เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! 22: ปฐมบทของตัวร้ายมันต่อจากนี้ไปต่างหาก!

Now you are reading เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! Chapter 22: ปฐมบทของตัวร้ายมันต่อจากนี้ไปต่างหาก! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

< < 20 > >

บนเรือไอน้ำซึ่งเต็มไปด้วยแขกผู้มีเกียรติ ในนั้นเองก็มีผมอยู่ด้วย

“เป็นยังไงบ้างจ๊ะเรเซอร์?”

แองเจลิน่าเอ่ยถามผมทั้งรอยยิ้ม

คงหมายถึงงานฉลองวันเกิดหนิง

“อืม สนุกมากๆ เลย ..ที่สำคัญเหมือนจะได้เพื่อนใหม่สองคนด้วย”

“ดีเลยสิแบบนี้”

ผมเท้าคลางพลางพยักหน้ารับ

“ในอนาคตได้เจอกันอีกแน่ อดใจรอไม่ไหวแล้วละ”

“อือๆ ไว้เล่าให้พี่ฟังบ้างนา”

“ไว้อารมณ์มันมานะครับ”

แองเจิล่ายังคงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจอะไร แม้เธอจะถูกผมกวนบาทา

 

******

 

ผ่านไปราว 6 เดือน—-ฤดูกาลเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นหน้าร้อนตามภูมิประเทศที่อยู่

หลังจากจบเรื่องของยูจิและหนิง ผมก็เริ่มฝึกฝนอย่างหนักหน่วง เพื่อสักวันจะได้ฝากตัวเป็นกำลังสำคัญให้กับยูจิ

ผมใช้ชีวิตฝึกฝนเหมือนทุกทีเมื่อกลับมาคฤหาสน์ของตัวเองแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้ต่างไปเล็กน้อยเพราะชีวิตผมมีชีวิตชีวากว่าแต่ก่อนมาก

ไม่เว้นวันผมจะได้เล่นอะไรสนุกโปกฮากับเรเซลและอันนาเสมอ แตกต่างกับสมัยก่อนจนไม่น่าเชื่อ เมดๆ หรือคนงานก็เริ่มสนิทชิดเชื้อกับผมกันแล้วทีละคน อาจไม่ถึงขั้นตบบ่ากันได้แต่ก็คุยล้อเล่นได้เล็กน้อย

ทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นมันทำให้สนุกกับชีวิตจนไม่น่าเชื่อเลย—-เรเซอร์อีกคนน่าจะคิดเช่นเดียวกัน เขาจะไม่มีวันปฏิเสธความสัมพันธุ์เหล่านี้แน่นอน

และตอนนี้สิ่งที่ผมกำลังตั้งตารออยู่ทุกวันก็คือ ‘ชิน’ เขาจะกลับมาเร็วๆนี้แน่นอน ดูเป็นวิธีการที่แย่ แต่ผมขอให้พี่สาวใช้เส้นสายเล็กน้อย ในการช่วยไม่ให้ชินไปทำภารกิจเสี่ยงตาย เพราะฉะนั้นเค้าต้องรอดกลับมาอย่างแน่นอน

ผมเฝ้ารอวันที่จะได้เป็นนายบ่าวกับชินตามคำสัญญา———-

 

—-ในที่สุดก็ถึงวันๆนั้นแล้ว

เสียงฝีเท้าดังขึ้นตามทางเดิน ก่อนที่ประตูห้องของผมจะถูกเปิด

“ท่านเรเซอร์ข่าวสารเกี่ยวกับท่านชินคะ!”

เรเซลโพ่งออกมาด้วยรอยยิ้ม ผมรีบวิ่งตามเรเซลไป จนไปถึงหน้าคฤหาสน์

ชายคนหนึ่งซึ่งสวมชุดเกราะสีเงินเก่าครึกใบหน้าดูแก่และโทรมเกินกว่าวัยไปมาก ดูท่าจะผ่านศึกหนักมาทีเดียว

“..สบายดีรึเปล่าครับ?”

อัศวินตรงหน้าพยักหน้ารับและคุกเข่าลง

“แน่นอนขอรับ ..”

เขาดูมีท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดวงตาดูว่างเปล่า ราวกับได้เห็นนรกมากับตา …

“เกี่ยวกับชิน..”

เขายื่นจดหมายบางอย่างมา———–ผมรับมันไว้ และเปิดออกเพื่ออ่าน ..

“..ไม่จริงน่า”

ทันทีที่เปิดอ่าน ใบหน้าของผมก็หม่นหมอง อย่างกับสมองได้หมุนติ้ว ผมไม่สามารถทำใจให้สงบได้เลย ไม่สามารถคิดคำนวณอย่างมีสติได้ในเวลานี้

เนื้อความในจดหมายนั้นคือ—— ‘คำเชื้อเชิญไปงานศพของชิน’

รายละเอียดกล่าวไว้ว่าแม้จะไม่ค้นพบศพของชิน แต่พวกเขาอนุมานได้จากเศษซากสัญลักษณ์ซึ่งติดตัวของอัศวิน โดยเฉพาะคริสทัลรูปแบบพิเศษในกองอัศวินที่ต้องพกติดตัวเพื่อใช้ยืนยันตัวตรง และคริสทัลลั่นก็เป็นของของชิน ทำให้รู้ว่าในการต่อสู้นั้นไม่เหลือกระทั่งชิ้นเนื้อ…

ในศึกกับอาณาจักรแซร์อิซ มหาอำนาจแห่งทวีปสายลม..ในการต่อสู้นั้นจู่ๆ ‘ผู้กล้า’ ได้ปรากฏตัวออกมา ตัวตนที่ไม่น่าเชื่อได้ปรากฏตัวกลางสงคราม ..แค่เขาเพียงคนเดียวก็ทำให้กองทัพจากเวทมนตร์นิร์ย่อยยับ รวมถึงทัพของชินด้วย

ใครจะคิดละว่าในศึกนั้นสถานที่ปลอดภัยที่สุดจะถูกผู้กล้าบุกเข้ามา และถล่มจนเละ 

‘ผู้กล้า’ อันเป็นตัวตนผู้ยิ่งใหญ่ที่ครอบครองดาบศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในสุดยอดตำนานที่ไม่แพ้กับจอมมาร หรือมังกรธาตุ ..แม้หลังจบรุ่นที่ 1 ผู้กล้าจะอ่อนแอลงมาก แต่ตอนนี้คือรุ่นที่ 100 ที่ว่ากันว่าแก่งเทียบเท่ารุ่นที่ 1 ผู้โค่นจอมมารลงกับมือ …แค่นี้ก็อธิบายถึงเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว

การที่เจอกับตัวตนระดับนั้น ต่อให้เป็นชิน ..คงไม่ไหว จะย่อยยับจนไม่เหลือกระทั่งเศษซากก็ไม่แปลกอะไรเลย อีกฝ่ายน่ะคือสัตว์ประหลาดที่ต่อให้สุดแกร่งในโลกไปเผชิญหน้ายังตึงมือเลย ….

 “…แม่งเอ้ย”

ผมกำกระดาษบอกเล่าเรื่องร่าวแน่น และขยี้มันทิ้ง..บ้าเอ้ย 

—-ผู้กล้า ลำดับที่ 100 ‘แอสทอเรียส’ ในเนื้อหาไลทโนเวลเขาไม่ปรากฏตัวเลยก็จริง แต่ได้ยินวีรกรรมเป็นระยะๆ

…ชินถูกเจ้าหมอนี่ฆ่า

“…ท่านเรเซอร์”

อัศวินตรงหน้าโค้งคำนับก่อนจะขึ้นรถม้า

“ขออภัยจริงๆ ครับ”

เขากล่าวและจากไป คงมีงานต้องทำอีกหลายอย่าง ไม่มีเวลามาปลอบเด็กอย่างผมหรอก แน่นอนผมไม่ได้ต้องการคำปลอบหรอก …ตอนนี้น่ะขอแค่อยู่คนเดียวเงียบๆก็พอ

เรเซลเดินเข้ามาพยายามจะทำให้ผมสงบลง ทว่า

“โทษทีนะเรเซล ฉันขออยู่คนเดียว”

ผมเดินผ่านเธอไปอย่างไม่ไยดี ตรงไปที่ห้องนอนของตัวเอง และฟุบตัวลงนอนกับเตียง

….ทำเป็นพูดดี

….ผิดสัญญากันแบบนี้ได้ไง ไออัศวินหน้าหล่อ—-ที่ผิดไม่ใช่ชิน

“…ไอสารเลวผู้กล้านั่น ฉันจะฆ่ามัน”

‘สงบสติอารมณ์ก่อนค่ะมาสเตอร์’

ผมกัดฟันกรามตัวเองแน่น

“จะให้อดทนอะไรอีกเล่า! มีคนตายไปแล้วนะเว้ย!”

‘ไม่ได้จะบอกให้เลิกแค้นค่ะ’

ร่างวิญญาณของยูนาปรากฏขึ้น เธอคนนั้นมองต่ำมาที่ผมราวกับเป็นเจ้านาย

“…อย่ามาสอนกัน”

ยูนาหัวเราะขึ้นจมูก ท่าทางดูหงุดหงิดแต่ยังหัวเราะร่า

‘สุดท้ายก็เป็นแค่เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม น่าตลกจริงๆ’

“…หุบปากไปเถอะน่า”

ผมคลุมโปงและปิดตาหลับลง แบบนี้แหละดีแล้ว ตอนนี้ขอหลับโดยไม่ต้องคำนึงถึงอะไรทั้งนั้นก็พอ———ภายในฝันที่ผมกับชินได้ยืนเคียงคู่กันในฐานะสหายได้จางหายไปจนหมด ตอนนี้แค่หน้าของชินก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นอีกแล้ว …

 

รู้สึกตัวอีกที ผมก็สังเหตุเห็นถึงข้าวต้มซึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงนอน

…ข้างๆ นั้นมีกระดาษจดข้อความวางไว้ รายมือปราณีตดูตั้งใจเขียนยิ่งกว่าทำข้าวต้มอีก 

‘ขอโทษนะคะท่านเรเซอร์ที่ทำให้ไม่สบายใจ …ขอให้กลับมาร่าเริงในเร็ววัน’ จากเรเซล

‘เรื่องของท่านชินดิฉันเสียใจมากๆ เช่นกันค่ะ อย่างไรซะก็ขอให้ท่านเรเซอร์กลับมาร่าเริงโดยเร็ว’ จากอันนา

ข้อความเล็กๆ ด้านล่างเขียนไว้ ‘ไว้พบกันพรุ่งนี้นะคะ หลับฝันดี หวังว่าข้าวต้มนี่จะถูกปาก’

…ไม่จำเป็นต้องห่วงขนาดนั้นก็ได้

ผมยกชามขึ้นไว้บนฝ่ามือ ตัดมันเข้าปากรัวๆ อย่างตะกละจนหมด และวางมันไว้ที่เดิม ก่อนจะเดินออกจากห้อง—-ไปยันซากโบราณสถาน

พอออกมาข้างนอกทำให้รู้ได้เลยว่ามืดมากแล้ว ผมคงหลับไปนานมาก …

ผมนั่งอยู่บนซากโบราณสถาน เก่าๆโทรมๆ

ผมนั่งคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องราวในจิตใจ

“…ให้ตายสิ”

—วิญญาณของยูนาปรากฏตัวออกมา

ผมยิ้มให้เธอพลางยกมือไหว้

“ขอโทษนายูนา ที่เหวี่ยงใส่เมื่อเช้า”

‘ฆ่าตัวตายฐานทำให้หงุดหงิดเลยค่ะ’

“ไม่ไหวอะ”

ยูนายิ้มเจื่อน

‘ลูกผู้ชายซะเปล่า’

“ไม่ๆ แบบนั้นให้เพศไหนก็ไม่กล้าเฟ้ย!”

ยูนายักไหล่พลางส่ายหัวให้

เป็นคุณวิญญาณที่กวนบาทาใช่เล่น

ผมปล่อยเนื้อปล่อยตัวนอนลงกับซากโบราณ มองไปยันท้องฟ้าซึ่งมีดวงดาวระยิบระยับมากมาย

“ยูนา”

‘คะ?’

“ฉันจะออกเดินทาง”

‘มาแปลกจังเลยคะ’

“อ่า”

ผมยกมือขึ้น พยายามคว้าดวงดาวไว้ในฝ่ามือนี้ ..แต่ไปไม่ถึง ตอนนี้น่ะนะ

“ชินอาจจะยังไม่ตายก็เป็นได้”

ถ้าดูจากหลักฐานเกินเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ชินอาจจะตายแล้ว แต่มันยังมีโอกาสอยู่

“…ที่สำคัญฉันจำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้น จำเป็นต้องรู้เรื่องราวของโลกใบนี้มากกว่านี้ จำเป็นต้องเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุด ..เพราะฉะนั้น”

—-ผมยื่นไปหาเธอผู้เป็นคู่หู

“ยูนา เธอช่วยเดินทางไปกับฉันทีนะ”

ผมกล่าวขอร้องอย่างจริงใจ—-ยูนาถอนหายใจ

‘แน่นอนอยู่แล้วค่ะ ฉันเป็นวิญญาณที่ทำพันธสัญญากับมาสเตอร์นะ จะไม่ให้ตามไปได้ยังไง?’

“นั่นสินะ”

———-

“ฉันจะแข็งแกร่งขึ้นให้มากกว่านี้ยูนา ระดับที่พอซัดหน้าไอ้ผู้กล้าคนนั้นได้ รวมถึงจอมมารดิลุคด้วย”

‘ทำได้แน่อยู่แล้วค่ะ—’ ยูนาเผยยิ้ม “มีฉันอยู่ทั้งคน พวกเราสองคนสามารถไปได้ยันสุดขอบฟ้า ต่อให้ผู้กล้า มังกร หรือกระทั่งจอมมาร ก็จงอย่าได้กลัวไป ที่ต้องกลัวไม่ใช่พวกเรา หากแต่เป็นคู่ต่อสู้ต่างหาก”

 “…มั่นใจเกินไปแล้ว” ผมหัวเราะเบาหวิว

หิ่งห้อยล่องลอยโผล่มาหนึ่งตัว มันผ่านหน้าผมและยูนาไป และหายไปไหนไม่รู้—ราวกับฉากเปิดของเรื่องราง …การผจญภัยของผมได้เริ่มขึ้นแล้ว ณ ที่นี้

 

“จะว่าไปยูนา ..หรือว่าชินจะพลาดท่าเพราะฉันใช้เส้นสายกัน”

‘นั่นสินะค่ะ ไปที่เดิมอาจปลอดภัยกว่าประชันกับผู้กล้าเป็นไหนๆ’

“ถ้านั้นก็หมายความว่า ..ในโลกนิยาย เรเซอร์ก็ย้ายชินเหมือนกันใช่มั้ย? อาจจะใช้เส้นสายของคนอื่นแทน แต่ระดับเรเซอร์ทำได้อยู่แล้ว”

‘เช่นนั้นมาสเตอร์ในโลกเก่ายิ่งน่าสงสารกว่าเก่าเลยนะค่ะนั่น’

ถ้าเป็นอย่างนั้นละนะ—-ผมยิ้มอย่างเหนื่อยล้า

“ตัวฉัน ..เรเซอร์คนเก่า ..ไม่สามารถปกป้องอะไรได้เลย จะตกลงสู่ความมืดคงไม่แปลก ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทั้งพี่สาว ทั้งชิน ทั้งเมดที่รักทั้งสอง รวมถึงเรเซอร์ด้วย ปกป้องทุกคนไม่ได้ไม่พอ ยังปกป้องตัวเองไม่ได้..แต่ว่านะ” ผมผงกหัวลง “อย่างน้อยๆ ในอนาคตเขาก็สามารถปกป้องคนรักของตัวเองได้”

จุดจบเช่นนั้นของเรเซอร์น่ะ—อาจไม่เลวนักก็ได้ สำหรับไอ้ตัวร้ายแสนจะร้ายนั่นน่ะ

ผมนั่งชันเข่ามองไปยันท้องฟ้าสีดำซึ่งมีประกายดาวระยิบระยับ

“แต่การมาครั้งนี้ของฉันมันต่างไป …ฉันจะเป็นเรเซอร์ที่ปกป้องทุกคนได้” ผมแสยะยิ้มเยี่ยงตัวร้ายออกมา——- “จะเป็นตัวร้ายที่ปกป้องนางอวยให้ได้ คอยดู ฉันน่ะ!”

ผมประกาศกร้าว สาบานกับยูนา—อนาคตจะเป็นเช่นไร ไม่รู้หรอก แต่อย่างน้อยๆก็ส่วนหนึ่ง ..ผมปกป้องได้แล้ว

 

*******

 

‘ไสยศาสตร์ ท้องทะเล ฝูงนก ทหารเรือ——-ทวีปเนลยอน แดนแห่งมหาสมุทร’

 

‘เวทมนตร์ หิ่งห้อย อัศวิน อำนาจ—-ทวีปฟัฟนิร์ แดนมังกรเพลิง’

 

‘การเล่นแร่แปรธาตุ ตัวตุ่น เรือเหาะ นักวิทยาศาสตร์—-ทวีปเกรล แดนแห่งวิทยาการ’

 

‘ศาสตราวุธ แมว อันธพาล นักผจญภัย—-ทวีปแซร์อิซ แดนแห่งสายลม’

 

สัญลักษณ์ของสี่ทวีปใหญ่—–

——————————และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ‘การจุติของจอมมารดิลุค’ ก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับชะตากรรมของเด็กสาวซึ่งกำลังจะทลายลง

หิ่งห้อยส่องประกายยามค่ำคืน และล่องลอยไป—เพื่อมอบแสงสว่างให้ทุกที่

ฝูงนกบินผ่านเมือง ผ่านประเทศ ผ่านทวีปอันมากมาย—เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อ

ตัวตุ่นไม่หยุดขุดดิน—เพื่อก้าวหน้าขึ้น

แมวทุกวันยังคงนั่งๆ นอนๆ และเดินเล่นไปทั่ว—เพื่อความสุข

วันคืนผ่านแล้ว ผ่านอีก ผ่านแล้วผ่านอีก จนรู้ตัวอีกทีเวลาก็ล่วงเลยมาถึง—-3 ปีแล้ว

ตอนนี้ตัวร้ายได้ลุกขึ้น—-เพื่อเปลี่ยนแปลง

เพราะเหตุนั้น ปฐมบทที่แท้จริงจึงใกล้มาถึงแล้ว ..ศูนย์กลางโลกได้เดินเข้ามา—เพื่อเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

 

****

 

ผมชื่อ ‘ยูจิ’ ปัจจุบันอายุ 16 ปี เพศชายแท้ๆ อาศัยอยู่ที่ชนบทซึ่งห่างไกลจากนครหลวงมา แม้จะนั่งทั้งรถไฟและรถม้าเร่งด่วน ทั้งหมดยังกินเวลาไปเกือบหนึ่งเดือน อนุมานได้ว่าไกลเอามากๆ

ยังไงซะผมไม่ได้อะไรมากหรอก

ผมยิ้มร่าพลางมองไปยันเบื้องหน้า——ผู้คนในชุดคลุมไหล่สีน้ำเงินรูปทรงยาวถึงบริเวณเอว ข้างในมีเสื้อเชิ้ตและเนกไท นั่นคือเครื่องแบบนักเรียน ..ในโรงเรียนฝึกสอนเวทมนตร์แห่งนี้

ตัวผมเองก็แต่งตัวเหมือนกับทุกคน เพียงแค่บนอกมีสัญลักษณ์รูปดาวสีทอง บ่งบอกว่าผมเป็นเด็กโควตาพิเศษซึ่งเป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดา ได้รับเลือกมาจากการสอบวัดระดับคะแนนด้านความรู้เวทมนตร์ เลยมาศึกษาในแขนงวิจัยเวทมนตร์

ไม่ใช่สายต่อสู้โดยตรง ผมคือคนที่จะคอยวิจัยและพัฒนาเวทมนตร์ ตามความถนัดและความชอบของตัวเองละนะ

“..ตื่นเต้นจัง”

ผมพึมพำเบาหวิว พลางเดินเข้าไปในรั้วโรงเรียนตรงหน้า——ชีวิตในรั้วโรงเรียน จะหอมหวานขนาดไหนกันนะ

“——เฮ๊ย แกน่ะ”

—-ถูกขัดขวางแทบจะทันที

ผมสะดุ้งเฮือกพลางหันซ้ายไปหาเจ้าของเสียง

“-ค ครับ?”

ชายร่างใหญ่ราวสองเมตร ผมสีทอง และดวงตาสีเขียว ใบหน้าดูน่ากลัว สวมชุดเช่นเดียวกับผม เพียงแต่เขาปกกระดุมเสื้อคลุมออกจนดูไม่เรียบร้อย

“ตรานั่น..นักเรียนทุนสินะ?”

“-ช ใช่ครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผมชื่อยูจิ”

“ไม่ได้อยากฟังแกแนะนำตัวเฟ้ย”

เอ๋?

เขาเดินเข้ามาใกล้จนแทบจะติดกัน เขาตัวใหญ่กว่ามากเมื่อเจอแบบนี้ก็ราวกับเขากำลังจะทุบหัวผมอย่างไรอย่างนั้น

น่ากลัว

ตัวผมสั่นระรัวราวกับกระต่ายน้อย

“จำไว้ซะนะไอสามัญชน ที่นี่คือโรงเรียนสำหรับลูกขุนนางชั้นสูง เพราะฉะนั้นอย่าจองหองทำตัวใหญ่เชียวละ กะอีแค่คะแนนสอบดีน่ะ อย่าทำซ่า..หึ”

เขาสะบัดมือเบาๆ ปรากฏให้เห็นบอลเพลิงขนาดใหญ่เท่าแขนของผม

ถ้าโดนเข้าไปตายแหงๆ

“เข้าใจใช่มั้ย!?”

“-ค ครับ!”

เขาแสยะยิ้มอย่าสะใจ———-ทว่ามีคนมาหยุดยืนตรงกลางระหว่างผมกับเขา

ชายคนนั้นมีเส้นผมสีเหลืองเข้ม ดวงตาสีแดงดูดุดันน่ากลัว ร่างกายที่ดูล่ำนั่นบ่งบอกถึงการฝึกฝน สูงเกือบจะแตะ 180 ซ.ม. สวมชุดเช่นเดียวกับผมแต่ตรงคอเสื้อเขาปลดประดุมราวสองเม็ด เผยให้เห็นต้นคอที่เห็นเส้นเลือดได้ชัด ..ดูเซ็กซี่? ถ้าในมุมของคุณสุภาพสตรีอาจจะอย่างนั้น

เขาเดินหยุดอยู่ตรงกลางพวกผม ในท่าทางที่ดูกวนบาทา เขาเกาหัวตัวเองงึกๆ พลางส่งยิ้มชั่วร้ายให้

“โทษทีนะ” เขายิ้มให้อย่างน่าสยดสยอง “แต่นายกำลังขวางทางอยู่”

“..แกเป็นใคร?”

ชายน่ากลัวโค้งหัวพร้อมกับกล่าวแนะนำตัว

“ฉันชื่อว่าเรเซอร์ บุตรชายของท่านดยุคน่ะ”

“เรเซอร์!?”

“อืม ถ้าเข้าใจแล้วก็ช่วยหลบทีนะ”

พูดจบชายร่างยักษ์จึงหลบทางให้ทันที สงสัยว่าคุณเรเซอร์เขาจะเป็นผู้มีอิทธิพล

คุณเรเซอร์หันมาทักทายผม

“ส่วนนายก็—-ยูจิสินะ?”

“..อ๊ะ ครับ ใช่ครับ”

“เห๋? ผมสีดำปลายน้ำเงินจริงด้วยแฮะ แถวหน้าตาก็ยังสวยเหมือนเดิมเลย อืมๆ สรุปแล้วโลกใบนี้มันเปลี่ยนจริงด้วยแฮะ” เขาถูคางพลางสังเกตุรูปร่างผม .. “แต่แบบนี้ก็ไม่เลว น่ารักขึ้นเยอะเลย”

เขาพูดอะไรเข้าใจยากพิลึก ก่อนจะยิ้มให้ผม

“จากนี้ก็ฝากตัวด้วยนา ยูจิ”

คุณเรเซอร์เดินผ่านไป

…เท่จัง

 

***

 

ผมเดินตรงไป เดินตรงไปข้างหน้าอย่างไม่หยุด แม้จะไม่ได้เร่งฝีเท้าจนเหมือนคนกำลังรีบ แต่ตอนนี้ผม..ตื่นเต้นมาก จนแทบอยากจะวิ่งให้รู้แล้วรู้รอด ในอกนี้แทบจะลุกไหม้

แต่ร่างกายกลับบอกให้เดินซะอย่างนั้น พิลึกดีเนอะ

ไม่นานนักผมก็มาถึง ผมเปิดประตูเลื่อนและเดินเข้าไป——ที่นั่งไม้หรูเรียงยาวราว 5 ชั้น ตรงชั้นที่ 4 ฝั่งริมหน้าต่างนั้นมีเด็กสาวคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือพลางเล่ห์มองทิวทัศน์ภายนอกหน้าต่าง

เส้นผมสีดำสนิทยาวถึงหลัง ดวงตาสีแดงสง่างาม ผิวสีขาวเลืองลางคล้ายกับจะหายไปได้ตลอด ชุดนักเรียนเหมือนกันเพียงแค่ใส่กระโปรง

…เด็กสาวตรหน้าสังเกตเห็นผมซึ่งเดินเข้าไปหาเธอ

ผมมาหยุดอยู่ข้างตัวเธอ

“ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันเรเซอร์ ..ถ้าไม่รังเกียจขอทราบชื่อได้มั้ย?”

เด็กสาวมองมาทางผม ท่าทางเธอดูมึนงง แต่ก็ตอบคำถามอย่างว่าง่าย—

“—เบลลามี”

 

—–ปฐมบทจอมปลอมของไอตัวร้าย คงต้องเล่าย้อนกลับไปเล็กน้อยกระมัง?

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด