เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! 46: ข้อตกลง และ ถั่วฝักยาว

Now you are reading เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! Chapter 46: ข้อตกลง และ ถั่วฝักยาว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

< < 37 > >

ความเดิมตอนที่แล้ว—-หนิงวิ่งไปหายูจิทันทีที่รู้ว่าถูกกลั่นแกล้ง

ตัวผมเองก็วิ่งตามหล่อนแทบไม่ทัน สมแล้วละที่เป็นถึงผู้ถือครองสายเลือดแห่งฟัฟนิร์

“เดี๋ยวเถอะ ขืนพุ่งไปหาเจ้าตัวอย่างนั้น เจ้าตัวก็กลัวแย่ดิ! ” ผมพยายามจะจับไหล่ของหนิงแต่ก็ไม่ทันการณ์ หนิงเร่งความเร็วจนไปถึงยูจิแล้ว

ยูจิกำลังนั่งอยู่ริมต้นไม้ และ..นั่งอยู่ข้างกับไอริส

‘ไอริส’ หัวหน้าคณะกรรมการนักเรียน ผู้เป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญในนิยายต้นฉบับ ..เอาจริงดิ? เนื้อเรื่องเหมือนเดิมเป๊ะเลย

ตั้งแต่วิธีที่ยูจิถูกแกล้ง ไปยันตัวหนิงซึ่งจะมาช่วยฝึกยูจิให้แกร่ง ทุกอย่างเป็นไปตามนิยายต้นฉบับยกเว้นตัวร้ายที่เปลี่ยนไป

แต่มันก็ยังมีจุดที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง…หนิงจะไม่มาหายูจิโดยตรง

จุดเปลี่ยนของเนื้อเรื่องสองจุดคือ ‘ตัวร้ายไม่ใช่ผม’ และ ‘หนิงไม่ยอมอยู่เฉย’ ถ้าเกิดว่าเนื้อเรื่องจะคงเดิมตลอดอยู่แล้ว เช่นนั้นทำไมยังมีจุดเปลี่ยนอยู่ ..หรือว่าเรื่องของหนิงจะเปลี่ยนตั้งแต่เมื่องานวันเกิดคราวนั้นแล้วกัน?

ผมเกิดสงสัยขึ้นมา แต่ข้อสงสัยก็พลันหลุดจากหัวไป เนื่องจากการทะเลาะวิวาทของสองสาวเบื้องหน้า—-

“เป็นถึงหัวหน้าคณะกรรมการนักเรียนแท้ๆ แต่มันนั่งจู๋จี๋กับนักเรียนปี 1 เนี่ย ดูไม่ได้เลยนะ”

“พูดอะไรกันค่ะท่านหนิง ฉันแค่พูดคุยให้คำแนะนำกับเด็กใหม่เท่านั้น” ไอริสลูบแก้มตัวเอง “ได้ข่าวมาว่าเขาถูกรังแกคะ ในฐานะคณะกรรมการแล้วจะปล่อยให้ลอยนวลมิได้”

“ไม่ยักรู้เลยนะว่านางจิ้งจอกทำอะไรดีๆ กับเขาเป็นด้วย”

“แหม่ พูดอะไรกันคะนั่น”

ทั้งสองจ้องตากันคล้ายกับสัตว์ประหลาดสองตัวที่กำลังแย่งเหยื่อกันอยู่ ตัวเหยื่อ (ยูจิ) เองก็ขาสั่นไม่หยุดเลย

เป็นตัวเต็งนางเอกที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเองเหลือเกิน

“หน้าที่ดูแลยูจิ ตัวฉันสภานักเรียนจะให้ความดูแลเอง”

“หน้าที่ท่านคือดูแลภาพรวมของโรงเรียน กับตัวบุคคลมันหน้าที่ฉันนะคะ”

“..เข้าใจแล้ว” หนิงยิ้มให้ “เรื่องการติดต่อผิดกฏหมายของเธอ ฉันจะทำยังไงดีนะ? ”

หนิงเริ่มขู่ฟ้องแล้ว!

ผมถึงกับหน้าซีกเผือก เป็นการเดินหมากที่ชั่วร้ายมาก

“ลองให้ข้อมูลหลุดไปดูสิคะ ต่อให้ท่านจะเป็นเจ้าหญิงหรือใครมาจากไหนก็ตาม แต่..จะซวยเอานะ”

—นั่นใช่การคุยกันของเด็ก JK เรอะ!? คุยกันซะอย่างกับนักการเมืองจอมคอร์รัปชันเลย

“เดี๋ยวเถอะๆ พวกหล่อนหยุดเลย”

ให้คุยกันมากกว่านี้คงไม่งามแหง ภาพที่สภานักเรียนกับคณะกรรมการนักเรียนแฉเรื่องผิดกฎหมายของกันและกัน ไม่ว่าจะทางใดก็โคตรดำมืด ซ้ำร้ายยังเป็นแค่เด็กอายุ 15-16 ด้วย

โลกใบนี้จะดำมืดเกินไปแล้ว

“อย่ามาขวางนะ” หนิงมองผมเยี่ยงแมลงสาบ

“นี่คือปัญหาของฉันกับท่านหนิงค่ะ”

“พวกหล่อนอย่าเอาปัญหาของยูจิมาเป็นหัวข้อสิ มันคือปัญหาของยูจิต่างหาก” ผมถอนหายใจ “คิดจะมาช่วยยูจิหรือมาหาผลประโยชน์ให้ตัวเองกันหะ ไอ้สองตัววุ่นวาย”

ไอริสดูไม่สะเทือนอะไร กลับกันหนิงค่อนข้างหวั่นไหวกับคำพูดของผม บ่งบอกได้เลยว่าเป้าหมายหลักของแต่ละคนคืออะไร

“…เข้าใจแล้ว”

หนิงยอมถอยง่ายๆ

“เช่นนั้นยูจิ มาคุยธุระกันต่อเถอะค่ะ”

ยูจิสะดุ้งเฮือกก่อนจะเกาแก้มตัวเองหน่อยๆ

คงคิดว่า ‘นึกว่าเรื่องจะจบแล้วซะอีกครับ’ แหง

“..ครับ คือที่บอกว่าจะช่วยฝึกเวทมนตร์ให้ผมเนี่ย”

“ค่ะ เพื่อรับมือกับการ์ป”

มาอีหรอบนี้เลย ตรงกับเนื้อเรื่องฉบับนิยายเป๊ะๆ

จนถึงตอนนี้ผมยังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมต้องฝึกให้ยูจิ แทนที่จะไปเคลียร์กับตัวการ์ปแบบตัวต่อตัว หรือในนิยายต้นฉบับก็ด้วย

ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย ไอริสคิดอะไรอยู่ผมไม่รู้เลย เด็กมัธยมปลายในโลกนี้มันจะคิดไกลเกินไปละ ทำอย่างกับตัวเองอยู่ในช่วงชิงอำนาจแล้วซะอย่างนั้น–ก็เข้าใจอยู่หรอก ในยุคสมัยนี้ก็ประมาณนี้แหละ

“…ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องสู้กับคุณการ์ปเลยนี่ครับ ผมเองก็ไม่อยากสู้กับเขาด้วย แล้วไม่คิดว่าจะสู้ชนะด้วย ผมเป็นเด็ก ‘สายทฤษฎี’ นะครับ”

“ใช่แล้ว ไม่เห็นมีความจำเป็นเลย” หนิงเดินมาบังยูจิไว้ “ฉันจะเคลียร์ปัญหากับการ์ปให้เอง”

แบบนั้นคงดีที่สุดแล้วละ แต่ในมุมคนที่เห็นอนาคตอย่างผม เป็นไปได้ก็อยากเลือกให้ยูจิฝึกฝนมากกว่า

ยังไงในอนาคตเขาก็ต้องสู้กับจอมมารเชียวนะ ถ้าไม่เตรียมตัวไว้ก่อนไม่แย่เอาหรือไง

“ฟังนะคะท่านหนิง การ์ปเขาเป็นคนใหญ่คนโต ลำพังพวกเราจะทำอะไรเขาได้คะ? ท่านน่าจะรู้สภาพสังคงของโรงเรียนนี้ดี ถ้าอยากแก้ปัญหาพวกคนใหญ่คนโตรังแกสามัญชน ก็ต้องเริ่มจากจุดเล็กๆ ที่ลามเข้าไปข้างในสังคมขุนนางได้ ให้ยกตัวอย่างก็เช่น ‘มีเด็กจากสามัญชนสามารถชนะการประลองกับขุนนางได้ และได้ขึ้นเป็นคณะกรรมการนักเรียนโดยมีแบ็คเป็นลูกสาวขุนนางชั้นสูง’ ” หนิงยิ้มประหนึ่งตัวร้าย “ถ้าทำเช่นนั้นได้ไม่คิดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เลยหรือคะ? ”

ผมหยักไหล่ตอบ หนิงกับยูจิทำอะไรไม่ถูก

“แน่นอนว่าทั้งหมดอยู่ในฐานความต้องการของยูจิ ถ้าเขาไม่ต้องการฉันก็จะไม่บังคับ”

ยูจิมองสลับไปมาระหว่างผมกับหนิงและไอริส เขาค่อยๆ ยิ้มให้ และตอบคำถามที่ใครๆ ก็รู้ว่าจะตอบอะไร

“ถ้ามันช่วยอะไรใครได้บ้าง ก็เข้าใจแล้วครับ” ยูจิกล่าวทั้งรอยยิ้ม

เท่านี้เนื้อเรื่องก็ดำเนินไปอย่างไม่มีอะไรติดขัด

หลังจากนั้นก็คุยเรื่องรายละเอียดการฝึกฝน ก่อนที่ไอริสจะโบกมือบายเพราะมีเดทกับเคียวยะ น่าจะแค่พูดเล่นนั่นแหละ เพราะเร็วๆ นี้งานสานสัมพันธ์ใกล้เข้ามาแล้ว

โดยในงานจะเปิดเผยรายชื่อคนที่ได้เป็นคณะกรรมการนักเรียน ซึ่งเคียวยะก็คือหนึ่งในนั้น ทั้งๆ ที่เขาเป็นสามัญชน

วันงานคงจะวุ่นวายทีเดียว

ผมก่ายหน้าผากขณะที่กำลังยืนอยู่ข้างหนิง โดยมียูจินั่งอยู่ตรงหน้า

ยูจิกับหนิงจ้องหน้ากันโดยไม่ขยับเขยื้อนอะไร ในมุมของยูจิคือใครที่ไหนไม่รู้ที่ออกตัวมาช่วยเค้า ส่วนอีกมุมของหนิงคือรักแรกพบที่จากกันมานาน ถึงจะไม่แสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนแต่ก็เห็นได้เลยจากติ่งหู ..แดงแจ๋เลย

เห็นแล้วอายแทน

“คิดดีแล้วรึยูจิ ที่รับคำขอของรุ่นพี่ไอริสน่ะ”

“ไม่ได้เสียหายอะไรมากอยู่แล้วครับ ฮะๆ ”

สายทฤษฎีเรียนหนักสุดๆ ยูจิจะแบ่งเวลาถูกมั้ยนะ

“..จะว่าไป” ยูจิมองไปทางหนิงอีกรอบ

ภายนอกอาจจะเห็นหนิงเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์อะไร ความจริงคือหล่อนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก เพราะฉะนั้นถึงคราวผมทำงานแล้ว

ผมผายมือแนะนำตัวหนิง

“คนๆ นี้ชื่อ ‘หนิง’ น่ะ เป็นรุ่นพี่ปี2 ที่ได้รับตำแหน่งเป็นประธานสภานักเรียนคน”

อนึ่งคนทั่วไปไม่รู้ว่าหนิงคือเจ้าหญิง

“เป็นคนเก่งน่ะ เจ๋งดีมั้ย? ”

“สุดยอดเลยนะครับเป็นถึงหัวหน้าได้ตั้งแต่ปีสอง”

ยูจิตบมือให้รัวๆ ท่าทางน่ารักนุ่มนิ่มชะมัดชายคนนี้

หนิงกระแอ่มเบาๆ คงอายไม่น้อย

“ไม่ขนาดนั้นหรอก ฉันแค่พยายามทำหน้าที่ในฐานะนักเรียนให้ดีที่สุดเท่านั้น”

ทำเป็นถ่อมตัวไป

“เป็นความคิดที่ดีมากเลยนะครับ”

ยูจิยิ้มให้และจ้องหน้าของหนิงอีกครั้ง เขาจ้องไม่วางตาก่อนจะค่อยๆ เกาแก้มตัวเอง

“..คุณหนิงเนี่ยให้กลิ่นอายเหมือนกับเจ้าหญิงเลยนะครับ”

“—-พร้วดดดด!!! พูดอะไรของนายเนี่ย ยูจิ! ”

หนิงตัวแข็งไปแล้วนะนั่น อุตส่าห์พอคุยกันได้แล้วแท้ๆ

“เปล่านะครับ ไม่ได้หมายความในทางนั้น ไม่สิ จะหมายความในทางนั้นก็ได้แต่ผมไม่มีประสงค์ร้ายนะครับ”

“แล้วยังไงละเห้ย? ”

“..คิดว่าอยากสนิทกันไว้น่ะครับ ฮะๆ ”

ไอหมอนี่พูดอย่างนั้นกับคนพึ่งเจอกันได้แบบไม่มีเขินอายเลย ร้ายนักเจ้าพระเอก

“อ๊ะ ลืมไปเลย” ยูจินึกเรื่องสำคัญได้จึงหันหน้าไปหาหนิงด้วยรอยยิ้ม “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ ผมชื่อ ‘ยูจิ’”

วินาทีนั้นหนิงได้ตกหล่นลงไปในห้วงแห่งความรัก

 

 

****

ยูจิกับหนิงทำความรู้จักกันโดยสังเขปเสร็จก็พากันแยกย้ายกลับห้องเรียน เพื่อเตรียมเรียนคาบบ่ายต่อ

ตอนนี้เลยเหลือแค่ตัวผมกับหนิงที่ไม่ได้ซีเรียจเรื่องเข้าเรียนสายสักเท่าไหร่ พวกเรานั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้ยาวซึ่งยูจิใช้นั่งตะกี้ แต่ถึงจะอยู่ด้วยกันก็ไม่ได้คุยอะไรเลย

ผมได้แต่มองสาวน้อยที่นั่งเหม่อลอยมองนกที่บินผ่านมาผ่านไป ใช่แล้วละ หนิงคือสาวน้อยซึ่งได้ตกหลุมรัก รักแรกพบอีกครั้ง

แหม่ๆ โรแมนติกชะมัด ไอ้พวกมีคู่เนี่ยลกหูลกตาชะมัด!

ถึงจะจงใจใช้สายตามองเท่าไหร่แต่ยัยนางเอกหลักก็มิได้สนใจอะไรเลย หล่อนเสพรสชาติแห่งความรักโดยไม่อายสายตาใคร

“ดีใจด้วยละ”

“..” หนิงจ้องหน้าผม “เรื่องอะไรละ? ”

หวา เปิดเผยซะขนาดนี้คิดว่าคนเขาจะไม่รู้หรือไง ก็จริงอยู่ที่หน้าหล่อนนิ่งจนคนเขาเดาความรู้ยาก แต่ตัวผมเดาได้เพราะเป็นแฟนคลับนิยาย

ผมแสยะยิ้มฉบับตัวร้าย

“เรื่องยูจิไง เหมือนสนใจเขาอยู่นี่”

“ไม่ได้เหรอ? ”

“ถามแบบนั้นมันชวนหาเรื่องนะ”

“นายแค่คิดว่าคนอื่นที่พูดอะไรเชิงตั้งคำถามหน่อย มันเป็นการหาเรื่องก็เท่านั้นเอง”

“-ก ก็จริงอยู่ที่เป็นแบบนั้นแต่ที่พูดเนี่ยไม่แรงไปหน่อยเรอะ เห็นแบบนี้แต่ฉันค่อนข้างหวั่นไหวนา”

ปากเสียชะมัดยัยนี่ ผู้หญิงที่ผมเจอช่วงนี้มีแต่พวกปากเสียหรือไงกัน แม้แต่เบลลามียังปากเสียใส่ผมเลย (แบบที่ไม่ตรงกับใจ)

“เช่นนั้นก็ขอโทษด้วย”

“เอาเถอะ—แล้วอะไรทำให้ดลใจชอบยูจิละ”

“…จริงๆ แล้วเมื่อตอนเด็กพวกเราเคยเจอกันน่ะ ทั้งฉันและยูจิ ..รวมถึงนายด้วย”

นั่นสินา เคยเจอกันจริงๆ นั่นแหละ แต่กลับไม่มีใครจำได้เลยนอกจากตัวหนิง

“โทษทีนะ แต่ทั้งฉันและยูจิจำไม่ได้เลย”

“ไม่แปลกหรอก มันตั้งหลายปี พวกนายอาจจะลืมหน้า หรือลืมอะไรเกี่ยวกับฉันไปมากมาย แต่ฉัน..”

ไม่ได้นานอะไรเลย ตอนนั้นอายุตั้ง 12-14 กันแล้วทั้งนั้น ไม่มีทางลืมเรื่องสำคัญขนาดนั้นได้หรอก ทั้งอย่างนั้นหนิงกลับพูดเช่นนั้น

“…ฉันจะไม่มีวันลืมเด็ดขาด” —-หนิงยิ้มร่า “ก็เพราะยูจิออกจะหล่อตั้งขนาดนั้น”

“อ่อเรอะ! แล้วตูละ! ”

ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเพื่อเรียกร้องความสนใจให้มีผมในบท

ก่อนหน้านี้ใช้แทนว่า ‘พวกนาย’ แท้ๆ ตอนพูดบทซึ้งๆ ดันพูดถึงแค่รักแรกพบตัวเองซะงั้น ไม่แฟร์เลย!

“ทั้งอย่างนั้นกลับไม่เขินเลย ช่วยเขินหน่อยไม่ได้หรือไงหะ!? ”

“หน้าตาตลกดีเลยจำได้”

“นิสัยเสียชะมัด เดี๋ยวก็เอาไปฟ้องยูจิซะหรอก”

หนิงถึงกับหน้าซีกเผือก ละทำทีจะวิ่งมาเกาะแขนผม

“-ด เดี่ยวก่อน คุยกันก่อนนะ–นะ! ”

“อะไร? ”

“ขอทีเถอะนะ มันสำคัญมากจริงๆ ” หนิงจะร้องไห้แล้ว “ขอร้องละ ช่วยทีนะ! ”

“..จังหวะนี้ต้องพูดอะไรก่อน”

ผมทำเป็นเชิดหน้ามองหนิง เธอเองก็ติดกับเอาง่ายๆ พอพูดขู่อะไรเกี่ยวกับยูจิก็เชื่อฟังเอาง่ายๆ เลย

“..เข้าใจแล้ว” …หนิงยกชายกระโปรงขึ้น “พวกผู้ชายนอกจากยูจิแล้วก็เป็นสัตว์ป่ากระหายเลือดดีๆทั้งนั้น”

“เดี่ยวดิ ประโยคพูดมันชวนเข้าใจผิดนะ”

พูดจบเธอก็ยกกระโปรงขึ้นสูง—–จนเห็นกางเกงใน แต่ภาพก็พลันดับเพราะการแทรกแซงของยูนา

‘ห้ามมองคะ’ ยูนาว่าอย่างนั้นผมจึงไม่เห็นด้วย

เป็นการตัดมิติที่ยอดเยี่ยมมากไอ้บ้าเอ๊ย อย่ามาขวางกันเซ้! ไม่สิ ไม่ว่าทางไหนแบบนี้มันอาชญากรรมชัดๆ ขืนมีใครมาเห็นเข้าต้องไม่ดีแน่ ข่าวลือความเลวของผมได้พอกต่อกันยาวเหยียดแหง ที่สำคัญทำไม่ดีกับหนิงไปแล้วด้วย

“..ปล่อยกระโปรงลงเถอะ ฉันไม่ได้สนใจอะไรอย่างนั้นสักหน่อย”

โกหกครึ่งไม่โกหกครึ่ง ถ้าหากไม่ถูกยูนาตัดมิติจนเห็นเป็นเศษกระจกแตกสีม่วง ผมคงจะสนใจอย่างแน่แท้ ก็เป็นชายแท้นี่นะ แต่ไม่ว่าจะทางไหนการได้ดูกางเกงในของหญิงสาวแบบนี้มันไม่เท่เลย ไม่สมลูกผู้ชายเลยสักนิด

“…เหรอ” หนิงปล่อยมือลงโดยไม่เขินอายอะไรทั้งสิ้น “แล้วจะให้ทำอะไรละ? ”

“ขอโทษมาซะ แค่นั้นแหละ”

..แน่นอนว่าขำๆ นะ ไม่ได้จริงจังอะไร—ทว่าหนิงกลับมีสีหน้าลำบากใจ

“..ขืนใจแล้วเอา ‘ครั้งแรก’ ของฉันเลยยังจะดีกว่า”

เอาจริงเอาจังขนาดนั้นเลยรึ?

“แค่ ‘ขอโทษ’ มันพูดยากขนาดนั้นเลยเรอะ! ”

“ตั้งแต่เกิดมา ..ฉันยังไม่เคยขอโทษใครเลย! ”

“โว้ย! ฝึกขอโทษตั้งแต่เนิ้นๆ ก็ได้อีหนู! ยังไง โตไปเดี่ยวต้องขอโทษคนนู้นคนนี้ไปทั่วอยู่แล้ว! นั่นแหละสังคมของผู้ใหญ่! ”

“เจ้าหญิงเขาไม่ขอโทษใครไปทั่วหรอก! ”

หลุดชื่อตำแหน่งตัวเองมาแล้วนะหล่อน!

“เอาเถอะน่า แค่พูดสองคำเอง ขอ-โทษ แค่นี้เอง ง่ายๆ! ”

“ไม่! ไม่! ไม่! ไม่ๆๆๆๆ! ”

หล่อนส่ายส่ายหัวรัวๆ อย่างกับเด็กประถมผู้ปฏิเสธผักของแม่จ๋า

“โชว์กางเกงในให้ผู้ชายดูหน้าตาเฉยได้แท้ๆ แต่ขอโทษคำเดียวยังพูดไม่เป็นเนี่ยนะ”

ต้องดัดนิสัยตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว หนิงจิ๊ปากอัดหน้าผม แล้วกระทืบเท้าสองที

“หนวกหูชะมัด เป็นแค่ขุนนางที่โหนเจ้าแท้ๆ! ”

“พ่อตูไม่ได้โหนเจ้าเฟ้ย! ”

“หนวกหู! ฉันเองก็มีเหตุผลนะ”

“ไหนบอกเหตุผลมาทีสิ”

หวังว่าจะฟังขึ้นนะ—-

“จะใช้ครั้งแรกตอนงานแต่งกับยูจิ จากนั้นก็จะขอโทษในบางวันที่ลืมทำข้าวเย็นให้ สุดท้ายเลยต้องมาช่วยกันทำข้าวกินน่ะ เนื้อตัวชิดกัน..แล้วก็” หนิงอมยิ้มกับตัวเอง พลางลูบปลายผมไปด้วย “..หอมแก้มกัน และนอนกอดกันอย่างบริสุทธิ์”

“…คิดถึงขั้นแต่งงานเลยรึ”

ไปกันใหญ่แล้ว—ผมถึงกับหน้าเหวอ

ไม่ได้คำนึงถึงความต่างทางฐานะเบื้องต้นเลย แล้วยังจะฝันหวานว่าได้อยู่บ้านหลังเดียวกับเขาจนมีเวลาให้กันอีก …ความจริงควรจะเป็นยูจิเหนื่อยจนเข้านอนทุกวันเลยไม่มีเวลาให้ ทำให้หนิงเหงาต่างหาก นี่แหละโลกสายดาร์กของเราๆ

แต่ว่า…บ้าเอ๊ย ขัดไม่ได้ สายตาสาวน้อยของหนิงมันชั่งเจิดจรัส ถ้าขัดไปมีหวังโดนเกลียดจริงจังแหง

ผมได้แต่เก็บงำความขัดใจไว้

“…เข้าใจแล้ว”

“เช่นนั้นจะให้ทำอะไรตอบแทนดีละ? ”

ยังจะทวงถามอีกนะ—-ถ้านั้นก็

“เอาไงเอากัน” ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มที่และโพ่งออกไป “ช่วยเป็นเพื่อนกับฉันที”

“…น่าสงสารจัง” หนิงลูบแก้มตัวเองพลางมองผมอย่างเอ็นดู

ท่าทางน่าหมั่นไส้ชะมัด แต่เอาเถอะ

“…”

เธอจ้องหน้าผมโดยไม่พูดอะไร ก่อนที่แก้มจะค่อยๆ แดง

“เพื่อนเหรอ? ”

คำคำนี้สำหรับหนิงไม่เคยมีอยู่ในหัวเลย เธอมีแค่คำว่า ‘คนรัก’ อย่าง ‘ยูจิ’ เท่านั้น แต่มันคงเป็นคำที่น่าพิศวงชอบกลสำหรับเธอ

ความโหยหาของเธอจนถึงตอนนี้มันมีอะไรบ้าง ผมไม่รู้หรอก ที่ผมรู้มีเพียงแค่เธอตรงหน้าซึ่งเป็นเด็กที่ต้องการความรักเท่านั้น

นี่แหละก้าวแรกในการช่วยหนิง ผมยื่นมือไปให้

“คิดดูสิหนิง ตัวเธอที่จะได้กินข้าวเที่ยงกับเพื่อน ไม่จำเป็นต้องไปนั่งแอบๆ กินหขนมปังในห้องสภานักเรียน”

“ทำไมรู้เรื่องนั้นละ”

“ไม่ต้องเหงาตอนปี 1 เพราะไม่มีใครชวนเล่นบอร์ดเกมตอนไปทัศนศึกษาเลย”

“ขอถาม ทำไมถึงรู้ได้กัน!? ”

“ไม่จำเป็นต้องโดนน้าภารโรงมองแบบเวทนาในงานกีฬาโรงเรียนด้วย! ”

“หยุดพล่ามได้แล้ว!! ที่สำคัญรู้ได้ไงกัน! ”

แม้หนิงจะพุ่งมาเกาะเสื้อผมแต่ผมก็ไม่หยุดจะโพ่งออกมา

“จะได้คลั่งรักเรื่องยูจิให้เต็มที่เลย อยากเล่าอะไรเล่าได้เลย กระทั่งเรื่องที่ตัวเองฝึกวาดภาพเสมือนวาดยูจิเป็นร้อยๆ รูปมาติดไว้ที่ผนังก็ได—”

“ถามจริงรู้ได้ไงกันหา!!!? ”

เพราะผมคือแฟนคลับนิยายเรื่องนี้ไงละ! เพราะผมคือ ‘แฟนคลับ’ — ‘นิยายเรื่องนี้’ ไงละ!!

“ทีเด็ดมันต่อจากนี้ต่างหาก”

“ก็ได้ๆ จะยอมเป็นเพื่อนกับคนน่าอดสู่อย่างนายก็ได้”

“มันคำพูดของทางนี้ต่างหาก” ผมทำหมัดไทไฟต์ “ฝากตัวด้วยละ”

“…อือ เข้าใจแล้ว”

เพราะเหตุนี้ทำให้สามหน่อ (ผม+เคียวยะ+กอรี่) ได้เพื่อนช่วยเขี่ยถั่วฝักยาว 1 คน

****

เย็นวันนี้ซึ่งตรงกับเวลาฝึกของยูจิด้วย ผมก็ได้พาหนิงไปแนะนำให้เคียวยะกับกอรี่ฟัง

หนิงยืนเผชิญหน้ากับทั้งสองด้วยมือที่สั่นเทา

“ตัวสั่นใหญ่เลย ไหวแน่นะ? ”

“ยัยนี่ท่าจะไม่ไหว ตัวสั่นขนาดนั้นจะไปมีเรื่องกับไอนั่นได้ไง”

หนิงเล่ห์มองผมราวกับจะฆ่ากัน เธอกระซิบเบาๆ ข้างตัว

“เดี่ยวสิ ไหงพาฉันมารู้จักกับพวกเด็กเกทั้งนั้นเลยละ”

“เด็กเก? พูดอะไรของหล่อน ที่เห็นคือสมาพันธ์เขี่ยถั่วฝักยาวต่างหาก”

ต้องเกริ่นไปก่อนว่าสมาพันธ์เขี่ยถั่วฝักยาวได้ก่อตั้ง ตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อ—

“หา!? หน้าอย่างไอ้พวกนี้เนี่ยนะ”

“เดี๋ยวเถอะ พูดจาไร้มารยาทชะมัด ไม่ว่าหน้าตายังไงก็มีสิทธิ์เขี่ยถั่วฝักยาวได้ทั้งนั้นด้วยเฟ้ย! ”

“ถามจริง? แล้วไอ้สมาพันธ์เขี่ยถั่วฝักยาวนั่นมันอะไร ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”

กอรี่ยกมือขึ้นอธิบาย

“ต้องย้อนกลับไปเมื่อหลายพันปีก่อนละนะ”

“ถามจริง!!? ”

“สมัยที่พวกขุนนางมีอิทธิพลมากจนไม่ต้องสนหัวประชาชน ในยุคนั้นขุนนางกวาดเอาผักทั้งหมดจากสามัญชนมาให้ตัวเองเพราะคิดว่ากินผักแล้วฉลาด” เคียวยะพูดอธิบาย สลับไปกับกอรี่

“ยุคนั้นจึงเกิดธรรมเนียมปลูกถั่วฝักยาวขึ้นเพื่อส่งให้ขุนนาง เพราะคำเรียกร้องคือ ‘ผัก’ มิใช่ ‘ผักที่ถูกปาก’ ชาวบ้านพากันเปลี่ยมส่งถั่วฝักยาวไปให้ขุนนางจนล้นห้องครัว” กอรี่กอดอกพึมพำ

ผมเองก็กอดอกอธิบายต่อจากพวกเขา

“หลังจากนั้นเลยเกิดอาชีพเขี่ยถั่วฝักยาว”

“หลุดโลกไปแล้ว! ”

“สุดท้ายเลยกำเนิด ‘สมาพันธ์เขี่ยถั่วฝักยาว’ ขึ้นมาน่ะ”

ผมแหงนหน้ามองฟ้าประหนึ่งระลึกอดีต กอรี่และเคียวยะก็เช่นกัน

“หัวหน้าสมาพันธ์ยุคแรกตายเพราะใช้เวลาแยกถั่วฝักยาว 80 ชั่วโมงติดต่อกันน่ะ”

“…” หนิงนิ่งไป

“ต่อมารุ่นที่สองซึ่งเป็นลูกของรุ่นแรก ก็ทำสมาพันธ์ล่มเพราะเบื่องานเขี่ยถั่วฝักยาว”

“แล้วจะรับช่วงต่อทำซากไรเล่า!! ไม่ไหวแล้วโว้ย! ฟังไว้นะไอ้พวกรากหญ้าจอมเลือกกิน” หนิงแหกปากโวยวายยกใหญ่

“อ่าๆ มีอะไรก็ว่ามาเลย” ผมยักไหล่ให้

“เด็กใหม่ก็บ่นงี้ประจำ พอเห็นเงินเข้าหน่อยก็เลิกบ่น” เคียวยะนับเงินในกระเป๋า

“ก็นะ การเขี่ยถั่วฝักยาวมันเงินดี่จะตายนี่” กอรี่ทำเครื่องหมายเงิน

“——-ฉันชอบกินถั่วฝักยาว!!! ชอบกินทุกอย่างเลย เพราะฉะนั้นขอลาละ! ”

“ช้าก่อนแม่นาง! ” เคียวยะพุ่งตัวไปขวางทางหนิงที่จะเดินหนีไป และยื่นมือไปให้ “…แบบนั้นยิ่งดีเลยไม่ใช่รึไงฮะ? ”

“..หมายความว่าไง—-”

“ก็..ไม่ใช่ว่าแกจะได้กินถั่วฝักยาวมากเท่าที่ต้องการหรือไง”

เคียวยะแสยะยิ้ม

“ค่าคนกลางอย่างตู 20 เปอร์ เข้าตัวหล่อนอีก 80 เลย”

เคียวยะมันกล้านัก คิดจะดีลกับหนิงตามใจชอบ แล้วเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองคนเดียวเลย ชั่วจริงๆ

“ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินเสียหน่อย”

“อะไรกัน เกิดกลัวกินไม่ไหวรึไง ท่านสภานักเรียน” เคียวยะเดินเข้าไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างข้างหูหนิง

…ทันทีที่อธิบายดีลจบ น้ำลายหนิงก็ไหลยืด

“…ชิ” หนิงลำบากใจเล็กน้อย กำหมัดแน่นและลงดาบตัดสินใจบางอย่างได้—- “เข้าใจแล้ว จะเป็นเพื่อนกับพวกสมาพันธ์ไร้สาระก็ได้”

ทั้งสามหน่อต่างกำหมัดดีใจกัน

“ถ้านั้นก็ไปละ”

เมื่อจบการดีลได้ด้วยดีแล้ว เคียวยะก็โบกมือลาพวกผม กอรี่ก็เดินตามๆ ไป

“ฉันด้วย มีงานเข้า”

กอรี่พูดอย่างกับนักฆ่าที่รับงานจบก็เดินคู่เคียวยะกลับกัน

สุดท้ายเลยเหลือแค่ผมกับหนิง

ผมหันไปจะชวนหนิงคุยต่อ—-แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรไปเพราะเห็นหล่อนดูฟุ้งซ่าน

หนิงเม่อลอยมองเคียวยะกับกอรี่

“…นั่นสิเนอะ”

นางเอกต้นฉบับ ไม่เคยสัมผัสสิ่งสิ่งนี้ละนะ———–

 

 

“ยินดีต้อนรับ”

 

 

“…นี่” หนิงมองผม “เมื่อกี้พูดอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า ไม่มีอะไร ที่สำคัญจะไปดูยูจิฝึกไม่ใช่หรือไง? ”

“—อือ …จะว่าไปสมาชิกทั่วฝักยาวมีกี่คนกัน”

“อย่าพูดเหมือนพวกฉันเป็นแฟนคลับถั่วฝักยาวเซ้”

“ขี้เกียจเถียงละ”

“…สี่คนได้ พนักงานประจำสาม แล้วมีพนักงานพาร์ทไทม์อีกคนชื่อ ‘เบลลามี’ น่ะ”

เบลลามีหน้าที่คล้ายกับหนิง เธอแค่นั่งกินถั่วฝักยาวเพราะชอบเท่านั้น

“…แบบนี้นี่เอง”

เหมือนหนิงจะเริ่มยิ้มให้คนอื่นที่ไม่ใช่ยูจิบ้างละ–ถึงจะแค่หน่อยเดียวก็ตาม

******

ณ โรงอาหารโรงเรียน เวลาเย็น

 

 

เบลลามีกำลังนั่งจ้องโซเฟียผู้มองข้าวในชามของตัวเองไม่วางตา

ข้าวในชามของโซเฟียคือ ‘กะเพราหมูสับ’ ที่ใส่ถั่วฝักยาวเยอะกว่าข้าวเสียอีก เนื่องด้วยเหตุผลทางสังคมที่มีพวกคนไม่มีกะตังค์ปั่นหัวให้ใส่ถั่วฝักยาวเยอะๆ เพื่อให้พวกมีตังค์ไปจ้างพวกเขากินหรือเขี่ยถั่วฝักยาวให้ ..นั่นก็ทำสืบต่อกันมาหลายปี จนมีเด็กหลายต่อหลายคนได้ผลกระทบกับเรื่องนี้

เพราะเหตุผลทางคอร์รัปชันในโรงเรียน ทำให้ทั้งคณะกรรมการนักเรียนและสภานักเรียนไม่ได้มายุ่งเกี่ยวอะไรกับธุรกิจมืดนี้เลย

“…ร้านกะเพราเขาเปลี่ยนไปเป็นร้านถั่วฝักยาวแล้วสินะ” โซเฟียพึมพำอย่างเศร้าใจ เธอตัดถั่วเข้าปากหนึ่งชิ้น “….อึก ฮือ..แม่จ๋า”

โซเฟียไม่ถูกกับถั่วฝักยาวอย่างแรง การกินถั่วฝักยาวของเธอไม่ต่างกับการกินขี้เลยละ

กินไปก็น้ำตาล้วงไป

“…สองชิ้นแล้วนะ”

“ลำบากแย่เลย”

ในห้วงแห่งความสิ้นหวังเบลลามีก็ทักขึ้น ทั้งสองจ้องหน้ากัน

“นี่”

เบลลามียื่นนามบัตรไปให้ โดยที่เขียนจั่วหัวไว้ว่า ‘สมาพันธ์เขี่ยถั่วฝักยาว’

“เรเซอร์บอกว่าเวลามีคนจะร้องไห้เพราะถั่วฝักยาวให้ยื่นกระดาษนี่ให้ ..ลำบากอยู่ใช่มั้ย? ”

“จะว่าลำบากก็ได้อยู่หรอก”

“เพราะตั้งแต่เด็กแม่สปอยเขี่ยถั่วฝักยาวให้ตลอด เลยกินมันไม่ไหวสินะ”

หากเป็นคนทั่วไปคงคิดว่า ‘ยัยนี่พูดหาเรื่องกันชัดๆ ’ แต่โซเฟียกลับคิดไปอีกแบบ—– ‘ใส่ใจเราขนาดนี้เลยเหรอ? ’ โซเฟียคิดเช่นนั้น เธอดีเกินกว่าจะคิดร้ายได้หากคนคนนั้นไม่ชั่วถึงขนาดขโมย กกน.

“ลำบากแย่เลยนะ ถั่วฝักยาวเนี่ยขี้จุกจิกจังนะ ..เพราะมีพวกคอร์รัปชันทำให้โรงเรียนมีแต่ถั่วฝักยาวน่ะ เพราะอย่างนั้น” เบลลามีพลิกหน้าหลังของนามบัตรให้ดู “จ้างเรากินถั่วฝักยาวได้นะ”

หล่อนพูดมาโดยที่หารู้เลยว่าตัวเองก็ใช้ประโยชน์จากการโกงของใครสักคน——–แต่โซเฟีย ไม่สิ เบลลามีด้วย ทั้งสองไม่รู้เลยว่าทำอะไรผิดอยู่

เบลลามีมึนเกิน ส่วนโซเฟียก็ดีเกิน

เป็นการดีลที่เปี่ยมไปด้วยความเข้าขา

“..ฝากด้วยนะ สมาพันธ์เขี่ยถั่วฝักยาว”

“อือ วางใจเราได้เลย—อีกอย่างเราชื่อ ‘เบลลามี’ นะ”

เบลลามีเลียนแบบวิธีพูดของเรเซอร์จบก็ทำงานของตัวเอง—-ทั้งสองได้เป็นเพื่อนกันแบบลับๆ หลังจากนั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด