ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ 303 ห้องลับสยองขวัญ (1)

Now you are reading ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ Chapter 303 ห้องลับสยองขวัญ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นางหยุดลงเล็กน้อยแล้วรับสั่งอีก “เออนี่ ส่งข่าวให้เจ้าเด็กน้อยเหมยซูหน่อย บอกว่าจับคนได้แล้ว ให้เขาพักฟื้นให้ดี อย่าให้อาการบาดเจ็บกำเริบอีก”

หมอหลวงหลัวยิ้มน้อยๆ ผงกศีรษะรับคำ “ขอรับ”

เจิ้งจวินเดินออกจากวังหย่งหนิง มองดูชิวเยี่ยไป๋ที่สองมือถูกมัดพาดที่คอยืนอย่างสงบอยู่ใกล้ประตูวัง จึงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไปยืนสำนึกหน้ากำแพง[1]ห้องลงทัณฑ์”

สำนึกตัวหรือ

“นี่เป็นการลงโทษต่อข้าผู้เป็นราษฎรที่พระพันปีประทานหรือ” ชิวเยี่ยไป๋อดเลิกคิ้วด้วยความตระหนกเล็กน้อยมิได้

สำนึกตัวก็เป็นการลงทัณฑ์อย่างหนึ่งหรือ

เจิ้งจวินแลดูนาง ดวงตาคู่เรียวยาวฉายประกายที่มิรู้ความหมายวูบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างหยามเหยียดว่า “ชิวเยี่ยไป๋ เจ้าจงอย่าได้ดูเบาการสำนึกตัว ลองรสชาติดูเถิด”

พูดจบเขาก็โบกมือ องครักษ์เน่ยเจียนหลายคนก็คุมตัวชิวเยี่ยไป๋ไปที่ห้องลงทัณฑ์ใกล้ตำหนักข้าง

ดวงตาเป๋าเป่าฉายแววกังวลวูบหนึ่ง แต่บัดนี้เขาปลอมตัวเป็นองครักษ์เน่ยเจียนที่มีฐานะธรรมดา ย่อมตามไปด้วยมิได้ จึงได้แต่เบิกตามองชิวเยี่ยไป๋ถูกพาตัวไป

จนกระทั่งหลังเข้าห้องลงทัณฑ์แล้ว ในที่สุดชิวเยี่ยไป๋ก็เข้าใจแล้วว่าอะไรคือการ ‘สำนึกตัว’ และทำไม‘การสำนึกตัว’ จึงเป็นการลงทัณฑ์ประเภทหนึ่ง

เทียบกับเครื่องลงทัณฑ์ประเภทขัดถูลากไส้เต็มห้องลงทัณฑ์แล้ว การลงทัณฑ์ชนิดนี้ดูแล้วสุภาพกว่า

คือเป็นการนำคนไปไว้ในห้องศิลามืดทึบห้องหนึ่ง ในนั้นไม่มีอะไรเลย นอกจากผนังศิลาแข็งเย็นสี่ด้านแล้ว ไม่มีโต๊ะไม่มีเก้าอี้ม้านั่งไม่มีเตียง แม้แต่หน้าต่างก็ไม่มีสักบาน ตรงกำแพงมีเพียงกระโถนใบหนึ่ง หลังเข้าไปปิดบานประตูศิลาแล้ว ก็มีแต่ความมืดมนอนธกาล

จงอย่าคิดว่านี่เป็นการลงโทษที่สบายไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะคนที่ถูกขังในห้องจะไม่รู้วันรู้คืน ถูกตัดขาดจากภายนอกมีแต่ความมืดไม่สิ้นสุด พอนานเข้าอาจทำให้กลายเป็นบ้าหรือโง่ไปเลยก็ได้

ชิวเยี่ยไป๋แลดูความมืดทั้งห้อง ก็รู้ว่าเมื่อชาติก่อนก็เป็นวิธีลงทัณฑ์บีบให้สารภาพวิธีหนึ่ง

นางรู้ว้าถ้ายิ่งลนลานแรงกดดันในใจก็จะยิ่งมาก แต่ถึงอย่างไรก็ตามนี่ยังคงเป็นการลงทัณฑ์ที่ค่อนข้างนุ่มนวลประเภทหนึ่ง อย่างน้อยสำหรับคนฝึกวิทยายุทธ์ก็เป็นเช่นนี้

นางคลำทางนั่งลงชิดผนังและเริ่มเข้าสมาธิ

ระหว่างเดินลมปราณหายใจเข้าออก เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชิวเยี่ยไป๋ประมาณเวลาการเดินลมปราณของตนเองน่าจะราวสามชั่วยาม ถ้าเช่นนั้นบัดนี้ก็ล่วงไปสามชั่วยามแล้ว นางคลายไหล่ที่ออกจะแข็งเกร็งอยู่บ้าง ตัดสินใจจะลองเดินดู เห็นรอบด้านมีแต่ความมืดมิด นางออกจะเสียใจอยู่บ้างที่มิได้พกอะไรที่ส่องสว่างได้ติดตัวเลย ตะบันไฟถูกยึดไปแล้วตอนค้นตัวก่อนส่งเข้ามา

ดังนั้นนางจึงคลำผนังลุกขึ้นช้าๆ ค่อยๆ เดินเลาะตามผนัง แต่พอถึงมุมหนึ่งของห้อง นางพลันรู้สึกถึงความไม่ปกติ ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ที่มุมผนัง

นางยื่นมือคลำดูก็คลำถูกของสิ่งหนึ่งที่เย็นเยียบ จึงรีบชักมือกลับตามสัญชาตญาณ…นั่นเป็นมือคน

มือศพที่เย็นเยียบ

เนื่องจากตอนเข้ามาในห้องนางไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่าในนี้จะมีคนหรือมีซากศพใดๆ อยู่ สำหรับเรื่องนี้นางเชื่อสัมผัสที่เฉียบคมของผู้ฝึกวิทยายุทธ์เช่นนาง

แต่ในห้องขังบัดนี้จู่ๆ ก็มีซากศพปรากฏขึ้น

นางตั้งสติ นึกถึงแววตาเย็นชาของเจิ้งจวินแล้วจึงค่อยๆ เดินต่อไป นางอยากจะแน่ใจว่าที่มุมนั้นมีซากศพร่างหนึ่งจริงหรือไม่ ถ้าเป็นความจริงก็น่าจะเป็นฝีมือของเจิ้งจวินเสียแปดเก้าส่วนในสิบส่วน

แต่จะอาศัยซากศพร่างหนึ่งมาข่มขวัญนางก็เป็นเรื่องน่าหัวร่อเกินไป

ชิวเยี่ยไป๋คลุกคลีในยุทธจักรมานานปี สองมือใช่ว่าจะมิเคยเปื้อนคาวเลือด ดังนั้นนางจึงร้องเชอะเบาๆ แล้วคลำไปข้างหน้าอีกครั้ง

แต่ครั้งนี้…

ศพหายไปแล้ว

พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋ขนลุกซู่

หรือเป็นซากศพที่เคลื่อนไหวได้

ศพนั้นหายไปหรือว่านางรู้สึกหลอนกันแน่

แม้นางจะยำเกรงต่อธรรมชาติ แต่ไม่ใช่เรื่องอิทธิฤทธิ์ผีสาง

ชิวเยี่ยไป๋หลับตามิให้ความมืดมิดที่เย็นเยือกมีผลต่อประสาทสัมผัสของตน จากนั้นเอื้อมมือดึงปิ่นปักผมบนศีรษะกำไว้ในมือ แล้วค่อยๆ คลำตามผนังสู่มุมห้องนั้นอีกครั้ง

ปิ่นอันหนึ่งในมือของคนธรรมดากับอยู่ในมือของผู้มีวิทยายุทธ์สูงล้ำมีอานุภาพการฆ่าฟันต่างกันอย่างสิ้นเชิง นางเชื่อว่าหากอีกฝ่ายเป็นสิ่งมีชีวิตจะฆ่านางไม่ได้ และต่อให้นางไม่เอาชีวิตของเจ้าสิ่งนั้น อย่างน้อยก็ใช้ป้องกันชีวิตตนเองได้

นางพยายามไม่ให้มีสุ้มเสียงและคลำต่อไปช้าๆ

แต่จนกระทั่งคลำถึงมุมผนัง ที่มือสัมผัสถูกนอกจากเป็นผนังชื้นแฉะเย็นเยียบและมีกลิ่นราอับแล้วก็ไม่มีอะไรเลย!

มือของชิวเยี่ยไป๋ชะงักแต่เท้ามิได้หยุดลง ยังคงคลำต่อไปสู่อีกมุมหนึ่ง เสากลมพื้นเหลี่ยมเป็นหลักการพื้นฐานของการก่อสร้าง ขอเพียงพิสูจน์ได้ว่าอีกสามมุมไม่มีอะไรก็พอแล้ว

ทว่า มุมที่สองของห้องก็ไม่มีอะไร มุมที่สามก็ไม่มีอะไรเช่นกัน

ชิวเยี่ยไป๋ยืนที่มุมที่สี่ของห้อง นิ่งเงียบครู่หนึ่ง ย้อนนึกถึงตอนถูกผลักเข้ามาในห้อง อาศัยแสงภายนอกเล็กน้อยเห็นสภาพภายใน เนื่องจากเป็นห้องขัง จึงต้องสร้างให้เกิดแรงกดดันทางจิตใจ ดังนั้นห้องจึงมีขนาดไม่ใหญ่ มุมห้องทั้งสี่ไม่มีคน ระหว่างที่นางคลำทาง นางแน่ใจอย่างยิ่งว่ามิได้รู้สึกถึงสิ่งใดและอาจเป็นความรู้สึกหลอนของนางเองจริงๆ กระมัง

นางหัวร่อเบาๆ คราหนึ่ง ถอนใจเบาๆ คล้ายถากถางตนเอง “จริงๆ เลยนะ แค่ถูกขังไว้ครึ่งวันก็เกิดอาการหลอนแล้วหรือ”

ความรู้สึกด้านจำแนกทิศทางของนางไม่สู้ดีนัก ดังนั้นยามนี้นางจึงได้แต่คลำตามผนัง ค่อยๆ กลับไปที่เดิมที่นางเคยนั่ง ถึงอย่างไรตรงนั้นก็เป็นที่ที่ปูฟางไว้หนาที่สุด

แต่ชิวเยี่ยไป๋เพิ่งเดินได้ไม่กี่ก้าวก็พลันหยุดเท้า เพราะนาทีนี้เองจู่ๆ นางก็รู้สึกว่าข้างหน้ามีไอเย็นโถมเข้าใส่

ไม่รู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวใดๆ ของลมหายใจ ไม่มีอุณหภูมิร่างกายของใครเลย ท่ามกลางความมืดมิด นางมองไม่เห็นสิ่งใดๆ เบื้องหน้า ทว่า…สัญชาตญาณที่มีแต่กำเนิดบอกว่าข้างหน้ามีบางสิ่งบางอย่าง

นางยกแขนขึ้นช้าๆ แล้วออกแรงในบัดดล ปิ่นในมือทิ่มใส่เบื้องหน้า

ฟิ้ว! เสียงแหวกอากาศดังขึ้น

แต่นอกจากแรงที่ทิ่มแหวกอากาศแล้ว นางไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่ามีแรงต้านใดๆ

ชิวเยี่ยไป๋ทิ่มไม่โดนก็อดครุ่นคิดมิได้ นางรวดเร็วพอ แต่ยังคงแทงไม่ถูกอะไรเลย

แต่คราวนี้นางมิได้ผ่อนคลายลง กล้ามเนื้อทั้งตัวแข็งเกร็ง ถอยหลังอย่างรวดเร็วคิดจะพิงกับผนัง

นางแน่ใจว่าในห้องมีบางสิ่งบางอย่าง แม้นางยังไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร แต่ย่อมมิใช่ในสิ่งที่ดีแน่ และได้เห็นชัดว่าการจู่โจมของนางทั้งสองครั้งไม่โดนฝ่ายตรงข้าม น่าจะเพราะในห้องมีกลไกหรือไม่ก็อีกฝ่ายฝีมือกล้าแข็งกว่านาง แต่ไม่ว่าเพราะอะไรก็ตาม การจะเผชิญกับการจู่โจมที่คาดหมายมิได้ ยังคงต้องพิงมุมผนังก่อน นี่เป็นท่วงท่าพื้นฐานของการป้องกันตัว สามารถป้องกันด้านหลังและรับมือเฉพาะด้านหน้า

——

[1] เป็นการทำโทษประเภทหนึ่ง โดยให้ยืนหันหน้าเข้ากำแพงสำนึกความผิด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ 303 ห้องลับสยองขวัญ (1)

Now you are reading ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ Chapter 303 ห้องลับสยองขวัญ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นางหยุดลงเล็กน้อยแล้วรับสั่งอีก “เออนี่ ส่งข่าวให้เจ้าเด็กน้อยเหมยซูหน่อย บอกว่าจับคนได้แล้ว ให้เขาพักฟื้นให้ดี อย่าให้อาการบาดเจ็บกำเริบอีก”

หมอหลวงหลัวยิ้มน้อยๆ ผงกศีรษะรับคำ “ขอรับ”

เจิ้งจวินเดินออกจากวังหย่งหนิง มองดูชิวเยี่ยไป๋ที่สองมือถูกมัดพาดที่คอยืนอย่างสงบอยู่ใกล้ประตูวัง จึงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไปยืนสำนึกหน้ากำแพง[1]ห้องลงทัณฑ์”

สำนึกตัวหรือ

“นี่เป็นการลงโทษต่อข้าผู้เป็นราษฎรที่พระพันปีประทานหรือ” ชิวเยี่ยไป๋อดเลิกคิ้วด้วยความตระหนกเล็กน้อยมิได้

สำนึกตัวก็เป็นการลงทัณฑ์อย่างหนึ่งหรือ

เจิ้งจวินแลดูนาง ดวงตาคู่เรียวยาวฉายประกายที่มิรู้ความหมายวูบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างหยามเหยียดว่า “ชิวเยี่ยไป๋ เจ้าจงอย่าได้ดูเบาการสำนึกตัว ลองรสชาติดูเถิด”

พูดจบเขาก็โบกมือ องครักษ์เน่ยเจียนหลายคนก็คุมตัวชิวเยี่ยไป๋ไปที่ห้องลงทัณฑ์ใกล้ตำหนักข้าง

ดวงตาเป๋าเป่าฉายแววกังวลวูบหนึ่ง แต่บัดนี้เขาปลอมตัวเป็นองครักษ์เน่ยเจียนที่มีฐานะธรรมดา ย่อมตามไปด้วยมิได้ จึงได้แต่เบิกตามองชิวเยี่ยไป๋ถูกพาตัวไป

จนกระทั่งหลังเข้าห้องลงทัณฑ์แล้ว ในที่สุดชิวเยี่ยไป๋ก็เข้าใจแล้วว่าอะไรคือการ ‘สำนึกตัว’ และทำไม‘การสำนึกตัว’ จึงเป็นการลงทัณฑ์ประเภทหนึ่ง

เทียบกับเครื่องลงทัณฑ์ประเภทขัดถูลากไส้เต็มห้องลงทัณฑ์แล้ว การลงทัณฑ์ชนิดนี้ดูแล้วสุภาพกว่า

คือเป็นการนำคนไปไว้ในห้องศิลามืดทึบห้องหนึ่ง ในนั้นไม่มีอะไรเลย นอกจากผนังศิลาแข็งเย็นสี่ด้านแล้ว ไม่มีโต๊ะไม่มีเก้าอี้ม้านั่งไม่มีเตียง แม้แต่หน้าต่างก็ไม่มีสักบาน ตรงกำแพงมีเพียงกระโถนใบหนึ่ง หลังเข้าไปปิดบานประตูศิลาแล้ว ก็มีแต่ความมืดมนอนธกาล

จงอย่าคิดว่านี่เป็นการลงโทษที่สบายไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะคนที่ถูกขังในห้องจะไม่รู้วันรู้คืน ถูกตัดขาดจากภายนอกมีแต่ความมืดไม่สิ้นสุด พอนานเข้าอาจทำให้กลายเป็นบ้าหรือโง่ไปเลยก็ได้

ชิวเยี่ยไป๋แลดูความมืดทั้งห้อง ก็รู้ว่าเมื่อชาติก่อนก็เป็นวิธีลงทัณฑ์บีบให้สารภาพวิธีหนึ่ง

นางรู้ว้าถ้ายิ่งลนลานแรงกดดันในใจก็จะยิ่งมาก แต่ถึงอย่างไรก็ตามนี่ยังคงเป็นการลงทัณฑ์ที่ค่อนข้างนุ่มนวลประเภทหนึ่ง อย่างน้อยสำหรับคนฝึกวิทยายุทธ์ก็เป็นเช่นนี้

นางคลำทางนั่งลงชิดผนังและเริ่มเข้าสมาธิ

ระหว่างเดินลมปราณหายใจเข้าออก เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชิวเยี่ยไป๋ประมาณเวลาการเดินลมปราณของตนเองน่าจะราวสามชั่วยาม ถ้าเช่นนั้นบัดนี้ก็ล่วงไปสามชั่วยามแล้ว นางคลายไหล่ที่ออกจะแข็งเกร็งอยู่บ้าง ตัดสินใจจะลองเดินดู เห็นรอบด้านมีแต่ความมืดมิด นางออกจะเสียใจอยู่บ้างที่มิได้พกอะไรที่ส่องสว่างได้ติดตัวเลย ตะบันไฟถูกยึดไปแล้วตอนค้นตัวก่อนส่งเข้ามา

ดังนั้นนางจึงคลำผนังลุกขึ้นช้าๆ ค่อยๆ เดินเลาะตามผนัง แต่พอถึงมุมหนึ่งของห้อง นางพลันรู้สึกถึงความไม่ปกติ ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ที่มุมผนัง

นางยื่นมือคลำดูก็คลำถูกของสิ่งหนึ่งที่เย็นเยียบ จึงรีบชักมือกลับตามสัญชาตญาณ…นั่นเป็นมือคน

มือศพที่เย็นเยียบ

เนื่องจากตอนเข้ามาในห้องนางไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่าในนี้จะมีคนหรือมีซากศพใดๆ อยู่ สำหรับเรื่องนี้นางเชื่อสัมผัสที่เฉียบคมของผู้ฝึกวิทยายุทธ์เช่นนาง

แต่ในห้องขังบัดนี้จู่ๆ ก็มีซากศพปรากฏขึ้น

นางตั้งสติ นึกถึงแววตาเย็นชาของเจิ้งจวินแล้วจึงค่อยๆ เดินต่อไป นางอยากจะแน่ใจว่าที่มุมนั้นมีซากศพร่างหนึ่งจริงหรือไม่ ถ้าเป็นความจริงก็น่าจะเป็นฝีมือของเจิ้งจวินเสียแปดเก้าส่วนในสิบส่วน

แต่จะอาศัยซากศพร่างหนึ่งมาข่มขวัญนางก็เป็นเรื่องน่าหัวร่อเกินไป

ชิวเยี่ยไป๋คลุกคลีในยุทธจักรมานานปี สองมือใช่ว่าจะมิเคยเปื้อนคาวเลือด ดังนั้นนางจึงร้องเชอะเบาๆ แล้วคลำไปข้างหน้าอีกครั้ง

แต่ครั้งนี้…

ศพหายไปแล้ว

พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋ขนลุกซู่

หรือเป็นซากศพที่เคลื่อนไหวได้

ศพนั้นหายไปหรือว่านางรู้สึกหลอนกันแน่

แม้นางจะยำเกรงต่อธรรมชาติ แต่ไม่ใช่เรื่องอิทธิฤทธิ์ผีสาง

ชิวเยี่ยไป๋หลับตามิให้ความมืดมิดที่เย็นเยือกมีผลต่อประสาทสัมผัสของตน จากนั้นเอื้อมมือดึงปิ่นปักผมบนศีรษะกำไว้ในมือ แล้วค่อยๆ คลำตามผนังสู่มุมห้องนั้นอีกครั้ง

ปิ่นอันหนึ่งในมือของคนธรรมดากับอยู่ในมือของผู้มีวิทยายุทธ์สูงล้ำมีอานุภาพการฆ่าฟันต่างกันอย่างสิ้นเชิง นางเชื่อว่าหากอีกฝ่ายเป็นสิ่งมีชีวิตจะฆ่านางไม่ได้ และต่อให้นางไม่เอาชีวิตของเจ้าสิ่งนั้น อย่างน้อยก็ใช้ป้องกันชีวิตตนเองได้

นางพยายามไม่ให้มีสุ้มเสียงและคลำต่อไปช้าๆ

แต่จนกระทั่งคลำถึงมุมผนัง ที่มือสัมผัสถูกนอกจากเป็นผนังชื้นแฉะเย็นเยียบและมีกลิ่นราอับแล้วก็ไม่มีอะไรเลย!

มือของชิวเยี่ยไป๋ชะงักแต่เท้ามิได้หยุดลง ยังคงคลำต่อไปสู่อีกมุมหนึ่ง เสากลมพื้นเหลี่ยมเป็นหลักการพื้นฐานของการก่อสร้าง ขอเพียงพิสูจน์ได้ว่าอีกสามมุมไม่มีอะไรก็พอแล้ว

ทว่า มุมที่สองของห้องก็ไม่มีอะไร มุมที่สามก็ไม่มีอะไรเช่นกัน

ชิวเยี่ยไป๋ยืนที่มุมที่สี่ของห้อง นิ่งเงียบครู่หนึ่ง ย้อนนึกถึงตอนถูกผลักเข้ามาในห้อง อาศัยแสงภายนอกเล็กน้อยเห็นสภาพภายใน เนื่องจากเป็นห้องขัง จึงต้องสร้างให้เกิดแรงกดดันทางจิตใจ ดังนั้นห้องจึงมีขนาดไม่ใหญ่ มุมห้องทั้งสี่ไม่มีคน ระหว่างที่นางคลำทาง นางแน่ใจอย่างยิ่งว่ามิได้รู้สึกถึงสิ่งใดและอาจเป็นความรู้สึกหลอนของนางเองจริงๆ กระมัง

นางหัวร่อเบาๆ คราหนึ่ง ถอนใจเบาๆ คล้ายถากถางตนเอง “จริงๆ เลยนะ แค่ถูกขังไว้ครึ่งวันก็เกิดอาการหลอนแล้วหรือ”

ความรู้สึกด้านจำแนกทิศทางของนางไม่สู้ดีนัก ดังนั้นยามนี้นางจึงได้แต่คลำตามผนัง ค่อยๆ กลับไปที่เดิมที่นางเคยนั่ง ถึงอย่างไรตรงนั้นก็เป็นที่ที่ปูฟางไว้หนาที่สุด

แต่ชิวเยี่ยไป๋เพิ่งเดินได้ไม่กี่ก้าวก็พลันหยุดเท้า เพราะนาทีนี้เองจู่ๆ นางก็รู้สึกว่าข้างหน้ามีไอเย็นโถมเข้าใส่

ไม่รู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวใดๆ ของลมหายใจ ไม่มีอุณหภูมิร่างกายของใครเลย ท่ามกลางความมืดมิด นางมองไม่เห็นสิ่งใดๆ เบื้องหน้า ทว่า…สัญชาตญาณที่มีแต่กำเนิดบอกว่าข้างหน้ามีบางสิ่งบางอย่าง

นางยกแขนขึ้นช้าๆ แล้วออกแรงในบัดดล ปิ่นในมือทิ่มใส่เบื้องหน้า

ฟิ้ว! เสียงแหวกอากาศดังขึ้น

แต่นอกจากแรงที่ทิ่มแหวกอากาศแล้ว นางไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่ามีแรงต้านใดๆ

ชิวเยี่ยไป๋ทิ่มไม่โดนก็อดครุ่นคิดมิได้ นางรวดเร็วพอ แต่ยังคงแทงไม่ถูกอะไรเลย

แต่คราวนี้นางมิได้ผ่อนคลายลง กล้ามเนื้อทั้งตัวแข็งเกร็ง ถอยหลังอย่างรวดเร็วคิดจะพิงกับผนัง

นางแน่ใจว่าในห้องมีบางสิ่งบางอย่าง แม้นางยังไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร แต่ย่อมมิใช่ในสิ่งที่ดีแน่ และได้เห็นชัดว่าการจู่โจมของนางทั้งสองครั้งไม่โดนฝ่ายตรงข้าม น่าจะเพราะในห้องมีกลไกหรือไม่ก็อีกฝ่ายฝีมือกล้าแข็งกว่านาง แต่ไม่ว่าเพราะอะไรก็ตาม การจะเผชิญกับการจู่โจมที่คาดหมายมิได้ ยังคงต้องพิงมุมผนังก่อน นี่เป็นท่วงท่าพื้นฐานของการป้องกันตัว สามารถป้องกันด้านหลังและรับมือเฉพาะด้านหน้า

——

[1] เป็นการทำโทษประเภทหนึ่ง โดยให้ยืนหันหน้าเข้ากำแพงสำนึกความผิด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+