ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ 70 ปีศาจใต้เงาจันทร์ (1)

Now you are reading ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ Chapter 70 ปีศาจใต้เงาจันทร์ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

เสี่ยวชีพึมพำในลำคอแล้วจากไป

 

 

นางออกจากเรือนของชิวซั่นจิง หนิงชุนเดินตามเงียบๆ เหลียวหลังไปมองเรือนงามวิจิตร แล้วกล่าวว่า “นายน้อยสี่ ไยจึงไม่ขุดรากถอนโคนเสียเลยเจ้าคะ”

 

 

คนในยุทธภพให้ความสำคัญต่อคุณธรรมน้ำมิตร ยิ่งไม่อาจทนต่อการถูกทรยศหักหลัง ต่อให้เป็นพี่น้อง หากผิดใจกันก็ต้องตัดให้ขาดในดาบเดียว หรือไม่ก็แทงให้พรุน สะบั้นจุดชีพจรทั่วร่าง จึงจะสมกับการสะสางบุญคุณความแค้นของชาวยุทธ์

 

 

ชิวซั่นจิงกับเจ้านายของตนเป็นสายเลือดเดียวกัน ความแค้นยิ่งใหญ่ในคราวก่อน ถึงกับใช้วิธีการโหดเ**้ยมหมายเอาชีวิต นับเป็นการละเมิดข้อห้ามที่สำคัญที่สุดของชาวยุทธ์

 

 

ครั้งนี้เจ้านายเมตตาออมมือแล้ว

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หัวเราะเบาๆ “นางยังมีประโยชน์ บัดนี้มีปากแต่พูดไม่ได้ มือขยับไม่ได้ ย่อมไม่อาจส่งข่าวให้คนภายนอก และจะกลายเป็นหมากที่ผู้บงการเบื้องหลังโยนทิ้ง นางกำลังเข้าตาจน หมดโอกาสการออกเรือนในอนาคต ทั้งยังกังวลต่อชีวิตทุกวี่วัน ทั้งน้องหกคงตั้งใจ ‘ดูแล’ นางเป็นอย่างดี ไม่ถึงเดือนชิวซั่นจิงต้องทนไม่ได้แน่ และต้องยอมเปิดเผยว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง”

 

 

หนิงชุนตะลึง นี่มิใช่ขออยู่ไม่ได้ ขอตายไม่รอดหรอกหรือ

 

 

นางอดเลื่อมใสฝีมือการทรมานคนและความคิดอันแยบยลหลักแหลมของเจ้านายมิได้ จึงไม่พูดอะไรอีก

 

 

กลับเป็นเสี่ยวชีที่จัดการเรื่องทางโน้นเสร็จรีบกลับมา แล้วมายืนพึมพำอยู่ข้างๆ ว่า “มิน่าเล่าคุณชายเทียนฉีถึงบอกว่านายท่านเป็นเดรัจฉาน!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว “เจ้าว่าอะไรนะ”

 

 

เสี่ยวชีกลอกตา เอ่ยอย่างมั่นใจในเหตุผลของตน “ข้าว่านายน้อยสี่น่ะขอรับ ผู้อื่นนั่งเป็นคนดูแลหอไผ่เขียวไม่ใช่ง่ายๆ เลย บัดนี้คุณชายเทียนซูกลับมาแล้ว ท่านก็เอาข้ากลับมาเป็นเด็กรับใช้อีก ดีชั่วอย่างไรก็น่าจะแสดงน้ำใจกันบ้าง โม่แป้งเสร็จก็ฆ่าลา เช่นนี้เป็นบุรุษผู้ทรงเกียรติเสียที่ใด เป็นเดรัจฉานชัดๆ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ที่เดินอยู่พลันหันมาถามอย่างยิ้มแย้มว่า “อ้อ ข้าเป็นบุรุษผู้ทรงเกียรติหรือ”

 

 

เสี่ยวชีตัวแข็ง รีบฝืนยิ้มประจบประแจง “ไม่มี ‘ไก่น้อย’[1] ก็เป็นบุรุษผู้ทรงเกียรติได้ขอรับ!”

 

 

เขาลืมไปว่า การไม่มี ‘ไก่น้อย’ เป็นเรื่องที่นายน้อยสี่เจ็บปวดใจเสมอมา

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มเ**้ยม สองนิ้วหยิกแก้มนุ่มๆ ของเสี่ยวชีบิดไปมา “การแสดงน้ำใจของนายน้อยสี่เช่นข้าก็คือ ในเมื่อเจ้ามี ‘ไก่น้อย’ ก็จงอย่าให้เสียของ ไปหอไผ่เขียวแขวนป้ายรับแขกเสียเลยไป!”

 

 

เสี่ยวชีถูกบิดแก้มจนหน้าเหยเก “ข้าน้อยผิดไปแล้ว นายน้อยโปรดอย่าอิจฉาข้าน้อยเลย ท่านต้องมี ‘ไก่น้อย’ อันโตงอกออกมาแน่!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ “…”

 

 

หนิงชุน “…”

 

 

 

 

ชายคางอนโค้ง หลังคาทองกำแพงแดงเจิดจรัสตระการตา เสียงผีผาเครื่องสายเคล้าเสียงพูดคุย คนงามหน้าแฉล้ม อาหารเลิศรส เป็นราตรีที่ครึกครื้น

 

 

เทียบเชิญงานเลี้ยงยามราตรีของจวนติ้งอ๋องเป็นสิ่งที่ทุกคนหมายปอง นอกจากอาหารชั้นเลิศ นางขับร้องคนงามชั้นเลิศ ตัวติ้งอ๋องยังเป็นพระโอรสในจักรพรรดินี มีโอกาสขึ้นครองบัลลังก์มากที่สุด จึงย่อมมีคนแห่แหนกันเข้ามาราวกับฝูงเป็ด[2]

 

 

แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเพลิดเพลินกับอาหารและคนงามตรงหน้า อย่างเช่นในห้องคนรับใช้ที่เรือนด้านหลัง มีทหารพกอาวุธอารักขาอย่างเข้มงวด

 

 

ติ้งอ๋องซึ่งควรอยู่ต้อนรับแขกเหรื่อ ยามนี้กำลังนั่งอยู่ในห้องของคนรับใช้ เอ่ยเสียงเย็นว่า “จับมือสังหารที่บุกเข้ามาได้หรือยัง”

 

 

องครักษ์ผู้นั้นส่ายศีรษะอย่างนอบน้อม “ทูลท่านอ๋อง เราค้นห้องคนรับใช้ทุกห้องแล้ว ไม่พบสิ่งใดผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ติ้งอ๋องหรี่ดวงตาเรียวยาวอย่างส่อแววอันตราย ประกายตาลุกโชนราวคบเพลิงกวาดมองไปที่ลานด้านนอกช้าๆ จากนั้นลุกขึ้น ค่อยๆ เดินไปรอบห้อง

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ที่ฟุบตัวเกาะอยู่ใต้หลังคากำลังใจจดใจจ่อ การไปพบชิวซั่นจิงของนางนับว่าไม่เสียเที่ยว เพราะพบจี้หรูอี้โค่ว[3]ชิ้นหนึ่งที่คนรับใช้ในจวนติ้งอ๋องมักใช้กัน จากนั้นก็สบโอกาสเหมาะในงานเลี้ยงของจวนติ้งอ๋อง แฝงกายเข้ามาสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับคนรับใช้ที่ติดต่อกับชิวซั่นจิง นึกไม่ถึงว่าจวนติ้งอ๋องจะจัดวางเวรยามแน่นหนาถึงเพียงนี้!

 

 

“ทูลท่านอ๋อง ฝ่าบาทเซ่อกั๋วเสด็จมาถึงแล้ว พระองค์จะเสด็จออกไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ผู้นั้นกล่าวอย่างลังเล

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตัวทันที ในใจรู้สึกว่าตนโชคดี ไอ้โรคจิตไป๋หลี่ชูมาแล้ว ติ้งอ๋องไม่มีทางอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่แน่

 

 

นึกไม่ถึงว่าติ้งอ๋องฟังแล้วก็ชักเท้าที่จะก้าวออกไปกลับมา มุ่นคิ้วเอ่ยเสียงเย็นว่า “ให้ฝ่าบาทเซ่อกั๋วรอก็แล้วกัน”

 

 

จากนั้นก็หันกายกลับเข้าห้องคนรับใช้

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กลัดกลุ้ม ได้แต่รอต่อไป

 

 

แต่แล้วเสียงเย็นเยียบวังเวงก็ดังขึ้น ทำเอานางเกร็งไปทั้งร่าง

 

 

“เป็นอะไรหรือ น้องสามเชิญข้ามาที่นี่ แต่กลับไม่อยากพบข้า”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กลั้นหายใจ เห็นประตูเปิดออก ร่างสีแดงเยือกเย็นก้าวเข้ามาในห้องช้าๆ

 

 

ประตูค่อยๆ ปิดลงตามหลัง นางเห็นชัดเจนว่าติ้งอ๋องถึงกับตัวแข็งทันทีที่เห็นไป๋หลี่ชูเข้ามา

 

 

ดูเหมือนไป๋หลี่ชูก็สังเกตเห็นเช่นกัน ก้าวเข้าไปหาติ้งอ๋องช้าๆ จนกระทั่งยืนอยู่ตรงหน้าเขา ติ้งอ๋องมองคนงามเบื้องหน้าอย่างเย็นชา ทว่าไหล่ที่แข็งเกร็งเล็กน้อยเผยอารมณ์ตึงเครียดในยามนี้ได้ดี

 

 

ไป๋หลี่ชูวางมือบนไหล่ของติ้งอ๋อง โน้มกายเข้าไปหาอย่างนุ่มนวล เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เป็นอันใดไป น้องสามลืมสายใยที่เราเคยมีมาแต่เก่าก่อนแล้วหรือ”

 

 

บุรุษรูปงามเย็นเยียบท่ามกลางเงาสลัว กับคนงามชุดแดงทรงเสน่ห์ ช่างดูราวกับภาพวาดที่ประหลาดพิกลและคลุมเครือ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พลันเบิกตากว้าง ดวงตาฉายแววตื่นตะลึงหรืออาจจะเรียกได้ว่าสนอกสนใจ

 

 

ไม่ผิดแน่ มีเรื่องชู้สาว! มีสัมพันธ์ฉาว!

 

 

จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด

 

 

ตลอดชีวิตนี้ชิวเยี่ยไป๋มิได้เติบโตในหอห้อง ทั้งยามปกติยังชอบทำตัวเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม บัดนี้มาได้ยินเรื่องสัมพันธ์ลับในหมู่เชื้อพระวงศ์กับหู จึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ นางกลั้นหายใจทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดเหมือนไม่มีตัวตน ฟุบตัวแอบฟังบนคานห้องโดยปราศจากความหวั่นเกรงใดๆ

 

 

ติ้งอ๋องมองใบหน้ากระชากขวัญสะกดวิญญาณเบื้องหน้าอย่างเย็นชา แววตาสาดประกาย “ฝ่าบาทเซ่อกั๋ว ห้องรับรองด้านหน้ากำลังครึกครื้น ไยฝ่าบาทจึงไม่เสด็จไปเล่า”

 

 

ปลายนิ้วของไป๋หลี่ชูไล้ไปตามสาบเสื้อเขาอย่างถือวิสาสะ เอ่ยเสียงเนือยว่า “ไยจึงทำเหมือนคนแปลกหน้าไร้น้ำใจเช่นนี้ หืม?”

 

 

ร่างเพรียวบางในชุดแดงงามสง่าดุจหยก ทว่าแสงจันทร์เย็นเยียบที่ส่องลอดหน้าต่างเข้ามาทำให้โครงร่างของเขาถูกลากเป็นเงายาวดำมืดดั่งห้วงสมุทรอันลึกล้ำไร้ขอบเขต โอบล้อมติ้งอ๋องไว้ในเงื้อมเงานั้น

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พึมพำในใจ อืม ดูไปแล้วเหมือนติ้งอ๋องจะไม่ยินยอมและหยิ่งทะนงจริงๆ ทั้งว่าไปแล้วก็ไม่เหมือนคนที่จะข่มใครได้

 

 

ติ้งอ๋องคว้ามือไป๋หลี่ชูไว้ ถอยก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเย็นชา “ฝ่าบาทเซ่อกั๋ว กระหม่อมเชิญพระองค์เสด็จมาทอดพระเนตรการร้องรำ มิใช่ให้พระองค์มาล้อเล่นกับกระหม่อม เรื่องราวในครานั้นเป็นเพียงความเข้าใจผิด”

 

 

ไป๋หลี่ชูหัวเราะเบาๆ คิ้วงามตวัดขึ้น “อืม หากข้าบอกว่าวันนี้อยากจะหยอกเอินน้องชายเล่า จะยอมให้ข้าได้ชื่นใจหรือไม่”

 

 

ติ้งอ๋องตัวแข็ง เห็นได้ชัดว่ากำลังข่มกลั้นโทสะ หัวไหล่สั่นระริกเล็กน้อย เอ่ยน้ำเสียงนิ่งว่า “ฝ่าบาททรงล้อเล่นแล้ว”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ซึ่งฟุบบนคานพึมพำในใจ จุๆๆ หยอกหรือ นี่มันโอ้โลมชนิดไร้ขอบเขตชัดๆ

 

 

ไป๋หลี่ชูนั่งลง สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ยว่า “น้องเราอยากให้ข้าสำราญใจจริงหรือ หรือเพียงหวังให้ข้าไม่ไปขวางคนของเจ้าที่กลุ่มค้าเกลือทางตะวันตกเฉียงเหนือ หืม?”

 

 

ติ้งอ๋องอึ้งงัน นั่งลงตามพลางเอ่ยเสียงเย็นว่า “ฝ่าบาทเซ่อกั๋ว ในเมื่อทรงทราบเจตนาของกระหม่อมแล้ว กลุ่มค้าเกลือเป็นเรื่องระหว่างกระหม่อมกับน้องห้า กระหม่อมมิบังอาจทูลขอให้ฝ่าบาทอยู่ฝั่งกระหม่อม แต่ก็หวังว่าจะไม่ทรงอยู่ข้างน้องห้าเช่นกัน”

 

 

 

 

——

 

 

[1]  อ่านออกเสียงว่า ‘เสี่ยวจีจี’ เป็นศัพท์เด็กสำหรับเรียกอวัยวะเพศชาย

 

 

[2]  เป็นสำนวน หมายถึง แห่กันเข้ามาแย่งชิงในสิ่งที่ไม่เหมาะสม

 

 

[3]  ‘โค่ว’ คือเครื่องประดับหยกซึ่งเป็นทรงกลมมีรูตรงกลาง เป็นรูปแบบดั้งเดิมของ ‘ผิงอานโค่ว’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสงบสุข ส่วน ‘หรูอี้’ คือคทาสมปรารถนา ในที่นี้จึงเป็นจี้ผิงอานโค่วที่สลักลวดลายของคทาสมปรารถนา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด