เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! 16: แล้วพบกันใหม่อีกครั้ง

Now you are reading เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! Chapter 16: แล้วพบกันใหม่อีกครั้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

< < 14 > >

เมื่อคุยธุระกับมหาภูตจบ ขบวนเสด็จของจอมตัวร้ายเรเซอร์จึงพากันออกจากป่าแห่งนี้ โดยที่ได้เกิดเรื่องแปลกประหลาดระหว่างการเดินทางเข้า

ผมยิ้มเจื่อนพลางมองไปข้างกาย ซึ่งมีเด็กสาวผมสีแดงเพลิงสูงพอกัน เธอกำลังเดินตามผมพร้อมกับจับปลายเสื้อ และจ้องแบบไม่วางตา——ถ้าหากเป็นสถานการณ์ปกติ การมีเด็กสาวน่ารักเช่นนี้ตามติดคงยิ้มตอบทั้งอ้อมกอดด้วยรอยยิ้มประหนึ่งพ่อจ๋าแล้วละ เพียงแต่เด็กสาวที่ตามผมอยู่คือตัวตนผู้ยิ่งใหญ่ อย่าง ‘มหามังกรเพลิง ฟัฟนิร์’ แม้มีพลังเพียง 1/10 แต่ก็มากพอจะทำให้ผมและชินเป็นปุ๋ยได้ง่ายๆ แล้วละ

‘อย่าไปหย็องสิคะ มาสเตอร์’

ส่วนหล่อนที่พูดกะจะบวกอย่างเดียว คือ ‘ยูนา’ เป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน ว่ากันว่าเธอคือผู้แยกทวีปออกเป็นสี่ส่วนจนเป็นโลกเราในปัจจุบันนี้ ซ้ำร้ายยังเป็นคู่อริตัวบิ๊กกับฟัฟนิร์ด้วยให้ตายสิ สถานการณ์ชั่งประจวบเหมาะพาซวยชะมัด

“ขออภัยนะขอรับท่านฟัฟนิร์ แต่สักนิด ออกห่างจากท่านเรเซอร์สักนิดได้หรือเปล่าครับ?”

อัศวินหนุ่มมากด้วยพรสวรรค์ ‘ชิน’ กล่าวอย่างสุภาพกับฟัฟนิร์ ซึ้งน้ำใจชะมัด ชินถึงกับเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้ผมอยู่ในสถานภาพปลอดภัยเท่าที่จะทำได้ การมีฟัฟนิร์ติดตัวก็ไม่ต่างกับการมีกับระเบิดมาเกาะไว้หรอก

“…ไม่ได้ ถ้าเราปล่อยมือไปเกรงว่าเราจะไม่ได้ออกจากป่ามหาภูตอีกเลยน่ะ”

‘ฟัฟนิร์ฉลาดกว่าที่คิดนะคะเนี่ย’

พวกภูตที่นี่ใจร้ายชะมัด—–หล่อนด้วย ใจร้ายชะมัด

“ผมเองก็กลัวว่าท่านเรเซอร์จะเป็นอันตรายน่ะขอรับ”

แม้จะดูกระอักกระอ่วนจนเหงื่อท่วมตัว แต่ก็เท่มากชิน ถ้าผมเป็นหญิงคงตกหลุมรักไปแล้วละ เขาอุตส่าห์ต่อรองกับฟัฟนิร์ในตำนานเพื่อผมอยู่นี่นะ

สมแล้วที่เป็นอัศวินซึ่งผมอยากให้มาอยู่ข้างกายสุดๆ เขาชั่งมากด้วยความกล้าหาญของอัศวิน สมชายสุดๆไอ้บ้าเอ้ย

ฟัฟนิร์ส่ายหัวตอบกลับอย่างเชื่องช้า และผุดสีหน้าเหนื่อยใจให้เห็น ทำอย่างกับชินสร้างปัญหาให้

“อย่าเซ้าซี้มากสิเจ้ามนุษย์ ให้ตายเราก็ไม่ปล่อยมือหรอก”

“-ต แต่ว่านะครับ ท่านฟัฟนิร์ไม่อยากให้ท่านเรเซอร์ปลอดภัยหรือครับ?”

ฟัฟนิร์เงียบลงและยิ้มบางๆ ให้

“พึ่งเจอกันวันเดี๋ยวจะไปรู้สึกอะไรมากกันเล่า เป็นเจ้ามนุษย์ที่แปลกเสียจริง” ฟัฟนิร์เผลอหัวเราะเบาหวิว “พูดอะไรแปลกๆ”

ที่แปลกน่ะมันหล่อนต่างหาก มันใช่เรื่องพูดต่อหน้ามั้ยฟร้ะ

‘สมกับเป็นเดนมังกรเลยนะคะ ให้ฉันเรียกเซเนียมาเก็บงานดีมั้ย ยังอยู่ในเขตทำการด้วย’

อย่าเลย ถือว่าทำบุญทำทาน

ฟัฟนิร์พึ่งจะรู้สึกตัวได้ว่าพูดอะไรไป ผนวกกับได้ยินยูนาพึมพำด้วย

“ป เปล่านะๆ ข้าไม่ได้เป็นมังกรเห็นแก่ตัวหรือนิสัยเสียหรอกนะ เป็นห่วงเจ้ามนุษย์เรเซอร์อยู่แล้วๆ แน่นอนว่าเจ้ามนุษย์ชินด้วยนา ข้าซาบซึ้งบุญคุณพวกเจ้ามากจริงๆ! รักท่านยูนามากๆ ด้วย ที่สุดเลย ทูนหัวเลยค่ะ”

พยายามแบบเอาเป็นเอาตายเลย ยัยมังกรนิสัยเสียนี่ …เฮ้อ ช่วยไม่ได้ พลาดขึ้นมาถึงขั้นตายได้เลยนี่นา ถึงจะตายไม่ได้ก็เถอะ แต่แบบนั้นคงเหมือนฝันร้ายกว่าเก่าอีก พับผ่าสิ

“จะว่าไปฟัฟนิร์ เธอเคยช่วยเด็กผู้หญิงแถวนี้ด้วยสินะ”

“หมายถึงต้าวมนุษย์เพศเมียตัวน้อยหรือ?”

‘ต้าว’ ไม่ได้ยินมาเสียนานคำนี้ ปกติไม่มีใครเรียกผมอย่างนี้ด้วย ก็ไม่มีแฟนนี่นะ ให้ตายสิ

“ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่ชื่อลีน่าก็ใช่ละนะ”

“…โทษที ข้าไม่นิยมจำชื่อคนน่ะ แต่ถ้าเป็นต้าวตัวเล็กผมสีทองนิสัยซุ่มซ่ามหน่อยก็ใช่กระมัง”

แล้ว ‘ต้าว’ นั่นมันอะไร? เป็นท่านมหามังกรแท้ๆ ดันเรียกคนซะน่ารักเชียว

คาใจสุดๆ

“ต้าวเนี่ยมันอะไร?”

“เป็นคำเรียกของผู้มาจากต่างโลกราว 1000 ปีก่อนน่ะ”

เหวอ ผู้มาจากต่างโลกหาง่ายถึงขนาดที่ฟัฟนิร์พูดโดยไม่ติดขัดเลย

“เขาชอบใช้เรียกสิ่งมีชีวิตตัวเล็กน่ารัก ข้าจึงนำมาปรับใช้บ้าง และสนุกใช้ได้เลยการเรียกมนุษย์อย่างนั้น ให้ข้าร้องเรียกดูไหมล่ะ? —-ต้าวเรเซอร์ตัวเล็กใจเสือ ต้าวจิตใจงาม”

ฟัฟนิร์ขยิบตาด้วยรอยยิ้มสดใสไร้เดียงสา—–ศรธนูเข้ากลางอกเลยวุ้ย! เจ้าสิ่งมีชีวิตที่น่ารักนี่มันอะไร!? ขอบพระคุณครับ! 

ชินส่งสายตาไปทางท่านมหามังกรอย่างคาดหวัง ไม่มีทางที่สาวน้อยผู้เอาตัวรอดจากการใช้เล่ห์เหลี่ยมประจำจะเมินเฉย

“ต้าวคนมากระเบียบ—ชิน”

“-ข ขอบพระคุณมากครับ!”

ชินอมยิ้มอย่างมีความสุข—–ก็นะ เป็นผู้ชายจะชอบของน่ารักเหมือนกันก็ไม่แปลก ฟัฟนิร์ในตอนนี้นุ่มนิ่มน่ากอดสุดๆเลย หน้าตาเป็นมิตรไม่พอปากยังดีอีก (ในหลายความหมาย)

‘…แล้วฉันละ?’

เมื่อถูกยูนาทักฟัฟนิร์จึงเงียบกริบไป ก่อนจะเค้นพลังอย่างถึงที่สุด

“-ต ต้าว…ต้าวคนดี ยูนา”

‘เป็นมังกรที่กวนได้มีเสน่ห์ดีนะคะ’

“-ต ต้าวมากด้วยเสน่ห์ยูนา ต้าวจิตใจงดงามยูนา ต้าว—-ท่านยูนาที่รัก!”

ฟัฟนิร์เริ่มร้องไห้โดยไม่ปิดบังอะไร

“-พ พอเถอะขอร้อง หยุดฝืนตัวเองได้แล้วฟัฟนิร์!”

ต้าวฟัฟนิร์จะน่าสงสารไปแล้ว!

 

****

ในที่สุดก็ออกจากป่ามหาภูตที่มีแต่พวกใจร้ายได้แล้ว ทันทีที่ออกมาก็พบว่าพระอาทิตย์ใกล้ตกดินเต็มที

ออกมาไม่ทันไรก็พบกับคุณภรรยาที่รัก(ลีน่า)เข้า เหมือนว่าเธอจะเดินเล่นและเกิดเหตุบรรเอิญเจอกันเข้า

ตอนนี้เธอสวมชุดแม่ชีที่ยาวจนเกินตัวอยู่ดั่งครั้งก่อน

“—-สวัสดีค่า พี่เรเซอร์ พี่ชิน …-ท ท่านฟัฟนิร์ก็อยู่ด้วย!”

——เดี่ยวก่อน!?

“ฟัฟนิร์นี่หล่อนบอกตัวจริงให้ลีน่าฟังไปเรอะ?”

“-บ แบบนั้นไม่ได้นะครับท่านฟัฟนิร์”

“ถ้าลีน่าไปพูดมั่วซั่วจนรู้ตัวจริงของฟัฟนิร์เข้า ลีน่าก็ซวยเอาสิ อาจถูกพวกคนไม่ดีจับตัวเพื่อรีดข้อมูลก็ได้ หรืออาจจะโดนพวกคนต่างทวีปมาทำร้ายเพราะเกลียดเธอด้วย”

ฟัฟนิร์คงไม่รู้ความจริงเหล่านี้ ตอนนี้จึงได้แต่ทำหน้าตกใจจนเหวอ

“-ก ก็มัน …ก็ต้าวมนุษย์ตัวน้อยคนนั้นหวนหาแต่ฟัฟนิร์นี่นา ข้าจึงบอกตัวตนที่แท้จริงไปเพื่อให้หยุดร้องไห้ เรื่องมันก็ตั้ง 3 ปีก่อนแล้วด้วยนะ ทั้งหมดก็เพื่อไม่ให้ร้องไห้แค่นั้นเอง…”

ลีน่างงกับที่พวกผมโต้กันไปมา

“…ท่านฟัฟนิร์ ไม่ใช่ฟัฟนิร์หรือคะ?”

‘ปึก!’ เสียงกระแทกดังขึ้นในอกฟัฟนิร์ ร่างเล็กๆนั่นถึงกับเซไปมาด้วยดาเมจทางใจหลักแสนหน่วย

“…ใช่แล้ว ข้าไม่ใช่ฟัฟนิร์ แค่หลอกเจ้าขำๆ เท่านั้น วะฮ่า”

ฟัฟนิร์หัวเราะแห้งๆ ——–ราวกับสัญญาณปืนงานกีฬาสี ลีน่าร้องห่มร้องไห้ในทันทีที่ได้ยิน

“-ท ทำไมต้องหลอกกันด้วย!”

“…! เห็นมั้ย!?”

ฟัฟนิร์หันหน้าขวับมาถามผมอย่างกับตั้งใจเรียกร้องค่าเสียหาย

หล่อนก่อเรื่องเองก็ต้องรับผลกระทบไว้เองสิ 

“ทนไว้ละกัน ทนไว้”

“—นึกว่าต้าวเรเซอร์จะเป็นคนดีซะอีก! ไอ้เจ้าต้าวใจยักษ์!”

“โทษที มันไม่มีทางเลือกนี่นา เอาเป็นว่าเดี่ยวเลี้ยงข้าวให้ละกัน”

“..เข้าใจแล้ว ต้าวใจดี”

ฟัฟนิร์เลิกบ่นผมในทันที เป็นมังกรที่เงินไปใจไปดีชะมัด ไม่นานนักบาทหลวงจึงเดินมาหาพวกผม คงเพราะเห็นลีน่าร้องไห้ เขาเอ่ยอย่างห่วงๆ

“ท่านเรเซอร์ แล้วก็ท่านชินสินะครับ แล้วเด็กคนนั้น …เอ่อ ขอโทษด้วยนะ ลีน่าเป็นอะไรหรือครับ?”

ผมชี้นิ้วไปทางฟัฟนิร์

“คนนี้โกหกลีน่าตั้งแต่ 3 ปีก่อนแล้วพึ่งมาเฉลยครับ”

“-ด เดี่ยวสิเจ้ามนุษย์! ไม่ใช่นะ คือ ไม่ใช่ คือ——ขอโทษค่า!”

ว่าแล้วฟัฟนิร์ก็ร้องไห้บ้าง ชินซึ่งเป็นห่วงจึงเดินไปลูบหลังฟัฟนิร์ที่ร้องไห้

“ก็อย่างที่เห็นละ ทางเด็กคนนี้เองก็ไม่ได้ตั้งใจด้วยครับ ยังไงก็ให้อภัยหน่อยได้หรือเปล่าครับ” ผมพนมมือขอ

‘เด็กที่ว่าคือฟัฟนิร์’

“ครับผม เรื่องนั้นผมไม่อะไรมากอยู่แล้ว เรื่องโดนหลอก อาจจะโหดร้ายไปหน่อยแต่สำหรับลีน่าแล้วคือเรื่องปกติละครับ”

ทำอีท่าไหนให้เป็นเรื่องปกติละนั่น

“ยังไงแค่ปรับความเข้าใจกันก็พอแล้วครับ”

บาทหลวงผุดยิ้มของผู้ใหญ่ออกมา เป็นคนดีจริงๆ จะว่าไป

โบสถ์ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ข้างในกำลังมีแสงจากโคมไฟหลายอันส่องจนเห็นได้ชัดแม้จะอยู่ใกล้หรือไกล

“มีงานเลี้ยงฉลองอะไรกันหรือครับ?”

จากที่มีเสียงดังลอกมาเล็กน้อยและบรรยากาศชวนสนุกทำให้ผมอนุมานเช่นนั้น

“พอดีเนื่องในวันครบรอบการจากไปของผู้กล้าหาญในอดีต พวกเราจึงจัดงานพิเศษน่ะครับ”

“-ข ขอโทษนะครับ อันนี้งานฉลองสินะครับ?”

ในวันครบรอบการตายเนี่ยนะ?

“อาจจะแปลกไปหน่อย แต่คนประเทศนี้ทำกันเช่นนี้น่ะครับ เพื่อให้นักรบผู้กล้าหาญที่จากไปสามารถไปสู่สุคติได้ พวกเราจึงต้องมีความสุขครับ”

ให้ตายสิตัวผม ดันไปคิดไม่ดีซะได้ เลวชะมัดที่ไปข้องใจกับพิธีอันทรงเกียรตินั่น

“ขออภัยด้วยนะครับ เผลอคิดไปว่าแปลกแล้ว ฮะๆ”

“คนต่างถิ่นคิดเช่นนี้ทุกคนนั่นแหละครับ ไม่แปลกหรอก——จะว่าไปท่านเรเซอร์และทุกๆ คนสนใจร่วมงานหรือเปล่าครับ?”

“จะดีรึ?”

“เป็นการตอบแทนบุญคุณครับผม”

ถ้านั้นก็ขอรับไว้ด้วยความยินดีเลยละ

“เข้าใจแล้ว โอเครนะชิน ..เจ้าแดงเพลิง”

แน่นอนยูนาก็ด้วย

“ตามต้องการขอรับ”

“เจ้าแดงเพลิง? …อ่อ เข้าใจแล้ว แค่มีของกินให้ฟรีข้าก็ไม่รังเกียจแล้ว”

เธอไม่เอะใจเลยว่าทำไมชื่อเียกถึงเหมือนหมาได้ ขอโทษด้วยที่เผลอเล่นอะไรชั่วๆไป

‘รับทราบค่ะ’

ถ้านั้นก็เรียบร้อย

“เข้าใจแล้วครับ เชิญตามสบายเลยนะครับ”

บาทหลวงนำทางพวกผม พลางหันไปคุยกับลีน่าซึ่งร้องไห้ไม่หยุด และปลอบเธอจนหยุดร้องได้สำเร็จ เมื่อเข้ามาข้างในแล้วจึงพบว่ามีเด็กอยู่หลายคนทีเดียว อายุน้อยกว่าลีน่าทั้งนั้น ถือว่าเธอเป็นพี่ใหญ่เลย หากรวมเธอก็มีเด็กทั้งหมด 11 คน และบาทหลวงกับแม่ชี(ซิสเตอร์)เพียงเท่านั้น

ทุกคนกำลังนั่งล้อมโต๊ะไม้ขนาดใหญ่กัน ตรงการโต๊ะมีอาหารมากมายโดยที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นมันฝรั่ง คงเป็นการกินปกติสำหรับพวกเขา

เมื่อบาทหลวงมองไปที่อาหารก็เกิดเอะใจได้

“-อ อา ขอโทษด้วยนะครับ ผมลืมคิดไปเลยว่าท่านเรเซอร์คือขุนนาง ถ้าให้มากินอะไรแบบนี้คงไม่ถูกปากเท่าไหร่

“พูดอะไรกันครับ มันฝรั่งนี่แหละของชอบเลย”

สำหรับโลกเก่าผมมันคืออาหารชั้นยอด อาทิเช่นตระกูลเลย์ ว่ากันตามตรงโลกของผมมันฝรั่งถ้าดัดแปลงดีๆมันอาหารคนรวยชัดๆ

ผมนั่งลงกับโต๊ะอย่างไม่รังเกียจ ทั้งชินและฟัฟนิร์ก็นั่งตามๆ กัน

“ข้าไม่เลือกกินอยู่แล้ว”

“กระผมเช่นกันครับ”

แต่มีแค่มันฝรั่งก็อาจน่าเบื่อไปนิด

“ชินถ้าจำไม่ผิดระหว่างทางพวกเราเก็บเนื้อหมูป่ามาด้วยสินะ? นายเอาไว้ไหนละ”

ชินพยักหน้าให้ และใช้เวทมนตร์แปลกๆ ที่เป็นคลื่นสีขาว ก่อนที่จะมีเนื้อหมูป่าโผล่ออกมามากมาย

“เวทมนตร์กระเป๋าสินะ?”

“ใช่ขอรับ สำหรับอัศวินทุกคนจะได้เรียกกันหมด”

ใครจะไปคิดละว่าสุดยอดเวทมนตร์กระเป๋าสำหรับพระเอก จะเป็นเพียงเวทมนตร์ชั้นยอด ที่คนเก่งๆ บนโลกนี้ใช้ได้ก็เท่านั้น เป็นการวางโครงที่พิลึกชอบกล มันควรเป็นสกิลเฉพาะตัวเอกแท้ๆ

“พี่เรเซอร์จะทำอะไรเหรอ?” ลีน่าเอียงคองง

“เพื่อมารยาที่ดีต่อกันและกัน พี่จะเอาเนื้อหมูป่ามาแบ่งให้ละนะ ดีมั้ย?”

“จริงเหรอ!?”

“แน่นอน!”

” “ขอบคุณครับ!” .

ดูเหมือนเด็กทุกคนจะชอบใจ—ดีแล้วละ ทั้งบางหลวงและแม่ชีเองก็ไม่มีทีท่าจะปฏิเสธน้ำใจด้วย

“ถ้านั้นก็ฟัฟนิร์ ฝากย่างทีสิ”

“…ข้าจะได้กินด้วยมั้ย?”

“ถ้าอะไรแปลกๆ แน่นอนอยู่สิ ฝากย่างทีนะ”

ฟัฟนิร์พยักหน้าหงึกๆ และนำเนื้อหมูชิ้นใหญ่ราว 10 ชิ้นไปย่าง—————-เด็กๆ ทุกคนรวมไปถึงผู้ใหญ่ต่างบอกว่าสุดยอด เพราะเป็นการใช้เวทย์เพลิงที่สมบูรณ์แบบสุดๆ

สมกับเป็นมหามังกรเพลิง ไม่มีใครเล่นกับไฟได้เก่งเท่าฟัฟนิร์แล้วละ

เมื่อย่างเสร็จแล้วฟัฟนิร์ก็วางเนื้อย่างลงบนจานขนาดใหญ่หลายจาน

“กินให้อิ่มไปเลยต้าวตัวเล็กทั้งหลาย ฮึๆ”

” “ขอบคุณครับ/ขอบคุณค่า!!” ”

ผมผุดยิ้มบางๆ พลางจิ้มเนื้อหมูไปให้ลีน่า

“กินให้อร่อยละ”

“-ข ขอบคุณค่ะ!”

อบอุ่นหัวใจจังนาแบบนี้

ตัวผมเอง หลังจากจบเรื่องทั้งหมด และปลอดภัยหายห่วงแล้วค่อยมาพักอาศัยอยู่แถวนี้ไปกลับระหว่างบ้านกับโบสถ์ จะดีหรือเปล่านะ? ใช้ชีวิตชิลๆ ตามภาษาคนที่อยู่บนกองเงินกองทองตั้งแต่เกิด ..อืม ไม่เลว

ลีน่าดึงแขนเสื้อผม

“พี่เรเซอร์จะกลับวันไหนเหรอ?”

“…พรุ่งนี้น่าจะกลับแล้วละ พอดีมีธุระต่อหลายที่น่ะ”

“—–จะกลับมาอีกมั้ย?”

“ฮะๆ แน่นอนสิ สถานที่วิเศษขนาดนี้ ย่อมอยากกลับมาอยู่แล้ว”

“อือ!! มาบ่อยๆ นะพี่เรเซอร์”

ผมพยักหน้าให้ด้วยความมั่นใจ เพราะไม่ว่ายังไงผมก็จะกลับมาอีกแน่นอน

ฟัฟนิร์จ้องผมไม่วางตา

“…มีอะไรรึ?”

“เจ้ามนุษย์—-นี่”

ฟัฟนิร์ตักหมูย่างแบ่งผม

“กินเยอะๆ จะได้รีบโต”

“-อ โอ้!”

งงไปหมดเลยครับ

‘ดูเหมือนฟัฟนิร์อยากสนิทด้วยนะคะ’

‘…เล่นเอาใจหายเลย นึกว่าเป็นมังกรที่ไม่สนใครนอกจากตัวเองซะอีก’

‘คิดแบบนั้นแล้วยังจะช่วยอีกนะคะ’

‘ก็มันปล่อยไว้ไม่ได้นี่นา’

ผมมองดูฟัฟนิร์ที่ตักหมูย่างไปให้ชินอีกต่อ พลางกินหมูย่างซึ่งฟัฟนิร์ย่างเองกับมือ

“อืม อร่อยแหะ ย่างดีใช้ได้เลย”

“-น แน่นอน ระดับข้าแล้วกะอีแค่ย่างหมูมันง่ายมาก ให้ย่างอีกก็ได้นะ ถ้ามีวัตถุดิบน่ะนะ”

หล่อนพอใจมากเมื่อถูกชมทีเดียว

“ไว้คราวหลังละกัน”

“คราวหลังเหรอ? ข้าไม่ชอบใจคำนี้เลยอะ”

“…ทำไมละ?”

“ไม่ใช่ว่าจะเจอกันได้ง่ายๆเสียหน่อย พวกมนุษย์นิสัยดีหลายต่อหลายคนชอบพูด ‘ไว้คราวหน้า’ กับข้าประจำ สุดท้ายก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยทุกครั้งไป รู้ตัวอีกทีก็เหลือแต่หลุมที่สลักชื่อคนๆนั้นไว้แล้วเท่านั้น .. ข้าแค่เดินรอบโลก100 ปี เท่านั้นเอง เจ้าพวกมนุษย์เนี่ยไม่รู้จักรอเอาเสียเลย”

…นั่นมันเกินอายุขัยแล้ว ถ้าให้รอตั้ง 100 ปีมันน่าจะเกินขีดจำกัดไปไกลหน่อย เป็นตลกร้ายที่ขำไม่ออกชะมัด

“จะว่าไปงานฉลองนี้จัดขึ้นด้วยเหตุการณ์อะไรหรือครับ?”

ผมเกิดสงสัยขึ้นมาจึงเอ่ยถาม คิดซะว่าเป็นการถามเพื่อเพิ่มอารมณ์ในการกินเป็นกลุ่มก็ได้เช่นกัน

“เมื่อราวสองพันกว่าปีก่อน เหล่ามังกรธาตุทั้งสี่ถูกล้างสมอง และควบคุมให้อาละวาดไปทั่วโลก” บาทหลวงยิ้มตอบผม  “เป็นเหตุการณ์ช่วงมังกรธาตุครับ”

นั่นเป็นแค่ประวัติศาสตร์ของทวีปฟัฟนิร์เท่านั้น จริงๆ แล้วไม่มีใครถูกควบคุมหรือล้างสมองเลย มีเพียงการอาละวาดด้วยใจจริงของตัวเอง ..โหดร้ายดีเนอะ ทั้งที่โดนกระทำไปตั้งมากยังจะโกหกอีก

“เหล่ามังกรธาตุซึ่งอับจนหนทางก็ได้ท่านวีรสตรี ‘ยูนา’ ผู้รวบรวมกองกำลังทั่วทั้งโลกมาหยุดเหล่ามังกรธาตุ และปลดปล่อยมังกรธาตุทั้งหมดให้เป็นอิสระ—–งานฉลองนี้มีไว้เพื่อผู้ที่จากไปในการต่อสู้ครั้งนั้นน่ะครับ …โดยเฉพาะกับท่าน ‘ซากุระ’ ครับ”

——————— ‘ว่าไงนะ!?’ ยูนาเผลอหลุด เธอตกใจกับชื่อนั้น

‘ซากุระ’ เพื่อนสนิทของยูนาที่จากไป ไม่น่าจะถูกบันทึกชื่อไว้บนประวัติศาสตร์ เหตุนั้นทั้งยูนาและผมถึงพากันงง อีกคนที่ตะลึงไม่แพ้กันคือฟัฟนิร์ คนต้นเรื่องที่ทำให้ซากุระตาย

“ท่านซากุระเป็นสหายร่วมรบกับท่านยูนาน่ะครับ พวกท่านทั้งสองเป็นหัวหอกสำคัญในการช่วยเหลือมังกรธาตุ”

‘…คนคนนั้นก็แค่นั่งๆ นอนๆ ในปราสาทเท่านั้นเอง มากสุดก็แค่ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจบ้านเมืองเล็กน้อย’

นั่นก็เยอะแล้วนา

“แต่น่าเสียดายครับที่ในตอนสุดท้าย ท่านซากุระดันถูกฟัฟนิร์ซึ่งควบคุมตัวเองไม่ได้คร่าชีวิตไป ในวาระสุดท้ายท่านกล่าวไว้น่ะครับว่า ‘ขอให้ทุกคนมีความสุข’ เธอกล่าวให้กับสหายของตัวเองและเหล่าบริวารทั้งหมด”

……

“นับจากนั้นจึงเกิดประเพณีที่สืบต่อกันมาละแวกนี้น่ะครับ ไม่แน่ในเมืองชันไมเองก็อาจจัดงานฉลองเช่นกันครับ”

—แบบนี้นี่เอง เรื่องนี้ในไลทโนเวลไม่เห็นมีบอกเลยแฮะ

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

‘สุดท้ายแล้วดอกไม้ที่ไร้ค่า ยังคงอยู่ในความทรงจำของใครหลายต่อหลายคนต่อไปสินะคะ …ให้ตายเถอะค่ะแบบนี้’ ยูนาพึมพำเบาหวิว ‘ฉันจะลืมเธอได้ไงกันละ’

เมื่อพูดจบยูนาก็เงียบลง ผมเองก็รู้มารยาทดีเพราะฉะนั้นจะไม่ทักขัดอารมณ์ละนะ

“…ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“ผมก็ด้วยขอรับ ถึงจะเคยมาแล้วแต่ไม่ใช่ช่วงเวลานี้ด้วย”

“เรียกได้ว่ามาไม่เสียเที่ยว คุ้มค่าสุดๆ”

ผมยิ้มกริ่มและหยิบมันฝรั่งเข้าปาก

พวกเราทุกคนต่างนั่งกินพลางคุยเรื่องทั่วๆ ไป สุดท้ายแล้วงานเลี้ยงจึงจบลงอย่างเฮฮา

“อิ่มสุดๆ”

“ขอบพระคุณนะขอรับ”

“ข้าวสารอาหารแห้ง และบุญคุณในวันนี้ข้าจะไม่ลืมเลย เจ้าต้าวทั้งหลาย”

ฟัฟนิร์มีมารยาทเกินคาด—–เมื่อกินเสร็จแล้วพวกผมจึงกล่าวลา และพากันเดินกลับกัน

“นอนอีกหนึ่งคืนแล้วก็ไปบ้านพี่สาวเพื่อจัดงานวันเกิดให้ฉันต่อเลยสินะ?”

“ใช่ขอรับ ถ้าตามกำหนดก็ตามนั้นครับ”

“อา ..พรุ่งนี้แล้วสินะที่จะได้ไปเจอหน้าพี่สาว”

—-ไม่ได้เจอกันตั้งสองถึงสามปี น่าคิดถึงจังเลยนะคนๆนั้น ค่อนข้างสนิทกับผมเลยละ ที่สำคัญ

“ลำบากหน่อยแฮะ..แล้วชิน เพื่อความท่องแท้ขอถาม นายจะแยกทางกับฉันตอนไหนกัน?”

พอถูกผมถามเช่นนั้น ใบหน้าของชินจึงดูเศร้าสร้อยขึ้น

“..หลังจากที่งานวันเกิดท่านเรเซอร์จบลง ผมก็จะกลับไปยันกองอัศวินที่สังกัดขอรับ”

“งั้นเองเหรอ …”

บรรยากาศเงียบลง ทั้งผมและชินก็รู้ดีถึงชะตากรรมหลังจากนั้น ..ชินต้องตายลงที่นั่น

“จะว่าไป”

ฟัฟนิร์เอ่ยขึ้น

“เจ้ามนุษย์เรเซอร์”

“ว่าไง?”

“เจ้าสนใจเดินทางรอบโลกกับข้ามั้ย?”

จู่ๆ หล่อนก็ถามมาเช่นนี้—–พิลึก

“พึ่งเจอกันวันเศษๆ เองนะ มาชวนกันทำการใหญ่แล้วเนี่ยนะ”

“ก็ไม่แปลกนี่ ขนาดข้ายังเคยถูกมนุษย์แปลกๆ ชวนไปรอบโลกในวันแรกเลย หลังจากนั้นร้อยปีจึงค่อยแยกกันอย่างไร้เหตุผล”

นั่นเป็นเพราะอายุขัยหมดต่างหาก…

“ยังไงเจ้ามนุษย์ก็อยากเจอข้าอีกไม่ใช่หรือ? ถ้านั้นก็ไปรอบโลกด้วยกันเลยสิ”

“ไม่ละๆ เรื่องนั้นไม่ไหว ฉันเองก็มีเป้าหมายตั้งเยอะตั้งแยะเลย”

“…น่าเสียดาย นึกว่าข้าจะได้เพื่อนร่วมเดินทางอีกสักร้อยปีซะแล้ว”

ฟัฟนิร์พึมพำอย่างหดหู่

“รู้เปล่า?” ฟัฟนิร์เปิดหัวข้อสนทนาขึ้นและไม่รีรอให้ผมตอบ หล่อนก็พูดต่อ “เมื่อราวสองพันปีละนะ มีเจ้ามนุษย์นิสัยพิลึกเกินคน เชิญชวนข้าให้ท่องโลกกว้างด้วยกัน—-ทั้งๆ ที่อ่อนแอและไร้พลัง แต่ก็มีความหวังอยากจะสำรวจโลกทั้งใบ ข้าจึงตอบรับคำขอนั้นและเริ่มภารกิจท่องรอบโลกกัน ที่เล่าให้ฟังเนี่ย แค่อยากจะบอกว่ามันสนุกจริงๆนะ ได้เจออะไรมากมายเลย อย่างเทพอะไรพวกนี้ก็เจอเพียบ ทั้งพวกเกิดใหม่ และตนเดียวที่ยังรอดชีวิต แกร่งสุดในยุคสมัยก็เจอ แล้วก็…อริ”

ฟัฟนิร์พยายามเซ้าซี้เอาการ เพียงแต่พอพูดถึงอริแล้วผมก็มั่นใจได้ทันทีเลยว่า ‘ไม่ไปครับ’ หล่อนจะสร้างศัตรูไปทั่วแล้วหาเพื่อนร่วมทางแบบนี้ไม่ได้นา…

หากเป็นปกติยูนาคงโผล่มาด่าฟัฟนิร์แล้ว แต่ครั้งนี้ไม่ยักจะโผล่

“แต่ทุกครั้งก็ผ่านมาได้ ข้าสนุกจริงๆ นะและเชื่อว่าถ้าได้เดินทางกับเจ้ามนุษย์อย่างเจ้าคงสนุกเช่นกันด้วย”

“…”

“ไม่ได้จริงๆ?”

ผมยิ้มตอบกลับ

“โทษทีนะ ฉันมีเรื่องสำคัญอยู่น่ะ”

“…น่าเสียดาย ข้าเผอิญเห็นเจ้าซ้อนทันกับเจ้ามนุษย์พิลึกคนนั้นเข้าน่ะ เลยชักชวน อุตส่าห์คิดว่าจะได้เริ่มการเดินทางสนุกๆ เหมือนแต่ก่อนแล้วเสียอีก พิลึกจริงๆ”

นี่ผมพิลึกเหรอเนี่ย?

“เอาเถอะ ข้าเข้าใจแล้ว สิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ไม่คิดจะข่มมนุษย์ผู้ต่ำต้อยหรอก”

นั่นปากรึ?

ฟัฟนิร์กอดอกหยักหน้างึกๆ ให้ตัวเอง ก่อนจะเดินปลีกออกมา แต่ก่อนที่เธอจะเดินหายไป ฟัฟนิร์ก็หันหลังกลับมาบอกลาโดยที่โบกมือให้พวกผมทุกคน

เธอยิ้มเล็กน้อย เมื่อปนไปกับเส้นผมสีแดงเพลิงซึ่งโปรยปรายไปตามสายลม มันชั่งเป็นภาพที่งดงามยากจะได้เห็น

“ถ้าครั้งหน้ามีอีกจริงๆ อย่างที่เจ้าต้องการ ข้าเองก็หวังว่าจะได้คำตอบที่ดีกว่านี้นะ เรเซอร์ ชินก็ด้วยนะ”

—-เธอหายไปจากมุมสายตา เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น

..พลังกายของมังกรสุดยอดไปเลยนะ

ผมยิ้มเบาหวิว

“รีบกลับกันเถอะชิน ฉันรอวันพรุ่งนี้ไม่ไหวแล้วละ”

“เข้าใจแล้วขอรับ”

——ถ้าได้เจอกับฟัฟนิร์อีก ในที่ไหนสักแห่ง บอกตามตรงมันก็ไม่เลวละนะ

****

“—–อะ อาาาาา”

ผมนอนเกาะริมบ่อน้ำร้อน พลางส่งเสียงฟินอย่างไม่ปิดบัง

“น้ำร้อน สุดยอด ..น้ำร้อนโคตรจะเยี่ยม”

อย่างที่บ่นๆมา ขณะนี้ผมกำลังแช่น้ำร้อนอันเป็นจุดเด่นของเมือง ‘ชันไม’ ที่ว่ากันว่ามีน้ำร้อนชั้นยอดของโลกอยู่ ..โชคดีที่โรงแรมผมอยู่ใกล้ๆทำให้มาได้แม้ว่าจะมืดแล้วก็ตามที

แน่นอนบ่อน้ำร้อนระดับนี้ย่อมมีแยก หญิง ชาย —และ รวม ชัดเจน ..และแน่นอนอีกทีว่า–

“ตูย่อมมาบ่อรวมอยู่ละ”

เพียงแต่ ..ต้องใส่ชุดว่ายน้ำอะนะ แถมบ่อรวมรอบๆก็มีแต่ลุงๆป้าๆด้วย

“เรียกว่าผิดหวังคงได้”

ซ้ำร้าย พอไปชวนเรเซลกับอันนาทั้งสองก็กล้าๆกลัวๆ บอกว่าใส่ชุดว่ายน้ำได้ก็ยังไม่ค่อยกล้าอยู่ดี ..แต่ว่านา กับสองคนนั้นผมไม่ได้คิดไม่ดีเสียหน่อย แค่อยากชวนมาแช่น้ำร้อนฟินๆกันเท่านั้นเอง จะกลัวอะไรนักนะ ไม่เข้าใจเลย คนอยู่ก็ตั้งเยอะ ผมไม่กล้าทำอะไรกล้างแจ้งหรอก ไม่ใช่รสนิยม อีกอย่าง กับเด็ก 12 ผมไม่มีอารมณ์หรอก ถ้ามีขึ้นมาไอ้ผมคงน่าสงสารไม่น้อยเลย ในด้านความเป็นคน …ไม่สิ แต่มันก็ อืม ยากจังแฮะ

..ทางชินเองก็ปฎิเสธทุกคำชวน ดูจะตื่นตัวสุดๆ–ผู้ชายเหมือนกันแท้ๆ กลัวอะไรนะ เจ้าบ้านั่น

“ยุ่งยากจังนาชีวิตเนี่ย” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ยุ่งยากเกินไปแล้ว”

เอาเป็นว่าอย่าไปสนใจอะไร แล้วแช่น้ำร้อนดีกว่า …

“นั่นสิเนอะ ชีวิตยุ่งยากสุดๆเลยเนอะ เข้าใจเลย ผมเข้าใจเลย”

มีเสียงดังขึ้นข้างตัวผม เมื่อหัวไปก็พบเข้ากับหนุ่มหล่อวัยกลางคน ผมน้ำตาลยาวเหมือนกับไอดอลเกาหลี ร่างสูงราวๆ 190 ซม ตาหรี่จนเหมือนกับว่าหลับตาตลอดเวลา ..ถ้าให้บรรยายตัวเขาจากบรรยากาศภายนอกคงเป็น ‘หนุ่มหล่อเจ้าเล่ห์’ กระมัง 

โดยเฉพาะความหล่อ คนๆนี้หล่อสุดๆ ระดับที่ผมเทียบไม่ติดเลย ..เผลอๆหน้าตาเขาอาจจะเทียบเท่า ‘มหาภูต เซเนีย’ ด้วยซ้ำ ..สุดยอดาเลยแฮะ 

“เธอเองก็เบื่อกับชีวิตเลยมาแช่น้ำร้อนผ่อนคลาย?”

“อ่า ประมาณนั้นครับ ผมพึ่งกลับจากเที่ยวป่ามหาภูตมาน่ะ”

“…น่าคิดถึงจังนา สมัยก่อนผมก็ไปเยี่ยมๆเยือนๆแถวนั้นบ่อยเหมือนกัน เกือบตายคาป่าด้วย”

“เหวอ”

“ป่าเป็นที่ๆอันตรายน่ะครับ ถ้าเผลอสู้กับใครที่นั่นแล้วพลาดแพ้ขึ้นมา ..อาจตายได้เลย”

เขาพูดเหมือนลำลึกเหมือนเมื่อนานมาแล้ว ..

“แล้วพอใจกับป่ามหาภูตหรือเปล่าครับ?”

“ระดับหนึ่งเลยครับ เป็นป่าที่สวยมาก ยิ่งกว่านั้นผมยังได้เพื่อนใหม่ด้วย”

“ ชื่อว่า ‘ยูนา’ หรือเปล่าครับ?”

…เอ๊ะ

หยดน้ำดังขึ้นท่ามกลางความเงียบระหว่างการสนทนา 

ผมได้แต่จ้องชายเบื้องหน้าตาค้าง …

“..ล้อเล่นครับ เห็นเขาว่าที่แห่งนั้นเป็นหลุมศพของพี่ยูนาน่ะ”

‘พี่?’ คนรู้จักของเธอเหรอ?

‘หน้าไม่คุ้นเลยคะ คนที่เรียกฉันว่าพี่มีถมไปด้วย’

นั่นสินะ แต่สงสัยชะมัด ลองหยอกหน่อยดีมั้ยนะ?

“..ดะ ดูสนิทกันดีนะครับ กับท่านวีรสตรีน่ะ”

“ยิ่งกว่าสนิทอีกครับ”

…เหวอ คนรู้จักจริงๆด้วย

‘จำไม่ได้เลยค่ะ ..’

พวกต้มตุ๋นสินะงั้น?

“ไอ้ผมเกือบตายเพราะยูนาด้วยนะ รู้เปล่า?”

“จะ จริงเหรอ!?”

“ครับ ดีนะที่เขาไว้ชีวิต”

ยูนา เริ่มงงๆแล้วนะ สรุปยังไงกันแน่เนี่ย 

‘มนุษย์ไม่น่ามีอายุมาถึงปัจจุบันได้หรอกค่ะสมัยนั้น ..เช่นนั้นชายคนนั้นไม่น่าใช่เผ่ามนุษย์ สมัยก่อนอาจเคยถูกฉันเล่นงานด้วย’

ในกรณีที่อีกฝ่ายไม่ใช่นักต้มตุ๋นอะนะ

‘ค่ะ’

“..จะว่าไปคุณชื่ออะไรหรือครับ? ผม ‘เรเซอร์’ นะ”

“..เร..เซอร์?..จะว่าไปก็”

เมื่อได้ยินชื่อผมไปเขาก็เงียบไปราว3วิ ก่อนปั้นยิ้มตอบกลับ

“ชื่อผม..เอาเป็น ‘ยูจิ’ ละกันครับ”

….เอาเป็นเรอะ ..แถมยังชื่อยูจิอีก ตั้งใจทำอะไรกันนะ คนๆนี้

“ไม่ค่อยถูกกับชื่อนี้หรือเปล่าครับ?”

“ไม่หรอกครับ แค่ชื่อเอง”

“แบบนี้นี่เอง แสดงว่าเป็นตัวตนที่มีเหตุผลในการเกลียดอยู่สินะ หรือว่าความต่างด้านประสบการณ์ชีวิตกัน?” คุณยูจิถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ชีวิตยุ่งยากจริงๆด้วยนะครับ ..กลับกัน ถึงจะยุ่งยากแต่ก็ไม่อยากทิ้งมันไปเลย ไอ้สิ่งที่เรียกว่าชีวิตน่ะ”

เขายิ้มให้อย่างจริงใจ

“เลือกได้ผมก็ไม่อยากตายเหมือนกันครับ เข้าใจเลย ทั้งๆที่ชีวิตแสนยุ่งยาก”

“ใช่ครับ เพราะอย่างนั้น—มนุษย์ถึงถวิลหาความเป็นอมตะ”

แววตาของชายตรงหน้าเปลี่ยนไป ‘จิตสังหาร’ มันเล็ดออกมาจากนัยน์ตา ..ชั่ววูบหนึ่งผมเกิดรู้สึกกลัวขึ้นมา ยิ่งกว่าการเจอกับยูนาเสียอีก ..

พูดจบเขาจึงลุกขึ้นจากบ่อน้ำ เผยให้เห็นหุ่นที่เต็มไปด้วยบาดแผล และกล้ามเนื้อ

“จริงๆผมไม่ได้ชื่อยูจิหรอกนะครับ”

..จะ ใจเย็นไว้ตัวผม

“…เข้าใจครับ ไม่เป็นไรหรอก ผมเข้าใจหักอกนักเดินทางดี อะ ฮะๆ”

“ถ้านั้นก็ไว้เจอกันนะครับ ‘เรเซอร์ ดราแคล์’ การพบกันของเราเป็นชิ้นส่วนขาดหายที่ผมต้องการเอามากๆ ..หลังจากนี้ก็มาเติมเต็มชิ้นส่วนให้ครบซึ่งกันและกันเถอะครับ” เขาเดินออกไปพลางโบกมือให้ผมด้วย ..

..พูดเรื่องอะไรกันนะไม่เข้าใจเลย ที่สำคัญ ..รู้นามสกุลของผมได้ไงวะ?

‘ที่รู้ๆชายคนเมื่อกี้อันตรายค่ะ’

…นั่นสินะ 

สัมผัสได้ถึงอำนาจแบบเดียวกับ ยูนา หรือ เซเนีย หรือกระทั่ง ฟัฟนิร์ก็ด้วยเลย ..สัมผัสที่เหมือนกับผู้แกร่งสุดในโลก

“ว่าแล้วเชียวชีวิตนี่ยุ่งยากชะมัด พับผ่าสิ ..ทั้งวีรสตรีเอย มหาภูตเอย มังกรธาตุเอย ที่นี้มาเจอชายลึกลับอีก ..ซวยจริงตู”

‘ทำใจค่ะ’

ขอบใจ

 

“เอ่อ คือ”

 

ผมแหงนหน้าขึ้นไป พบกับสาวน้อยน่ารักนามนั้นคือ—‘อันนา’ และ ‘เรเซล’ ทั้งสองอยู่ในชุดว่ายน้ำทรงเดียวกับของโรงเรียนญี่ปุ่นเลย …

“ไหงบอกว่าจะไม่มาไง?”

“..คือ” เรเซลส่งสายตาไปทางอันนา

“..มาขัดหลังให้ค่ะ เป็นมารยาทในฐานะเมดที่ร่วมเดินทางด้วย”

อันนาสิ่งยิ้มนักธุรกิจให้ ..เรเซลพยักหน้าหงึกๆอย่างเขินอาย

“ว่าแล้วเชียว ชีวิตนี่ดีจริงๆ”

‘เร็วไปค่ะ เร็วไป’

****

อีกฝากหนึ่ง

‘ชิน’ หรือชื่อจริง ‘ชินดร้า’   ‘เขา’ หรือความจริงคือ ‘เธอ’  ว่าโดยย่อคือ ชินเป็นผู้หญิงที่ชื่อจริงชื่อ ชินดร้า แค่นั้นแหละ

ขณะนี้ชินดร้ากำลังนั่งอยู่ตรงสนามเด็กเล่นหน้าโรงแรม เขานั่งอยู่คนเดียวเหงาๆ เพราะผู้เป็นนายกับเหล่าเมดเข้าไปแช่บ่อน้ำร้อนกันอยู่

ชินดร้านั่งจ้องดาบทรงเรเปียร์อยู่ เขามองมันอย่างเหม่อลอย

“เราเนี่ยอ่อนแอจังนา ..ไม่สิ อีกฝ่ายแกร่งเกินไปเฉยๆต่างหาก” ชินดร้าถอนหายใจ “..วีรสตรียูนา ..มหาภูตเซเนีย ..มหามังกรฟัฟนิร์ ..กระดูกคนละรุ่นเลย แบบนี้เราจะเอาอะไรไปปกป้องท่านเรเซอร์กันนะ”

“ลำบากแย่เลยนะ”

“นั่นสิครับ ..ทุกคนที่กล่าวมานี่แค่สะกิดหน่อยผมก็เป็นเนื้อบดแล้วกระมัง ท่านฟัฟนิร์ถึงจะเสียพลังไปตั้งเก้าส่วนก็จริง แต่ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าพลังแค่นั้น ..มันทัดเทียมหรือเหนือกว่าท่าน ‘เซบาสเตียน’”

“ต้าวชินเข้าใจอะไรง่ายดีนี่ ท่านฟัฟนิร์ที่ว่าอะไรอีกละๆ”

“ตอนที่ติดกับโคลนเองก็สุดยอดเลย กับโคลนแบบนั้นยังยื้อได้ตั้งนาน แถมคืนชีพเร็วสุดๆ”

“ก็นะ ข้าเป็นถึงมังกรธาตุผู้เป็นหนึ่งเดียวกับโลก ไม่มีสิ่งใดฆ่าข้าได้นอกจากทำลายโลกเสียหรอก อือๆ ชมอีกสิๆ”

“แล้วก็ …บ๊องๆดีครับ เห็นแล้วรู้สึกเอ็นดูเลย”

“เดี่ยวก็กัดซะหรอก คนเขาให้ชมนะ”

(——เดี่ยวนะ) ชินดร้าที่เหม่อลอยพึ่งได้สติ แล้วก็หันไปมองข้างตัว ..ซึ่งมีมหามังกรเพลิง ‘ฟัฟนิร์’ อยู่ ……

“…เอ่อ”

“ชมอีกสิ”

….ชินดร้าเกาหัวตัวเอง

(มาได้ไง?) 

“ต้าวชินน่าเบื่อจริง”

“ขะ ขออภัยครับ”

“ข้าให้อภัย เช่นนั้นก็ฟังเรื่องราวจากข้าดีกว่า”

(…เอ่อ)

“..เข้าใจแล้วขอรับ”

(ไม่เข้าใจเลย)

“เข้าใจก็ดี” ฟัฟนิร์กล่าวจบก็มานั่งข้างๆชินดร้า “ฟังให้ดีนะ ตำนานความสุดยอดของข้าน่ะ เรื่องมันเริ่มเมื่อ 2000ปีก่อน หลังจากที่ท่านยูนาปล่อยข้า ข้าก็ได้ท่องไปทั่วโลก”

“สะ สุดยอด”

“ที่งี้นะ ข้าก็บังเอิญไปเจอมนุษย์จากต่างโลกตนหนึ่ง”

(เหมือนเคยฟังแล้วนะ ..แต่ไม่ขัดดีกว่า)

หลังจากนั้นชินดร้าก็ฟังฟัฟนิร์เล่าเรื่องเดิมเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนจนจบ

“เป็นไงบ้างละ ชีวิตข้าดราม่าดีใช่มั้ย?”

“นะ น้ำตาไหลเลยครับ”

“เช่นนั้นก็ดี ฟังไว้เป็นบทเรียนซะนะต้าวชิน”

….ชินดร้าเกาหัวอีกคราว

“..จะว่าไป ..ท่านฟัฟนิร์ตกหลุมรักมนุษย์ผู้นั้นหรือครับ?”

“…ตกหลุมรัก?”

“ประมาณว่าอยากอยู่ด้วยไปตลอด แล้วใช้ชีวิตร่วมกัน ..มะ มีบุตรสักหนึ่งคน ประมาณนี้”

“….เอ่อ” ฟัฟนิร์เหม่อมองฟ้า “…ไม่เคยมีคนทักเลยนะ”

ชินดร้ายิ้มให้

“งั้นหรือครับ”

“อ่า ..แต่อาจจะจริงของเจ้าก็ได้นะ”

ฟัฟนิร์ยิ้มออกมา–พร้อมกับใบหน้าที่แดงระเรือเบาหวิว ดวงตาสีเหลืองนั่นมองไกลออกไป ราวกับนึกถึง 2000 ปีที่ผ่านมาทั้งหมด ..เต็มไปด้วยความคิดถึง แต่มิได้ถวิลหาอีกครั้ง

“ข้ารักคนๆนั้น จริงของเจ้านะ ต้าวชิน”

“…”

(คนๆนั้นจากไปนานแล้ว เพราะความต่างทางอายุขัย)

“..มีวิธีคืนชีพอยู่นะ”

“จะ จริงเหรอครับ!”

ชินดร้ารู้สึกดีใจออกหน้า—แต่ก็ถูกปฎิเสธทันควัน

“แต่ข้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ …เพราะเขาคนนั้นที่ข้ารักได้จากไปแล้ว คืนชีพได้ก็จริงแต่ ‘เขาคนนั้นที่ข้ารัก’ ไม่มีอยู่แล้วละ เพราะได้ตายจากไปแล้วไงละ”

(..เข้าใจยากพิลึกนะครับ)

“เพราะฉะนั้นปล่อยไว้เช่นนี้แหละดีแล้ว—ข้าอยากจะรัก ตัวตนนั้นที่ข้ารักไปตลอดน่ะ”

….ชินดร้ายิ้มอย่างอ่อนโยน

“งั้นหรือครับ”

“ใช่”

แบบนี้แหละดีแล้ว …

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด