เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! 130: เรย์ คามาเลีย 1

Now you are reading เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! Chapter 130: เรย์ คามาเลีย 1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

< < 104 > >

หลังจากคาบฝึกศิลปะการต่อสู้จบไปได้ไม่นาน คณะอาจารย์ก็พากันลากอาจารย์แช็คไปคุยเป็นการส่วนตัว ซึ่งทุกคนก็เดาๆได้หมดว่าอาจารย์แช็คโดนเล่นเข้าให้แล้ว

ต่อจากคาบนี้ ผมก็ไม่เห็นมิรันด้าโผล่มาอีกเลย เห็นเธอบอกว่าจะไปห้องพยาบาลแต่ผมรู้ดีว่าเธอแทบไม่ได้รับดาเมจจากผมเลย เพราะความต่างทางร่างกาย

น่าเจ็บใจ แต่ถ้าเป็นการต่อสู้จริงๆหมัดเปล่าๆผมเอามิรันด้าไม่ลงแน่

แต่นอกจากผมทุกคนก็ดูจะเชื่อว่ามิรันด้าเจ็บจริง ทำให้ผมโดนหลายคนเขม็งใส่ มีโดนบ่นว่า

‘เล่นแรงไปแล้วไอ้บ้า’ บ้าง อยากจะสวนไปว่าที่เล่นแรงมันทางอีนั่นต่างหากโว้ย แล้วที่บ้ามันเอ็งต่างหาก

‘อีกฝ่ายเป็นแค่ผู้หญิงนะ’ บ้าง—-บ้านเอ็งสิไอ้เบื้อก คนที่เกือบตายมันตูต่างหาก ถ้าความแข็งแกร่งมันแยกจากเพศ ป่านนี้บนหน้าประวัติศาสตร์คงจะมีแต่ตัวผู้โชว์เทพไปแล้ว ไม่รู้จักรึไงหะ ยูนาน่ะ วิญญาณคู่หูฉันน่ะ

แล้วก็

‘ไม่ปราณอีกฝ่ายเลยนะ’ บ้าง ฝ่ายที่อยากให้เมตตากันมันทางนี้ต่างหาก ความรู้สึกที่เหมือนกำลังจะถูกฆ่ามันไม่ได้รู้สึกฟินหรอกนะ ฉันไม่ใช่ M แบบเรย์นะ ที่ยิ่งโดนปฎิเสธจะยิ่งชอบอีกฝ่ายน่ะ

‘สมกับเป็นเรเซอร์เลย’ บ้าง ซึ่งอยากถามว่าเห็นตูเป็นคนยังไงหว่าไอ้บ้า

ช่างน่าเศร้า อย่างที่เห็นไม่มีใครในห้องเข้าใจผมเลย ยกเว้นเคียวยะคนหนึ่ง

เคียวยะหลังจบคาบก็นั่งตัวสั่นเป็นเครื่องเจาะหินเลย อารมณ์แบบ แต๊กๆๆๆๆๆ น่ะ

“มันอะไรกันฟร้ะยัยนั่น พลังบ้าอะไรฟร้ะ โชคดีจริงๆนะแกที่รอดมาได้”

“ก็นะ”

“ก็นะอะไรฟร้ะ แกเกือบตายแล้วนะเว้ย ถ้าไม่มียูนาตะกี้ชีวิตแกก็ดับไปได้ง่ายๆเลยนะ”

เคียวยะร้องบ่นไม่หยุด ทำท่าทางตื่นตระหนกคล้ายกับตอนที่โดนจับได้ว่าเป็นโจร กกน. หรือก็คือพอเจอวินโชว์ของใส่ เจ้าหมอนี่ก็เผยด้านอ่อนแอของตัวเองมาทันที ทั้งๆที่ปกติควรจะพูดว่า ‘เก่งจริงเรอะ ไหนลองหน่อยแท้ๆ’ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ ทีกับเอเธอร์ยังไม่กลัวขนาดนี้เลย ด้วยความสงสัยผมจึงถามไปตรงๆว่าทำไมไม่กลัวเอเธอร์บ้างล่ะ ซึ่งคำตอบก็ง่ายๆเลย

“เอเธอร์มันคิดฆ่าคนที่ไหน”

พูดเหมือนจะบอกว่ามิรันด้าคิดจะฆ่าอย่างนั้นล่ะ ..เหอะๆ

หลังต้องรับมือเคียวยะในสภาพกระต่ายตื่นตูมเป็นเวลาหลายสิบนาที จนหมอนั่นหลุดจากความกลัวได้แล้ว ผมก็ถูกอาจารย์แช็คเรียกไปคุยด้วยในห้องพักครูต่อ

ซึ่งเรื่องที่คุยด้วยก็ ..นั่งฟังอาจารย์บ่นน่ะแหละ

“อาจารย์โดนลดเงินเดือนล่ะ”

“นั่นสินะครับ อาจารย์แช็คสะเพร่ามากรู้ตัวรึเปล่า”

“ขอโทษนะ ..ว่าแต่มิรันด้า”

“หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้เข้าเรียนเลยครับ”

อาจารย์แช็คถอนหายใจเฮือกโต และยิ้มคล้ายกับหมดเรี่ยวแรงแม้กระทั่งการเก็กปากให้ดีๆ

“โดดเรียนสินะ”

มีสามคนที่รู้ว่ามิรันด้าไม่ได้เจ็บอะไรเลย ซึ่งก็เป็นกลุ่มเดียวที่เห็นใจผมด้วย ในนั้นมีผม เคียวยะ และอาจารย์แช็ค

“ไปต่อว่าหน่อยดีกว่า อ้างหาเรื่องโดดเรียนตั้งแต่วันแรกแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน”

“จะได้เรียกศักดิ์ศรีที่โดนเจ้าหล่อนบดขยี้ได้สินะครับ”

“อือ”

น่าเศร้าแท้ ..

“ถ้าเธอหัวร้อนแล้วท้าดวลอาจารย์ต่ะละครับ”

“ถึงตอนนั้น ..ช่วยเรียกครูห้องพยาบาลมารักษาอาจารย์ด้วยนะ” อาจารย์แช็คยิ้มให้ผม “ถ้าเป็นเรเซอร์ผู้ที่ย่องเข้าไปขโมย กกน. คนอื่นได้อย่างรวดเร็วต้องทำได้อยู่แล้ว”

ไอ้บ้านี่ ..อยากจะด่าสวนนัก แต่ความรู้สึกตื้นตันใจในอาจารย์แช็คของผมมันล้นออกมาก่อน ทำให้ลืมว่าเจ้าตัวพูดเรื่องเสียมารยาทใส่ผม

“อาจารย์แช็ค ..นี่ไม่กะชนะเลยใช่ป่ะ?”

ไม่ใช่ตื้นตันใจ แต่เป็นสมเพซต่างหาก ..

ในเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ความมั่นใจของอาจารย์แช็คหายไปเยอะเลย

แต่ว่าก็ว่าเถอะ อาจารย์แช็คในฐานะอาจารย์นี่ไม่ไหวเลย แต่ถ้าเป็นในฐานะเพื่อนคุยก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีอยู่หรอก

 

****

หลังฟังอาจารย์ผู้ไม่ได้เรื่องบ่นเสร็จ ผมก็เดินสวนกับเอเธอร์พอดี

“มีความเห็นยังไงกับมิรันด้าหรือครับ?” เอเธอร์เอ่ยถามผม

ไม่รู้จะอธิบายยังไง ผมเลยตั้งสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟังโดยย่อ แล้วเล่าถึงเคียวยะที่กลายเป็นกระต่ายตื่นตูมกับอาจารย์แช็คที่เสียความมั่นใจ

เมื่อรับฟังเรื่องราวทั้งหมดจบจบเอเธอร์ก็ยิ้มให้ผม ไม่รู้ว่ามีอะไรน่าขำ แต่เอเธอร์ก็แบบนี้แหละ การยิ้มสำหรับเอเธอร์ไม่ต่างกับสิ่งที่ต้องทำก่อนจะพูด

“ความแข็งแกร่งของมิรันด้า ผมขอยืนยันและขอแนะนำให้ระวังเธอไว้หน่อยก็ดี”

ระวัง? เอเธอร์คนนั้นเนี่ยนะบอกให้ระวัง

“พูดแบบนี้หมายความว่าฉันโดนเล็งสินะ”

“ไม่เชิงครับ”

“ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยได้รึเปล่า”

เอเธอร์ส่ายหัวให้ เขาพึมพำว่า “น่าเสียดาย”

“ผมบอกไม่ได้หรอกครับ เพราะมันเป็น ‘งาน’”

เอเธอร์เป็นคนที่ยึดติดกับหน้าที่ของตัวเอง เขาจะไม่ทำอะไรเกินหรือขาดต่อหน้าที่ของตัวเอง การที่ไม่บอกเรื่องของมิรันด้าให้ผมก็เหมือนจะบอกว่ามันเกี่ยวกับงานที่เขารับผิดชอบ ซึ่งนั่นก็เหมือนการไบ้เป็นนัยๆให้ผม

รู้สึกไม่ดีเลยแฮะ เหมือนผมกำลังใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายของเอเธอร์อยู่เลย ต่อให้เจ้าตัวจะเป็นคนบอกเองก็เหอะ

“ถ้าจวนตัวจริงๆขอให้ร้องขอความช่วยเหลือเลยนะครับ ผมจะรีบไปทันที”

“โอ้ พึ่งพาได้จริงนะ นี่แหละอาจารย์ในอุดมคติ ไม่เหมือนอาจารย์แช็คคนนั้น”

แน่นอนว่าแค่แซว ถ้าถามว่าอยู่กับใครแล้วสบายใจที่สุดผมจะตอบว่าอาจารย์แช็คทันทีเลย

“อย่าเอาผมไปเทียบกับเขาสิครับ ผมเทียบไม่ติดหรอก”

“รู้ได้ยังไงล่ะนั่น”

“ ของแค่นั้นแค่มองตานักเรียนก็รู้แล้วครับ”

อา คนๆนี้อาจารย์ในอุดมคติชัดๆ—-ผมคิดอย่างนั้นจากใจจริง

“แล้วก็เรื่องก้อนมานาปริศนา ทางผมคิดว่าตัวเองคงจะไม่ว่างในเร็วๆนี้ ถ้ายังไงเรเซอร์ช่วยลองค้นหาด้วยตัวเองดูก่อนเลยนะครับ ไม่ก็ชวนเคียวยะหรือคนอื่นช่วยด้วย”

“นั่นสินะ แต่..ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีคนว่างกันน่ะสิช่วงนี้ มีแค่เคียวยะนี่แหละที่ว่าง”

เคียวยะฝึกแค่ตอนกลางคืน ถ้าช่วงเย็นๆเขาคงจะช่วยผมนั่นแหละ อาจจะไม่มากแต่ก็ช่วย

ตอนนี้เรย์กับยูจิกำลังฝึกปรือฝีมือของตัวเองกันอยู่ ตั้งแต่หลังจบเรื่องงานเทศกาลโลหิตมังกรทั้งสองก็ฝึกอย่างหนักมาโดยตลอด 

ผมกล้าพูดเลยว่าตอนนี้ยูจิน่าจะชนะเรย์และเคียวยะได้แล้วในการต่อสู้จริง คาดว่าอีกหนึ่งปียูจิน่าจะขึ้นมาอยู่พอๆกับผมได้ ต่างกับเคียวยะที่ผมคิดว่าน่าจะสองปี และเรย์ ..อ่า ถ้านักดาบขั้นบรรลุ คิดว่าอีกสักสองปีก็น่าจะพอไหวแหละ

นอกจากสามคนนั้นก็ ..เบลลามีปกติก็ไม่ค่อยว่างอยู่แล้ว เพราะเธอเอาแต่หมกตัวอ่านงานวิจัยต่างๆ และพูดตามตรง ถ้าให้เบลลามีช่วยตาหาก้อนมานาคงไม่มีประโยชน์อะไรสักเท่าไหร่ด้วย เพราะจุดเด่นของเธอไม่ใช่การตรวจจับหรือวิเคราะห์แบบเคียวยะ แต่เป็นภูมิความรู้ที่มีอยู่กับตัวและพลังจอมมารที่เปรียบเสมือนใบชุบชีวิตคนๆหนึ่ง

และสุดท้ายหนิง ภายนอกอาจดูเหมือนว่างแต่จริงๆเจ้าตัวไม่ได้ว่างหรอก เพราะปกติเธอจะฝึกทำอาหารและศึกษาเรียนรู้เรื่องต่างๆตลอดเวลา

พูดตามตรง ผมไม่อยากรบกวนหนิงที่สุดจากทุกคนเลย เพราะเธอพึ่งได้เริ่มเรียนรู้ต่างกับทุกคน ถ้าขอให้เธอช่วยมันจะ ..ถ้าไม่ฉุกเฉินก็ไม่ค่อยอยากเรียนใช้แฮะ

คนสุดท้ายก็เมอัน ยัยนี่คือคนที่ผมอยากให้อยู่นิ่งๆเงียบๆในห้องที่สุดเลย เพราะกลัวว่าจะโดนใครลักพาตัวไปอีก ถึงจะอยากใช้งานแต่ก็ยังไม่ได้วางใจให้ช่วยอะไรมาก ตอนนี้เลยให้อยู่เฉยๆก่อนจะเป็นการดีกว่า

เอเธอร์คงเดาสถานนะของทุกคนได้จากสีหน้าผม

“ทุกคนกำลังพยายามอยู่หมดเลยนะครับ ดูเหมือนสถานกาณณ์จะบีบบังคับให้เรเซอร์ต้องพยายามคนเดียวอีกแล้วนะครับ”

“พยายามคนเดียว? พูดอะไรล่ะนั่น ฉันกำลังพยายามไปพร้อมกับทุกคนต่างหาก”

เอเธอร์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกลับมาปั้นยิ้มให้

“ได้ยินเช่นนั้นผมก็ดีใจครับ ..เรื่องเมอัน ว่างๆผมจะชวนเธอมาดื่มชาเล่นด้วยกันแทนนะครับ คิดซะว่าเป็นการจับตามอง”

กล่าวจเบอเธอร์ก็เดินผ่านผมไปทันที แน่นอน เขาก็มีคาบที่เขาต้องสอนต่อ ส่วนผมก็ต้องไปเข้าเรียนต่อเหมือนกัน

และต่อให้ไม่ค่อยมีเวลาว่าง เขาก็ยังอุตส่าห์อาสาช่วยดูเมอันเป็นช่วงๆให้อีก ช่างเป็นคนที่ขยันจริงๆ

เรื่องตรวจสอบหาก้อนมานาที่ผิดปกติไว้เป็นตอนเย็น ..ขณะที่คิดอย่างนั้นผมก็เผอิญไปเห็นเด็กผู้หญิงสองคนกำลังนั่งคุยกันอยู่หลังโรงเรียน

พอมองดูดีๆก็พบเข้าให้กับ ..หนิงและโซล่า ทั้งสองคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน ทั้งๆที่อยู่ระหว่างเวลาเรียนของยูจิแต่โซล่าดันออกมาคุยกับหนิงหน้าตาเฉย

รู้ๆกันดีว่าหล่อนโดดเรียน ระดับโซล่าไม่จำเป็นต้องเข้าเรียนแล้วก็จริง

อีกคนก็หนิง ยัยนี่ก็ ..อ่า อยู่ในระดับที่เรียนไม่เรียนก็ได้ค่าเท่ากัน

เป็นคู่โดดเรียนที่แม้แต่อาจารย์ก็ไม่กล้าเข้าไปด่า สุดยอดเลยแฮะ พวกคนหัวดีเนี่ย

“สองคนนั้นสนิทกันตอนไหนกันนะ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย ..เอาเถอะ”

ผมปล่อยให้ทั้งสองคุยสนุกสนานเฮฮาไป และแอบยิ้มกับตัวเองเล็กน้อย

 

****

รู้ตัวอีกทีพระอาทิตย์ก็ตกเย็น

“วันนี้น่าจะไม่ว่าง”

“อ่า ไม่เป็นไร”

ผมอธิบายเรื่องมานาผิดปกติให้เคียวยะฟัง หมอนั่นก็ตอบปฎิเสธตามสไตล์ของตัวเอง ถ้าไม่ว่างสำหรับเคียวยะก็คือไม่ว่างจริงๆ ผมไม่ดึงแขนเจ้าตัวแล้วขอร้องให้ช่วยหรอก

“ไว้ถ้ามีเวลาฉันจะบอกเองล่ะกัน”

“โอ้ ยังไงก็ฝากดูเมอันด้วย”

“อ่า”

คุยจบผมก็แยกกับเคียวยะที่ห้อง และตรงดิ่งออกจากวิทยาลัย

“..เริ่มจากที่ไหนดีนะ”

“นั่นสิ เริ่มจากที่ไหนดี”

เสียงใสสุดจะอันตรายดังขึ้นข้างหูผม—ผมรีบหันไปมองและพบกับมิรันด้า

“อะ โอ้ ก็ว่าใครนี่มันมิรันด้า เล่นโดดเรียนทั้งวันเลยนะ เปิดเรียนวันแรกแท้ๆ”

“ช่วยไม่ได้เนอะ ฉันโดนเรเซอร์จอมโฉดอัดซะเยินเลย” มิรันด้าหัวเราะร่า

ตอแหล!!

ผมเก็บควาไม่พอใจไว้ในลำคอ และมองมิรันด้าแบบวิเคราะห์เล็กน้อย

คิดเหมือนฉันรึเปล่ายูนา

‘คิดเหมือนกันค่ะ เอาเลย’

เอาไงเอากัน

พวกเราสองคนเข้าใจอะไรกันอยู่แค่สองคน และพูดออกไปทันที

“เอเธอร์บอกว่าแถวๆนี้มีก้อนมานาที่ผิดปกติอยู่”

“..เกินคาดแฮะ ไม่คิดว่าจะเล่าให้ฟังโต่งๆแบบนี้ นั่นน่าจะเป็นเรื่องสำคัญไม่ใช่รึ?”

มิรันด้าลูบคางตัวเอง เหมือนว่าอีกฝ่ายจะแอบวิเคราะห์ผมอยู่เหมือนกัน

ผมไม่รีรอรีบพูดต่อทันที

“อ่า เพราะสำคัญนี่แหละเลยอยากให้คนช่วยด้วย คือว่านะ เอเธอร์ใช้ฉันให้ไปลองค้นหาก้อนมานานั่นดูน่ะ เห็นแบบนี้แต่ฉันกับเอเธอร์สนิทกันพอตัว พอโดนใช้ก็คิดขึ้นมาว่า เห้อออ น่ากลัวจังนะต้องไปหาคนเดียวเนี่ย เดินตามป่าตามเขาแบบนี้ ถ้าเจองูเข้าจะทำไงดี จะหนีทันมั้ยนะ ถ้ามีเหยื่อล่อมาสักคนคอยรับกรรมแทนคงดี”

“สุดยอดในหลายความหมายเลย นั่นไม่ใช่ประโยคขอร้องแล้วนะเรเซอร์”

ผมกับมิรันด้าจ้องตากัน ทำเอาอยากถามเลยว่าจะจ้องตากันทำไมนักหนา แต่ก็ไม่ได้ถามเพราะมันจบด้วยการที่พวกเราหัวเราะให้กันและกัน

“ว่างสิ ฉันว่างตลอดแหละ”

“สำหรับนักศึกษาแล้วนั่นไม่ใช่ประโยคพูดที่ดีนะ”

“แต่เดิมฉันก็ไม่ใช่นักเรียนที่ดีอยู่แล้วน่ะ ถามอาจารย์ฉันไ….เอ่อ ไม่มีอะไร”

โอเคร ยัยนี่เพิ่มข้อสงสัยให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัวอีกล่ะ

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ และยิ้มแบบ oิระ ตอนที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน

ก้อนมานาผิดปกติ แต่เดิมมันก็เป็นสิ่งไม่พึงประสนต่อผมและทางมิรันด้าอยู่แล้ว มั่นใจได้เลยว่าพวกเราอยู่ฝ่ายเดียวกันในเรื่องนี้ เพราะอย่างนั้นจะขอให้อีกฝ่ายช่วยหน่อยคงไม่มีปัญหา เป็นการยืมแรงของผู้มีประสบการณ์ล่ะนะ เพราะมิรันด้าเป็นผู้ใช้วิชาไสยศาสตร์ด้วย ซึ่งถนัดเรื่องของการสืบหา ถ้ามีเธอต้องช่วยได้เยอะแน่ๆ

ผมกับมิรันด้าจึงเดินออกจากโรงเรียนโดยที่ผมไม่รู้เลยว่า—-ต่างฝ่าย ต่างหลอกใช้กันและกันอยู่

 

****

(มุมมองของเรย์)

ฉันเป็นคนที่เก่ง ทุกคนและตัวฉันรู้ดีว่าอย่างน้อยก็เรื่องดาบ ฉันอยู่ในหมวดคนที่เก่ง ทว่า..พอฉันมองไปที่รอบๆตัวฉันก็เจอกับพวกที่เกินคำว่าเก่งไปมาก

เพื่อนสนิทที่พัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว

เพื่อนตัวร้ายที่ซ่อนความเก่งกาจของตัวเอง

เพื่อนปากเสียผู้มีดวงตาที่ขี้โกง

เพื่อนสาวผู้ถือครองพลังที่ไร้ที่สิ้นสุด

เพื่อนสาวอีกคนที่มีพลังปริศนาอยู่

ทุกคนอยู่คนละโลกกับฉันโดยสิ้นเชิง ..ระหว่างที่อยู่กับทุกคน มันทำให้ฉันคิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวว่า—ตัวเองยังจำเป็นอยู่รึเปล่านะ

ความรู้สึกนี้มันเริ่มเกิดขึ้นในช่วงหลังงานเทศกาลโลหิตมังกร

ฉันได้เผชิญหน้ากับปีศาจมหาบาปในตำนานปกรณัม ‘ลูซิเฟอร์แห่งความเย่อหยิ่ง’ และพ่ายแพ้อย่างหมดรูป

ในเหตุการณ์คราวนั้นมีอีกคนที่แพ้เหมือนกับฉัน แต่หมอนั่นและฉันต่างกัน หมอนั่นก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง และทำให้ลูซิเฟอร์คนนั้นกล่าวชมได้ ต่างกับฉันที่ได้แต่นอนกองกับพื้นแบบหมดสภาพ ..ต่อจากนั้นก็การไปช่วยเพื่อนคนหนึ่งจากพ่อเฮงซวย ซึ่งฉันก็อาจจะทำประโยชน์บ้างนะ คิดว่า ..

พอผ่านเหตุการณ์ข้างต้นมา มันก็ไปสะกิดเรื่องสมัยก่อนเข้า รวมถึงเรื่องของพี่สาวที่ฉันเคราพรักที่สุด

พี่ชินดร้า ..ยังไม่ตาย แต่พี่ไม่เคยกลับมาหาฉันเลย

มันคงเป็นเพราะฉันมันไว้ใจไม่ได้ ฉันไม่แกร่งพอที่จะให้อีกฝ่ายไว้ใจ

คนที่ได้จดหมายคือเรเซอร์คือคนที่พี่ยอมรับ และสาบานจะภัคดีด้วย เป็นคนมีความสามารถที่ต่างกับฉันอย่างสิ้นเชิง

ในจดหมายจะมีแต่ข้อความเป็นห่วงฉัน ต่างกับเรเซอร์ที่ในข้อความจะมีแต่การฝากฝังเรื่องราวต่างๆด้วยความไว้วางใจ

..พอคิดแล้วฉันก็ตรัสรู้อย่างแน่ชัดเลยว่าตัวเองอยู่ในสถานะที่ต้องให้ทุกคนปกป้อง

ฉันอยากจะพัฒนาตัวเองเลยฝึกกับยูจิทุกวัน และทุกครั้งก็ได้แต่เห็นความต่างของฉันและยูจิ

วันนี้ดวลดาบไม้กัน และฉันเป็นฝ่ายแพ้

ยูจิยืนหายใจแบบสงบนิ่ง ต่างกับฉันที่นั่งชันเข่าหายใจหอบกับพื้น

..ดาบที่ฉันฝึกมาตลอดสิบปี ถูกยูจิโค่นซะแล้ว

แน่นอนว่าฉันยังไม่ได้ใช้เทคนิคขั้นสูง เพราะความรุนแรงมันมากพอจะทำให้ยูจิเจ็บหนักได้ ต่อให้เป็นดาบไม้ แต่ถ้าเทคนิคขั้นกลางอย่าง [จังหวะแตกสายลม] ก็ใช้อยู่ แน่นอนยูจิก็ใช้เป็น ถึงจะเมื่อเร็วๆนี้แต่ก็ใช้ได้ดีมาก

ถ้าถามว่าดีขนาดไหนก็จะตอบทันทีเลยว่ารีระดับที่โค่นฉันได้ ..ความเร็วยังไม่ถึงกับฉัน คงพอๆกับเรเซอร์ แต่การผสานดาบกับการใช้จังหวะแตะสายลมของยูจิมันทำได้ดีกว่าฉันจงกลบความต่างไปได้

หรือก็คือวิชาดาบยูจิมันเหนือกว่าของเรเซอร์แล้ว และด้านการใช้ประโยชน์จากจังหวะแตะสายลมยูจิก็ทำได้ดีกว่าฉันด้วยเช่นกัน

พึ่งใช้เทคนิคขั้นกลางได้ไม่เป็นถึงเดือนแท้ๆ ..ทำไมถึงได้เร็วขนาดนี้กันนะ

ความพยายามของฉันทั้งหมด เมื่ออยู่ต่อหน้ายูจิทั้งหมดล้วนไร้ค่า ฉันรู้สึกกลัวยูจิขึ้นมา ตอนนี้ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำสีหน้ายังไงอยู่เหมือนกัน แต่คงไม่น่าดูเลยสักนิด

“ปะ เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” ยูจิถามขึ้นอย่างเป็นห่วง

ไม่ได้ดีใจที่ชนะฉันได้เลย ยูจิก็แบบนี้แหละ เป็นคนที่คิดว่าแพ้ชนะไม่ได้สำคัญอะไรมาก ..หรือว่าตั้งใจจะไม่เยาะเย้ยฉันกันนะ ก็ถ้าดีใจนี่มันคงจะหยามหน้าฉันมากเลย

..อา ไม่ดีแล้วแฮะแบบนี้ ถ้าเอาแต่คิดแบบนี้ได้เหวี่ยงใส่ยูจิเข้าสักครั้งแหงๆ

เพราะอย่างนั้นฉันเลยปั้นยิ้มให้ยูจิ

“กะ เก่งขึ้นเยอะเลยนะยูจิ”

“ขอบคุณมากครับ เพราะคำชี้แนะของเรย์เลย”

คำชี้แนะของฉัน ..ทั้งๆที่ถ้าเอเธอร์เป็นคนสอน คงจะไปได้ไกลกว่านี้แท้ๆนะ

“เหรอ ..”

“ยังไงก็ขออีกรอบได้รึเปล่าครับ ผมเริ่มจับทริคการใช้ [จังหวะแตะสายลม] ได้แล้ว” ยูจิพูดด้วยรอยยิ้ม

พึ่งจับทางได้ ..พึ่งทำได้ของนายมันอยู่ในระดับที่ทำได้ดีกว่าฉันแล้วไม่ใช่รึไง ..อะไรกันล่ะนั่น

คล้ายกับว่าทุกอย่างจะถูกยูจิขโมยไปอย่างนั้นล่ะ ฉันเกลียดความรู้สึกนี้ของตัวเองชะมัด รู้ทั้งรู้ว่ายูจิไม่ได้ทำอะไรผิดแท้ๆ หมอนั่นแค่พยายามอย่างสุดความสามารถและเผอิญว่ามีพรสวรรค์เท่านั้นเอง

ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่ฉันก็ยังคิดแต่เรื่องไม่ดี—-คนอ่อนแอมักจะคิดแต่เรื่องขี้ขลาดอย่างที่ฉันคิดอยู่ ..ตัวฉันเวลานี้น่าขำชะมัด

“..โทษทีนะ วันนี้พอแค่นี้ดีกว่า”

“เป็นอะไรไปครับ” ยูจิพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “วันนี้ดูแปลกไปจากทุกทีนะครับ ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกผมได้นะครับ”

ปัญหามันอยู่ที่ความคิดชั้นต่ำของฉัน ..

“ไม่มีอะไรหรอก”

“..เข้าใจแล้วครับ ผมหวังว่าสักวันเรย์จะเล่าเรื่องในใจให้ผมฟังได้นะ–ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันนี่”

ใช่ ยูจิคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันนี่คือความจริงแน่นอนฉันกล้ายืนยัน

“อะ อ่า ขอตัวก่อน ถ้าเรเซอร์มันอยู่ก็ไปขอให้มันช่วยฝึกแทนล่ะกัน”

“เข้าใจแล้วครับ”

 

ฉันไม่ได้เดินเข้าหอ แต่ฉันเดินออกจากตัววิทยาลัยไป ..ฉันเดินเข้าป่าเดินไปเรื่อยๆเรื่อยๆ

“..อยากอยู่ที่เงียบๆชะมัด”

จู่ๆก็เกิดอินดี้ขึ้นมา คิดแค่ว่าถ้าเป็นบนยอดเขา ฉันคงจะทำใจสงบได้น่ะนะ

ว่าแล้วฉันก็วิ่งขึ้นเขาไปทันที ฉันสามารถกระโดดข้ามพื้นต่างระดับได้อย่างง่ายดายด้วยแรงกายที่มหาศาล

ก็โอเครอยู่ แต่..ถ้าเป็นเรเซอร์คงดีกว่านี้ ถ้าเป็นเคียวยะคงหาทางที่ดีได้มากกว่ากระโดดไปมา ถ้าเป็นหนิงคงจะบินเอา ถ้าเป็นยูจิแปปเดียวก็จะทำได้ดีกว่าฉัน ..ถ้าเป็นเบลลามี..คงไม่มีความจำเป็นต้องขึ้นมา

ไม่สิ ทุกคนเลย ถ้าเป็นทุกคนไม่จำเป็นต้องมาหนีความจริงแบบฉันเลยนี่หว่า

ฉันเผลอหัวเราะออกมา และรู้ตัวอีกทีก็มาถึงยอดเขาแล้ว

พระอาทิตย์กำลังตกดินช่างสวยงาม …ผืนหญ้าที่เหยียบอยู่ก็น่านอนเอามากๆ

ฉันทิ้งตัวลงนอนมองพระอาทิตย์ และมีเรื่องของยูจิเข้ามาในหัวอีกแล้ว

“ยูจิ ..แข็งแกร่งเร็วเกินไปแล้วเฟ้ย ..รอกันบ้างไม่ได้รึไง”

ยูจิคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน

ในวันแรกที่เข้าวิทยาลัย ยูจิช่วยฉันเอาไว้ จากความมืดมนในจิตใจ ถึงต่อมาหมอนั่นจะเป็นที่รักของคนที่ฉันแอบชอบ และเร็วๆนี้จะชิงความภาคภูมิใจทั้งหมดของฉันไปได้แล้ว แต่เขาก็ยังเป็นเพื่อนคนสำคัญที่สุดอยู่ดี

น่าแปลก ทั้งๆที่ยูจิคือคนที่ฉันควรจะเกลียด แต่ฉันกลับเกลียดไม่ลง เหมือนกับว่าพวกเราตัดกันไม่ขาด เหมือนกับว่าทุกอย่างคือโชคชะตา มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งดีและน่าขยะแขยงไปในตัว

..แน่นอน ฉันไม่ชอบความรู้สึกนี้เลยสักนิด

“..เด็กน้อยชะมัด”

ตาฉันเริ่มกระตุก อีกไม่นานมันคงจะเกิดเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุดขึ้น ฉันกำลังจะกลายเป็นผู้อ่อนแอ—-ตัวฉันที่คิดว่าการร้องไห้คือความอ่อนแอนี่แหละที่อ่อนแอที่สุด

 3..2…ปล่อยโฮ—–ในตอนที่ความอ่อนแอของฉันกำลังจะโผล่ออกมานั้น ฉันก็ถูกเบรคไว้โดยเสียงนั่งข้างๆหูของตัวเอง

น่าแปลกที่ฉันไม่รู้สึกตัวเลยจนกระทั่งตัวอีกฝ่ายสัมผัสกับผืนหญ้า ..ฉันชำเลืองมองและพบกับเด็กสาวคนหนึ่ง

อิมเมจแรกที่เข้ามาในหัวคือ ‘นักดาบสาว’

เธอคือผู้หญิงที่มีผมสีน้ำตาลสั้นดูอันใหญ่จนประบ่า และผมมันก็ดูม้วนๆตรงปลายให้ความรู้สึกเหมือนหมาซึ่งน่ารักดี แล้วก็ดวงตาของเธอเป็นสีเขียวอ่อนๆดูไร้อารมณ์ เสมือนผืนหญ้าที่เหี่ยวแห้งกระมัง ตัวน่าจะสูงเกือบๆ 170 ซ.ม. นับว่าเป็นผู้หญิงที่สูงเลยล่ะ แล้วก็ทั้งสวยทั้งน่ารักไปในตัว

การแต่งตัวของเธอก็ชวนให้รู้สึกถึง ‘นักดาบพเนจร’ ชอบกล

เธอสวมชุดกิมิโนไร้สี มันเป็นชุดกิมิโนที่ให้ความรู้สึกเหมือนชุดในโรงฝึกดาบทั้งๆที่ไม่ใส่ นอกจากนั้นเธอก็สวมผ้าคลุมสีน้ำตาลดูเก่าๆโทรมๆดูท่าน่าจะผ่านศึกมาเยอะเอาเรื่อง ..นอกจากนั้นสิ่งที่เด่นที่สุดก็คือดาบสั้นทรง ‘คาตานะ’ ข้างตัวเธอ

ทำไมถึงมานั่งข้างผม …อ๊ะ ไม่สิ เหมือนว่าเธอจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังนั่งข้างผม

เธอมองพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน ส่วนผมก็มองเธอด้วยความสงสัย จนกระทั่งสายลมพัดมาทำให้เธอต้องหรี่ตาลงและสังเกตุเห็นผม

ไม่ได้ตกใจหรืออะไรเลย ถ้าจะมีอะไรเปลี่ยนก็คงมีแค่ปากที่เปลี่ยนรูปจากแนวนอนเป็นวงกลม

“หลงทางมาเหรอ?”

เธอโพล่งขึ้นเบาหวิว แต่ก็อยู่ในระดับที่ผมที่อยู่ใกล้ๆพอฟังชัด

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด