เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! 106: เคลียร์กับโซเฟีย

Now you are reading เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! Chapter 106: เคลียร์กับโซเฟีย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

< < 87 > > 

“เป็นไงบ้างพวก”

“กลัวสุดๆเลยล่ะ โคตรน่ากลัว”

ผมนั่งขาสั่นไม่หยุด มีสีหน้าที่คล้ายคนอาเจียน หน้าซีดเชียวล่ะ 

ตรงหน้ามีเรย์อยู่

ตอนนี้พวกเรานั่งอยู่ในร้านอาหารขนาดใหญ่ที่ตกแต่งหลากหลายสี แต่เหมือนจะเน้นสีชมพูเป็นหลัก และใช่ นี่คือ ‘ร้านเมด’ ของชอบของเรย์

“ถึงจะเป็นพวกสมหวัง แต่ก็ใช่ว่าจะปฎิเสธผู้หญิงได้สินะ”

“ฉันไม่เคยทำให้ใครผิดหวังในความรักหรอก”

“ก็ฟังดูดี”

เรย์จิบชาเข้าพวกด้วยท่าทางดูฉลาด ต่างกับผมที่เหมือนพวกขี้กลัว

“คือฉันก็รู้อยู่แล้วว่าต้องคุยกันให้ชัดเจน แต่..เธอร้องไห้ เมื่อตะกี้โซเฟียร้องไห้อยู่นะ นั่นทำให้รู้สึกในฝ่อขึ้นมาทันที แบบจู่ๆก็จุกในอก จุกสุดๆเลย” ผมกดฟันกรามแน่น “นี่ฉันทำบ้าอะไรลงไปวะเนี่ย”

เป้าหมายคือทำให้ผู้มีพระคุณของผมอย่างโซเฟียมีความสุขแท้ๆ แต่ดันทำให้เธอทุกข์ใจ ถึงขั้นร้องไห้ได้เพียงแค่จ้องตาผม

เป้าหมายพังด้วยการกระทำของตัวเอง นี่เป็นเรื่องที่ผมกลัวที่สุดเลย ..สภาพตอนนี้จึงน่าอนาถไม่น้อย น่าสมเพซ ..ผมตอนนี้โคตรน่าสมเพซ

“น่าๆ ค่อยๆคิดไป ถึงยูจิกับกอรี่จะไปทำธุระกันต่อแล้ว รึเจ้าเคียวยะมันก็ไม่มาตั้งแต่แรก ตอนนี้เลยเหลือแค่ฉัน แต่สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว มาช่วยกันแก้ปัญหาด้วยเวลาที่มีเพียงน้อยนิดเถอะ”

..เรย์..หมอนี่เป็นเพื่อนที่ดีชะมัด พึ่งนกมาหยกๆยังมีอารมณ์มาช่วยเพื่อนเคลียร์ปัญหาความรักอีก

ผมจะตัดมิติชะตากรรมกระสอบทรายของเรย์ให้ได้เลยคอยดู เพื่อเป็นการตอบแทนน่ะนะ

“แล้วต้องทำอะไรบ้างล่ะ”

“ก้มหัวขอโทษ ทำถึงขั้นกราบได้ยิ่งดี”

นั่นสินะ ก็มีเรื่องให้ทำอยู่แค่นี้แหละ แต่ก็กลั้นใจไม่ให้กลัวไม่ไหว ..อา ไม่ไหว อยากอ้วกชะมัด

ผมทำท่าจะอ้วก เรย์รีบลุกขึ้นมาลูบหลังผม

จังหวะนั้นก็มีคุณเมดเดินมายื่นถุงให้ และเผอิญเป็นคนคุ้นหน้า

หัวผมสีขาวที่มีไฮไลต์สีทองอ่อนๆตามผม ดวงตาของมหามังกรที่ดูดุดันและสวยงามไปในตัว เลือนร่างสีขาวที่สูงในมาตรฐานผู้หญิง และมีส่วนเว้าโค้งรึหน้าอกมากกว่าเด็กวัยเดียวกัน แต่ไม่ได้เว่อร์เกินวัยเข้าขั้นอัลติเมท

กล่าวคือเธอเป็นสาวสวยชนิดถล่มเมืองที่กำลังสวมชุดเมดสีขาวอยู่

ช่างเข้ากันอย่างหาที่สุดได้

“ปัญหาใหญ่น่าดูเลยนี่”

หล่อนพูดแล้วเห็นเคี้ยวน้อยๆด้วย เป็นเอกลักษณ์ของมหามังกรที่ผมคุ้นเคยดีจากฟัฟนิร์—เธอคือ ‘หนิง’ นางเอกต้นฉบับน่ะเอง

“นะ หนิง..มาไงเนี่ย”

“อยากลองฝึกฝีมืองานบริการดู เลยได้รับคำแนะนำให้ทำงานร้านเมดฝึกฝนทักษะดูน่ะ ..แล้วเป็นไง?”

หนิงหมุนตัวโชว์ด้วยท่าทางมั่นหน้ามั่นโหนก เพื่อให้เห็นรูปโฉมทั่วทั้งร่าง  พร้อมกับยิ้มอย่างร่าเริงโดยที่ในมือถือถาดอาหาร

ท่าทางเธอตอนนี้ดูมีความสุขตลอดเวลา ต่างกับเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้ามาก เหมือนว่าความสุขจะไม่ได้หาได้จากยูจิและการกินอย่างเดียวแล้ว คงามสุขของเธอคือการได้ใช้ชีวิต

เป็นเรื่องที่น่ายินดีสุดๆในขณะที่หนิงก้าวเท้าไปอย่างมั่นคง ไอ้ผมดันเอาแต่นั่งเครียดปัญหาที่ตัวเองก่อขึ้นรึนี่ ไม่จืดเอาซะเลย

ผมหยิบถุงที่หนิงให้ขึ้นมาและอ้วกเต็มที่

“..อาการแย่สุดๆเลยนะ”

“นั่นสิ ว่าแต่หนิง”

เรย์เรียกหนิงอย่างจริงจัง หนิงเลยแอบแปลกใจเล็กน้อย

“มีอะไร”

“เลิกงานแล้ว ขอลายเซ็นต์หน่อย”

“หะ?”

“ต้องจ่ายเท่าไหร่ เรียกผู้จัดการมาที”

หนิงเกาหัวหงึกๆกับท่าทางจริงจังพิลึกๆของเรย์

“เรย์เป็นแฟนคลับร้านเมดตัวยงน่ะ แล้วเหมือนจะมีวัฒนธรรมในการขอลายเซ็นต์เมดที่ตัวเองถูกใจ บางร้านจะต้องเสียเงินในการขอลายเซ็นต์ด้วย ..ผู้จัดการไม่ได้แนะนำอะไรก่อนเลยเหรอ”

เป็นเรื่องปกติในวงการแท้ๆ แต่หนิงไม่ยักจะรู้อะไรเลย

หล่อนหยักไหล่ให้

“วันนี้มีคนพาฉันมาน่ะ แค่เห็นหน้าก็ขอให้ทำงานโดยไม่อธิบายอะไรเลย”

กลัวโดนร้านเมดข้างเคียงแย่งไปสินะ เลยรีบมากจงไม่ได้บอกรายละเอียดงานสักเท่าไหร่นอกจากงานสร้างความสุขให้ลูกค้า

“ฉันสวยเกินไปสินะ น่าลำบากใจจัง”

“ในฐานะเมดแล้ว เธอคือเวิร์ลคลาสเลย เอาล่ะ เท่าไหร่ว่ามา ขอลายเซ็นต์หน่อย”

เรย์เตรียมควักตังค์แล้ว พร้อมกับกระดานลายเซ็นต์ที่มีกับตัวเป็นสิบๆแผ่น

“..รู้สึกแปลกๆอ่ะ”

หนิงมองต่ำลงมา ผมพอเข้าใจความรู้สึกอยู่ อาจจะกำลังสับสนก็ได้ หลายๆครั้งชายหญิงก็มีเส้นกั้นระหว่างกันอยู่ ถ้าได้สนิทกันเกินไป แนวโน้มที่ความสัมพันธ์จะพัฒนาไปแบบเกินเพื่อนก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้

เรย์ที่เรียกร้องขอลายเซ็นต์เธอ และเหมือนบอกอ้อมๆว่าเธอสวยตลอด มันทำให้ในฐานะเพื่อนรู้สึกตะหงิดใจขึ้นมา เป็นความรู้สึกที่แอบกลัวนิดๆ

ผมเข้าใจดี

“พูดเรื่องอะไร ตอนนี้เธออยู่ในฐานะเมดนี่ ฉันไม่มีทางคิดล่วงเกินเธอเกินงานหรอก ฉันแค่อยากได้ลายเซ็นต์เธอในฐานะเมดเท่านั้น ไอ้คนที่แยกระหว่างงานกับความจริงไม่ได้น่ะ ในวงการนี้มีอยู่เพียบแต่ไม่ใช่ฉัน ไอ้พวกนั้นตายๆไปซะได้ก็ดี เข้าใจมั้ย?”

หนิงทำหน้าแหยงออกมาแล้ว แต่เรย์ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย เพราะความรู้สึกของเรย์มันบริสุทธิ์ ผมกล้ายืนยันให้เรย์เลย

“แค่ลายเซ็นต์จะอะไรนักหนานะ เอาฟรีไปเลยก็ได้”

“วะ ว่าไงนะ!? ยอดเมดชัดๆ เมดนางฟ้าชัดๆ ขอบพระคุณมากท่านหนิง”

เรย์ลงไปมอบกราบกับพื้น หนิงทำเป็นเชิดหน่อยๆ

“ในนี้ฉันชื่อ ‘บิลตี้’ ต่างหาก”

เหมือนว่าในร้านเมดจะมีเปลี่ยนชื่อกันด้วย บางที่นะ ว่าแต่ใครตั้งชื่อให้ฟร้ะ

“ขอรับท่านบิลตี้”

หนิงในชุดเมดคือตัวตนที่เรย์เชิดชูเหนือหัวแน่ๆ

“ช่างเถอะ ว่าแต่นายดูเครียดๆนะ เจออะไรมาล่ะ”

หนิงหันมาทางผม เป็นอันเข้าเรื่อง

“ก็..เรื่องกับโซเฟีย”

“ยังไงก็อย่าทำตัวน่าอนาถไปมากกว่านี้เลย”

หล่อนพอเข้าใจคร่าวๆแล้วเลยแนะนำมาเช่นนั้น

โหดร้ายมาก แต่หนิงไม่ใช่คนที่ทำให้ผมอ้วกได้ เพราะผมไม่สามารถรู้สึกผิดกับหล่อนได้ถ้าไม่เผลอทำเลวโคตรไปจริงๆ

เป็นคนประเภทที่ด่ามาเถอะ ตูไม่เจ็บ ล่ะมั้ง ในโลกนี้มีแค่ เคียวยะ เรย์และหนิง สามคนนี่แหละที่จะด่าอะไรก็ว่ามาเลย ตูไม่เจ็บ

“นั่นสินะ”

แต่ความจริงก็คือความจริง ผมไม่ควรทำตัวน่าอนาถกว่านี้แล้ว

“เข้าใจก็ดี”

หนิงเดินเข้าไปในครัว เพื่อดูแลลูกค้าคนอื่นต่อ

เรย์มองส่งหนิงด้วยแววตาที่เป็นประกาย

“ยัยนั่นมีพรสวรรค์ในทางนี้ ฉันมองเห็นอนาคตควีนเมดแล้วล่ะ”

ควีนเมด? ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ดูสุดยอดดีแฮะ

“นั่นสิ..นะ?”

เจอคนคุ้นหน้าอีกแล้ว

ต่อจากหนิงก็เป็นหวานใจของผม

เส้นผมสีดำสนิท ดวงตาสีแดงดูลึกลับ ร่างเล็กเหมือนเด็กมัธยมต้นกลางๆ สวมชุดเมดโทนสีไปทางดำเกือบทั้งชุด ด้วยความที่ผมและตาเป็นสีที่ดูเท่ ชุดเมดเลยดูเท่ตามไปด้วย แต่เพราะร่างเล็ก เบลลามีเลยดูเป็นโลลิยิ่งกว่าเก่า เป็นโลลิแสนน่ารักที่มีความเท่ผสมอย่างกลมเกลียว

ง่ายๆคือน่ารัก

“ไม่ใช่แค่หนิง เธอก็มีพรสวรรค์ ขอทราบชื่อในวงการหน่อยนะท่านเมด”

เบลลามีพยักหน้าให้เรย์และพูดตอบ

“‘ลามี่’ น่ะ”

“เป็นชื่อที่ดีนะ”

“ตั้งใช้ได้ยอดเยี่ยมมาก”

ไม่ใช่แค่เรย์ ผมก็ชม เพราะเป็นเบลลามีเลยขอชม

เบลลามีพยักหน้าให้อย่างเรียบเฉย

“แล้วเรเซอร์มาทำอะไรที่นี่เหรอ” เบลลามีพูดต่อแบบไม่กะให้ตอบ “ไม่ใช่ว่าต้องไปคุยกับโซเฟียเหรอ”

เบลลามีรู้เรื่องที่โซเฟียนัดผมคุยแล้ว คนที่ชวนหนิงมาทำงานร้านเมดก็ไม่น่าหนีพ้นเบลลามีด้วย ทว่าถึงขนาดใช้เวลาที่ห่างกันไม่กี่ชั่วโมงวิ่งมาเล่าให้เบลลามีฟังด้วย ทั้งสองน่าจะสนิทสนมกันพอตัวเลย

“โซเฟียขอเวลาเตรียมตัวสักสองสามชั่วโมงน่ะ เลยว่าจะผ่อนคลายรอ”

“โดยการมาร้านเมดเหรอ”

ละ แล้วมันผิดรึไง

“..ขอโทษนะ น้ำเสียงเราเมื่อตะกี้ อาจจะเหมือนหาเรื่อง แต่ไม่ใช่ อย่าเข้าใจผิด”

“นั่นสินะ อยู่กันมาตั้งนานแล้ว”

ผมเผลอเข้าใจผิดไปเพราะจิตใจตอนนี้ค่อนข้างย่ำแย่ล่ะนะ ตามปกติไม่มีทางมองใจจริงเบลลามีไม่ออกหรอก

ว่าแต่เบลลามีมีพูดอธิบายอารมณ์ตัวเองแล้วด้วย พัฒนาขึ้นเยอะเลย

“ก็ร้านเมดมันผ่อนคล้ายดีใช่มั้ยล่ะ ขนาดเรย์เวลามันเครียดๆยังมาเลย ฉันเลยคิดว่ามาร้านเมดเพื่อคลายเครียดบ้างก็ไม่เลว”

“ใช่ๆ เรื่องนี้เห็นด้วยเลย” เรย์เสริม

เบลลามีพยักหน้ารับ

“รับทราบค่ะ เช่นนั้นจะสั่งอาหารอะไรรึเปล่าคะ”

“เอาเป็นข้าวหน้าไข่ครับ ลามี่” เรย์พูด

เบลลามีเริ่มบริการพวกเรา ตอนนี้เธอเลยชื่อ ‘ลามี่’ แทน

“ทางคุณ?”

“เอาเป็นข้าวหน้าไข่เหมือนกันครับ ลามี่” ผมตอบ

ลามี่รับออเดอร์เสร็จก็โค้งศรีษะให้ก่อนเดินเข้าครัวไป

ไม่นานเธอก็กลับมาพร้อมกับข้าวหน้าไข่ ลามี่วางจานให้พวกผมและกำลังจะเดินไป

“ไม่มีบริการซอสมะเขือเทศเหรอ แบบเขียนชื่อน่ะ”

แต่ผมทักไปก่อน เรย์ใช้ศอกสะกิดผม 

เหมือนว่าตามมารยาทจะไม่ใช่เรื่องที่ควรถาม แต่ผมไม่รู้อ่ะ

“อยากได้ซอสมะเขือเทศของเราเหรอ”

“ก็ ไม่สิ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก”

“เราจะเซอร์วิซพิเศษให้ล่ะกัน”

เบลลามีค้วาซอสมะเขือเทศบนโต๊ะขึ้นมา และขยิบตาให้ผมตามสไตล์สาวเมด ดูเกร็งนิดหน่อยเข้าใจ แต่เพราะเกร็งนี่แหละเลยยิ่งดี ดูไร้เดียงสาดี น่ารัก โคตรน่ารัก

นี่คือเซอร์วิซ ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น แต่สุดยอดมาก หลังจากนี้จะมาอุดหนุนร้านเมดบ่อยๆ

“เชิญเลยครับลามี่”

ผมยกจานให้ เบลลามี ไม่สิ ลามี่ลงมือวาดเขียนอะไรก็ได้ตามใจอยากลงไป ..แต่มันไม่นานไปหน่อยรึไง

คิดได้เลยเบิกตาดูให้ดี

ไหงหล่อนถึงได้บีบซอสมาเขือเทศที่มีทั้งหมดสุดแม็กต์ฟร้ะน่ะ!?

“ละ ลามี่ ซอสมะเขือเทศไม่เยอะไปหน่อยรึไงครับ?”

“ก็..ไม่ได้บอกให้หยุดนี่”

ห๊ะ

“ยังไงก็แค่นี้ก่อนนะ..ครับ”

“อือ”

เบลลามีหยุดบีบซอสมะเขือเทศ

ตอนนี้ข้าวหน้าไข่ผม กลายเป็นข้าวหน้าซอมมะเขือเทศแล้ว

“เพราะโดนห้ามไม่ให้ทำ การที่เราทำให้ก็คือการเซอร์วิซพิเศษ ..หวังว่านายท่านจะพอใจกับเซอร์วิซนี้นะคะ”

นี่ไม่ใช่เซอร์วิซ ผมคิดอย่างนั้น

 

****

เมื่อกินเสร็จสรรพ จ่ายเงินเรียบร้อย ผมก็แยกทางกับเรย์ เดินมาคนเดียวไปที่สวนสวนสารธารณะที่นัดโซเฟียไว้

ผมมาถึงก่อนเวลาตั้งห้านาที แต่เหมือนว่าโซเฟียจะถึงก่อนผม

เธออยู่ในชุดสีขาวและกระโปรงยาวถึงข้อเท้า ดูน่ารักดี เป็นชุดที่เข้ากับโซเฟียมาก

ผม..ใจเต้น

ไม่ใช่ในเชิงที่โรแมนต์ติกอะไร แต่เป็นความรู้สึกกลัว เพราะหางตาของเธอมันยังแดงซ้ำอยู่เลย

อยากจะหนี แต่..ห้ามหนี

ผมจึงเดินเข้าไปหาโซเฟีย แม้จะกล้าๆกลัวๆ แต่ผมก็เดินเข้าไป เพื่อคุยกับเธอ

เธอทักทายผม และคุยเหมือนปกติ ทำเหมือนว่าไม่ได้มาเคลียร์ปัญหา แต่มาเพื่อเที่ยวเล่นกัน พูดคุยกับผมไม่ต่างกับตอนเป็นอลันแมน ซึ่งไม่ใช่จุดประสงค์ในคราวนี้ผมเลยตัดบท

“เข้าเรื่องเถอะนะ”

อาจดูใจร้ายไปหน่อย แต่ถ้าปล่อยให้บรรยากาศดำเนินไปเรื่อยๆเช่นนี้ อาจไม่มีใครกล้าขัดเรื่องต่อจากนี้แล้ว ผมเลยต้องรีบจบตั้งแต่ยังไม่เลยเถิด

โซเฟียไม่ได้ว่าอะไร เธอเองก็เข้าใจ

“นั่นสิ”

เธอลงไปนั่งที่เก้าอี้ม้านั่ง ผมนั่งแบบเว้นระยะห่าง

ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า แต่ชั่วจังหวะหนึ่ง เธอมีสีหน้าที่เศร้าขึ้นมาแค่แวบหนึ่ง

“..จริงๆฉันก็รู้ตั้งนานแล้วล่ะว่าคุณอลันแมนไม่ได้เล่นกับฉัน ก็เล่นนะ แต่ไม่ใช่ในเชิงคนรักอะไร เขาพยายามเว้นระยะห่างฉันตลอด พอรู้อยู่ เพราะเขา ไม่สิ เพราะนายไม่อยากคุยกับฉันเลย เหมือนตามใจฉันเล่นเฉยๆ แต่ฉันนิสัยไม่ดี ..เผลอรู้สึกชอบอย่างนั้นนิดหน่อย โดนตามใจบ้างก็ชวนรู้สึกดี ฉันเลยชอบคุณอลันแมนยิ่งกว่าเดิม”

แปลว่าผมพลาดตั้งแต่ตามใจโซเฟียแล้ว

“แต่นานๆเข้า นายก็ดูจะไม่ได้รังเกียจฉันสักเท่าไหร่ นายที่เป็นคุณอลันแมน ฉันหวังว่าสักวันน่าจะหันมาชอบฉันได้อยู่ เลยไม่ยอมแพ้ ต่อให้เขาจะมีภรรยาอยู่แล้ว ถ้าเขาพร้อมรับภรรยาคนที่สอง ฉันก็พร้อมเสนอตัวให้เลย ดูไม่ดีสินะ แต่ไม่เป็นไร”

โซเฟียถอนหายใจเฮือกใหญ่ น้ำตาเธอซึมๆอีกแล้ว ผมไม่กล้ามองตรงๆ

“คุณอลันแมนคือนาย คือเรเซอร์ เป็นเพื่อนของฉัน เพราะฉะนั้นอาจต้องยอมตัดใจแล้วล่ะ”

“เป็นฉันแล้วมันผิดสินะ”

ไม่ได้ตั้งใจพูดเปิดทาง ผมแค่สงสัยจากใจจริง

โซเฟียส่ายหัวให้ด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าเบลลามีไม่ชอบนาย ฉันคงจะพยายามต่อเหมือนกัน”

..เอ๊ะ 

หมายความว่ายังไง

ผมไม่เข้าใจ

“ฉันชอบผู้ชายคนเดียวกับเพื่อนไม่ได้หรอกนะ”

..นั้นหรอกเหรอ แบบนี้นี่เอง

ไม่เข้าใจเลย

“แต่ฉันมีว่าที่ภรรยาตั้งสองคนแล้วนะ มันต่างกันยังไงล่ะ”

“ถ้าเบลลามีอยากเป็นเจ้าของนายด้วยล่ะเรเซอร์”

“..ถ้าเบลลามีและอีกสองคนไม่ติดใจอะไร ก็ไม่มีปัญหาหรอก”

โซเฟียหยักไหล่ให้ ทำทีเหมือนว่า ‘เห็นมั้ย’

“ถ้านั้นฉันขอเป็นว่าที่ภรรยานายด้วยคนได้รึเปล่าล่ะ”

“…”

ไม่

คำๆนี้ขึ้นมาในหัวผม ผมไม่สามารถไปขอเรเซลและอันนาได้ เพราะผมไม่ได้ชอบโซเฟียแบบนั้น ถึงปากจะว่าเพื่อให้ผู้มีพระคุณมีความสุข จะทำอะไรก็ได้ แต่ว่า..ผมเองก็อยากทำด้วยใจจริงมากกว่า

ผมไม่ใช่พวกที่ถ้ามีผู้หญิงเพิ่มแล้วจะพึงพอใจ เธอคนนั้นผมต้องรักด้วย

เพราะอย่างนั้น ผมถึงรับรักโซเฟียไม่ได้ ถ้าเธอพยายามแล้วหรือ ผมก็อาจจะยอม แต่ถ้าให้ผมเลือก ผมตอบปฎิเสธแน่ๆ

“ฉันจะพยายามตัดใจ พวกเรากลับมาเป็นเพื่อนเหมือนเดิมเถอะนะ”

“เข้าใจแล้ว ขอโทษที่ปิดบังตัวจริงมาตลอดนะ”

“ทีหลังอย่าทำอีกล่ะกัน”

ผมไม่กล้าหรอก

ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ มันหมายความว่าผมหักหลังเรเซลและอันนา เป็นเรื่องที่อภัยให้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องราวของผมและโซเฟียจึงจบลงในวันนี้ และเริ่มต้นใหม่ในฐานะเพื่อนที่ดีต่อกัน

 

****

เด็กหนุ่มผมสีม่วงนามเคียวยะ และ เด็กสาวผมสีบลอนด์นามไอริส นั่งอยู่ข้างๆกัน เพียงแค่คนล่ะเก้าอี้

“ตามสัญญานะคะ หลังจากจบการศึกษา คุณต้องมาช่วยฉันปรับระบบอาณาจักรฟัฟนิร์ด้วย”

“เข้าใจแล้ว คิดว่าฉันคนนี้จะกล้าผิดสัญญาหรือไง”

“ถ้าผิดสัญญา จะฆ่าค่ะ”

เคียวยะหัวเราะขึ้นจมูกต่างกับไอริสที่พูดแบบจริงจัง

“ตามสบาย”

ว่าแล้วเคียวยะก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปหาแม่ลูกคู่หนึ่งที่พึ่งจ่ายตลาดมา 

ใบหน้าไม่มีความคล้ายกับเคียวยะเลยสักคน ทว่า

“ไม่เจอกันนานนะ แม่ แล้วก็..ริริ”

ทั้งสองคือแม่และน้องสาวของเคียวยะ แค่ในนาม เพราะเคียวยะไม่มีสายเลือดของสองคนนี้อยู่เลย

เนื่องจากพ่อและแม่ของเขาเลิกลากันไป เพราะฝั่งแม่แท้ๆของเคียวยะนั้นตั้งท้องลูกคนอื่น ทำให้ลูกของพ่อที่เกิดจากภรรยาใหม่ไม่มีสายเลือดของเคียวยะอยู่

เป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเล็กน้อย

“นานอะไรกันจ๊ะ ไม่เห็นหน้ากันแค่สองอาทิตย์เอง”

“เมื่อวานพี่ยังแวะช่วยหนูทำการบ้านอยู่เลย”

ดูจากบทสนทนา ทั้งสามพัฒนาขึ้นมากจากแต่ก่อน

“แหม่ ริริมีแอบไปคุยกับพี่ชายด้วยเหรอเนี่ย”

“แค่ให้ช่วยการบ้านเฉยๆค่ะ!”

ทั้งสองหยอกล้อกันสนุกสนานเฮฮา เคียวยะมองด้วยรอยยิ้ม

ไอริสเดินเข้ามาโบกมือให้แม่ลูกคู่นี้

ฝั่งแม่ดูจะพอใจมาก ต่างกับริริที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่

“ไม่เจอกันนานนะคะ คุณแม่”

“จ๊ะ หนูไอริสยังสวยเหมือนเดิมเลยนะ กับเคียวยะเป็นยังไงบ้างล่ะจ๊ะ”

กับเคียวยะเป็นยังไงบ้าง ..เป็นคำถามที่ชวนเข้าใจผิด

ตามปกติไอริสจะตอบแบบเย้ายวลเล่นๆ ทว่าครั้งนี้ดันไม่กล้า ดีที่เก็กหน้าได้อยู่ แต่ท่าทางดูผิดแปลกจากปกติพอสมควร

“ก็..ปกตินะ”

…ไอริสแอบหน้าแดง

บรรยากาศเงียบกริบทันใด

“ไว้ว่างๆมาคุยกันสองต่อสองนะจ๊ะ”

ผู้เป็นแม่เปิดทางให้เต็มที่

“พี่ชายของหนูมีอะไรดีละ”

ริริดูจะหวงหน่อยๆ

ไอริสโค้งศรีษะให้และเดินหนีไปเลย ..เคียวยะถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ไม่มีอะไรในกอไผ่ทั้งนั้น ไปกันเถอะ”

“ไป? ไปไหนเหรอ?”

“ก็ซื้อข้าวมานี่ เดี่ยวไปช่วยทำข้าวที่บ้านด้วย ..อยากเจอหน้าพ่อหน่อยน่ะ”

เคียวยะช่วยยกวัตถุดิบ และเดินนำไปก่อนเลย ไม่หันหน้ากลับมาให้ใครเห็น เพราะไม่อยากถูกเห็นหน้าในตอนนี้ 

เคียวยะเกลียดพ่อตัวเองมาตลอด เพราะเขามักจะใช้ความรุนแรงกับเคียวยะเสมอ ทำให้เคียวยะมีพฤติกรรมที่กร้าวร้าว และเป็นคนสร้างปมในใจให้กับเคียวยะ เป็นชายที่เคียวยะไม่อยากเจอหน้าด้วยที่สุด เคียวยะบอกทั้งสองตลอดเช่นนั้น แต่คราวนี้กลับขอไปเจอเองเลย ซึ่งแปลกมาก ..แม่ของเคียวยะและริริค่อยๆเดินตามหลังเคียวยะไปด้วยความเงียบ

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด