ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ 266 ราชครู (2)

Now you are reading ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ Chapter 266 ราชครู (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชิวเยี่ยไป๋แลดูเงาหลังของเขา จิตใจและอารมณ์สับสน นางหัวร่อเบาๆ “ข้าเดาไม่ผิดจริงๆ”

 

 

“ทำไมเจ้าจึงบอกข้าเรื่องนี้” นางพลันถอนใจคราหนึ่ง

 

 

หยวนเจ๋อ “พุทธะมีชีวิตกลับชาติมาเกิดของเจินเหยียนกงหรือราชครูสำคัญมากนักหรือ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม อาตมาก็แค่หลวงจีนรูปหนึ่ง เป็นบรรพชิตคนหนึ่งเท่านั้น”

 

 

เขาหยุดเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ทุกอย่างล้วนมายา เป็นเพียงเงาพรายเหมือนความฝัน เหมือนน้ำค้างเหมือนสายฟ้า ไยจึงมิมองเช่นนี้”

 

 

น้ำเสียงของเขาสงบและปล่อยวางอย่างยิ่ง ไร้แววละอายแม้แต่น้อยและไม่มีความไม่สบายใจใดๆ ราวกับทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้เป็นเรื่องที่เขามิเคยใส่ใจเลย

 

 

เบาบางดุจขนนกถึงเพียงนี้ ไม่มีคุณค่าแม้จะไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกมาสักคำ

 

 

แต่คนฟังกลับฟังออกว่า เขามิได้นำพาต่อฐานะอันน่าตระหนกแต่อย่างใดจริงๆ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋แลดูเงาหลังของเขาครู่หนึ่ง กลับส่ายหน้าเบาๆ กล่าวว่า “ไม่ อาเจ๋อ เจ้าไม่เคยใส่ใจนำพาชื่อเสียงจอมปลอมทางโลกก็จริงอยู่ ในใจของเจ้ามีเพียงแท่นดอกบัวของแดนพุทธะ แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็กำเนิดบนโลกนี้ เจ้าย่อมมิมีวันหลุดพ้นจากชื่อเสียงผลประโยชน์และศักดิ์ฐานะตลอดกาล”

 

 

หยวนเจ๋อกล่าวอ้อยสร้อยว่า “หลังจากนั้นเล่า เพราะอาตมามิอาจหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านั้น แล้วประสกเสี่ยวไป๋คิดจะทำอย่างไร ฆ่าอาตมาหรือ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวเนือยๆ ว่า “พระพันปีมีเสาวนีย์ให้เข่นฆ่าข้าให้ได้ ถ้าแหล่งข่าวของข้าไม่ผิดพลาด หยวนเติงซือไท่กับพระพันปีเคยคบหาอย่างสนิทสนมมิใช่หรือ”

 

 

หยวนเจ๋อถามอย่างราบเรียบ “แล้วอย่างไรเล่า”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มน้อยๆ “จะให้ข้าพูดให้ชัดกว่านี้หรือ เจินเหยียนกงเป็นอิทธิพลอีกขุมหนึ่งของพระพันปี เริ่มตั้งแต่ตระกูลตู้เข้าครอบงำวังหลัง ราชครูทุกสมัยล้วนมาจาก ‘พุทธะมีชีวิตกลับชาติ’ ของเจินเหยียนกง การลอบจู่โจมในวันนี้ หากข้าเดาไม่ผิดนั่นเป็นคนของเจินเหยียนกงขณะตามหาเจ้า เมื่อพบว่าเจ้าอยู่ร่วมกับข้า จึงตัดสินใจจะทำทั้งทีก็ขุดรากถอนโคนข้าก่อนเลย ถูกต้องหรือไม่”

 

 

“เช่นนั้นหรือ อาจเพราะอาตมาจงใจวางกับดักไว้แต่แรกก็เป็นได้มิใช่หรือ” หยวนเจ๋อพลันกล่าว

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มและสะอึก “อาเจ๋อ เจ้าคิดว่าในฐานะราชครูซึ่งเป็นที่สักการะของคนทั้งชาตินับหมื่น เพื่อสมุดบัญชีเล่มเดียวถึงกับลงทุนแฝงเร้นข้างตัวของขุนนางระดับสี่ตัวน้อยเหมือนเมล็ดงาน่าเชื่อนักหรือ

 

 

ฆ่าไก่ไยต้องใช้มีดโค

 

 

อย่าว่าแต่ถ้าเขาจะฆ่านางแล้วแย่งสมุดบัญชีไปก็มีโอกาสนับไม่ถ้วน แต่เขากลับรับศรพิษนั้นของเจินเหยียนกงแทนนาง

 

 

“แต่ข้าเชื่อว่าเวลานั้นเจ้าคงสังเกตพบว่าในพวกพลธนูมีคนของเจินเหยียนกงแล้วกระมัง” ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเนือยๆ

 

 

หยวนเจ๋อชะงักแล้วพูดต่อ “ไม่ผิด คนของเจินเหยียนกงมีกลิ่นชนิดหนึ่งเสมอ พวกเดียวกันจึงจะได้กลิ่น แต่ตอนนั้นคนมากเกินไป อาตมาเพียงสามารถอาศัยทิศทางลมตัดสินกลิ่นชนิดนั้น ไม่มีปัญญาตัดสินทันทีว่าบนตัวคนไหนมีกลิ่นชนิดนี้”

 

 

“กลิ่นหรือ” ชิวเยี่ยไป๋งงงัน

 

 

กลิ่นอะไรจึงเป็นกลิ่นที่มีแต่คนของเจินเหยียนกงจึงจะได้กลิ่น

 

 

“ใช่ กลิ่น กลิ่นชนิดหนึ่งที่มิใช่คน” หยวนเจ๋อกล่าว พลันยกมือขึ้นกลางอากาศ กล่าวเรียบๆ ว่า “มา”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นท่ามือของเขา มองปราดเดียวก็รู้ว่ากำลังเรียกตน นางจึงก้าวเข้ามา แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร แต่ยังคงยื่นมือแตะกับมือของเขา

 

 

นางมองดูเขา อยากเห็นสีหน้าตอนนี้ แต่กลับเห็นลมโชยผมที่ปรกหน้าผากจนกระจาย ทำให้เห็นดวงตาของเขาไม่ถนัด

 

 

และแล้วนาทีต่อมา เขาพลันดึงมือ กระชากนางเข้าในอ้อมอกของตนเอง

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ไม่ทันระวัง จึงตกอยู่ในอ้อมอกกว้างและแข็งแรงนั้น มิรู้ว่าเพราะตากลมแม่น้ำนานเกินไปหรืออย่างไร จึงรู้สึกว่าบนตัวของหยวนเจ๋อเย็นจัด

 

 

แม้กระนั้น ปลายจมูกของนางเฉียดผ่านผิวกายที่อกของเขา สัมผัสที่ชิดใกล้เช่นนี้ยังคงทำเอานางหน้าแดงและผลักเขาตามสัญชาตญาณ

 

 

เมื่อมิใช่การรักษาอาการบาดเจ็บ ยามใกล้ชิดขนาดนี้ออกจะเกินเลยไปสักหน่อย

 

 

แต่หยวนเจ๋อกลับใช้มืออีกข้างกดกระหม่อมของนางไว้ ทาบทับศีรษะของนางมิให้นางหลุดจากอ้อมกอด เสียงราบเรียบมิมีสูงต่ำแม้แต่น้อย “ดมดู ท่านได้กลิ่นอะไร”

 

 

อากัปกริยาดิ้นรนของชิวเยี่ยไป๋หยุดลงในพริบตา นางตั้งสติแล้วหลับตาสูดดมเบาๆ คนเรามีสัมผัสทั้งห้า เมื่อสัมผัสใดสัมผัสหนึ่งหายไป อีกสัมผัสหนึ่งก็จะเฉียบไวกว่าปกติ นี่เป็นธรรมชาติการปรับตัวของร่างกายมนุษย์เพื่อรับมือวิกฤต

 

 

และยามนี้ หลังนางหลับตาลง กลิ่นกำยานจางๆ บนผิวกายหยวนเจ๋อดูเหมือนมิได้ถูกลมชื้นของแม่น้ำพัดหายไป แต่กลับค่อยๆ เข้มข้นขึ้น เป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่นางรักษาอาการบาดเจ็บให้เขา กลิ่นหอมนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเข้มข้นอย่างช้าๆ ตั้งแต่แรกเริ่มที่ทำให้สดชื่นดื่มด่ำค่อยๆ กลายเป็นฉุนรัญจวนและเย้ายวน

 

 

ซ้ำร้ายยังรุนแรงขึ้นทุกทีจนทำให้ผู้คนสติเลอะเลือนอ่อนยวบไปทั้งตัว

 

 

“กลิ่นหอมนี้…มีปัญหา หอมเกินไปจริงๆ และมอมเมาสติผู้คน นี่เป็นกลิ่นหอมอสูรตนใด เป็นตำรับลับของเจินเหยียนกงหรือ” ชิวเยี่ยไป๋ระงับใจ ตั้งสติถามดูและพยายามผลักหยวนเจ๋อออก

 

 

กลิ่นหอมนั้นเย้ายวนจิตใจเกินไป ขืนดมต่อไปนางก็มิรู้ว่าตนเองจะทำอะไรต่อ แต่ก็ยืนยันถึงการคาดเดาของนาง กลิ่นหอมบนตัวของหยวนเจ๋อมีปัญหา

 

 

และกลิ่นหอมเช่นนี้ ทำให้นางประหวัดถึงกลิ่นเย้ายวนบนร่างของไป๋หลี่ชู ดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพคล้ายคลึงกัน แม้จะเป็นกลิ่นที่คล้ายกันเพียงเล็กน้อยก็ตาม

 

 

แต่กลิ่นหอมจากตัวไป๋หลี่ชู ดูเหมือนจะเข้มข้นขึ้นตามจิตใจของเขา ยามจิตใจสงบจะจางกว่า เช่นเดียวกับดวงตาประหลาดของเขาคู่นั้น สามารถชักจูงจิตใจผู้คน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิชาชั่วร้ายการสะกดจิตที่เขาฝึกปรือสามารถควบคุมจิตใจคนไว้ได้ระยะสั้นๆ

 

 

ครั้งนี้หยวนเจ๋อมิได้ฝืนนางไว้ เขาปล่อยมือ แล้วกล่าวเนือยๆ ว่า “ไม่ นี่เป็นกลิ่นหอมศพ หรือพูดตามภาษาชาวจงหยวนเรียกว่ากลิ่นเหม็นศพก็ได้ อาตมาคิดว่ากลิ่นเหม็นศพน่าจะถูกต้องกว่า”

 

 

กลิ่นหอมศพ?

 

 

พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋งงงัน นางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าศพยังมีกลิ่นหอมด้วย หรือว่าศพมิใช่มีแต่กลิ่นเหม็น

 

 

อย่าว่าแต่ใครเล่าจะนำของประเภทนี้ทาตัวต่างเครื่องหอม

 

 

ดูเหมือนหยวนเจ๋อจะรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ จึงหัวร่อเบาๆ กล่าวเหมือนหยามหยันว่า “ประหลาดมากใช่หรือไม่ แต่สำหรับนิกายลับของเจินเหยียนกงแล้ว ความตายมิใช่เรื่องน่ากลัว หากแต่เป็นหนทางปกติอย่างหนึ่ง ในการมุ่งสู่สุขาวดี ความเป็นกับความตายคั่นด้วยแม่น้ำสายหนึ่ง ซากศพก็เป็นเพียงยานของวิญญาณ เมื่อวิญญาณไปแล้ว ศพก็เป็นเพียงสิ่งที่ความศักดิ์สิทธิ์หรือบาปติดอยู่เท่านั้น จะเก็บไว้ทำอะไรก็ขึ้นอยู่กับว่าต้องการอะไร อาจสามารถรักษารูปโฉมยืดอายุวัฒนะก็เป็นไปได้”

 

 

ประโยคสุดท้ายของหยวนเจ๋อแผ่วเบา กลิ่นอายหยามหยันเข้มข้น

 

 

คำพูดนี้ฟังดูแล้วไม่ต่างอะไรกับนิยามทั่วไปของแดนสุขาวดีตะวันตกของพุทธศาสนา แต่มิทราบเพราะอะไร ชิวเยี่ยไป๋จู่ๆ ก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบ

 

 

นี่เป็นพุทธศาสนาหรือ

 

 

หรือเป็นศาสนาชั่วร้าย

 

 

ทางพุทธมีคนที่กระดูกกลายเป็นสารีริกธาตุซึ่งเป็นของศักดิ์สิทธิ์

 

 

การใช้ศพคนเป็นสิ่งของ นางเคยเห็นแต่ในตำราพุทธะดั้งเดิมของเทียนจู๋ ก่อนพุทธะจะออกบรรพชา เคยเป็นสาวกของศาสนาพราหมณ์ ไม่ว่าจะเป็นนิกายเปิดหรือนิกายลับล้วนมีต้นตอจากคำสอนดั้งเดิมนั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ 266 ราชครู (2)

Now you are reading ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ Chapter 266 ราชครู (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชิวเยี่ยไป๋แลดูเงาหลังของเขา จิตใจและอารมณ์สับสน นางหัวร่อเบาๆ “ข้าเดาไม่ผิดจริงๆ”

 

 

“ทำไมเจ้าจึงบอกข้าเรื่องนี้” นางพลันถอนใจคราหนึ่ง

 

 

หยวนเจ๋อ “พุทธะมีชีวิตกลับชาติมาเกิดของเจินเหยียนกงหรือราชครูสำคัญมากนักหรือ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม อาตมาก็แค่หลวงจีนรูปหนึ่ง เป็นบรรพชิตคนหนึ่งเท่านั้น”

 

 

เขาหยุดเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ทุกอย่างล้วนมายา เป็นเพียงเงาพรายเหมือนความฝัน เหมือนน้ำค้างเหมือนสายฟ้า ไยจึงมิมองเช่นนี้”

 

 

น้ำเสียงของเขาสงบและปล่อยวางอย่างยิ่ง ไร้แววละอายแม้แต่น้อยและไม่มีความไม่สบายใจใดๆ ราวกับทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้เป็นเรื่องที่เขามิเคยใส่ใจเลย

 

 

เบาบางดุจขนนกถึงเพียงนี้ ไม่มีคุณค่าแม้จะไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกมาสักคำ

 

 

แต่คนฟังกลับฟังออกว่า เขามิได้นำพาต่อฐานะอันน่าตระหนกแต่อย่างใดจริงๆ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋แลดูเงาหลังของเขาครู่หนึ่ง กลับส่ายหน้าเบาๆ กล่าวว่า “ไม่ อาเจ๋อ เจ้าไม่เคยใส่ใจนำพาชื่อเสียงจอมปลอมทางโลกก็จริงอยู่ ในใจของเจ้ามีเพียงแท่นดอกบัวของแดนพุทธะ แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็กำเนิดบนโลกนี้ เจ้าย่อมมิมีวันหลุดพ้นจากชื่อเสียงผลประโยชน์และศักดิ์ฐานะตลอดกาล”

 

 

หยวนเจ๋อกล่าวอ้อยสร้อยว่า “หลังจากนั้นเล่า เพราะอาตมามิอาจหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านั้น แล้วประสกเสี่ยวไป๋คิดจะทำอย่างไร ฆ่าอาตมาหรือ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวเนือยๆ ว่า “พระพันปีมีเสาวนีย์ให้เข่นฆ่าข้าให้ได้ ถ้าแหล่งข่าวของข้าไม่ผิดพลาด หยวนเติงซือไท่กับพระพันปีเคยคบหาอย่างสนิทสนมมิใช่หรือ”

 

 

หยวนเจ๋อถามอย่างราบเรียบ “แล้วอย่างไรเล่า”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มน้อยๆ “จะให้ข้าพูดให้ชัดกว่านี้หรือ เจินเหยียนกงเป็นอิทธิพลอีกขุมหนึ่งของพระพันปี เริ่มตั้งแต่ตระกูลตู้เข้าครอบงำวังหลัง ราชครูทุกสมัยล้วนมาจาก ‘พุทธะมีชีวิตกลับชาติ’ ของเจินเหยียนกง การลอบจู่โจมในวันนี้ หากข้าเดาไม่ผิดนั่นเป็นคนของเจินเหยียนกงขณะตามหาเจ้า เมื่อพบว่าเจ้าอยู่ร่วมกับข้า จึงตัดสินใจจะทำทั้งทีก็ขุดรากถอนโคนข้าก่อนเลย ถูกต้องหรือไม่”

 

 

“เช่นนั้นหรือ อาจเพราะอาตมาจงใจวางกับดักไว้แต่แรกก็เป็นได้มิใช่หรือ” หยวนเจ๋อพลันกล่าว

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มและสะอึก “อาเจ๋อ เจ้าคิดว่าในฐานะราชครูซึ่งเป็นที่สักการะของคนทั้งชาตินับหมื่น เพื่อสมุดบัญชีเล่มเดียวถึงกับลงทุนแฝงเร้นข้างตัวของขุนนางระดับสี่ตัวน้อยเหมือนเมล็ดงาน่าเชื่อนักหรือ

 

 

ฆ่าไก่ไยต้องใช้มีดโค

 

 

อย่าว่าแต่ถ้าเขาจะฆ่านางแล้วแย่งสมุดบัญชีไปก็มีโอกาสนับไม่ถ้วน แต่เขากลับรับศรพิษนั้นของเจินเหยียนกงแทนนาง

 

 

“แต่ข้าเชื่อว่าเวลานั้นเจ้าคงสังเกตพบว่าในพวกพลธนูมีคนของเจินเหยียนกงแล้วกระมัง” ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเนือยๆ

 

 

หยวนเจ๋อชะงักแล้วพูดต่อ “ไม่ผิด คนของเจินเหยียนกงมีกลิ่นชนิดหนึ่งเสมอ พวกเดียวกันจึงจะได้กลิ่น แต่ตอนนั้นคนมากเกินไป อาตมาเพียงสามารถอาศัยทิศทางลมตัดสินกลิ่นชนิดนั้น ไม่มีปัญญาตัดสินทันทีว่าบนตัวคนไหนมีกลิ่นชนิดนี้”

 

 

“กลิ่นหรือ” ชิวเยี่ยไป๋งงงัน

 

 

กลิ่นอะไรจึงเป็นกลิ่นที่มีแต่คนของเจินเหยียนกงจึงจะได้กลิ่น

 

 

“ใช่ กลิ่น กลิ่นชนิดหนึ่งที่มิใช่คน” หยวนเจ๋อกล่าว พลันยกมือขึ้นกลางอากาศ กล่าวเรียบๆ ว่า “มา”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นท่ามือของเขา มองปราดเดียวก็รู้ว่ากำลังเรียกตน นางจึงก้าวเข้ามา แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร แต่ยังคงยื่นมือแตะกับมือของเขา

 

 

นางมองดูเขา อยากเห็นสีหน้าตอนนี้ แต่กลับเห็นลมโชยผมที่ปรกหน้าผากจนกระจาย ทำให้เห็นดวงตาของเขาไม่ถนัด

 

 

และแล้วนาทีต่อมา เขาพลันดึงมือ กระชากนางเข้าในอ้อมอกของตนเอง

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ไม่ทันระวัง จึงตกอยู่ในอ้อมอกกว้างและแข็งแรงนั้น มิรู้ว่าเพราะตากลมแม่น้ำนานเกินไปหรืออย่างไร จึงรู้สึกว่าบนตัวของหยวนเจ๋อเย็นจัด

 

 

แม้กระนั้น ปลายจมูกของนางเฉียดผ่านผิวกายที่อกของเขา สัมผัสที่ชิดใกล้เช่นนี้ยังคงทำเอานางหน้าแดงและผลักเขาตามสัญชาตญาณ

 

 

เมื่อมิใช่การรักษาอาการบาดเจ็บ ยามใกล้ชิดขนาดนี้ออกจะเกินเลยไปสักหน่อย

 

 

แต่หยวนเจ๋อกลับใช้มืออีกข้างกดกระหม่อมของนางไว้ ทาบทับศีรษะของนางมิให้นางหลุดจากอ้อมกอด เสียงราบเรียบมิมีสูงต่ำแม้แต่น้อย “ดมดู ท่านได้กลิ่นอะไร”

 

 

อากัปกริยาดิ้นรนของชิวเยี่ยไป๋หยุดลงในพริบตา นางตั้งสติแล้วหลับตาสูดดมเบาๆ คนเรามีสัมผัสทั้งห้า เมื่อสัมผัสใดสัมผัสหนึ่งหายไป อีกสัมผัสหนึ่งก็จะเฉียบไวกว่าปกติ นี่เป็นธรรมชาติการปรับตัวของร่างกายมนุษย์เพื่อรับมือวิกฤต

 

 

และยามนี้ หลังนางหลับตาลง กลิ่นกำยานจางๆ บนผิวกายหยวนเจ๋อดูเหมือนมิได้ถูกลมชื้นของแม่น้ำพัดหายไป แต่กลับค่อยๆ เข้มข้นขึ้น เป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่นางรักษาอาการบาดเจ็บให้เขา กลิ่นหอมนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเข้มข้นอย่างช้าๆ ตั้งแต่แรกเริ่มที่ทำให้สดชื่นดื่มด่ำค่อยๆ กลายเป็นฉุนรัญจวนและเย้ายวน

 

 

ซ้ำร้ายยังรุนแรงขึ้นทุกทีจนทำให้ผู้คนสติเลอะเลือนอ่อนยวบไปทั้งตัว

 

 

“กลิ่นหอมนี้…มีปัญหา หอมเกินไปจริงๆ และมอมเมาสติผู้คน นี่เป็นกลิ่นหอมอสูรตนใด เป็นตำรับลับของเจินเหยียนกงหรือ” ชิวเยี่ยไป๋ระงับใจ ตั้งสติถามดูและพยายามผลักหยวนเจ๋อออก

 

 

กลิ่นหอมนั้นเย้ายวนจิตใจเกินไป ขืนดมต่อไปนางก็มิรู้ว่าตนเองจะทำอะไรต่อ แต่ก็ยืนยันถึงการคาดเดาของนาง กลิ่นหอมบนตัวของหยวนเจ๋อมีปัญหา

 

 

และกลิ่นหอมเช่นนี้ ทำให้นางประหวัดถึงกลิ่นเย้ายวนบนร่างของไป๋หลี่ชู ดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพคล้ายคลึงกัน แม้จะเป็นกลิ่นที่คล้ายกันเพียงเล็กน้อยก็ตาม

 

 

แต่กลิ่นหอมจากตัวไป๋หลี่ชู ดูเหมือนจะเข้มข้นขึ้นตามจิตใจของเขา ยามจิตใจสงบจะจางกว่า เช่นเดียวกับดวงตาประหลาดของเขาคู่นั้น สามารถชักจูงจิตใจผู้คน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิชาชั่วร้ายการสะกดจิตที่เขาฝึกปรือสามารถควบคุมจิตใจคนไว้ได้ระยะสั้นๆ

 

 

ครั้งนี้หยวนเจ๋อมิได้ฝืนนางไว้ เขาปล่อยมือ แล้วกล่าวเนือยๆ ว่า “ไม่ นี่เป็นกลิ่นหอมศพ หรือพูดตามภาษาชาวจงหยวนเรียกว่ากลิ่นเหม็นศพก็ได้ อาตมาคิดว่ากลิ่นเหม็นศพน่าจะถูกต้องกว่า”

 

 

กลิ่นหอมศพ?

 

 

พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋งงงัน นางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าศพยังมีกลิ่นหอมด้วย หรือว่าศพมิใช่มีแต่กลิ่นเหม็น

 

 

อย่าว่าแต่ใครเล่าจะนำของประเภทนี้ทาตัวต่างเครื่องหอม

 

 

ดูเหมือนหยวนเจ๋อจะรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ จึงหัวร่อเบาๆ กล่าวเหมือนหยามหยันว่า “ประหลาดมากใช่หรือไม่ แต่สำหรับนิกายลับของเจินเหยียนกงแล้ว ความตายมิใช่เรื่องน่ากลัว หากแต่เป็นหนทางปกติอย่างหนึ่ง ในการมุ่งสู่สุขาวดี ความเป็นกับความตายคั่นด้วยแม่น้ำสายหนึ่ง ซากศพก็เป็นเพียงยานของวิญญาณ เมื่อวิญญาณไปแล้ว ศพก็เป็นเพียงสิ่งที่ความศักดิ์สิทธิ์หรือบาปติดอยู่เท่านั้น จะเก็บไว้ทำอะไรก็ขึ้นอยู่กับว่าต้องการอะไร อาจสามารถรักษารูปโฉมยืดอายุวัฒนะก็เป็นไปได้”

 

 

ประโยคสุดท้ายของหยวนเจ๋อแผ่วเบา กลิ่นอายหยามหยันเข้มข้น

 

 

คำพูดนี้ฟังดูแล้วไม่ต่างอะไรกับนิยามทั่วไปของแดนสุขาวดีตะวันตกของพุทธศาสนา แต่มิทราบเพราะอะไร ชิวเยี่ยไป๋จู่ๆ ก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบ

 

 

นี่เป็นพุทธศาสนาหรือ

 

 

หรือเป็นศาสนาชั่วร้าย

 

 

ทางพุทธมีคนที่กระดูกกลายเป็นสารีริกธาตุซึ่งเป็นของศักดิ์สิทธิ์

 

 

การใช้ศพคนเป็นสิ่งของ นางเคยเห็นแต่ในตำราพุทธะดั้งเดิมของเทียนจู๋ ก่อนพุทธะจะออกบรรพชา เคยเป็นสาวกของศาสนาพราหมณ์ ไม่ว่าจะเป็นนิกายเปิดหรือนิกายลับล้วนมีต้นตอจากคำสอนดั้งเดิมนั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+