เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! 131: เด็กสาวและชายชรา

Now you are reading เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! Chapter 131: เด็กสาวและชายชรา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

< < 105  > >

“หลงทางมาเหรอ?”

เธอโพล่งขึ้นเบาหวิว แต่ก็อยู่ในระดับที่ผมที่อยู่ใกล้ๆพอฟังชัด

“เปล่า ..เอ่อ”

ไม่รู้จะคุยอะไรด้วยหรอก ตอนนี้ทางนี้ยังซึมๆอยู่ด้วย

“ชุดแบบนั้น นักเรียนจากวิทยาลัยเรดฮอตสินะ ..ไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนเสียตั้งนาน ในมุมนักเรียนเช่นเจ้าคิดว่ามันเป็นสถานที่อย่างไรกัน?”

จู่ๆก็ถามเรื่องโรงเรียนเฉยเลย แล้ววิธีพูดนั่นด้วย หลุดมาจากยุคไหนกันนะ

รูปร่างหน้าตาที่ดูแล้วอายุไม่น่าห่างกับตัวฉันมาก เมื่อไปผสมกับวิธีพูดแก่ๆอย่างนั้นมันให้ความรู้สึกเหมือนเด็กผู้หญิงแก่แดดยังไงชอบกล

เอาเป็นว่าตอนคำถามเขาก่อนดีกว่า

“เป็นที่ๆดีนะครับ แบบว่ามีเพื่อนเยอะดี”

“ช่วงนี้คงเจอปัญหาเข้าสินะ”

“เอ๊ะ ไม่ใช่นะครับ”

“ข้าถามถึงวิทยาลัยนะ ไม่ได้ถามชีวิตของเจ้า”

…คะ คนๆนี้

“ตัวข้าไม่รู้หรอกว่ามีปัญหาอะไร แต่ที่รู้ๆการที่เจ้าบอกชีวิตตัวเองมันเหมือนกับว่าพักนี้คิดถึงแต่ชีวิตตัวเอง”

“..จะว่ามีก็มีได้แหละ..ครับ”

พออีกฝ่ายวางมาดเป็นผู้ใหญ่อย่างนี้ ไอ้ฉันก็คล้อยตามเผลอพูดสุภาพไปด้วยเลยเฉย

“แล้วกังวลเรื่องอะไรล่ะ”

“..แบบว่าช่วงนี้ถังแตกน่ะครับ”

“โกหก”

เธอจ้องหน้าผม ..เพียงแค่นั้นก็ทำให้ผมรู้สึกกลัว ราวกับว่ามีภาพสะท้อนตัวผมอยู่ในตาของเธอ

ทำไมถึงกลัวล่ะ ไม่เข้าใจ ไม่มีอะไรต้องกลัวสักหน่อย

รู้ตัวอีกทีผมก็กลืนน้ำลายเข้าลำคอไปโดยไม่รู้ตัว

“พะ พักนี้ ..แค่พักนี้นะครับ..รู้สึกว่าตัวเองเทียบกับคนอื่นไม่ได้น่ะ แบบว่า รู้สึกว่าตัวเองเนี่ย ไม่ไหวเอาซะเลย ฮะ ฮะ ฮะ”

“รู้สึกอ่อนแอนั้นหรอกเหรอ ในความเห็นของข้าเจ้าไม่ได้อ่อนแอหรอกนะ”

“แหม่ ก็พูดก่อนไปครับ”

เธอจ้องดาบของฉันและเริ่มร่ายยาว

“ดาบที่เจ้าถือครองนั้นดีได้มาตรฐาน แม้แต่งานระดับสูงที่พวกนักดาบขั้นบรรลุทำกัน ดาบของเจ้าก็ไม่ได้น้อยหน้าของคนอื่นเลย ยิ่งไปกว่านั้น” เธอจ้องมือฉันต่อ “ยิ่งกว่านั้นยังมีร่างกายที่ยอดเยี่ยม และมีโอกาสเติบโตได้มากกว่านี้อีกสองถึงสามเท่าได้ เมื่อผนวกรวมไปกับทักษะดาบที่ปรากฏบนมือ สิ่งนั้นก็มีอัตราการเติบโตที่สูงเช่นกัน”

ดูชมเข้าสิ ทำเอาเผลอตัวลอยหน่อยๆเลย—-เวลานี้ฉันหุบยิ้มไม่อยู่เลยแหละ

“คนที่มีพรสวรรค์เช่นเจ้า มักจะพบเห็นได้ยาก ยิ่งในยุคปัจจุบันที่เวทมนตร์สามารถเรียนกันได้ง่ายขึ้น นักดาบที่มีพรสวรรค์ยิ่งปรากฏตัวในสายทางดาบน้อยลงเรื่อยๆ”

ภายนอกดูอายุเท่ากับฉัน แต่ความจริงน่าจะผ่านโลกนี้มาเยอะพอตัวเลยแฮะ

นับถือเลย นับถือๆ คนที่ชมฉันทุกคนน่านับถือหมดแหละ ฮ่าๆๆๆ

“ในอนาคตเจ้าคงขึ้นเป็นบุคคลสำคัญในองค์กรที่ทำงานได้ไม่ยากหรอก เพียงแต่..เทียบกับเพื่อนของเจ้า เจ้าอาจจะอ่อนแอจริงๆก็ได้”

…นั่นสินะ

ยูจิ ไม่ใช่แค่ยูจิ ยังมีคนรอบตัวอีกหลายคนที่ก้าวไปในเขตุที่มนุษย์อย่างฉันไม่มีทางไปถึง ต่อให้คนอื่นจะบอกว่าฉันเก่งยังไงแต่ก็ไม่มีทางเทียบทุกคนได้แน่ๆ ฉันรู้ดีแก่ใจเพราะมันคือความจริง

ฉันได้แต่หัวเราะแห้งๆและเบือนหน้าหนีเธอตรงหน้าโดยอัตโนมัติ

“รู้ได้ยังไงกันครับ”

“ของแบบนั้นแค่มองตาก็รู้แล้ว”

แค่มองตาเหรอ ..ไม่เข้าใจเลยแฮะ แต่ก็นั่สินะ โลกนี้มันมีอัจฉริยะที่อีกหน่อยก็เข้าขั้นสัตว์ประหลาดแล้วอยู่ กะอีแค่มองตาคนอื่นก็ตรัสรู้เนี่ย มันคงมีกันบ้างแหละ

ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันไม่เชื่อหรอก แต่พอได้อยู่กับเจ้าพวกนั้นทุกคนฉันถึงยอมรับได้ว่าโลกนี้—มีพวกเหนือมนุษย์อาศัยอยู่

เหนือ เหนือมนุษย์ แค่นั้นก็บอกให้ตัวฉันที่เป็นมนุษย์แล้วว่าไม่มีทางจะยืนเคียงข้างได้อย่างสมศักดิ์ศรี เพราะพวกเหนือมนุษย์มันอยู่ไปอีกขั้นของความเป็นมนุษย์ ..แต่มันก็อดเสียใจไม่ได้ เพราะตัวฉันแพ้ตรงแค่ไม่ได้เกิดมามีพรสวรรค์อย่างถ่วมท้น มันรู้สึกว่ายอมรับไม่ได้ จนมาถึงจุดที่เริ่มอิจฉายูจิ

ช่างน่าสมเพซ

“เจ้าน่ะแข็งแกร่ง มีพลังมากพอที่จะขึ้นไปอยู่ในขั้นบรรลุได้ แต่มันก็แค่นั้นแหละ”

ตัวฉันไปได้แค่นั้นสินะ

ไม่อยากยอมรับเลยนะ

“อย่าได้หวังสูงนี่คือคำแนะนำ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “นักดาบที่หวังจะเป็นหนึ่งในใต้หล้า ข้าเห็นมานักต่อนักแล้ว รวมถึงจุดจบที่น่าสังเวชของทุกคน” 

เธอมองมาทางนี้ด้วยแววตาที่คล้ายจะเหยียดหยาม ..ไม่ได้เหยียดฉัน แต่เหยียดเหล่านักดาบที่ต้องการจะไปให้ไกลกว่าที่ต้องการที่เธอกล่าวถึง

“จุดจบของทุกคนคือความตาย ความพยายามทั้งหมดสูญเปล่า เหลือทิ้งไว้เพียงร่างไร้วิญญาณที่เปื้อนด้วยเลือดของตนเอง ..ให้ตายสิ เป็นพวกที่โง่เขลาเหลือเกิน”

“โง่ยังไง..ที่ทำมันโง่ตรงไหนกัน ที่พูดมันคือการดูถูกความฝันคนอื่นชัดๆ”

พวกเขาทำอะไรผิดกัน แค่เลือกที่ตายให้ตัวเองมันผิดรึไง ..

“ไม่ว่าเมื่อไหร่ข้าก็จะดูถูกเสมอนั่นแหละ เจ้าพวกโง่เขลาพวกนั้นน่ะ ..ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่รู้หน้าที่ของตนเอง ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้และจางหายไปจากโลกเองตามใจชอง ใช้ชีวิตเยี่ยงเด็กไม่รู้จักโต”

“อย่ามาดูถูกวิทีของนักดาบนะเฟ้ย!”

“วิชาดาบมันจำเป็นต้องมีวิทีด้วยนั้นหรือ?”

ถามอะไรอย่างนั้น เป็นนักดาบจริงๆรึเปล่าเนี่ยหะ!?

“เออสิ! สำหรับนักดาบ การตายในการต่อสู้นับว่าเป็นเกียรติ! ยิ่งสู้เพื่อเป้าหมายของตัวเองแล้วตายมันยิ่งถือเป็นเกียรติสูงสุด ในฐานะที่ฉันคือนักดาบเช่นกัน ฉันเคราพในดาบของทุกคน ไม่มีทางยอมให้คนอย่างเธอมาดูถูกเกียรติยศของนักดาบโดยเด็ดขา—-”

“วิชาที่ใช้ฆ่าคน แต่เดิมมันมีเกียรติด้วยนั้นหรือ?”

..เอ๊ะ

..นั่นมัน ..

ง่ายมาก ธรรมดามาก เป็นเรื่องทั่วไป แต่ ..เถียงไม่ออก

“เกียรติของดาบ? วิทีของดาบ? วิชาที่ใช้พรากชีวิตผู้อื่นจากคนสำคัญ มันยังเหลือเกียรติยศอยู่อีกหรือ ..น่าขัน ว่ากันตามตรง เวทมนตร์ยังมีเกียรติมากกว่าดาบเลย ไม่ใช่แค่ใช้ฆ่าคน แต่ยังใช้พัฒนาชีวิตของผู้คนได้ นี่สิถึงจะเป็นสิ่งที่เรียกว่ามีเกียรติ”

“ตะ แต่..แต่ว่า”

เกียรติของนักดาบกำลังโดนหยาม ..นักดาบ อัศวิน—พี่ชินดร้า ที่ยัยนั่นกำลังทำคือการหยามพี่ชินดร้าของฉัน เพราะอย่างนั้นต้องเถียงกลับ เอาให้พูดไม่ออก ความจริง ..ความจริง

เธอกำลังพูดความจริงอยู่ ฉันเลยเถียงไม่ออก ..นี่แหละความจริง

จะยอมรับไม่ได้เด็ดขาด

“จะบอกว่าการที่คนเราอุทิศทั้งชีวิตให้ดาบมันเป็นสิ่งไร้เกียรติเหรอ!””

“แทนที่จะอุทิศชีวิตให้สิ่งที่ชอบ สู้ไปทำเรื่องที่หาเลี้ยงคนในครอบครัวไม่ดีกว่ารึ ไม่วงวารคนที่อยู่ข้างหลังตัวเองเลยรึ”

“อึก..บางคนก็ไม่มีครอบครัว”

ไม่ใช่ มันต้องไม่ใช่ข้ออ้างโง่ๆแบบนี้สิ

“ทะ ทางเธอเองก็เถอะ เธอก็ใช้ดาบเหมือนกันไม่ใช่รึไง!?”

ข้ออ้างบ้าอะไรฟร้ะนั่น โง่พอกันเลย!

แน่นอนว่าที่พูดไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด

“ตัวข้าแต่เดิมไม่ได้มีเกียรติยศอะไรอยู่แล้ว ดาบที่ถือก็ของที่ใช้ฆ่าคนตามที่กล่าวไว้”

“..ทำไมถึงได้เกลียดดาบขนาดนั้นล่ะ”

สุดท้ายก็อยู่ในสภาพน่าสมเพซ ขดตัวเหมือนเต่าต่อหน้าคนที่จะเถียงแพ้ไม่ได้เด็ดขาด

“ข้าเกลียดแค่ผู้คนที่คิดว่าดาบนั้นมีเกียรติเพียงเท่านั้น” 

เธอหรี่ตาและพูดอย่างสงบนิ่ง ช่างต่างกับผมที่เป็นเดือดเป็นร้อนและเถียงช็อตๆแบบขอไปที

“กลับกัน ข้าอยากรู้มากกว่าว่าเหตุใดเจ้าถึงได้หลงใหลในวิทีดาบขนาดนั้น มันมีเหตุผลที่ควรค่าแก่การอุทิศชีวิตขนาดนั้นเลยรึ”

ทำไมถึงชอบดาบ—-ไม่จำเป็นต้องคิด เพราะเหตุผลมันสลักอยู่ในใจของผมไว้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แค่ตอบไปตามใจตัวเองสั่งก็พอ

ฉันกุมอกแน่นและโพล่งขึ้นเสียงดังฟังชัด

“เพราะฉันตกหลุมรักวิทีชีวิตของพีสาวของฉัน สิ่งที่เธอใช้คือดาบ เพราะอย่างนั้นฉันเลยหลงใหลในดาบของเธอที่เปรียบได้ดั่งแสงไฟนำทางชีวิตของฉัน พี่สาวคือเป้าหมายชีวิตของฉัน คือคนที่ทำให้ฉันมีเหตุผลในการมีชีวิต เพราะอย่างนั้นจะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกเด็ดขาด!”

“แล้วตอนนี้คนผู้นั้นที่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ล่ะ?”

“แน่นอนก็ต้องดำเนินวิทีชีวิตตัวเองต่อสิ! อย่างซื่อตรงและสัตย์จริง!”

“วิทีทางที่ว่านั่น มันเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

“ออกเดินทางเพื่อทำบางสิ่งให้สำเร็จ ..ต่อให้แลกด้วยชีวิต พี่ของฉันก็พร้อมจะทำ”

ถีงตรงนั้นเธอตรงหน้าก็หัวเราะขึ้นมา

“สุดท้ายพี่สาวที่เจ้าเคราพรักก็ทิ้งเจ้าไปสินะ?”

ทิ้ง..เนี่ยนะ

“มีใครรู้บ้างว่าเธอกำลังเดินทางอยู่”

“มีฉัน..”

“พ่อกับแม่ล่ะ”

ไม่รู้ แค่นั้นไม่พอ พวกเขายังคิดว่าพี่ชินดร้าตายไปแล้วด้วยซ้ำ

“..”

ตอบไม่ได้

“อย่าบอกนะว่าไม่รู้? เดินทางโดยที่ไม่บอกครอบครัวนั้นหรอกเหรอ นี่มันแย่กว่าที่คิดอีกนะ ..คงคิดว่าเธอผู้นั้นตายไปแล้วกระมัง และแย่ยิ่งกว่านั้น—-ก่อนหน้านี้เจ้าคงคิดว่าเธอคนนั้นก็ตายไปแล้วด้วยเหมือนกัน”

..ใช่ มันเป็นอย่างนั้นเลย

ฉันคิดว่าเธอตายมาโดยตลอด

“เจ้าเกือบจะทำพลาด เพราะความไม่รู้ของตัวเองด้วยสินะ”

“..”

ใช่ ฉันเคยเกือบจะฆ่าเรเซอร์ไปเพียงเพื่อแก้แค้น

“แล้วตอนนี้ก็คงจะรู้สึกแย่ โดยมีต้นตอมาจากพี่สาวส่วนหนึ่งด้วย”

ใช่ ..เพราะคิดว่าพี่ชินดร้าคงไม่ไว้วางใจฉัน

ทุกอย่างที่เธอพูดมันถูกหมด ทำให้ฉันเถียงไม่ออกแม้แต่น้อย ได้แต่นั่งนิ่ง และปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา

ตอนนี้ฉันได้กลับไปเป็นเด็กน้อยที่ร้องไห้เพราะถูกต่อว่าเรื่องแนวคิด ..วันนี้ฉันน่าสมเพซเป็นพิเศษแฮะ

“ไม่ใช่..ไม่ใช่อย่างนั้น”

“เข้าใจอะไรผิดกัน อธิบายให้ข้ารับทราบทีสิ”

“..พี่ชินดร้าไม่ใช่คนอย่างนั้น”

“ชินดร้า ..นั้นเองหรือ” เธอพึมพำจบก็ยิ้มมุมปากแบบมีเลศนัย “ข้าเข้าใจแล้ว”

จู่ๆเธอก็ว่ามาอย่างนั้น ทำให้ฉันไม่รู้จะพูดอะไรต่อ จนกระทั่งเธอเปิดปากว่าต่อ

“พี่สาวของเจ้าคือคนที่แย่กว่าที่ข้าคิดไว้อีก ..เกียรติยศมันจะไปมีค่าอะไร เมื่อไม่สามารถทำให้คนรอบตัวมีความสุขได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ เจ้าเองก็คงไม่ต้องมาทรมานและพูดโต้กับข้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ..ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็เป็นเช่นนี้เสมอ เจ้าพวกนักดาบ ‘ผู้ทรงเกียรติ’ ทั้งหลาย ..ไม่ว่ากี่ครั้ง เจ้าพวกนั้นก็อ้างแค่ว่าเป็นการทำเพื่อบางสิ่ง และทิ้งคนที่อยู่ข้างหลังของตัวเอง ตายไปโดยที่กอดเกียรติยศที่รักนักรักหนาไว้ ..ผลลัพธ์ต่อมาคือการให้กำเนิดตัวเจ้าในตอนนี้มายังไงล่ะ”

เสียงถอนหายใจของเธอดังกังวานไปมาบนหัว

“นั่นไม่ใช่วิทีของผู้ทรงเกียรติหรอกนะ”

เธอลุกขึ้นจากผืนหญ้า และมองส่งพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับฟ้า

“ก่อนที่จะชิงชังในโชคชะตาของตนเอง และปารถนาในพรสวรรค์ที่ตนไม่มี ข้าขอแนะนำให้เจ้าลาออกจากวิทยาลัยแห่งนี้ และพยายามเท่าที่ตัวเองจะทำได้ ..อย่างน้อยๆเจ้าก็จะไม่กลายเป็นนักดาบผู้มีแต่เกียรติยศจอมปลอม ดังเช่นพี่ของเจ้า”

“..อย่ามา..ดูถูกพี่ชินดร้านะเว้ย!!”

ฉันกลายเป็นคนขาดสติ และพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่าย ทว่า—ก็ถูกหยุดไว้โดยคนๆหนึ่ง

ชายชราผู้ที่สูงไม่ต่ำกว่าสองเมตรเข้ามาขวางเอาไว้

เขาเป็นผู้ชายที่มีผมยาวถึงแผ่นหลัง ผมทุกเส้นเป็นหงอกหมด บ่งบอกถึงอายุอานามที่มากโข สวมเสื้อสีเทาและกางเกงสีน้ำตาลรัดเข้มขัด บนหลังมีดาบที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าอย่างหนาแน่นติดไว้อยู่

ดูๆแล้วอายุน่าจะไม่เกิน 40 เป็นเพราะหุ่นที่ดีเข้าขั้นอุดมคติด้วย ทั้งๆที่สภาพหน้าปาไปหกสิบกว่าแล้ว แต่เพราะร่างกายทำให้เขาดูคล้ายกับคนวัยกลางคนย่างเข้าช่วงเกษียณ

“เดี่ยวสิ เจ้าหนุ่ม จู่ๆก็พุ่งมาหาเรื่องอีกฝ่ายแบบนี้–ไม่ได้นา”

ชายชราสามารถหยุดฉันได้ง่ายๆ นั่นเป็นเรื่องที่แปลกแต่เวลานี้ฉันหาได้สนใจไม่

“ไอ้เบื้อกนั่นมันมาดูถูกพี่สาวของฉัน!!!! บังอาจมาดูถูกไอดอลของฉันได้ อย่าหวังว่าจะได้ตายดีเชียว!! สารเลวเอ้ยยย!!!” ฉันดิ้นไม่หยุดอย่างบ้าคลั่ง “พี่ฉันทำอะไรผิดกัน!! เธอทำเพื่อทุกคนมาตลอด เธอไม่เคยทำอะไรผิดแท้ๆ!! อย่ามาว่าเธอนะ!!”

ชายชรายิ้มเจื่อนๆมองไปทางเธอที่ด่าพี่ฉันซะยับ

“ละสายตากันนิดเดียวเองนะ”

“ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย แค่ตั้งใจให้นักดาบหนุ่มลืมตาตื่นเท่านั้น”

“แต่ว่านะ ยัดเยียดแนวคิดตัวเองให้คืนอื่นมันก็ใช่เรื่อง”

“คงอย่างนั้น” เธอหันหน้ามามองฉัน “ตั้งใจจะทำอะไรต่อล่ะ?”

ถึงตรงนี้ชายชราก็ปล่อยฉัน 

“แน่นอนอยู่แล้ว ..ฉันจะกู้คืนศักดิ์ศรีของพี่ชินดร้า ..ขอโทษเธอซะ”

ชายชราดูตกใจเล็กน้อย เหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่ฉันบอกให้ขอโทษ แต่เป็นเรื่องอื่นมากกว่า ซึ่งไม่รู้ว่าตกใจอะไร

“ขอโทษ? ทำไมข้าต้องขอโทษในเรื่องที่ข้าไม่ได้ผิดกันด้วย”

“ยะ ยัยนี่!”

ชายชราดึงคอเสื้อฉันไว้และย่อตัวให้หัวอยู่ระดับเดียวกับฉัน

“ฟังนะเจ้าหนุ่ม เธอเป็นคนไม่ค่อยฟังใครน่ะนะ ยังไงก็ช่วยอย่าถือสาที่เธอพูดเลยนะ ถือว่าฉันขอโทษแทน”

ยังดีที่เขาไม่ได้นิสัยเสียเหมือนยัยนั่น แต่แล้วยังไงล่ะ

“ฉันไม่มีทางยกโทษให้คนที่ว่าพี่ชินดร้า”

“ถ้าทะเลาะวิวาทกับเธอ มันไม่จบแค่เจ็บตัวหรอกนะ”

ไม่รู้ทำไม แต่ที่พูดมันแฝงด้วยความจริงจนทำให้รู้สึกเสียวสันหลัง เหมือนกับคำเตือนเวลาจับวัตถุอันตราย แต่เวลานี้ใครสนกันล่ะ

“ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้ดาบให้ผู้ที่ไร้เกียรติในวิทีนี้หรอก”

“วิทีดาบมันไม่ได้วัดที่ความศรัทธานะหนุ่มน้อย ..แต่ก็เอาเถอะ พูดถึงขนาดนี้คนใกล้จะลงโลงแบบฉันจะห้ามอะไรวัยรุ่นเลือดร้อนได้”

“เข้าใจก็ดี”

ตอนนี้ฉันหัวร้อนเอามากๆ อย่างกับว่ากำลังสวมบทเป็นเคียวยะอย่างไรอย่างนั้นเลย

“แต่ว่า ..เอาแบบนี้เป็นไง”

ชายชราผละตัวออกจากฉันและหันไปมองเด็กสาว

“ดวลดาบกันแบบมีกฏแทนเป็นไง” ชราชรายกนิ้วชี้ขึ้น

“ดวลดาบ?” 

“ไร้สาระจริงๆ”

ชายชราหัวเราะแห้งๆให้กับความเห็นของเด็กสาว

“แต่ถ้าทำอย่างนั้น เจ้านั่นจะเลิกคลั่งสินะ”

“ขึ้นอยู่กับทางหนุ่มน้อยน่ะนะ”

ชายชราชำเลืองมองฉันอย่างคาดหวัง—

“ถ้าฉันชนะ เธอต้องขอโทษพี่ชินดร้า”

“การประลองแบบมีเงื่อนไขสินะ เข้าใจแล้ว กลับกัน ถ้าทางข้าชนะ ข้าขอสั่งให้เจ้าเลิกหาเรื่องข้าเป็นพอ”

ขอได้ขอไปทีชะมัด

“จะดีเรอะ ข้อเสนอที่ว่ามีแต่ทางเธอที่ไม่ได้อะไรเลยนะ”

“แต่เดิม ข้าก็ไม่มีอะไรที่ต้องการจากเจ้าอยู่แล้วล่ะ—เจ้าหนู”

—–ยัยนี่

ชายชราหยิบดาบไม้จากไหนไม่รู้สองเล่มโยนให้พวกเราสองคน

ดาบไม้?

“แค่ดาบไม้ก็พอ ..ถ้าเป็นดาบจริงกลัวว่าทางฉันจะควบคุมความเสียหายไม่ไหวน่ะนะ”

ชายชรายิ้มเจื่อนๆ นั่นทำให้รู้สึกขนลุกขึ้นมาชอบกล

เด็กสาวเหวี่ยงดาบไปมาเบาๆเหมือนจะวัดระยะของดาบ เธอทำเช่นนั้นเพียงสามจังหวะดาบ ก่อนเอาดาบแนบไว้กับเอวประหนึ่งเก็บดาบเข้าฝัก

ชายชราหันซ้ายหัวขวาไปมา

“เว้นระยะห่างแค่นี้จะดีรึ?”

“สำหรับนักดาบ ระยะใกล้ๆนี่แหละดี” ฉันพูดตอบทันที

ชายชราถอนหายใจ

“ถ้านั้นก็เริ่มเลยล่ะกัน”

ชายชราให้สัญญาณ—-ฉันรีบพุ่งตัวออกไปทันที กะจะชิงความได้เปรียบและใช้เทคนิคดาบที่ดีที่สุดของตัวเองในการจัดการอีกฝ่าย

ตั้งใจจะให้อีกฝ่ายเจ็บตัว—ไม่สิ ในส่วนลึกน่าจะตั้งใจฆ่าเลย ฉันเลยทุ่มทุกอย่างที่มีในการโจมตีเดียว เหมือนกับตอนที่ใช้กับเรเซอร์คราวนั้น

[จังหวะแตะสายลม] ตามด้วย [ดาบประกายแสง] กับ [ระบำดาบ] ผสานสามเทคนิคเข้าด้วยกัน ก่อให้เกิดท่าโจมตีโหมกระหน่ำที่รุนแรง

ทว่า ทิวทัศน์เบื้องหน้า ทันทีที่พุ่งตัวออกไป เด็กสาวก็ไม่อยู่แล้ว

เสียงฝีเท้าสามตลบดังขึ้นทางด้านขวา ไม่ทันที่จะได้หันไปมองรู้ตัวอีกทีร่างก็กลิ้งตกภูเขาไปเสียแล้ว—-เอ๊ะ?

ร่างปลิวไปชนกับต้นไม้ก่อนที่จะล่วงลงพื้น ฉันพยายามพยุงร่างและหนีโดยการพุ่งตัวไปข้าวหลัง โดยหารู้เลยว่านั่นคือทางลงเขา ..ฉันกลิ้งลงเขาอย่างน่าอนาถ

ในจังหวะแรกที่กระทบกับหินทีแรกฉันยังคงสติไว้ได้ แต่หัวสมองอื้อไปหมด คิดอะไรไม่ออกเลย 

ครั้งที่สองดวงตาเริ่มปิด และเริ่มคิดได้ว่าตัวเองโดนเล่นงานแล้ว

ขณะที้กำลังคิดจะแก้เกม ครั้งที่สามก็มาถึงก่อน สติมันดับไปโดยที่ไม่รู้สภาพของตัวเองว่ายังอยู่หรือตาย

ฉันตอนนี้คงจะนอนอยู่ที่ไหนสักแห่ง ..และคงมีสภาพปางตายไม่ผิดแน่

 

****

เด็กสาวส่งเรย์กลิ้งลงภูเขาไปแล้ว

“นี่กะฆ่าเลยใช่มั้ยเนี่ย?”

ชายชราพึมพำแบบเอือมระอา เด็กสาวส่ายหัวตอบ

“ถ้าคิดจะฆ่า ป่านนี้หัวของเจ้าหนูนั่นได้หลุดจากบ่าไปแล้ว”

ด้วยดาบไม้นั่นแหละ

“นั่นสินะ ..เมื่อตะกี้แค่ลมแรงกระแทกจากดาบเองนี่นะ แถมยังเป็นแรงกระแทกที่กะให้อีกฝ่ายกระเด็นแทนที่จะผ่าร่างด้วย” 

“ข้าตั้งใจจะให้ชนกับต้นไม้เพียงเท่านั้น” เด็กสาวหรี่ตาลง “แต่เหมือนว่าเจ้าหนูนั่นจะได้สติแล้วพุ่งตัวแบบไม่คิดชีวิตก่อน”

ซึ่งจุดนี้ ทั้งชายชราและเด็กสาวไม่รู้ว่าเรย์จะตายรึเปล่า แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรด้วย ดูได้จากการที่ทั้งสองยังคงยืนคุยกันอยู่

“แต่ว่านะ โดนดาบของท่านอาจารย์ไปตั้งขนาดนั้น แต่ยังได้สติและตั้งตัวได้ทันทีเนี่ย พลังใจสุดยอดเลยเนอะ”

“สิ่งที่เรียกว่าพลังใจนี่แหละที่ทำให้พวกโง่เขลามันเหิมเกริมได้ ..ยังไงซะ ข้าไม่อยากจะให้เรื่องมันวุ่นวายโดยใช่เหตุ เพราะฉะนั้นไปดูอาการเจ้าหนูนั่นกันก่อนเถอะ”

เด็กสาวโยนดาบไม้ขึ้นฟ้า—ดาบไม้ที่ถูกเด็กสาวใช้งานนั้นสลายเป็นผงในทันทีที่เด็กสาวปล่อยมือ เป็นเพราะเด็กสาวใช้งานดาบเล่มนี้หนักเกินความคงทนที่มันมี

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด