เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! 370

Now you are reading เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! Chapter 370 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

< < 228 Sec1 > >

ภายในโบสถ์งานแต่งงานที่เละเทะจากการต่อสู้–ปีศาจมหาบาป และพวกของเรเซอร์แยกฝั่งกันนั่งอย่างชัดเจน ประกอบไปด้วยทางซ้าย ‘แอสโมเดียส’ ‘ลิเวียธาน’ ‘อังเฟกอร์’ ‘ซาตาน’ จบท้ายด้วย ‘ดิลุค’ และทางขวานำมาด้วย ‘เบลลามี’ และ ‘ยูจิ’ ตามด้วย ‘เคียวยะ’ ‘เมอัน’ ‘หนิง’ ‘เรย์’ ‘ชิน’ ‘ฟัฟนิร์’ …และคนที่เด่นที่สุดที่ยืนอยู่ตรงกลางก็คือ ‘เทพแห่งจิตวิญญาณ’ ‘อานิม่า’

ระหว่างที่ยืนแยกเป็นสองฝั่งชัดเจนก็สัมผัสได้ถึงสายตาอาฆาตจากปีศาจมหาบาปซึ่งส่งตรงมาถึง อานิม่า และยูจิ เนื่องจากเคยมีประเด็นกันมาก่อน พวกเขาสองคนได้แต่หัวเราะแห้งๆตอบกลับ

“เป็นการรวมตัวกันที่แปลกดีนะ”

“ก่อนหน้านี้ยังฆ่ากันอยู่เลยแท้ๆเชียวนะ”

ดิลุคกับเบลลามีสลับกันพูดอย่างเข้าขา ทั้งสองพยักหน้าพึมพำก่อนเข้าหัวข้อสำคัญ

“อีกชั่วโมงกว่าๆคนจากสภาโลกจะมาถึง แต่ว่าสภาพของเรเซอร์ตอนนี้ไม่พร้อม คาดว่าต้องรออีกหลายชั่วโมงเลยกว่าจะฟื้น ซึ่งมันกินเวลามากเกินไป เราเลยจะเป็นคนเจรจากับคนจากสภาโลกเอง”

“เธอที่เป็นจอมมารเนี่ยนะ? คิดจริงๆรึไงว่าพวกมนุษย์มันจะคุยด้วยแต่โดยดี”

ลิเวียธานพูดสวนขึ้นมา เธอนั่งไขว่ขากอดอก ท่าทางดูเย่อหยิ่งสุดๆ

“ก็จริงอยู่ แต่ถ้าไม่ไหวก็แค่ใช้กำลังข่มขู่เหมือนทุกทีก็พอ”

“ได้ที่ไหนกันเล่า”

“ตัวเราดิลุคพูดเล่นเฉยๆน่ะ อย่าถือสาเลย” เบลลามีช่วยพูด “มีแต่ต้องพยายามคุยให้ได้มากที่สุดเท่านั้นน่ะ”

“..เอ่อ ดิลุคสีดำ? ดิฉันควรเรียกอย่างไรจึงจะดีกันนะ” ลิเวียธานพูดแบบลำบากใจ

“ท่านจอมมารสีขาว? ท่านจอมมารสีดำ?” ซาตานพูด

“จะยังไงก็ได้รึเปล่านะ”  อังเฟกอร์พูด

คงจะชวนสับสนไม่น้อยที่เพื่อนของตัวเองมีร่างแยกอย่างนี้ ..

“เบลลามีก็พอ” เบลลามีพูด

ลิเวียธานพยักหน้ารับ ก่อนเปิดปากพูดต่อ

“ก่อนจะอธิบายอะไรต่อจากนี้ ขอเคลียร์ปัญหาทางใจก่อนจะได้รึเปล่านะ?”

“โดนใครสลัดรักเข้านั้นรึ”

“อย่างดิฉันเนี่ยนะ? ไม่ใช่เรื่องไร้สาระอย่างนั้นหรอก”

กล่าวจบ ลิเวียธานก็หันไปจ้องยูจิ และอานิม่า

“ให้ฉันพูดคุยแผนการณ์ต่อจากนี้โดยมีสองตัวนั้นนั่งฟังด้วยไม่ไหวหรอกนะ จะบอกให้”

“ตัวเลยเหรอครับ ฮะ ฮะ ฮะ”

“อย่ามาว่ายูจิของฉันนะอีป้า!”

“ยูจิไม่ได้ทำอะไรผิดโว้ย! จะนั่งฟังด้วยมันแปลกตรงไหนฟร้ะหา!?”

หนิงกับเรย์ทักท้วงขึ้นมาพร้อมๆกัน อานิม่ายิ้มเจื่อนท่ามกลางความวุ่นวาย

“น่าๆ ลิเวียธานอย่าได้ถือโทษโกรธกันเลยนะ ทั้งฉันและ คุณยูจิเองตอนนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นศัตรูกับจอมมารของเธอแล้วสักหน่อย”

“คำพูดของทวยเทพมันเชื่อถือได้ที่ไหนกัน จะให้บอกว่าช่างมันเรื่องในอดีตไปรึไง”

“ใจจริงก็อยากให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกันนะ”

“อย่ามาพูดบ้าๆนะ!”

“แล้วต้องทำยังไงถึงจะพอใจเหรอ?”

“…เรื่องนั้น”

แม้แต่ลิเวียธานก็ตอบไม่ได้ เพราะคำตอบมันไม่มีตั้งแต่แรกแล้ว เธอก็แค่ไม่พอใจในตัวของอานิม่าและยูจิก็เท่านั้น ไม่มีเหตุผลอะไรสำคัญไปกว่าความรู้สึกรังเกียจในตัวของพวกทวยเทพ ..ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่อาจเปลี่ยนใจของลิเวียธานได้

“เพื่อความสบายใจแล้วละก็—เอาชีวิตฉันไปเลยก็ได้นะ”

“หา?”

“ทำพันธสัญญากัน ถ้าเกิดลิเวียธานอยากให้ฉันตายก็แค่พูดสั่ง ฉันก็จะตายทันที ง่ายๆแค่นั้นเอง ยังไงเหตุผลที่เธอกำลังกังวลตอนนี้คงไม่พ้นเรื่องที่ตัวตนของฉัน และคุณยูจิเป็น ‘เทพแห่งจิตวิญญาณ’ และ ‘เทพแห่งวัฐจักร’ คงวิตกกังวลว่าพวกฉันจะไปทำอะไรให้จอมมารของเธอเสียน้ำตาเอาได้”

“เลิกพูดว่าจอมมารของดิฉันบ้าๆบอๆอะไรสักดีจะได้รึเปล่าคะ? ฉันแค่เป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเอง”

อานิม่าเอียงคอฉงน พลางใช้ดวงตาที่เลืองแสงจางๆนั้นมองลิเวียธานเสียจนทะลุ

“ใช่จริงๆเหรอเรื่อง?”

“คึก!”

พูดเพียงแค่นั้นลิเวีบธานก็โกรธจนหน้าแดงแจ๋ ดิลุคส่งเสียง “เห๋” ออกมาอย่างสนอกสนใจ

“ดิฉันละรังเกียจนิสัยนี้ของแกจริงๆ ดิลุค!”

“ซึนเดเระเนี่ยยุ่งยากจริงๆเนอะ ตัวเราเบลลามี”

“อือ แต่ก็น่ารักไปอีกแบบดีนะ”

“ไม่ได้ซึนย่ะ!” ลิเวียธานชี้หน้าอานิม่า “หล่อนก็อย่ามาพูดผล้อยๆนะเฟ้ย!”

‘เฟ้ย’ เฉยเลย หลุดมาดคนสุภาพไปไกลแล้วนะนั่น–

“เพราะเป็นเทพแห่งจิตวิญญาณ เลยเข้าใจหัวอกหัวใจของผู้คนเป็นพิเศษ จะว่าเป็นหนึ่งในข้อดีเพียงไม่กี่ข้อของฉันก็ว่าได้นะ และเพราะสามารถเข้าใจเรื่องภายในจิตใจได้ ถึงได้รู้ด้วยว่าโลกใบนี้ที่จอมมารเคยวาดฝันไว้มันวิเศษขนาดไหน เวลาหลายล้านปีที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ ..ไม่ได้สอนอะไรฉันหรอกนะ แต่มันก็ทำให้ฉันรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรู้สึก’ มันสำคัญแค่ไหน” อานิม่าพูดทั้งรอยยิ้ม “ความจริงใจจากตัวฉัน ขอให้เชื่อก็คงไม่มีใครเชื่อ แต่ฉันก็บอกได้แค่ว่าที่ฉันพูดมันไม่ใช่คำโกหก จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดจะพิจารณากันเลย”

ร่างกายของอานิม่ากระพริบราวกับจะหายไปได้สามครั้ง และเผยร่างจริงของตัวเองออกมา ร่างที่งดงามสมกับชื่อของเทพแห่งจิตวิญญาณ

“พะ เพราะอย่างนั้น ..ฉะ ฉันเลยอยากจะขอพื้นที่เล็กๆบนโลกใบนี้ แค่นิดเดียวเท่านั้น อย่างที่เห็น ร่างกายของฉันมันเล็กสุดๆ ไม่ได้เบียดเบียนใคร ไม่น่าจะแย่งอากาศหายใจใครได้ด้วย”

เมื่อร่างจริงปรากฏ ท่าทางเขินอายก็ผุดขึ้นมา อานิม่ามักจะเขินอายในตอนที่ตัวจริงของตัวเองปรากฏ เธอปิดหน้าปิดตาตัวเอง ทำท่าจะมุดไปกับอากาศ กระนั้นก็ฝืนพูดต่อ

“ขะ ..ขอให้ฉันได้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปจะได้..รึเปล่านะ? น่ะนะ”

…….

……….

“ผมเองก็ขอร้องด้วยเหมือนกันครับ”

ยูจิโพล่งขึ้น เจ้าตัวหันไปโค้งศรีษะให้กับปีศาจมหาบาปทุกคน

“ทะ เทพแห่งวัฐจักรก้มหัวด้วย!?” ซาตานตกใจใหญ่โต

“สารตั้งต้นของเรื่องทั้งหมดดันมาเป็นพวกเดียวกันซะได้ ประหลาดจริงๆนา” อังเฟกอร์หัวเราะในลำคอ

“..คุณมันไว้ใจไม่ได้ที่สุดเลย ออโรโบรอส”

“เอ่อ บอกก่อนว่าผมไม่ใช่ ‘เทพแห่งวัฐจักร’ ‘ออโรโบรอส’ หรอกนะครับ”

หา?

“พอดีว่า ชื่อปัจจุบันของผมคือ ‘เทพผู้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง’ ‘ยูจิ’ น่ะครับ”

……

……..

“ออโรโบรอส พล่ามอะไรของเขาเนี่ย? คือว่าน้า คือว่า ไปโดนใครเขาดักทุบหัวจนความจำเสื่อมเข้าเหรอค่า?”

“ไม่ถูกกับหมอนี่จริงๆ”

“สำรวมหน่อยเถอะครับ ทั้งสองคน คนนั้นท่านยูจิเลยนะครับ ถ้าตั้งใจเขาทุบหัวพวกเราแบละได้เรียงคนเชียวนะครับ”

ปีศาจมหาบาปตนอื่นสนทนา เว้นแต่ลิเวียธานคนเดียว เธอจ้องยูจิแบบอึ้งๆ ก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังขึ้นมา

“ฮะ ฮะ ฮ่าๆๆๆ”

จู่ๆดิลุคก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ แค่นั้นไม่พอ ยังหัวเราะไปตบไหล่เบลลามีข้างๆไปอีก

“ฮ่าๆๆๆๆ”

“เจ็บ เจ็บ ตบแรงไปแล้ว ไหล่จะหลุดแล้ว”

“หลุดก็รักษาเอาสิ แปลกคนจริงๆนะ ฮ่าๆๆๆๆ”

“ตัวเราวิจารย์ตัวเองว่าแปลกคน จะว่าแปลกคนก็แปลกดีนะ”

…….

“ “ “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ” ”

ปีศาจมหาบาปหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างไม่ทราบสาเหตุ เว้นแต่เพียงลิเวียธาน (อีกแล้ว?)

“ฮะ ฮะ ฮะ โดนซะบ้าง ยัยโง่ โดนซะบ้าง ก๊ากๆ โดนด่าซะบ้าง เก่งนักนะหล่อนน่ะ” ลิเวียธานหัวเราะอย่างผิดธรรมชาติ แต่ที่แน่ๆความรู้สึกออกมาทางสีหน้าหมดแล้ว เห็นดิลุคโดนด่าว่าแล้วฟินน่าดูเลย

“อืม ตามสถานะแล้วเป็นแค่พวกบริวารแท้ๆ แต่อวดดีกันน่าดู”

“บะ บริวาร ฮะ ฮะ ฮะ ก๊าก ก๊าก”

“….”

อีกฝั่งที่มองดูอยู่ห่างๆถึงกับพูดไม่ออก ..

“แบบว่าตอนแรกฉันเห็นคุณลิเวียธานแล้วนี่อึ้งไปเลย สวยเลิศสุดๆ แต่ดูหน้าตอนหัวเราะนั่นสิ ..ทำเอาความรู้สึกดีๆหายไปหมดเลยแฮะ” เรย์พึมพำ

“ตกใจนึกว่าบนโลกใบนี้จะมีคนที่สวยกว่าฉันแล้วซะอีก แต่จริงๆแล้วไม่ใช่สินะ” หนิงพึมพำ

“หึ ชักอยากขำตามซะแล้วสิ” เคียวยะพึมพำ

“เสียมารยาทเกินไปแล้วขอรับทั้งสามคน” ชินกล่าวตักเตือนทั้งรอยยิ้ม

ดิลุคมองค้อนลิเวียธานที่ขำไม่หยุดด้วยใบหน้าที่บอกว่าทุเรศก็ไม่เกินจริง

“เอาเป็นว่า ..รีบๆเข้าเรื่องกันดีกว่าเนอะ”

“ฮะๆ ก๊าก ก๊าก  ฮะๆ ก๊าก”

“เราละไม่ชอบเธอตอนหัวเราะเหลือเกิน”

 

****

เรือรบขนาดยักษ์กำลังตรงไป ณ จุดเจรจาระหว่างสภาโลก และกองทัพจอมมาร บนเรือลำนั้นมีคนสำคัญในยุคปัจจุบันอยู่มากมาย อาทิเช่น 

‘ดาบนกยูง’ ‘พาโว’ 

‘นายกรัฐมนตรีแห่งเนลยอน’ ‘ฮิโรชิ’ 

และผู้นำจากตระกูลดราแคล์ ‘แองเจลิน่า’ พร้อมกับ ‘ปีศาจสีขาว’ ‘เซบาสเตียน’ นอกจากบุคคลเหล่านี้ก็มีบริวารของเนลยอน และของตระกูลดราแคล์ปะปนกันไปเป็นจำนวนมาก

นอกจากนั้น ….แองเจลิน่าชำเลืองมองคนๆนั้นด้วยสีหน้าหน่ายใจ

“ท่านฮิโรชินี่มันหมายความว่ายังไงหรือคะ?”

“หมายถึงอะไรเหรอครับ”

“คนๆนั้น … ‘เท็งงุ เบ็นจิโร่’ ไม่ใช่รึไงคะ?”

ฮิโรชิกระพริบตาสามครั้ง ก่อนจะยิ้มให้

ใช่แล้ว คนที่แองเจลิน่ากำลังจ้องมองอยู่ก็คือ ‘สัญลักษณ์แห่งความยุติธรรม’ ‘เท็งงุ เบ็นจิโร่’ วีรสตรีแห่งกองทัพเรือผู้ยิ่งใหญ่ สตรีผู้ชำระล้างท้องทะเลให้สะอาดอีกครั้งด้วยเวลาไม่ถึงสิบปี เธอผู้นั้นได้รับการยืนยันว่าเสียชีวิตไปแล้วจากงานประชุมโลก กระนั้นกลับโผล่มาบนเรือรบยักษ์นี้ซะได้

เมื่อถูกเรียกชื่อ เบ็นจิโร่ก็โบกมือให้ตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ทำไมถึงโกหกสถานะของท่านเบ็นจิโร่กันคะ? ไม่ใช่ว่าคนอื่นๆนอกจากเธอก็ ..”

“มีแค่ เท็งงุ เบ็นจิโร่ นี่แหละครับที่กระผมจงใจปิดบังสถานะเอาไว้ ก็นั่นสินะครับ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ใช้สถานะตายของเธอเอาพวกหนอนแมลงที่แอบตามมุมเล็กๆออกมาทำความสะอาดซะหน่อยก็น่าจะดีน่ะครับ”

คงหมายถึงกำจัดพวกคิดไม่ซื่อในช่วงเวลาที่ฮิโรชิเผยความอ่อนแอให้เห็นกระมัง

“..เป็นคนที่ใจร้ายจริงๆนะคะนั่น”

“อะไรที่ใช้ได้ก็ควรใช้หมดครับ ในฐานะผู้นำด้วยกันแล้วถือว่าเป็นคำแนะนำนะครับ ..อะไรที่ไม่จำเป็นก็ทิ้งไปให้หมดจะดีกว่านะครับ”

“หมายถึงเรื่องอะไรหรือคะ?”

“ความสัมพันธ์บางทีมันก็ไม่จำเป็นต่อการปกครองหรอกนะครับ”

ฮิโรชิมองแองเจลิน่าจนทะลุ นั่นทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาครู่หนึ่ง

“จะปกป้องคนในครอบครัวของตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่อย่างน้อย มันต้องไม่ใช่ในสถานะที่ท่านถือครองชีวิตคนนับพันเอาไว้บนมือ ไม่อย่างนั้นชีวิตของคนนับพันจะถูกทำให้มีคุณค่าน้อยกว่าคนๆเดียว และนั่นแหละคือปัญหา ..พอจะเข้าใจรึเปล่าครับ”

“..เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วค่ะ ไม่มีเหตุผลที่ฉันจะต้องปกป้องเรเซอร์เลยแม้แต่ข้อเดียว”

แองเจลิน่าทำใจสู้เสือ เธอยิ้มให้ฮิโรชิอย่างเป็นกันเอง

“ความจริงคือน้องชายของฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”

ฮิโรชิยิ้มตอบกลับอย่างอ่อนโยน ดูเป็นอย่างนั้นก็จริง แต่แองเจลิน่ารู้ดีว่ามันเป็นแค่รอยยิ้มธุรกิจเท่านั้น

“..หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆนะครับ”

กล่าวจบ ฮิโรชิก็เงยหน้ามองท้องฟ้า และภาวนาให้การเจรจาต่อจากนี้เป็นไปได้ด้วยดี 

 

****

หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นไม่นาน

บริเวณท่าเรือที่สร้างขึ้นชั่วคราว จอมมารดิลุค พร้อมด้วยปีศาจมหาบาปยืนต้อนรับคนจากสภาโลก ซึ่งถือว่าเป็นแขกคนสำคัญ

ทันทีที่แขกคนสำคัญราวสี่ถึงห้าคนเดินลงมาแล้ว ดิลุคกับพวกเขาก็เผชิญหน้ากัน และ ..

“…….”

“…….”

“เรา ‘ดิลุค’ ที่พวกเธอทุกคนเรียกกันว่า ‘จอมมาร’ นั่นแหละนะ ยินดีที่ได้พบ” ดิลุคหรี่ตามองเบ็นจิโร่ที่อยู่ข้างหลัง และยิ้มให้ “เธอเองก็ด้วยนะ”

การประชุมได้เริ่มขึ้น และจบลงภายในไม่นาน ..

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด