ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ 215 ซื่ออู้ทัง (1)

Now you are reading ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ Chapter 215 ซื่ออู้ทัง (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สภาพของเหล่าเจอกูไม่สู้ดีนัก แต่ก็ฟื้นแล้ว เหมยซูต้องการเก็บเหยื่อรายนี้ไว้จึงไม่เพียงมิได้ฆ่าเขา อีกทั้งยังช่วยรักษาด้วย ดังนั้นแม้บัดนี้เขาจะมีฝีก้าวอ่อนแรงบ้าง แต่ยังคงยืนได้

 

 

ระหว่างการนำตัวเหล่าเจอกูออกมา ย่อมมิใช่ไม่มีใครพยายามลอบทำร้ายหรือตุกติกอะไรเสียทั้งหมด เพียงแต่ชิวเยี่ยไป๋เตรียมพร้อมแต่แรก มีหรือจะให้พวกเขาบรรลุเป้าหมาย และไม่ว่าสีหน้าเหมยซูจะย่ำแย่เพียงใด นางยังคงใช้เศษเสื้อเก่ายัดปากไว้ จะได้มิให้เขาก่อความวุ่นวายอีก

 

 

หลังบรรลุเป้าหมายการควบคุมตัวประกันแล้ว ยังคงต้องการเครื่องมือในการหลบหนี ชิวเยี่ยไป๋ย่อมมิใช่ข้อยกเว้นเป็นธรรมดา ขณะที่นางลงมือซัดใส่ตรงที่บาดเจ็บของเหมยซูจนเหมยซูหน้าซีดด้วยความเจ็บปวด ถิงอวิ๋นกับเจิ้งหยางจึงจำใจต้องประนีประนอมด้วยการนำม้าทั้งหมดออกมาให้ชิวเยี่ยไป๋ใช้หลบหนีตามโอกาส หลังเลือกเสร็จแล้วนางก็นำถุงเมล็ดสลอดที่เตรียมไว้แต่แรกออกมา สั่งให้พวกเขานำไปป้อนม้าที่เหลือ

 

 

ถิงอวิ๋นกับเจิ้งหยางทั้งแค้นทั้งโกรธ แต่ก็จนปัญญา

 

 

จนกระทั่งม้าชุดแรกถ่ายเหลวแล้ว ชิวเยี่ยไป๋จึงโยนเหมยซูกับเหล่าเจอกูขึ้นหลังม้า แล้วส่ายอาดๆ ขึ้นม้าที่เหมยซูฟุบตัวอยู่ นำม้าของเหล่าเจอกูตะบึงไปตามทาง

 

 

เห็นเงาหลังนางไกลออกไป ดวงตาของถิงอวิ๋นก็ฉายแววอึมครึม มองไปทางเจิ้งหยาง “ตามไป จะให้เจ้านายเกิดเรื่องไม่ได้!”

 

 

เจิ้งหยางพยักหน้าทันที โบกมือคราหนึ่ง ม้าชั้นดีชุดหนึ่งก็ถูกนำออกมาทันที บรรดาองครักษ์พากันขึ้นม้า ไล่ตามไปในทิศทางที่ชิวเยี่ยไป๋จากไป ถิงอวิ๋นแลดูฝุ่นตลบจากคนและม้าที่ไกลออกไป ดวงตาฉายแววเย็นเยียบ เขาระวังไว้แล้วว่าชิวเยี่ยไป๋จะเล่นไม้นี้ จึงมิได้นำม้าออกมาจนหมด เขาไม่เชื่อว่าคนผู้นี้จะคาดการณ์ล่วงหน้าได้

 

 

เพียงแต่ด้วยความฉลาดระดับเขาจึงไม่ทันสังเกตว่าระหว่างป่าผืนใหญ่ที่มีไม้สูงไม่ไกลนัก มีเงาร่างวูบวาบเหมือนภูตผี ชายเสื้อสีขาวที่ไหวพลิ้วชิ้นแล้วชิ้นเล่าเหมือนธงกวักวิญญาณในความมืด หลังจากเขาสั่งเจิ้งหยางไล่ล่าชิวเยี่ยไป๋ เงาภูตผีสีขาวเหล่านั้นก็หายไปบนยอดไม้อย่างไร้สุ้มเสียง

 

 

เสียงฝีเท้าม้า  กุบกับ  ดังก้องบนทางสายน้อยในม่านราตรี เป็นจังหวะชวนตกใจ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กุมบังเหียนม้าของตนเองพลางแลดูเหล่าเจอกูที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

เหล่าเจอกูน้ำเข้าปอดจนสำลัก ยามนี้หอบหายใจอย่างไร้เรี่ยวแรง สีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ยังคงฝืนพยักหน้า “ยังไหว ข้าคิดว่าตายแน่แล้ว ขอบพระคุณใต้เท้าที่ช่วย”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ถอนใจเบาๆ “ถ้ายังไหวเราต้องรีบหน่อย”

 

 

นางจัดแจงให้โจวอวี่กับหยวนเจ๋อพักที่แห่งหนึ่งใกล้อู่เรือที่ร้างแล้ว ให้หยวนเจ๋อคอยดูแลโจวอวี่ หลังนางรอดตัวแล้วก็จะสมทบกับพวกเขา

 

 

ยามนี้เหมยซูที่ถูกจับกดไว้บนหลังม้า เศษผ้าที่ยัดไว้กระเทือนจนหลุดแล้ว เขาฝืนทนกับความไม่สบายระหว่างอกกับท้องน้อย เปิดปากกล่าวเนือยๆ “เจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะหนีรอดหรือ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อเบาๆ แล้วสะบัดแส้ใส่ม้าคราหนึ่ง “ข้าก็มิได้คิดว่าคนของเจ้าจะไม่ไล่ตามสักหน่อย”

 

 

พูดจบนางก็คร้านจะยุ่งด้วย จึงเอาแต่ควบม้าดุจเหินบิน

 

 

เหมยซูงงงัน ความมั่นอกมั่นใจของชิวเยี่ยไป๋ทำเอาเขาเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี เขาเงียบลงสมองหมุนจี๋

 

 

เสียงน้ำในแม่น้ำที่ไหลในความมืดทำให้เขานึกขึ้นได้ว่า ไม่ไกลจากหมู่บ้านซิ่งฮวามีท่าน้ำแห่งหนึ่ง ท่าน้ำนั่นไม่ค่อยมีคนอยู่แล้ว หากมิใช่เขาเคยไปลงเรือที่นั่น คงจำไม่ได้ว่านั่นเป็นท่าน้ำใกล้ที่สุดที่จะไปฝั่งใต้!

 

 

แม้ฝั่งใต้ก็เป็นเขตอิทธิพลของเขาเช่นกัน แต่เขามิได้ออกประกาศจับที่นั่น!

 

 

ใช่แล้ว นางวางแผนถอยอยู่แล้ว ไม่เห็นโจวอวี่กับหลวงจีนนั่น น่าจะไปเตรียมเรือไว้แล้ว

 

 

บัดนี้ที่พวกเขาจะช่วงชิงคือเวลา ว่าลูกน้องของคนที่ไล่ตามถึงก่อนหรือว่านางจะถึงท่าน้ำก่อน

 

 

ทว่า ขณะที่เหมยซูยังไม่ทันออกจากภวังค์ ก็พลันรู้สึกตัวเบา ถูกคนโยนลงจากหลังม้า เขาเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ทำได้เพียงกระแทกจนสลบไปหลังเสียงหล่นลงพื้นดัง  โครม

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ที่พยายามตะบึงม้าตลอดทาง กำบังเหียนไว้แน่นเพื่อระงับอาการสั่นเทาของร่างกาย

 

 

นางรู้ดีว่าตนเองมิได้มั่นคงเหมือนเปลือกนอกที่เห็น ท้องน้อยปวดแปลบตลอดเวลาทำเอาสีหน้านางขาวดังหิมะ

 

 

นี่เป็นข้อเสียทางสรีระที่นางชังที่สุด ต่อให้มีวิทยายุทธ์สูงล้ำกล้าแข็งเพียงใด ก็มิอาจขัดขืนได้

 

 

การกระเทือนต่อเนื่อง เปลืองเรี่ยวแรงที่สุด การแช่ตัวในแม่น้ำเป็นเวลานานและสัมผัสกับน้ำคลองที่เย็นเหมือนน้ำแข็ง เป็นข้อห้ามของวันเบาๆ แต่นางทำหมด บัดนี้ไม่เพียงท้องน้อยจะปวดเหมือนมีดบาด สายตาก็มืดลงเป็นพักๆ

 

 

นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำไมนางจึงจับเหมยซูคว่ำหน้าบนหลังม้าข้างหน้าตน ความมืดอาจช่วยบดบังสีหน้าของนางได้ คนอื่นอาจดูไม่ออกว่านางเหมือนปลายทางของธนูที่ล้าแล้ว แต่ไม่มีทางปิดสายตาของเหมยซูได้

 

 

เดิมทีนางคิดจะคุมตัวเหมยซูจนกว่าพวกนางจะจากไปได้อย่างปลอดภัย แต่นางควบคุมร่างกายไม่ไหวแล้ว หากปล่อยให้เหมยซูรู้ว่านางอ่อนล้าแล้ว ทั้งโจวอวี่กับหยวนเจ๋อย่อมมิใช่คู่มือของเขา ดังนั้นนางจึงต้องเสี่ยงโยนพวกเขาทิ้ง

 

 

ในที่สุดนางก็เห็นเงาสีขาวร่างหนึ่ง ณ ริมแม่น้ำที่มืดมิด ราวกับประกายแสงจุดหนึ่งในม่านราตรีทำให้นางผ่อนคลายทั้งตัว พอผ่อนคลายเข้านางพลันหน้ามืดหล่นลงจากหลังม้า

 

 

แต่ความเจ็บปวดที่คาดไว้มิได้เกิดขึ้น อ้อมอกหนึ่งที่เย็นเยียบอวลกลิ่นหอมรวยรินช่วยนางไว้

 

 

ก่อนชิวเยี่ยไป๋จะหมดสติ เพียงรู้สึกว่าเป็นอ้อมอกของหยวนเจ๋อ แต่ไยจึงเย็นเป็นน้ำแข็งแลแปลกหน้าทว่ากลับคุ้นเคยถึงเพียงนี้

 

 

“เร็วเข้า เร็วเข้า” เจิ้งหยางพาคนโขยงใหญ่เหินม้าตามมา แต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือม้าของเขาจู่ๆ ก็มีคนกระชากบังเหียน คนอื่นๆ ที่ตามมาก็รั้งบังเหียนตามเจิ้งหยางอย่างไม่รู้ตัว เพราะสภาพเบื้องหน้าพิลึกพิลั่นแลเย็นเยือกจนน่ากลัว

 

 

เงาสีขาวหลายสิบร่าง ยืนเงียบๆ อยู่กลางทางที่พวกเขาจะผ่าน เงาเหล่านั้นขาวจนผิดปกติ ยืนสงบอยู่ตรงนั้น ลมราตรีที่เย็นปานน้ำแข็งโชยผ่านพวกเขา เป็นใบหน้าหล่อเหลาแต่ซีดขาวราวกระดาษเหมือนกันหมด ราวกับพวกเขาเป็นยมทูตจากอเวจี ยืนสงบนิ่งตรงนั้นเพื่อรอคร่าวิญญาณของผู้คน

 

 

“พวกเจ้าเป็นใคร ยังไม่รีบถอยไป!” เจิ้งหยางตวาดอย่างเกรี้ยวกราด เขามองดูเงาสีขาวอย่างระแวดระวัง

 

 

แต่เงาสีขาวพวกนั้นเหมือนไม่ได้ยิน ยืนอยู่กับที่อย่างสงบ

 

 

บรรดาองครักษ์บ้านตระกูลเหมยพากันตวาดต่อ “รีบถอยไป ไม่เช่นนั้นอย่าโทษว่าพวกข้าไม่เกรงใจนะ!”

 

 

เงาสีขาวเหล่านั้นเหมือนสิ่งไม่มีชีวิต เสื้อคลุมสีขาวบางเบาหลวมโพรกพลิ้วไหวกับลมราตรีราวกับระบำภูตผี ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนเงาร่างของพวกเขามิได้สัมผัสกับพื้น กลับแขวนอยู่กลางอากาศ

 

 

แสงจันทร์ถูกเมฆดำปิดคลุม บนเส้นทางชนบทสายน้อยที่รกร้างไร้ผู้คน จู่ๆ ก็ปรากฏเงาร่างสีขาวที่ไร้กลิ่นอายมนุษย์เช่นนี้ คงต้องบอกว่าน่ากลัวจริงๆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ 215 ซื่ออู้ทัง (1)

Now you are reading ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ Chapter 215 ซื่ออู้ทัง (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สภาพของเหล่าเจอกูไม่สู้ดีนัก แต่ก็ฟื้นแล้ว เหมยซูต้องการเก็บเหยื่อรายนี้ไว้จึงไม่เพียงมิได้ฆ่าเขา อีกทั้งยังช่วยรักษาด้วย ดังนั้นแม้บัดนี้เขาจะมีฝีก้าวอ่อนแรงบ้าง แต่ยังคงยืนได้

 

 

ระหว่างการนำตัวเหล่าเจอกูออกมา ย่อมมิใช่ไม่มีใครพยายามลอบทำร้ายหรือตุกติกอะไรเสียทั้งหมด เพียงแต่ชิวเยี่ยไป๋เตรียมพร้อมแต่แรก มีหรือจะให้พวกเขาบรรลุเป้าหมาย และไม่ว่าสีหน้าเหมยซูจะย่ำแย่เพียงใด นางยังคงใช้เศษเสื้อเก่ายัดปากไว้ จะได้มิให้เขาก่อความวุ่นวายอีก

 

 

หลังบรรลุเป้าหมายการควบคุมตัวประกันแล้ว ยังคงต้องการเครื่องมือในการหลบหนี ชิวเยี่ยไป๋ย่อมมิใช่ข้อยกเว้นเป็นธรรมดา ขณะที่นางลงมือซัดใส่ตรงที่บาดเจ็บของเหมยซูจนเหมยซูหน้าซีดด้วยความเจ็บปวด ถิงอวิ๋นกับเจิ้งหยางจึงจำใจต้องประนีประนอมด้วยการนำม้าทั้งหมดออกมาให้ชิวเยี่ยไป๋ใช้หลบหนีตามโอกาส หลังเลือกเสร็จแล้วนางก็นำถุงเมล็ดสลอดที่เตรียมไว้แต่แรกออกมา สั่งให้พวกเขานำไปป้อนม้าที่เหลือ

 

 

ถิงอวิ๋นกับเจิ้งหยางทั้งแค้นทั้งโกรธ แต่ก็จนปัญญา

 

 

จนกระทั่งม้าชุดแรกถ่ายเหลวแล้ว ชิวเยี่ยไป๋จึงโยนเหมยซูกับเหล่าเจอกูขึ้นหลังม้า แล้วส่ายอาดๆ ขึ้นม้าที่เหมยซูฟุบตัวอยู่ นำม้าของเหล่าเจอกูตะบึงไปตามทาง

 

 

เห็นเงาหลังนางไกลออกไป ดวงตาของถิงอวิ๋นก็ฉายแววอึมครึม มองไปทางเจิ้งหยาง “ตามไป จะให้เจ้านายเกิดเรื่องไม่ได้!”

 

 

เจิ้งหยางพยักหน้าทันที โบกมือคราหนึ่ง ม้าชั้นดีชุดหนึ่งก็ถูกนำออกมาทันที บรรดาองครักษ์พากันขึ้นม้า ไล่ตามไปในทิศทางที่ชิวเยี่ยไป๋จากไป ถิงอวิ๋นแลดูฝุ่นตลบจากคนและม้าที่ไกลออกไป ดวงตาฉายแววเย็นเยียบ เขาระวังไว้แล้วว่าชิวเยี่ยไป๋จะเล่นไม้นี้ จึงมิได้นำม้าออกมาจนหมด เขาไม่เชื่อว่าคนผู้นี้จะคาดการณ์ล่วงหน้าได้

 

 

เพียงแต่ด้วยความฉลาดระดับเขาจึงไม่ทันสังเกตว่าระหว่างป่าผืนใหญ่ที่มีไม้สูงไม่ไกลนัก มีเงาร่างวูบวาบเหมือนภูตผี ชายเสื้อสีขาวที่ไหวพลิ้วชิ้นแล้วชิ้นเล่าเหมือนธงกวักวิญญาณในความมืด หลังจากเขาสั่งเจิ้งหยางไล่ล่าชิวเยี่ยไป๋ เงาภูตผีสีขาวเหล่านั้นก็หายไปบนยอดไม้อย่างไร้สุ้มเสียง

 

 

เสียงฝีเท้าม้า  กุบกับ  ดังก้องบนทางสายน้อยในม่านราตรี เป็นจังหวะชวนตกใจ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กุมบังเหียนม้าของตนเองพลางแลดูเหล่าเจอกูที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

เหล่าเจอกูน้ำเข้าปอดจนสำลัก ยามนี้หอบหายใจอย่างไร้เรี่ยวแรง สีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ยังคงฝืนพยักหน้า “ยังไหว ข้าคิดว่าตายแน่แล้ว ขอบพระคุณใต้เท้าที่ช่วย”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ถอนใจเบาๆ “ถ้ายังไหวเราต้องรีบหน่อย”

 

 

นางจัดแจงให้โจวอวี่กับหยวนเจ๋อพักที่แห่งหนึ่งใกล้อู่เรือที่ร้างแล้ว ให้หยวนเจ๋อคอยดูแลโจวอวี่ หลังนางรอดตัวแล้วก็จะสมทบกับพวกเขา

 

 

ยามนี้เหมยซูที่ถูกจับกดไว้บนหลังม้า เศษผ้าที่ยัดไว้กระเทือนจนหลุดแล้ว เขาฝืนทนกับความไม่สบายระหว่างอกกับท้องน้อย เปิดปากกล่าวเนือยๆ “เจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะหนีรอดหรือ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อเบาๆ แล้วสะบัดแส้ใส่ม้าคราหนึ่ง “ข้าก็มิได้คิดว่าคนของเจ้าจะไม่ไล่ตามสักหน่อย”

 

 

พูดจบนางก็คร้านจะยุ่งด้วย จึงเอาแต่ควบม้าดุจเหินบิน

 

 

เหมยซูงงงัน ความมั่นอกมั่นใจของชิวเยี่ยไป๋ทำเอาเขาเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี เขาเงียบลงสมองหมุนจี๋

 

 

เสียงน้ำในแม่น้ำที่ไหลในความมืดทำให้เขานึกขึ้นได้ว่า ไม่ไกลจากหมู่บ้านซิ่งฮวามีท่าน้ำแห่งหนึ่ง ท่าน้ำนั่นไม่ค่อยมีคนอยู่แล้ว หากมิใช่เขาเคยไปลงเรือที่นั่น คงจำไม่ได้ว่านั่นเป็นท่าน้ำใกล้ที่สุดที่จะไปฝั่งใต้!

 

 

แม้ฝั่งใต้ก็เป็นเขตอิทธิพลของเขาเช่นกัน แต่เขามิได้ออกประกาศจับที่นั่น!

 

 

ใช่แล้ว นางวางแผนถอยอยู่แล้ว ไม่เห็นโจวอวี่กับหลวงจีนนั่น น่าจะไปเตรียมเรือไว้แล้ว

 

 

บัดนี้ที่พวกเขาจะช่วงชิงคือเวลา ว่าลูกน้องของคนที่ไล่ตามถึงก่อนหรือว่านางจะถึงท่าน้ำก่อน

 

 

ทว่า ขณะที่เหมยซูยังไม่ทันออกจากภวังค์ ก็พลันรู้สึกตัวเบา ถูกคนโยนลงจากหลังม้า เขาเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ทำได้เพียงกระแทกจนสลบไปหลังเสียงหล่นลงพื้นดัง  โครม

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ที่พยายามตะบึงม้าตลอดทาง กำบังเหียนไว้แน่นเพื่อระงับอาการสั่นเทาของร่างกาย

 

 

นางรู้ดีว่าตนเองมิได้มั่นคงเหมือนเปลือกนอกที่เห็น ท้องน้อยปวดแปลบตลอดเวลาทำเอาสีหน้านางขาวดังหิมะ

 

 

นี่เป็นข้อเสียทางสรีระที่นางชังที่สุด ต่อให้มีวิทยายุทธ์สูงล้ำกล้าแข็งเพียงใด ก็มิอาจขัดขืนได้

 

 

การกระเทือนต่อเนื่อง เปลืองเรี่ยวแรงที่สุด การแช่ตัวในแม่น้ำเป็นเวลานานและสัมผัสกับน้ำคลองที่เย็นเหมือนน้ำแข็ง เป็นข้อห้ามของวันเบาๆ แต่นางทำหมด บัดนี้ไม่เพียงท้องน้อยจะปวดเหมือนมีดบาด สายตาก็มืดลงเป็นพักๆ

 

 

นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำไมนางจึงจับเหมยซูคว่ำหน้าบนหลังม้าข้างหน้าตน ความมืดอาจช่วยบดบังสีหน้าของนางได้ คนอื่นอาจดูไม่ออกว่านางเหมือนปลายทางของธนูที่ล้าแล้ว แต่ไม่มีทางปิดสายตาของเหมยซูได้

 

 

เดิมทีนางคิดจะคุมตัวเหมยซูจนกว่าพวกนางจะจากไปได้อย่างปลอดภัย แต่นางควบคุมร่างกายไม่ไหวแล้ว หากปล่อยให้เหมยซูรู้ว่านางอ่อนล้าแล้ว ทั้งโจวอวี่กับหยวนเจ๋อย่อมมิใช่คู่มือของเขา ดังนั้นนางจึงต้องเสี่ยงโยนพวกเขาทิ้ง

 

 

ในที่สุดนางก็เห็นเงาสีขาวร่างหนึ่ง ณ ริมแม่น้ำที่มืดมิด ราวกับประกายแสงจุดหนึ่งในม่านราตรีทำให้นางผ่อนคลายทั้งตัว พอผ่อนคลายเข้านางพลันหน้ามืดหล่นลงจากหลังม้า

 

 

แต่ความเจ็บปวดที่คาดไว้มิได้เกิดขึ้น อ้อมอกหนึ่งที่เย็นเยียบอวลกลิ่นหอมรวยรินช่วยนางไว้

 

 

ก่อนชิวเยี่ยไป๋จะหมดสติ เพียงรู้สึกว่าเป็นอ้อมอกของหยวนเจ๋อ แต่ไยจึงเย็นเป็นน้ำแข็งแลแปลกหน้าทว่ากลับคุ้นเคยถึงเพียงนี้

 

 

“เร็วเข้า เร็วเข้า” เจิ้งหยางพาคนโขยงใหญ่เหินม้าตามมา แต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือม้าของเขาจู่ๆ ก็มีคนกระชากบังเหียน คนอื่นๆ ที่ตามมาก็รั้งบังเหียนตามเจิ้งหยางอย่างไม่รู้ตัว เพราะสภาพเบื้องหน้าพิลึกพิลั่นแลเย็นเยือกจนน่ากลัว

 

 

เงาสีขาวหลายสิบร่าง ยืนเงียบๆ อยู่กลางทางที่พวกเขาจะผ่าน เงาเหล่านั้นขาวจนผิดปกติ ยืนสงบอยู่ตรงนั้น ลมราตรีที่เย็นปานน้ำแข็งโชยผ่านพวกเขา เป็นใบหน้าหล่อเหลาแต่ซีดขาวราวกระดาษเหมือนกันหมด ราวกับพวกเขาเป็นยมทูตจากอเวจี ยืนสงบนิ่งตรงนั้นเพื่อรอคร่าวิญญาณของผู้คน

 

 

“พวกเจ้าเป็นใคร ยังไม่รีบถอยไป!” เจิ้งหยางตวาดอย่างเกรี้ยวกราด เขามองดูเงาสีขาวอย่างระแวดระวัง

 

 

แต่เงาสีขาวพวกนั้นเหมือนไม่ได้ยิน ยืนอยู่กับที่อย่างสงบ

 

 

บรรดาองครักษ์บ้านตระกูลเหมยพากันตวาดต่อ “รีบถอยไป ไม่เช่นนั้นอย่าโทษว่าพวกข้าไม่เกรงใจนะ!”

 

 

เงาสีขาวเหล่านั้นเหมือนสิ่งไม่มีชีวิต เสื้อคลุมสีขาวบางเบาหลวมโพรกพลิ้วไหวกับลมราตรีราวกับระบำภูตผี ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนเงาร่างของพวกเขามิได้สัมผัสกับพื้น กลับแขวนอยู่กลางอากาศ

 

 

แสงจันทร์ถูกเมฆดำปิดคลุม บนเส้นทางชนบทสายน้อยที่รกร้างไร้ผู้คน จู่ๆ ก็ปรากฏเงาร่างสีขาวที่ไร้กลิ่นอายมนุษย์เช่นนี้ คงต้องบอกว่าน่ากลัวจริงๆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ 215 ซื่ออู้ทัง (1)

Now you are reading ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ Chapter 215 ซื่ออู้ทัง (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สภาพของเหล่าเจอกูไม่สู้ดีนัก แต่ก็ฟื้นแล้ว เหมยซูต้องการเก็บเหยื่อรายนี้ไว้จึงไม่เพียงมิได้ฆ่าเขา อีกทั้งยังช่วยรักษาด้วย ดังนั้นแม้บัดนี้เขาจะมีฝีก้าวอ่อนแรงบ้าง แต่ยังคงยืนได้

 

 

ระหว่างการนำตัวเหล่าเจอกูออกมา ย่อมมิใช่ไม่มีใครพยายามลอบทำร้ายหรือตุกติกอะไรเสียทั้งหมด เพียงแต่ชิวเยี่ยไป๋เตรียมพร้อมแต่แรก มีหรือจะให้พวกเขาบรรลุเป้าหมาย และไม่ว่าสีหน้าเหมยซูจะย่ำแย่เพียงใด นางยังคงใช้เศษเสื้อเก่ายัดปากไว้ จะได้มิให้เขาก่อความวุ่นวายอีก

 

 

หลังบรรลุเป้าหมายการควบคุมตัวประกันแล้ว ยังคงต้องการเครื่องมือในการหลบหนี ชิวเยี่ยไป๋ย่อมมิใช่ข้อยกเว้นเป็นธรรมดา ขณะที่นางลงมือซัดใส่ตรงที่บาดเจ็บของเหมยซูจนเหมยซูหน้าซีดด้วยความเจ็บปวด ถิงอวิ๋นกับเจิ้งหยางจึงจำใจต้องประนีประนอมด้วยการนำม้าทั้งหมดออกมาให้ชิวเยี่ยไป๋ใช้หลบหนีตามโอกาส หลังเลือกเสร็จแล้วนางก็นำถุงเมล็ดสลอดที่เตรียมไว้แต่แรกออกมา สั่งให้พวกเขานำไปป้อนม้าที่เหลือ

 

 

ถิงอวิ๋นกับเจิ้งหยางทั้งแค้นทั้งโกรธ แต่ก็จนปัญญา

 

 

จนกระทั่งม้าชุดแรกถ่ายเหลวแล้ว ชิวเยี่ยไป๋จึงโยนเหมยซูกับเหล่าเจอกูขึ้นหลังม้า แล้วส่ายอาดๆ ขึ้นม้าที่เหมยซูฟุบตัวอยู่ นำม้าของเหล่าเจอกูตะบึงไปตามทาง

 

 

เห็นเงาหลังนางไกลออกไป ดวงตาของถิงอวิ๋นก็ฉายแววอึมครึม มองไปทางเจิ้งหยาง “ตามไป จะให้เจ้านายเกิดเรื่องไม่ได้!”

 

 

เจิ้งหยางพยักหน้าทันที โบกมือคราหนึ่ง ม้าชั้นดีชุดหนึ่งก็ถูกนำออกมาทันที บรรดาองครักษ์พากันขึ้นม้า ไล่ตามไปในทิศทางที่ชิวเยี่ยไป๋จากไป ถิงอวิ๋นแลดูฝุ่นตลบจากคนและม้าที่ไกลออกไป ดวงตาฉายแววเย็นเยียบ เขาระวังไว้แล้วว่าชิวเยี่ยไป๋จะเล่นไม้นี้ จึงมิได้นำม้าออกมาจนหมด เขาไม่เชื่อว่าคนผู้นี้จะคาดการณ์ล่วงหน้าได้

 

 

เพียงแต่ด้วยความฉลาดระดับเขาจึงไม่ทันสังเกตว่าระหว่างป่าผืนใหญ่ที่มีไม้สูงไม่ไกลนัก มีเงาร่างวูบวาบเหมือนภูตผี ชายเสื้อสีขาวที่ไหวพลิ้วชิ้นแล้วชิ้นเล่าเหมือนธงกวักวิญญาณในความมืด หลังจากเขาสั่งเจิ้งหยางไล่ล่าชิวเยี่ยไป๋ เงาภูตผีสีขาวเหล่านั้นก็หายไปบนยอดไม้อย่างไร้สุ้มเสียง

 

 

เสียงฝีเท้าม้า  กุบกับ  ดังก้องบนทางสายน้อยในม่านราตรี เป็นจังหวะชวนตกใจ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กุมบังเหียนม้าของตนเองพลางแลดูเหล่าเจอกูที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

เหล่าเจอกูน้ำเข้าปอดจนสำลัก ยามนี้หอบหายใจอย่างไร้เรี่ยวแรง สีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ยังคงฝืนพยักหน้า “ยังไหว ข้าคิดว่าตายแน่แล้ว ขอบพระคุณใต้เท้าที่ช่วย”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ถอนใจเบาๆ “ถ้ายังไหวเราต้องรีบหน่อย”

 

 

นางจัดแจงให้โจวอวี่กับหยวนเจ๋อพักที่แห่งหนึ่งใกล้อู่เรือที่ร้างแล้ว ให้หยวนเจ๋อคอยดูแลโจวอวี่ หลังนางรอดตัวแล้วก็จะสมทบกับพวกเขา

 

 

ยามนี้เหมยซูที่ถูกจับกดไว้บนหลังม้า เศษผ้าที่ยัดไว้กระเทือนจนหลุดแล้ว เขาฝืนทนกับความไม่สบายระหว่างอกกับท้องน้อย เปิดปากกล่าวเนือยๆ “เจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะหนีรอดหรือ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อเบาๆ แล้วสะบัดแส้ใส่ม้าคราหนึ่ง “ข้าก็มิได้คิดว่าคนของเจ้าจะไม่ไล่ตามสักหน่อย”

 

 

พูดจบนางก็คร้านจะยุ่งด้วย จึงเอาแต่ควบม้าดุจเหินบิน

 

 

เหมยซูงงงัน ความมั่นอกมั่นใจของชิวเยี่ยไป๋ทำเอาเขาเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี เขาเงียบลงสมองหมุนจี๋

 

 

เสียงน้ำในแม่น้ำที่ไหลในความมืดทำให้เขานึกขึ้นได้ว่า ไม่ไกลจากหมู่บ้านซิ่งฮวามีท่าน้ำแห่งหนึ่ง ท่าน้ำนั่นไม่ค่อยมีคนอยู่แล้ว หากมิใช่เขาเคยไปลงเรือที่นั่น คงจำไม่ได้ว่านั่นเป็นท่าน้ำใกล้ที่สุดที่จะไปฝั่งใต้!

 

 

แม้ฝั่งใต้ก็เป็นเขตอิทธิพลของเขาเช่นกัน แต่เขามิได้ออกประกาศจับที่นั่น!

 

 

ใช่แล้ว นางวางแผนถอยอยู่แล้ว ไม่เห็นโจวอวี่กับหลวงจีนนั่น น่าจะไปเตรียมเรือไว้แล้ว

 

 

บัดนี้ที่พวกเขาจะช่วงชิงคือเวลา ว่าลูกน้องของคนที่ไล่ตามถึงก่อนหรือว่านางจะถึงท่าน้ำก่อน

 

 

ทว่า ขณะที่เหมยซูยังไม่ทันออกจากภวังค์ ก็พลันรู้สึกตัวเบา ถูกคนโยนลงจากหลังม้า เขาเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ทำได้เพียงกระแทกจนสลบไปหลังเสียงหล่นลงพื้นดัง  โครม

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ที่พยายามตะบึงม้าตลอดทาง กำบังเหียนไว้แน่นเพื่อระงับอาการสั่นเทาของร่างกาย

 

 

นางรู้ดีว่าตนเองมิได้มั่นคงเหมือนเปลือกนอกที่เห็น ท้องน้อยปวดแปลบตลอดเวลาทำเอาสีหน้านางขาวดังหิมะ

 

 

นี่เป็นข้อเสียทางสรีระที่นางชังที่สุด ต่อให้มีวิทยายุทธ์สูงล้ำกล้าแข็งเพียงใด ก็มิอาจขัดขืนได้

 

 

การกระเทือนต่อเนื่อง เปลืองเรี่ยวแรงที่สุด การแช่ตัวในแม่น้ำเป็นเวลานานและสัมผัสกับน้ำคลองที่เย็นเหมือนน้ำแข็ง เป็นข้อห้ามของวันเบาๆ แต่นางทำหมด บัดนี้ไม่เพียงท้องน้อยจะปวดเหมือนมีดบาด สายตาก็มืดลงเป็นพักๆ

 

 

นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำไมนางจึงจับเหมยซูคว่ำหน้าบนหลังม้าข้างหน้าตน ความมืดอาจช่วยบดบังสีหน้าของนางได้ คนอื่นอาจดูไม่ออกว่านางเหมือนปลายทางของธนูที่ล้าแล้ว แต่ไม่มีทางปิดสายตาของเหมยซูได้

 

 

เดิมทีนางคิดจะคุมตัวเหมยซูจนกว่าพวกนางจะจากไปได้อย่างปลอดภัย แต่นางควบคุมร่างกายไม่ไหวแล้ว หากปล่อยให้เหมยซูรู้ว่านางอ่อนล้าแล้ว ทั้งโจวอวี่กับหยวนเจ๋อย่อมมิใช่คู่มือของเขา ดังนั้นนางจึงต้องเสี่ยงโยนพวกเขาทิ้ง

 

 

ในที่สุดนางก็เห็นเงาสีขาวร่างหนึ่ง ณ ริมแม่น้ำที่มืดมิด ราวกับประกายแสงจุดหนึ่งในม่านราตรีทำให้นางผ่อนคลายทั้งตัว พอผ่อนคลายเข้านางพลันหน้ามืดหล่นลงจากหลังม้า

 

 

แต่ความเจ็บปวดที่คาดไว้มิได้เกิดขึ้น อ้อมอกหนึ่งที่เย็นเยียบอวลกลิ่นหอมรวยรินช่วยนางไว้

 

 

ก่อนชิวเยี่ยไป๋จะหมดสติ เพียงรู้สึกว่าเป็นอ้อมอกของหยวนเจ๋อ แต่ไยจึงเย็นเป็นน้ำแข็งแลแปลกหน้าทว่ากลับคุ้นเคยถึงเพียงนี้

 

 

“เร็วเข้า เร็วเข้า” เจิ้งหยางพาคนโขยงใหญ่เหินม้าตามมา แต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือม้าของเขาจู่ๆ ก็มีคนกระชากบังเหียน คนอื่นๆ ที่ตามมาก็รั้งบังเหียนตามเจิ้งหยางอย่างไม่รู้ตัว เพราะสภาพเบื้องหน้าพิลึกพิลั่นแลเย็นเยือกจนน่ากลัว

 

 

เงาสีขาวหลายสิบร่าง ยืนเงียบๆ อยู่กลางทางที่พวกเขาจะผ่าน เงาเหล่านั้นขาวจนผิดปกติ ยืนสงบอยู่ตรงนั้น ลมราตรีที่เย็นปานน้ำแข็งโชยผ่านพวกเขา เป็นใบหน้าหล่อเหลาแต่ซีดขาวราวกระดาษเหมือนกันหมด ราวกับพวกเขาเป็นยมทูตจากอเวจี ยืนสงบนิ่งตรงนั้นเพื่อรอคร่าวิญญาณของผู้คน

 

 

“พวกเจ้าเป็นใคร ยังไม่รีบถอยไป!” เจิ้งหยางตวาดอย่างเกรี้ยวกราด เขามองดูเงาสีขาวอย่างระแวดระวัง

 

 

แต่เงาสีขาวพวกนั้นเหมือนไม่ได้ยิน ยืนอยู่กับที่อย่างสงบ

 

 

บรรดาองครักษ์บ้านตระกูลเหมยพากันตวาดต่อ “รีบถอยไป ไม่เช่นนั้นอย่าโทษว่าพวกข้าไม่เกรงใจนะ!”

 

 

เงาสีขาวเหล่านั้นเหมือนสิ่งไม่มีชีวิต เสื้อคลุมสีขาวบางเบาหลวมโพรกพลิ้วไหวกับลมราตรีราวกับระบำภูตผี ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนเงาร่างของพวกเขามิได้สัมผัสกับพื้น กลับแขวนอยู่กลางอากาศ

 

 

แสงจันทร์ถูกเมฆดำปิดคลุม บนเส้นทางชนบทสายน้อยที่รกร้างไร้ผู้คน จู่ๆ ก็ปรากฏเงาร่างสีขาวที่ไร้กลิ่นอายมนุษย์เช่นนี้ คงต้องบอกว่าน่ากลัวจริงๆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+