ

“เจ้าหยอกเย้าข้าหรือ” ไป๋หลี่หลิงเฟิงแลดูชิวเยี่ยไป๋แววตายิ่งเกรี้ยวกราดเย็นชา

ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มให้ไป๋หลี่หลิงเฟิงอย่างอบอุ่นเฉิดฉัน “หากข้าว่าใช่ ฝ่าบาทก็จะไม่คิดจะร่วมมือกับข้าใช่หรือไม่”

พริบตานั้นไป๋หลี่หลิงเฟิงตัวแข็ง หลังจ้องนางครู่หนึ่งแล้ว มุมปากก็ค่อยๆ ยกขึ้นเป็นรอยโค้งเย็นชา “ชิวเยี่ยไป๋ เจ้าใจกล้าจริงๆ”

นางพยักหน้า กล่าวอ้อยสร้อยว่า “ใช่แล้ว ข้าใจกล้า ไม่เช่นนั้นวันนี้คงไม่มานั่งจิบชากับฝ่าบาทที่นี่ ฝ่าบาทก็ใจกล้าเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้คนส่งจดหมายถึงข้า ท่านกำลังเตือนข้ามิใช่หรือ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ 296 คนผู้นี้เป็นบ้าไปแล้วหรือ (1)

Now you are reading ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ Chapter 296 คนผู้นี้เป็นบ้าไปแล้วหรือ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ถึงอย่างไรแม้องค์ชายหกจะสิ้นชีพแต่วัยเยาว์ แต่ก่อนองค์ชายแปดองค์นี้ยังมีองค์ชายสี่ที่เกิดแต่อนุเช่นกัน กระทั่งบัดนี้องค์ชายเจ็ดที่เกิดแต่จักรพรรดินีก็ยังมิได้แต่งตั้งเป็นอ๋อง เกียรติยศจึงเป็นของเขาแต่ผู้เดียว

“ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บเพื่อแค้วน ข้าน้อยที่เป็นเพียงราษฎรชาวยุทธจักรได้ร่วมโต๊ะเดียวกับฝ่าบาทก็เป็นเกียรติใหญ่หลวงแล้ว” การใช้คำพูดเกรงอกเกรงใจตามมารยาทชิวเยี่ยไป๋เก่งกาจอยู่แล้ว

แม้ไป๋หลี่หลิงเฟิงจะฟังคำยกยอปอปั้นมานักต่อนัก แต่ถึงอย่างไรชิวเยี่ยไป๋ก็มีฐานะไม่เหมือนกัน เขารู้ดีว่าศักดิ์ฐานะของสำนักหอซ่อนกระบี่ในยุทธจักรไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ต่างก็พูดกันว่าชาวยุทธจักรพูดจาตรงไปตรงมา เมื่อได้ยินคำยกย่องออกจากปากของเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่ ในใจเขายังคงยินดีอย่างยิ่ง

และไป๋หลี่หลิงเฟิงก็ไม่ปิดบังความยินดีนี้ ยิ้มกว้างอย่างเปิดเผย “คุณชายสี่มิต้องเกรงอกเกรงใจต่อข้า แม้ข้าจะเป็นคนในราชวงศ์แต่ติดตามกองทัพมานานปี นับถือจอมยุทธ์ในยุทธจักรเสมอ ในกองทัพใต้ร่มธงก็มีชาวยุทธจักรไม่น้อยที่สร้างความดีความชอบจากการศึก รับใช้แว่นแคว้น หากได้รับการสนับสนุนจากเจ้าสำนักชิวจึงจะเป็นเกียรติกับข้า”

คราวนี้ชิวเยี่ยไป๋ฟังความนัยออกแล้ว นางจึงยกกาหยกขึ้นรินชากุ้ยฮวาจอกหนึ่งยื่นให้ไป๋หลี่หลิงเฟิง กล่าวเนือยๆ ว่า “ฝ่าบาทล้อเล่นแล้ว ชิวเยี่ยไป๋เป็นเพียงคนหยาบกร้านธรรมดา และบัดนี้ยังเป็นผู้ต้องหาที่ถูกตามล่าทั่วแผ่นดิน ไหนเลยจะมีคุณสมบัติรับใช้ฝ่าบาท”

ไป๋หลี่หลิงเฟิงรับจอกชากุ้ยฮวาจากมือนาง ถึงกับไม่กริ่งเกรงว่านางจะวางยาพิษแม้แต่น้อย และจิบไปอึกหนึ่งกล่าวอย่างจริงจังว่า “คุณชายสี่เป็นผู้ต้องหาคดีไหวหนานหรือไม่ เจ้ากับข้าย่อมรู้อยู่แก่ใจ ขอเพียงคุณชายสี่นำหลักฐานออกมา ข้ายินดีช่วยคุณชายสี่ล้างมลทินทุกเวลาและหาฆาตกรตัวจริงให้ได้ ไม่เพียงจะคืนความบริสุทธิ์ให้เจ้าทั้งยังรับรองว่า…”

“ยังรับรองว่าต้องได้ตำแหน่งคืนหรือไม่ก็เลื่อนตำแหน่ง” ชิวเยี่ยไป๋ขัดคำของเขา ดวงตาที่แฝงรอยยิ้มคมวาวเป็นพิเศษ “แต่ฝ่าบาทแปดท่านลืมไปแล้วหรือ ตอนแรกท่านส่งหัวหน้ากองมั่วเสียนผู้นั้นไปหลอกเอาสมุดบัญชีในมือข้า และยังพยายามจะยิงข้ากับคนของข้าในทุ่งร้างไหวหนานด้วย”

ไป๋หลี่หลิงเฟิงแลดูดวงตาคู่งามที่วาววับของนาง รอยยิ้มบนใบหน้าที่เปิดเผยยิ่งเข้มกว่าเดิม “ที่แท้คุณชายสี่ยังจำได้ แต่ข้าลืมไปแล้ว”

ชิวเยี่ยไป๋พลันเข้าใจแล้วว่าที่แท้ความหน้าด้านไร้ยางอายของเจ้าวิปริตไป๋หลี่ชูถ่ายทอดจากสายโลหิต เป็นรากเหง้าของตระกูล พี่น้องทั้งครอบครัวเหมือนกันหมด!

“อย่างนั้นหรือ น่าเสียดายที่ข้าจำได้อย่างแม่นยำ แต่ไหนแต่ไรสำนักหอซ่อนกระบี่ข้าหาเรื่องใครน้อยมาก ขอเพียงผู้อื่นไม่มาราวีข้าก็ไม่เคยตอแยใคร ดังนั้นบัญชีรายนี้ย่อมต้องจดจำให้ชัดเจน” ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเนิบนาบ

ความจริงนางออกจะนับถือความสามารถของพวกราชนิกุลที่พอถูกฉีกหน้าก็ไม่ยอมรับใดๆ เลย นี่ก็เป็นสุดยอดวิชาประเภทหนึ่ง

ไป๋หลี่หลิงเฟิงแลดูนาง เลิกคิ้วกล่าวว่า “ข้ายังคิดว่าคุณชายสี่มาเพื่อร่วมมือกันเสียอีก นึกไม่ถึงว่าจะมาคิดบัญชี แต่ข้าออกจะแปลกใจว่า เจ้าจะคิดบัญชีกับข้าอย่างไร สิบก้าวฆ่าหนึ่งคน ไม่เหลือใครเลยในพันลี้ ข้าชักอยากรู้อยากเห็นความสามารถของยอดมือสังหารที่เล่าขานกันสักหน่อย”

รอยยิ้มยังไม่สร่าง ทำเหมือนกำลังสนทนากับสหายเก่า ซ้ำยังแฝงด้วยความอยากรู้อยากเห็น ราวกับมิกังวลเลยว่าชิวเยี่ยไป๋อาจแทงกระบี่ทะลุอกเขาจริงๆ

ชิวเยี่ยไป๋เหมือนหูทวนลมไม่ได้ยินคำพูดแฝงแววเย้ยหยันนี้ เพียงรินน้ำชาให้ตนเองจอกหนึ่งอย่างสบายอารมณ์แล้วจิบช้าๆ คำหนึ่ง รู้สึกได้ว่ากลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวากรุ่นไปทั่วปาก

อืม กุ้ยฮวาที่นี่เป็นสุดยอดดอกกุ้ยฮวาจริงๆ เจ้าไป๋หลี่ชูต้องนิยมชมชอบกลิ่นหอมละมุนเช่นนี้แน่…

เหมือนกับกลิ่นหอมดอกเหมยเลือดที่ลอยล่องในบ่อสุราวันนั้น

นางหยุดครู่หนึ่ง มิรู้ว่าเพราะอะไรตนเองจึงดันไปนึกถึงเจ้าจิตวิปริต นางน่าจะคิดใช้กุ้ยฮวาทำเป็นขนมกุ้ยฮวาให้หลวงจีนโง่อาเจ๋อจึงจะถูก ไม่ควรไปนึกถึงไป๋หลี่ชูสักหน่อย

อาจเพราะกลิ่นหอมนี้ละมุนเกินไปกระมัง

ไป๋หลี่หลิงเฟิงมองดูผู้เยาว์เบื้องหน้าที่มีท่าทางเหม่อลอยต่อหน้าต่อตาตนและนึกขัน กวาดตามองผิงหนิงที่สีหน้าไม่สู้ดีเหมือนอยากพูดอะไร เห็นผิงหนิงถอยออกไปเขาก็ไม่ร้อนใจแม้แต่น้อย และจิบชาต่ออย่างสบายอารมณ์ ราวกับเขาเพียงเชื้อเชิญสหายเก่ามาร่วมจิบชาเท่านั้น

นางส่ายหน้าแล้วจิบชากุ้ยฮวาอีกคำจึงกล่าวช้าๆ ว่า “ไม่ ฝ่าบาทเดาไม่ผิด ข้ามาเจรจาร่วมมือกับฝ่าบาทจริง”

ไป๋หลี่หลิงเฟิงงุนงง เลิกคิ้วเสียงยาว “คุณชายสี่?”

ชิวเยี่ยไป๋แลดูเขาผ่านควันกรุ่นของจอกน้ำชา โค้งมุมปากกล่าวว่า “ฝ่าบาทแปดอยากเจรจาร่วมมือกับข้ามิใช่หรือ แม้ฝ่าบาทจะเคยใช้คนไปสังหารข้า แต่คนที่คิดจะฆ่าข้าให้ตายก็ใช่ว่าจะมีฝ่าบาทคนเดียว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยจึงไม่ลองเลือกคนที่ดูดีหน่อยมาร่วมมือกันเล่า ท่านใจกล้ามาก ข้าชื่นชมคนใจกล้า”

ไป๋หลี่หลิงเฟิงฟังแล้วจ้องชิวเยี่ยไป๋ครู่หนึ่ง หรี่ตาลงเล็กน้อย “เจ้าอยากได้อะไร”

ชิวเยี่ยไป๋แลดูไป๋หลี่หลิงเฟิง พลันหัวร่อเบาๆ “ถ้าข้าบอกว่าอยากได้ฝ่าบาทแปดล่ะ”

คำพูดพล่อยปากเช่นนี้ทำเอาบริเวณศาลาเก๋งเงียบลงในพริบตา

บรรดาองค์รักษ์ที่สำรวมอยู่รอบบริเวณศาลาเก๋งพริบตานั้นสีหน้าไม่สำรวมอีกต่อไป ความโกรธแค้นทั้งมวลกลายเป็นตื่นตระหนก สายตาที่มองดูชิวเยี่ยไป๋เหมือนกำลังมองคนบ้า

คนผู้นี้บ้าไปแล้วหรืออย่างไร

ถึงกับกล้ากระลิ้มกระเหลี่ยต่อเจ้านายของตน

ต่อให้ในหมู่ชนชั้นสูงของอาณาจักรเคยมีเรื่องประเภทชายชอบชายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นที่เปิดเผย ราษฎรสามัญธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ ผู้ต้องหาที่ถูกประกาศจับคนหนึ่ง ถึงกับพูดจาไร้ยางอายเช่นนี้ต่อโอรสของอาณาจักร

ไป๋หลี่หลิงเฟิงแลดูชิวเยี่ยไป๋ แววตาเปลี่ยนจากตะลึงเป็นคมกริบสุดจะหยั่งคะเน จากนั้นกวาดตาใส่นางจากศีรษะจรดเท้ารอบหนึ่ง

ชิวเยี่ยไป๋แทบจะรู้สึกได้ถึงคาวเลือดอำมหิตในแววตาของเขา เหมือนดาบคมกริบเล่มหนึ่งที่กรีดเฉือนนางทุกตารางนิ้วจากศีรษะถึงเท้า

นั่นเป็นแววตาที่มีเฉพาะตัวของนักรบที่เคยสัมผัสคาวเลือดของผู้คนนับมิถ้วน เป็นกลิ่นอายอำมหิตของผู้เคยเห็นกระดูกเลือดเนื้อแหลกละเอียด เลือดนองเป็นท้องธาร คนที่มัวแต่ลอบหักเล่ห์ชิงเหลี่ยมในราชสำนักไม่มีทางมีแววตาเช่นนี้

ไป๋หลี่หลิงเฟิงเห็นชิวเยี่ยไป๋ภายใต้แววตาคมกริบและเปี่ยมด้วยพลานุภาพยังคงประคองจอกจิบน้ำชาอย่างเฉยเมยราวกับไม่รู้สึกรู้สา จึงยิ้มน้อยๆ กล่าวช้าๆ ทีละคำว่า “คุณชายสี่ เจ้ากำลังล้อเล่นหรือ”

เขาแปลกใจจริงๆ คนผู้นี้ถือดีอย่างไรถึงกับกล้ากล่าวคำพูดลบหลู่เช่นนี้ต่อราชโอรสคนหนึ่ง

ชิวเยี่ยไป๋ช้อนตามองเขา ครู่หนึ่งก็เงยหน้ามองฟ้า ถอนใจกล่าวว่า “โอ ใช่แล้ว ข้าน้อยล้อเล่น ชีวิตยากเย็นเช่นนี้หนอ เกิดเป็นคนต้องมีอารมณ์ขันบ้าง”

รอยยิ้มที่มุมปากของไป๋หลี่หลิงเฟิงแข็งตัว “…”

แววตาของเหล่าองครักษ์เปลี่ยนเป็นความแน่ใจ…ไม่ผิด คนผู้นี้เป็นบ้าจริงๆ

“เจ้าหยอกเย้าข้าหรือ” ไป๋หลี่หลิงเฟิงแลดูชิวเยี่ยไป๋แววตายิ่งเกรี้ยวกราดเย็นชา

ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มให้ไป๋หลี่หลิงเฟิงอย่างอบอุ่นเฉิดฉัน “หากข้าว่าใช่ ฝ่าบาทก็จะไม่คิดจะร่วมมือกับข้าใช่หรือไม่”

พริบตานั้นไป๋หลี่หลิงเฟิงตัวแข็ง หลังจ้องนางครู่หนึ่งแล้ว มุมปากก็ค่อยๆ ยกขึ้นเป็นรอยโค้งเย็นชา “ชิวเยี่ยไป๋ เจ้าใจกล้าจริงๆ”

นางพยักหน้า กล่าวอ้อยสร้อยว่า “ใช่แล้ว ข้าใจกล้า ไม่เช่นนั้นวันนี้คงไม่มานั่งจิบชากับฝ่าบาทที่นี่ ฝ่าบาทก็ใจกล้าเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้คนส่งจดหมายถึงข้า ท่านกำลังเตือนข้ามิใช่หรือ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+