เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! 97: ประสาทลอยฟ้า ‘เทล่าเทล’

Now you are reading เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! Chapter 97: ประสาทลอยฟ้า 'เทล่าเทล' at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

< < 78 > >

เมื่อ 2,000 ปีก่อน วีรสตรียูนานำกองทัพโค่นมังกรธาตุลงได้ โลกก็กลับคืนสู่ความสงบและพลังของมหามังกรก็ถูกแยกส่วนให้อาณาจักรยักษ์ใหญ่ทั้งสี่อาณาจักรเก็บดูแลไว้ 

แต่ล่ะอาณาจักรจำเป็นต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจและบ้านเมื่องขึ้นมาใหม่หลังสงคราม ทั้งทรัพยากร และผู้คน โลกเวลานั้นไม่ต่างกับโลกที่ไร้ผู้คน แต่เพราะมนุษย์มีอัตราการสืบสายพันธ์เร็วทำให้ภายหลังจากนั้นห้าสิบปีอาณาจักรมหาอำนาจทั้งสี่ก็ยืนหยัดได้อย่างสมบูรณ์ 

แต่ความสงบสุขอยู่ได้เพียงไม่นาน 

ในวันฉลองวันหนึ่งระหว่างอาณาจักรฟัฟนิร์และอาณาจักรแซร์อิศ

เกิดชนวนสงครามขึ้นมา จากเรื่องเล็กน้อยแสนเบาปัญญา ปัญหาเพียงเล็กน้อยสามารถลามมาเป็นสงครามที่มีความเสียหายไม่แพ้ช่วงยุคมังกรธาตุ นั่นล่ะคือมนุษย์

ในบันทึกระบุไว้ว่า ‘อะเรน’ ราชาอัศวินของฟัฟนิร์ในเวลานั้นได้ไปรับประทานอาหารกับผู้คนอาณาจักรแซร์อิซ และคุยหยอกเล่นไปมา ทางเอล็กซ์มั่นใจในพลังของตัวเองจึงขอให้แซร์อิซใช้ ‘ดาบมหามังกร’ อันเป็นพลังที่ถูกผนึกไว้ใส่ตนเองเพื่อโชว์พลังของตัวเองให้เป็นประจักษ์

ผนวกกับที่อาณาจักรแซร์อิซอยากทดสอบพลังพอดีด้วย จึงได้ปล่อยเลยตามเลย ทดลองพลังกับราชาอัศวินในเวลานั้น

ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ขึ้น

ราชาอัศวินก็ได้ตายในการลงดาบเพียงครั้งเดียว ไม่ใช่แค่นั้น ผู้คนในงานเลี้ยงก็เสียชีวิตกันเกือบทุกคน ขุนนางผู้ทรงอิทธิพลระหว่างสองอาณาจักรตายกันเป็นโขยงในการฟันดาบครั้งเดียว

นั่นเป็นชนวนเหตุแรกจากความผิดพลาดอันโง่เขลาของทั้งสองอาณาจักร และเป็นการตระหนักรู้ถึงพลังที่มหาศาลของมหามังกรได้เป็นคราวแรก

แม้แต่ราชาอัศวินคนนั้นยังตายในคราเดียว ถ้าเกิดตั้งใจ บางทีอีกฝ่ายอาจจะสามารถฆ่าพวกเราทุกคนทิ้งได้ในจังหวะเดียว อาณาจักรที่สร้างมาจากความทุกข์ยาก จะถูกทำลายในชั่วข้ามคืน

ชนวนเหตุที่สองเกิดจากอาณาจักรเนลยอนที่ทดลองใช้พลังมหามังกรใส่ท้องทะเล และการทดลองนั้นก็ทำให้เผ่าพันธ์ใต้ทะเลตายกันเป็นเบือ ไม่มีใครคิดว่าอาณุภาพมันจะมีมากถึงเพียงนี้

ชนวนเหตุที่สาม เพราะขุนนางระหว่างฟัฟินณ์และแซร์อิซสูญเสียขุนนางชั้นสูงไป ทำให้เกิดการโทษกันไปมาจนเกิดสงครามขนาดย่อมขึ้น เผ่าพันธ์ใต้ทะเลเองก็ประกาศสงครามกับอาราจักรเนลยอน

ตอนแรกเป็นเพียงสงครามเล็กๆ ทว่ามันก็เริ่มใหญ่โตขึ้นเมื่อทั้งสองอาณาจักรไม่ยอมอ่อนข้าให้กัน และทางฝั่งอาณาจักรเนลยอนเองก็ต้องรับมือกับเผ่าใต้ทะเลอย่างหนัก

การต่อสู้กับเผ่าใต้ทะเลทำให้อาณาจักรรอบๆได้รับผลกระทบไปด้วย เกิดการเลี้ยงร้องให้จบสงครามขึ้นมากมาย แต่ก็ไม่มีใครฟังใคร เพราะเหตุผลที่เห็นแก่ตัวของอาณาจักรเนลยอน ..เผ่าพันธ์ใต้ทะเลคือตัวอันตราย อาณาจักรเนลยอนอยากจะกำจัดเหมือนกัน จึงไม่มีใครหยุดได้อีกต่อไป

ทั้งสามอาณาจักรมหาอำนาจมีสงครามเป็นของตัวเอง และมีทีท่าว่าจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ราชาแห่งอาราจักรเกรลไม่สามารถทนได้จึงเรียกประชุม เป็นที่มาของชนวนเหตุที่สี่

ชนวนเหตุที่สี่ราชาแห่งอาณาจักรเกรลยุคนั้นมีนามว่า ‘ลีออน’ เขาถูกลอบสังหารระหว่างประชุม และความผิดก็ถูกโยนให้ ‘เผ่าปีศาจ’ 

ไม่มีคนคอยเบรคอีกต่อไป ทั้งสี่อาณาจักรไม่ใช่แค่สู้กับศัตรูของตัวเอง ทุกฝ่ายสู้กันเอง และลามไปรอบๆด้วย

แต่ล่ะอาณาจักรหวาดกลัวกันเอง ไม่ใช่แค่อาณาจักรมหาอำนาจ อาณาจักรเล็กๆ เผ่าพันธืเล็กๆ หวาดกลัวมหาอำนาจที่ถือครองพลังมหามังกรไว้ จึงจำเป็นต้องเข้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพื่อคงซึ่งความปลอดภัยของตนเองเอาไว้ 

กำลังพลเพิ่มขึ้นจากการเป็นพันธมิตรกัน สงครามจึงใหญ่ยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่นั้น แต่ล่ะอาณาจักรยังค้นหายอดฝีมือจากทั่วโลก รวมถึงวีรชนในอดีตมากมายมาเข้าพวกเท่าที่จะทำได้ จากตอนแรกที่สู้เพื่อปกป้องตัวเอง ตอนนี้แต่ล่ะอาณาจักรล้วนเข้าห้ำหั่นเพื่อช่วงชิงอำนาจมหามังกรมาเป็นของตัวเอง โดยพล่ามว่าเพื่อความมั่นคงในอนาคต โดยแลกกับสันติสุขที่ทุกคนช่วยกันสร้างมา 

สันติสุขจะถูกทำลายอีกครั้ง พลังที่น่าจะมีไว้เพื่อสันติสุขถูกนำมาใช้เพื่อตัวเอง

เป็นอันเริ่มสงครามระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นสงครามครั้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ใหญ่ยิ่งกว่าสงครามมังกรธาตุ 

เวลาต่อมายุคสงครามระหว่างมนุษย์นั้นถูกขนานนามว่า ‘ยุคแย่งชิงอำนาจ’ 

เกิดตำนานวีรบุรุษขึ้นมากมายระหว่างสงคราม แต่ทุกคนไม่สามารถเรียกได้เต็มปากว่าวีรบุรุษ เพราะทุกคนฆ่าอีกฝ่ายเพื่อตัวเองหมด ทำให้ไม่มีตำนานของใครที่เป็นที่โด่งดังจากยุคตัวเองได้ดั่งวีรสตรียูนา หรือแรกซ์ 

แต่ในยุคๆนี้มีชื่อหนึ่งที่โด่งดังขึ้นกว่าใคร ไม่ใช่ในฐานะวีรบุรุษ แต่กำเนิดเป็นตำนานในฐานะเครื่องจักรสังหารซึ่งเป็นทหารรับจ้างผู้ใช้ดาบ ต่อมาหลังจบสงครามก็ได้ชื่อว่า ‘เทพดาบ’ เป็นชื่อที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะผู้ได้รับชื่อเป็นเพียงทหารรับจ้าง ไม่ใช่บุคคลที่น่ายกย่องเหมือนชื่อแต่อย่างไร 

อย่างไรซะเทพดาบถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในยุคสงครามแย่งชิงอำนาจ และผลัดเปลี่ยนคนไปเรื่อยแต่ล่ะยุคสมัย เรื่องราวภายนอกเป็นเช่นนั้น แต่ความจริงคือเทพดาบจะยังเป็นคนเดิมตลอดกาล มีเพียงผู้ทรงอิทธิพลเท่านั้นที่รู้ความจริงข้อนี้

เนื่องจากสงครามยุคช่วงชิงอำนาจ ทำให้เผ่าพันธ์ที่มีอัตราการเกิดน้อยไม่ทันได้ขยายเผ่าพันธ์จากยุคมังกรธาตุก็ถูกสงครามพรากเอาชีวิตไป มายุคช่วงชิงอำนาจก็ไม่ทันได้ทำอะไร พวกเขาเหล่านั้นค่อยๆสูญพันธ์กันไป โดยเฉพาะเผ่าที่มีอายุยืนยาวอาทิเช่น ‘เอลฟ์’ หรือ ‘ปีศาจ’

เมื่ออดีตความเกลียดชังต่อเผ่าปีศาจนั้นมีน้อย สามารถอยู่ร่วมกันได้เพราะทุกคนคือสหายร่วมต่อสู้กับมหามังกร แต่ก็เริ่มถูกกำจัดในยุคนี้เนื่องจากขีดจำกัดพลังที่สูงและอายุขัยที่ยืนยาว เช่นเดียวกันกับเอลฟ์ และเหตุผลเดียวกันกับชนวนสงครามคือมนุษย์นั้น ‘หวาดกลัว’ ในอายุขัยที่สามารถแสวงหาพลังที่ไร้ขีดจำกัดได้

เอลฟ์ส่วนน้อยจำเป็นต้องสร้างดินแดนลี้ลับขึ้น ส่วนปีศาจที่ไม่มีความสามารถสร้างภาพลวงตาเหมือนเอลฟ์จำเป็นต้องเป็นทาส ไม่ก็ตาย เป็นทาสและหมดประโยชน์เมื่อไหร่ก็ต้องตายอีก ห้ามสืบต่อสายเลือดรึมีความสุข มีหน้าที่ตายเพื่อมนุษย์เท่านั้น

เผ่าปีศาจถูกกดขี่จากทุกอาณาจักร และนี่จะเป็นชนวนเหตุในอีกหนึ่งพันปีที่ทำให้เกิดสงครามระหว่าง ‘ปีศาจ’ และ ‘มนุษย์’ ขึ้นมา นำพาไปสู่ยุค ‘ยุคผู้กล้า’ อันเป็นยุคที่ปีศาจหายไปจากโลกอย่างสมบูรณ์ เพราะ ‘ผู้กล้า’ เอาชนะ ‘จอมมาร’ ได้

อย่างไรก็ช่าง ในยุคแย่งชิงอำนาจนั้นทำให้อาณาจักรฟัฟนิร์ที่เสียเปรียบด้านการใช้งานอาวุธ(สายเลือดมหามังกรเพลิง)ได้สร้างประสาทลอยฟ้า ‘เทล่าเทล’ ขึ้นมาระหว่างสงคราม

อาณาจักรฟัฟนิร์ที่ถือครอง ‘มหามังกรเพลิง’ ไว้ในรูปแบบ ‘สายเลือด’ เลยถูกบุกโจมตีหรือลักพาตัวอยู่บ่อยครั้งจากอาณาจักรอื่น ทำให้จำเป็นต้องมีกรงขังอาวุธเอาไว้ อย่างประสาทลอยฟ้า

นี่คือที่มาของประสาทลอยฟ้า ‘เทล่าเทล’ ที่อยู่ของราชวงศ์และเจ้าหญิงมังกร

จนถึงปัจจุบันประสาทลอยฟ้า ‘เทล่าเทล’ ก็ยังลอยอยู่เหนือผืนดินอย่างมั่นคง 

และไม่มีใครคิดว่าประสาทลอยฟ้าอันยิ่งใหญ่นี้จะล่วงลงสู่พื้นในสักวัน …

วันๆนั้นเป็นเพียงวันธรรมดาเท่านั้น

เอเธอร์ สิ่งมีชีวิตที่ถูกมองว่าแข็งแกร่งที่สุดบนโลกได้ส่งข้อความจดหมายขอเข้าเฝ้าราชา นั่นทำให้ทั่วทั้งประสาทลอยฟ้าพากันแตกตื่น

เพราะตัวตนระดับเอเธอร์นั้นไม่ต่างกับตำนานของโลก เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ แต่ไม่ใช่แค่นั้น เอเธอร์ยังมีความอันตรายอยู่มากด้วย

ผู้คนวิ่งกันให้ว่อน กองกำลังทหารมากมายขึ้นมายังประสาทเพื่อคุ้มกันราชานายเหนือหัว แน่นอนราชาอัศวินคาลอสาเองก็อยู่ด้วย

เอเธอร์ขึ้นมาบนประสาทได้อย่างปลอดภัยในชุดสูทสีขาวเหมือนทุกที ผู้คนพากันตังแข็งทื่อเมื่อเห็นโฉมของเอเธอร์ที่มีทั้งความหล่อและงดงามอยู่ในตัว

เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถจำกัดความว่ามนุษย์ได้ตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอกแล้ว

“ยะ ยืนยันตัว!”

ทหารเกราะเงินยอดฝีมือเดินมาขวางทางเอเธอร์ 

เอเธอร์ใช้หางตามองทหารจำนวนมากที่ขวางหน้าทางเข้าไว้ และยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัยทำให้พลหอกยื่นหอกมาขู่เอเธอร์

“คนของอาณาจักรฟัฟนิร์นี่ไม่เป็นมิตรเลยนะครับ”

“พูดอย่างนั้นหมายความว่ายังไงกัน!”

“ไม่ได้จะหาเรื่องนะครับ โปรดเข้าใจกันด้วย”

เอเธอร์โค้งศรีษะให้อย่างไม่ถือตัว ทำให้ทหารหลายคนที่กลัวจนเกิดเหตุเริ่มโล่งอก

“ยังไงก็ช่าง ยืนยันตัวตนก่อน”

“ต้องใช้อะไรเหรอครับ”

“คิดด้วยตัวเองซะ!”

ทหารไม่สามารถบอกด้วยตัวเองได้ เพราะมันคือความลับสูงสุดในการยืนยันตัวตน มีแค่เอเธอร์ที่รู้และไม่ควรลืม

แน่นอนว่าเอเธอร์ไม่มีทางลืม ทว่า

“จำไม่เห็นได้เลยนะครับ ..พีธีอะไรพวกนี้นี่ยุ่งยากจังเลยนะครับ ผมว่าทิ้งๆไปก็ดีนะ”

“ได้ที่ไหนเล่า ความปลอดภัยของท่านราชาถือเป็นที่สุด”

“ถ้าคิดจะบุกจริง เป็นผมคงเลือกจากการทำลายประสาทตั้งแต่ข้างล่างล่ะครับ”

“พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงหะ?”

ทหารเขม็งใส่เอเธอร์

“ที่พูดนี่น่าสงสัยสินะครับ”

“เออสิ!”

“ถ้านั้นก็ยกโทษให้ด้วยนะครับ ผมแค่อยากสนิทกับคุณเท่านั้น”

เอเธอร์โค้งศรีษะให้อีกครั้ง

ในส่วนลึกๆของทหารเฝ้าเริ่มรู้สึกว่าเอเธอร์ไม่ใช่คนอันตรายแล้ว จึงถอนหายใจออกมา

“ไม่เข้าใจอะไรก็ถามล่ะกัน แต่อย่างพูดโจ่งแจ้งนัก เดี่ยวคนอื่นจะเข้าใจผิด”

“เข้าใจแล้วครับ ถ้านั้นขอเข้าไปเลย”

“บอกรหัสลับมาก่อน”

ถึงจะเชื่อใจง่าย แต่ไม่ใช่คนขี้ลืม

เอเธอร์พยักหน้ารับ

“ขอเวลาคิดสักสิบนาทีนะครับ”

“สองนาที”

“ยังอุตส่าห์ให้เวลากันนะครับ คุณนี่นิสัยดีจริงๆ ไม่ทราบว่าชื่ออะไรหรือครับ”

“..เอล็กซ์”

เอเธอร์พยักหน้าหงึกๆ

“เป็นชื่อที่ดีนะครับ เพราะอะไรเลยเลือกมาทำงานบนประสาทลอยฟ้าหรือครับ”

“หา? ถามอะไรอย่างนั้น ..เดี่ยวสิ ตอบรหัสลับมาก่อน”

“อ่า เมื่อกี้ได้ตัดเวลาของผมไปรึเปล่าครับ”

“ไม่ได้ตัด ในสองนาทีคิดไปซะ ห้ามพูดอะไรทั้งนั้น”

เอเธอร์พยักหน้ารับอีกครั้ง แต่ก็เบิกตาโพงกว้าง เหมือนตกใจแต่ดูเสแสร้งอย่างเห็นได้ชัด

“จริงๆแล้วผมมีดวงตามหาปราชญ์น่ะครับ คิดว่าให้คิดแบบนี้ผมจะเหลี่ยมเอาได้น่ะครับ ระวังตัวกันด้วยนะครับ”

“ช่างเถอะน่า! รีบๆคิดได้แล้ว ทางเรามีเครื่องตรวจจับอยู่แล้ว”

“สมกับเป็นอาณาจักรมหาอำนาจ มีเครื่องอำนายความสะดวกเยอะดีนะครับ สวัดดิการคนในอาณาจักรเทียบกับที่อื่นก็ถือว่าดี เพราะแบบนี้ผมเลยเลือกมาทำงานให้อาณาจักรฟัฟนิร์ล่ะครับ คุณเองก็ยืดอกภูมิใจในฐานะทหารได้เต็มที่เลยนะครับ” 

ทหารยามกุมขมับ จากกลัวตอนนี้เป็นปวดขมับ

เอเธอร์ลูบคาง และ 

“หวังว่าจะไม่ตัดเวลาผมนะครับ เพราะเมื่อกี้ตั้งใจเตือนเฉยๆครับ”

“รู้แล้ว รีบๆคิดซะ”

เอเธอร์ยืนคิดสองนาทีแบบเป๊ะๆอย่างกับคำนวณไว้

“หินห้อย นก ทะเล แมว และเจ้าหญิง สินะครับ”

“ตามนั้น บัตรประจำตัว?”

เอเธอร์หยิบบัตรประจำตัวเองให้ดู ทหารจึงวางหอกลงและพาเอเธอร์เข้าไปข้างใน

ระหว่างทางถูกปูไว้ด้วยพรมสีแดง เอเธอร์เดินตามอย่างอารมณ์ดีและชวนทหารนาม ‘เอล็กซ์’ คุยด้วยตลอดทาง

“เอล็กซ์แต่งงานมีลูกแล้วสินะครับ มีลูกตั้งสามคนด้วย อายุแค่ยี่สิบสองแท้ๆ มีชีวิตดีน่าดูนะครับ”

“ก็นะ ฉันเองก็คิดว่าตัวเองโชคดีเหมือนกันที่เจอเนื้อคู่เร็วกว่าคนอื่น แถมยังมีเด็กตัวน้อยอยู่ตั้งสามคน”

เพียงไม่นานเอล็กซ์ก็คุยกับเอเธอร์แบบมีรสชาติแล้ว 

การเข้าสังคมของเอเธอร์ค่อนข้างดี เพราะไม่ได้ถือตัวสักเท่าไหร่ แล้วยังคุยได้ทุกเรื่องด้วย และด้วยความที่เป็นคนใหญ่คนโต ทำให้ไม่โดนพวกถ่อยพูดจาเหยียดอะไร เพราะทุกคนหวั่นเกรงในตัวเอเธอร์กันหมด

“เป็นครอบครัวที่ดีนะครับ แต่ทำงานอยู่บนประสาทตลอด ไม่คิดถึงคนที่บ้านบ้างหรือครับ”

“ไอคิดถึงก็คิดถึงอยู่หรอก แต่ทำงานที่นี่โดยตรงมันเงินดี ลูกฉันมีตั้งสามคนด้วย จำเป็นต้องขยัน”

“แต่ลางานได้สินะครับ ถ้าเป็นงานวันเกิดอย่าได้ละเลยเชียวนะครับ เพราะคนรู้จักผมบางคนก็โดนลูกเกลียดเพราะไม่โผล่หน้ามาตอนงานวันเกิดลูกตัวเองเลย ถึงจะเป็นเรื่องงานก็จริง แต่งานวันเกิดสำหรับเด็กแล้วสำคัญมากครับ”

“…นั้นเหรอ”

เอเธอร์จับสังเกตุท่าทางเอล็กซ์ได้เลยเดาเรื่องราวทั้งหมดออก

“งานหนักน่าดูเลยนะครับ ถึงขนาดลางานไม่ได้เลยนี่”

“ก็นะ ตำแหน่งงานสำคัญด้วย”

“ทำงานเลี้ยงลูกก็ดีอยู่หรอกครับ แต่ลูกไม่ได้ต้องการแค่เงินนะครับ ความอบอุ่นก็สำคัญ”

“…คงอย่างนั้น เคยคิดอยู่เหมือนกัน แต่ลูกก็เริ่มโตกันแล้ว ฉันจำเป็นต้องส่งลูกๆเข้าเรียนด้วย เงินน่ะสำคัญมากๆ”

เอล็กซ์มีสีหน้าที่สับสนขึ้นมา

“ลาออกก็ดีนะครับงานแบบนี้”

คำพูดของเอเธอร์ทำให้ทหารรอบๆพากันมองเอล็กซ์และเอเธอร์ เป็นสายตาที่อันตรายสุดๆ มีแค่เอเธอร์ที่พูดต่อแบบไม่สนบรรยากาศ

“สักวันจะโดนลูกเกลียดเอานะครับ เหมือนที่ราชาอัลเบโด้โดน”

ทุกคนไม่ตลกกับที่เอเธอร์พูด

บรรยากาศเลยอึมครึมขึ้นมาทันที

“ราชาอัลเบโด้นี่ดีขนาดนั้นเลยสินะครับ”

“บอกว่าราชาที่ดีที่สุดในรอบพันปียังได้เลย แกไม่มีสิทธิ์มาต่อว่าองค์ราชา”

แม้แต่เอล็กซ์ที่ดูเป็นมิตรจนถึงเมื่อกี้ก็ส่งสายตาไม่เป็นมิตรมา เอเธอร์ไม่เข้าใจความภัคดีพวกนั้นสักเท่าไหร่ คงเพราะอยู่จุดสูงสุดของโลก ความรู้สึกเคราพใครสักคนชนิดถวายหัวเลยไม่มี

“ถ้านั้นก็โปรดอภัยให้กับคำพูดของผมด้วย เป็นปกติผมคงโดนตัดหัวออกจากบ่าแล้ว พวกคุณช่างใจดีเหลือเกิน”

“แกนี่พูดคำหวานเก่งจริงนะ”

เอเธอร์ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

“แต่ก็ดูแลลูกดีๆหน่อยนะครับ เด็กน่ะโตไปได้หลายทาง มีหลายปัจจัย การมีปมในใจก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีด้วยนะครับเอล็กซ์”

“นั่นสินะ ..เดี่ยวจะหาวิธีแก้ล่ะกัน”

“ครับ คุยกับคุณก็สนุกไม่น้อย ไว้วันหลังมาคุยเล่นกันอีกนะครับ”

“อ่า ถือว่าเป็นเกียรติล่ะมั้งที่ถูกคนระดับนายชวน”

“ครับ เช่นนั้นก็..”

จู่ๆเอเธอร์ก็หยุดเดิน  และลงไปสัมผัสที่พื้น

“เดี่ยวก่อน คิดจะทำอะไร”

“อย่าห่วงเลยครับ ผมไม่คิดจะฆ่าใครในวันนี้”

“หา? เดี่ยวสิ”

ไม่ทันที่เอล็กซ์จะได้สัมผัสไหล่เอเธอร์ พื้นก็กลายเป็นรูโบ่ขนาด 2×2 จากแรงกระแทกฝ่ามือของเอเธอร์

ประสาทลอยฟ้ากำลังถูกทำลาย—-เหล่าทหารยามรีบชักอาวุธออกมาล้อมเอเธอร์ตามอัตโนมัติ

“เอเธอร์นี่แก!!!”

เอล็กซ์โพล่งขึ้นอย่างหัวเสีย เอเธอร์ผงกหัวให้เหมือนขออภัย

“ให้อภัยผมเถอะนะเอล็กซ์ แต่ผมอยากสนิทกันคุณจริงๆ”

“อย่ามาพล่ามไร้สาร—”

ไม่ทันพูดจริงเอล็กซ์ก็ถูกซัเปลวเพลิงดไปชนกับกำแพงจนสลบ ทหารรอบๆยกอาวุธขึ้นและจะแทงใส่ผู้กระทำ ซึ่งนั่นไม่ใช่เอเธอร์แต่เป็นเด็กหนุ่มผมสีเหลืองเข้ม

‘เรเซอร์’ ขึ้นมาบนประการลอยฟ้าเป็นที่เรียบร้อย ในชุดบอดี้สูทสีดำและกางเกงสีขาวที่มีอุปรกร์หลายอย่างห้อยอยู่ นี่คงเป็นชุดที่ทำให้เรเซอร์สู้ได้สะดวกร่างกายที่สุด 

ทหารทุกนายออกอาวุธใส่เรเซอร์อย่างพร้อมเพรียง

เรเซอร์ไม่มีเวลามากพอจะสู้ประหยัดมานาจึงเรียกใช้ยูนา และอัดเวทมนตร์ใส่เรียงคนจนสลบกองกับพื้นกันหมด ตอนนี้เรเซอร์อยู่ในสภาพที่พร้อมสู้ที่สุดแล้ว

เอเธอร์มองภาพนั้นอย่างประทับใจ

“ขึ้นมาได้เร็วน่าดูนะครับ”

“โชคดีที่วันนี้บินไม่ค่อยสูง เพราะต้องมารับนาย”

พูดกับเอเธอร์ได้ไม่ทันไร ทหารก็พากันมาล้อม พร้อมกันกับยูจิและเรย์ที่ปีนขึ้นมาในประสาทได้แล้ว

“ขอโทษที่ให้รอนะครับ”

“ตื่นเต้นจริงแฮะ ขึ้นประสาทลอยฟ้าครั้งแรก”

เรเซอร์ยิ้มให้ทั้งสอง และเบี่ยงความสนใจทั้งหมดไปข้างหน้า ไม่ได้มองไปดูเอเธอร์หรือพวกยูจิ

“ฝากที่เหลือด้วย”

“ตามที่คุยกันไว้นะครับ”

“อ่า”

กล่าวจบเรเซอร์วิ่งฝ่าทหารไป พร้อมกับยูจิและเรย์ที่วิ่งตามมาด้วย

แผนการณ์บุกประสาทลอยฟ้าได้เริ่มขึ้นแล้ว

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด