เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! 407

Now you are reading เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! Chapter 407 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

< < อัฟเตอสตอรี่ 6 > > 

‘เมืองชันไม’ เมื่อได้รับการปกครองโดย เรเซอร์ ดราแคล์ คนดังคนนั้นได้แค่แปปเดียว ก็ได้ชื่อว่าเมืองที่ปลอดภัยที่สุดบนโลก 

เหตุผลที่ทุกคนเชื่อว่ามันปลอดภัยที่สุดคือการมีอยู่ของสมาชิกในองกรณ์ของ เรเซอร์ ดราแคล์ ที่ล้วนก็แข็งแกร่งกันหมดทุกคน ชนิดที่ใครหลายต่อหลายคนพูดว่ากองกำลังส่วนตัวที่เรเซอร์มีอาจจะเทียบเท่ากับกองกำลังของอาณาจักรขนาดกลางอาณาจักรหนึ่งเลยทีเดียว และก็เป็นเมืองที่ประชาชนทุกคนได้รับการดูแลความปลอดภัยอย่างดี ทำให้ทุกคนเชื่อว่าที่นี่ปลอดภัยที่สุด

แต่หารู้ไม่ว่า จริงๆ แล้วนี่คือเมืองที่มี ‘อดีตจอมมาร’ ‘อดีตปีศาจมหาบาป’ อาศัยอยู่ … กะ ก็ใช่ มันยังปลอดภัยที่สุดอยู่ดี ถึงจะเป็นเพียงความลับเบื้องหลัง แต่ตัวตนที่เสมือนภัยพิบัติของโลกเมื่ออดีต บัดนี้ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นหนึ่งในพลเมืองของ เรเซอร์ ดราแคล์ ไปเสียแล้ว

จะอย่างไรก็แล้วแต่–

ณ เมืองชันไม เช้าแสนธรรมดาวันหนึ่ง เมื่อนาฬิกาได้บอกว่า ‘ ตี 4 ’ แล้ว หลายชีวิตที่อาศัยอยู่นอกเมืองเล็กน้อย ซึ่งมีสิ่งก่อสร้างเป็นบ้านหลังเล็กราวสามหลัง ที่รอบๆ เป็นฟาร์มสัตว์ ได้แก่ หมู ไก่ วัว แกะ แพะ 

รวมถึงฟาร์มผลไม้ต่างๆ ขนาดราว 10 ไร่ปนๆ กันไป ซึ่งอยู่ติดกับโบสถ์ที่เรเซอร์ให้การสนับสนุน

ประตูของบ้านหลังหนึ่งจากทั้งหมดสามหลังได้เปิดออก คนที่โผล่ออกมาก็คือ— ‘อดีตจอมมาร’ ‘ดิลุค’ สตรีผู้งดงาม รูปร่างคือเบลลามีผมสีขาว แต่บรรยากาศแตกต่างราวกับคนล่ะคน

บรรยากาศของดิลุคดูสุขุมเลือดเย็น ฉลาดลุ่มลึก ต่างกับเบลลามีที่จะดูมึนๆ สังเกตุได้จากหางตาของเธอที่ดูแหลมกว่า  

ซึ่งก็ใช่ แม้ทั้งสองดั้งเดิมจะเป็นคนๆเดียวกัน แต่เวลาหลายปีที่ได้แยกร่างกันอาศัย ก็ทำให้สองตัวตนแยกกันอย่างสมบูรณ์แบบ จึงนับว่าเป็นคนล่ะคนได้แล้ว

แล้วก็ …บรรยากาศสุดคลูช่างขัดกับชุด ‘สาวทำฟาร์ม’ ที่เธอสวมใส่ กางเกงที่มีหนังเกาะไหล่ เสื้อยืดสีดำ รองเท้าบู้ท แล้วก็หมวกฟาง ทันทีที่เธอปรากฏหมาที่เลี้ยงไว้ทั้งหมดสามตัวก็วิ่งออกมาจากบ้านของตัวเอง เป็นหมาที่มีลักษณะครึ่งหนึ่งเป็นหมาป่า มันวิ่งวนรอบดิลุค

“ไปปลุก ‘เจ้าพวกขี้เกียจ’ กลุ่มเดิมทีนะ”

หมาทั้งสาม โฮ่ง ตอบกลับ และออกวิ่งตรงไปที่บ้านหลังหนึ่ง

จากนั้นดิลุคก็เริ่มทำกิจวัตรประจำวันของตัวเอง เริ่มจากไปดูหมู และไก่ในฟาร์ม แตก่อนจะเดินไปถึงเธอก็พบกับอดีตปีศาจมหาบาปสองตนเสียก่อน

“อรุณสวัดดิ์ครับ ท่านดิลุค” 

‘แอสโมเดียส’ ในชุดนอนกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม

“ข้าปลื้มใจเหลือเกินที่ท่านยังคงสบายดี”

‘ลูซิเฟอร์’ ในชุดเสื้อโค้ทสำหรับหน้าหนาว และรูปร่างสมกับเป็นทูตสวรรค์ ซึ่งไม่เข้ากับบรรยากาศทำฟาร์มเลย

สองคนนี้อยู่ในกลุ่ม ‘พวกไม่ขี้เกียจ’ มักจะตื่นมาช่วยเธอทำงานอย่างขันแข็ง อาจมีบ่นบ้างจากแอสโมเดียส แต่ก็ไม่เคยละเลยหน้าที่ของตัวเอง สองคนนี้อยู่บ้านหลังเดียวกัน

บ้านมีทั้งหมดสามหลัง โดยแบ่งเป็น บ้านดิลุค บ้านปีศาจมหาบาปผู้ชาย บ้านปีศาจมหาบาปผู้หญิง จริงๆ เธอตั้งใจจะปลูกแค่สองหลัง แต่ปีศาจมหาบาปทุกคนพร้อมใจกันโน้มน้าวให้สร้างอีกหลังเอง เพื่อเหตุผลอันใดก็ไม่ทราบ แต่มาบอกทีหลังสร้างเสร็จว่าเพื่อให้ดิลุคมีรังรักกับ เรเซอร์ ดราแคล์ได้ …นั่นทำให้ดิลุครู้สึกว่าจุ้นไม่เข้าเรื่องเลย ทั้งที่ถ้าอยากเจอ แค่เดินไปคฤหาสน์ของเรเซอร์ก็พอ ไม่ได้ไกลขนาดนั้นสักหน่อย

“วันนี้ก็ฝากด้วย”

“คร้าบ”

“น้อมรับคำสั่ง”

ก่อนที่ดิลุคจะเดินไป เธอสะดุดเรื่องที่ต้องพูดก่อนนิดหน่อย

“จะว่าไป อย่าลืมนะว่าวันนี้มีนัดไปปิคนิคพิเศษกัน”

‘ปิคนิคพิเศษ’ เปรียบเสมือนรหัสลับระหว่างนายเหนือหัวและลูกน้อง ทั้งสองพยักหน้ารับ ก่อนแยกย้ายกันไปทำงาน

ดิลุคทำงานของตัวเองเช่นกัน ณ ฟาร์มหมู ตรวจเช็คสภาพ ทำความสะอาด และอื่นๆ อีกเล็กน้อย แต่ก็กินเวลาไปเป็นชั่วโมง

เมื่อเสร็จกิจวัตรแรกแล้ว เธอก็ออกมาจากฟาร์ม และพบกับ ‘เจ้าพวกขี้เกียจ’ สามตัว

“ท่านจอมมารรรร ขอโทษจริงๆ นะ! เมื่อวานฟัฟนิร์เอาแต่เซ้าซี้ให้กินเหล้าเลยตื่นสายซะได้”

ทั้งที่ขี้เกียจอย่างออกหน้า แต่คนที่แสดงความรู้สึกผิดอย่างชัดเจนมีแค่ ‘ซาตาน’ ที่เสียคนหลังจากเริ่มสนิทกับฟัฟนิร์ที่มักจะพาเธอไปไหนมาไหนตลอด บ้างก็หลอกให้ทำนู่นทำนี่จนเป็นเรื่อง แถมผลกระทบจากมหามังกรไม่ได้เรื่องตนนั้นก็ทำให้ซาตานอยู่ในกลุ่มควบคุมเวลานอนไม่ได้ อยู่กึ่งกลางพวกปกติกับพวกขี้เกียจ

แน่นอนซาตานไม่ใช่ปัญหาอะไร ที่เป็นปัญหาคือ …พวกขี้เกียจตัวจริง

“อ่าาา ไม่อยากทำงาน ไม่อยากทำงานเลยยย ทำไมฉันถึงได้ขี้เกียจขนาดนี้ สร้างความลำบากให้ท่านจอมมารซะแล้วสิ”

คนแรก ‘อังเฟกอร์’ ตามชื่อแต่เดิมเป็นถึงมหาบาปเกียจคร้าน ออร่าความขี้เกียจไม่สามารถยับยั้งได้ตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว แม้จะพูดเหมือนรู้สึกผิด แต่ยัยนี่จริงๆ ก็พูดไปงั้น ดิลุคจึงได้แต่มองแบบเอือมๆ

“ไม่เป็นไร เราให้อภัย รีบๆ ไปทำงานของตัวเองได้แล้ว”

“เฮ้ออออ ไม่อยากทำเลยน้า”

อังเฟกอร์ลอยไปพร้อมกับหมาอีกสามตัวที่วิ่งตาม งานของเธอคือดูแลฝูงแกะ ส่วนซาตานเป็นฝูงแพะ ต่อไปก็— ‘ลิเวียธาน’

“ถึงจะเป็นนายจ้าง แต่ถ้าวันหนึ่งฉันทนไม่ได้จากการใช้แรงงานของท่านเข้า ต่อให้เป็นถึงนายเหนือหัวที่ฉันเทิดทูลสูงสุด ฉันก็จะฟ้องกรมแรงงามนะจะบอกให้”

เรื่องพวกนั้นมาจากปากของคนที่ตื่นมาทำงานสายเกือบสองชั่วโมงได้ แต่เดิมลิเวียธานเป็นริษยา เธอเป็นคนที่ไม่เคราพจอมมารที่สุดในหมู่ปีศาจมหาบาป

“เลิกบ่นแล้วไปทำงานได้แล้ว วันนี้มี ‘ปิคนิคพิเศษ’ ”

“ทราบแล้วค่า”

แต่อย่างน้อยก็ยังฟังที่สั่งบ้าง ดิลุคถอนหายใจ เธอแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า

“..สี่ปีแล้วสินะ”

สี่ปีหลังจบสงครามครั้งใหญ่ เธอ และแก็งปีศาจมหาบาปได้มาจบที่การเป็น ฟาร์มเมอร์—ได้มีฟาร์มขนาดสิบไร่เป็นของตัวเอง มีลูกจ้างอยู่ห้าคน ซึ่งทุกคนก็เป็นปีศาจมหาบาปลูกน้องเก่ากันหมด แน่นอนว่าไม่ได้บังคับ ทุกคนสมัครใจทำงานนี้ บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าท่านดิลุคไปไหนก็จะไปที่นั่น

เรื่องนั้นลำบากใจนิดหน่อย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าดิลุคค่อนข้างพึงพอใจทีเดียว

เธอทำงานต่อด้วยอารมณ์ที่ดีกว่าทุกที จนกระทั่งระหว่างเดินเช็คสวนแอปเปิ้ลก็ดันเผลอไปเหยียบขาของ ‘คนจรจัด’ คนหนึ่งเข้า

“ …ฟัฟนิร์”

‘มหามังกรเพลิง’ ‘ฟัฟนิร์’ โผล่หัวที่สวนแอปเปิ้ล เหมือนว่าเธอจะไม่มีที่ซุกหัวนอนจนต้องมานอนอยู่แถวๆ นี้

“..ฮือ …อ๊ะ …ดิลุคนี่ ดีนะ”

“มานอนทำอะไรแถวนี้มิทราบ ถ้าจู่ๆ แกระเบิดเพลิงทำลายสวนของเราขึ้นมาทำไง”

“โทษทีนะ คือว่า …โดนต้าวชินต้อนให้ออกจากคฤหาสน์น่ะ” 

“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงสินะ”

“ทะ ทำไมยิ้มเหมือนสะใจเลย นี่เรื่องซีเรียสเกี่ยวพันกับความเป็นอยู่ของข้าเลยนะ! เมื่อวานถูกต้าวชินต่อว่าสารพัด หาว่าเอาแต่นอนกินบ้านกินเมืองบ้าง ไปกวนต้าวเรเซอร์ตอนจะทำงานบ้าง ก่อความวุ่นวายในเมืองบ้าง ข้ารับไม่ได้กับการต่อว่าที่เกินจริงเลยหนีออกมา และ”

“ไม่มีที่นอน”

“ใช่ ตอนมาถึงพวกซาตานก็ปิดประตูล็อคแล้ว ให้พังกระจกเข้าไปก็ไม่ได้ เดี่ยวจะโดนดิลุคไล่ซัดเหมือนครั้งก่อนเอา”

ครั้งก่อน ใช่ เคยมีเคสแบบนี้เกิดขึ้น จนทำให้ดิลุคต้องไล่ซัดเพื่อสั่งสอนมหามังกรไร้สามัญสำนึกตนนี้

“อย่างน้อยก็ยังรู้จักคิดนะ ยอดเยี่ยม”

“อือออ ทำยังไงดี”

หนีออกมาเองแท้ๆ ดันเป็นฝ่ายงอแง ดิลุคถอนหายใจ และใช้มันสมองอันเป็นเลิศครุ่นคิด

“ให้เดา ชินน่าจะกำลังตามหาอยู่นะ เรเซอร์น่าจะเตรียมอาหารมื้อใหญ่เพื่อปลอบประโลมให้ด้วย ไม่ลองบินไปแถวๆ คฤหาสน์ดูล่ะ นอกจาก ‘อันนา’ คนอื่นน่าจะยินดีที่เธอกลับไป”

ทุกคนในคฤหาสน์ให้การเอ็นดูฟัฟนิร์ ยกเว้นอันนาเมดปากจัดคนเดียวที่อยากไล่ฟัฟนิร์ออกเต็มทน และถึงชินจะบ่นใส่มากมาย แต่ก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดไล่ฟัฟนิร์ออกหรอก อย่างที่ฟัฟนิร์เล่า เธอหนีออกมาเอง เพราะรับความจริงไม่ไหว

ได้ยินอย่างนั้น ฟัฟนิร์ตาของฟัฟนิร์ก็เป็นประกายขึ้นมา

“จริงเหรอ!!?”

“ใช่สิ คิดว่าเรามีหรือที่จะคาดเดาผิดพลาด”

“ไม่เลย ไม่เลย! เข้าใจแล้วล่ะ จะรีบกลับไปเดี่ยวนี้แหละ ให้ตายสิ เจ้าพวกนั้นไม่มีข้าอยู่นี่ถึงกับอยู่ไม่สุขกันเลยสินะ ฮิๆ”

ฟัฟนิร์รีบบินกลับไปตามที่ดิลุคบอก

“สำเร็จ ไล่ตัวอันตรายต่อฟาร์มออกไปได้แล้ว ขืนปล่อยให้มังกรจรจัดนั่นไม่มีที่ซุกหัวนอนมากกว่าสามวันขึ้นไป แกะในฟาร์มจะหายไปหนึ่งตัวในทุกสองวันนี่แหละนะ เราเลยต้องรีบๆ ไล่มันกลับบ้าน …”

ถ้าฟัฟนิร์ได้ยินความในใจ เธอคงจะงอแงอีก เป็นอันเสียเวลาการทำงาน—เอาเป็นว่าตัวอันตรายต่อฟาร์มของดิลุคก็ไปแล้ว ดิลุคจึงทำงานต่อยาวๆ จนเสร็จสิ้นทุกอย่างที่เวลาบ่ายสาม

เวลาของการ ‘ปิคนิคพิเศษ’ จึงได้เริ่มขึ้น

ดิลุค พร้อมด้วยอดีตปีศาจมหาบาปต่างถือข้าวของสำหรับปิคนิคไว้ด้วยสองแขน ไม่ว่าจะเสื่อราวสองผืน เตาปิ้งย่าง กล่องใส่ของกิน วัตถุดิบสำหรับปิ้งย่าง แล้วก็ดอกไม้หลากหลายพันธ์ุ 

ทั้งคณะเดินจากบ้านของตัวเอง เข้าไปภายใน ‘ป่ามหาภูต’ เดินตรงไปเรื่อยๆ ทั้งรอยยิ้มไปจนถึงพื้นที่ทุ่งหญ้าเขียวขจี ซึ่งมีอนุสรณ์ทรงสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่สลักชื่อของชีวิตนับพันเอาไว้ ในนั้นมีชื่อที่ซ้ำกันบ้างไม่ซ้ำกันบ้าง แต่ที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีที่สุดคือชื่อของ—ปีศาจมหาบาปอีกสองตนที่จากไป

ความตะกละ ‘บิลเซบับ’ และ ความโลภ ‘แมมม่อน’

“ไม่ได้เจอกันนานนะ ทุกคน”

ดิลุคกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม พักนี้เธอยิ้มออกมาบ่อยกว่าปกติ … ไม่สิ ต้องบอกว่ากลับมาเป็นตัวเองเหมือนเดิมมากกว่า

นี่คืออนุสรณ์ที่ดิลุคสร้างขึ้นเพื่อลำลึกถึงพวกพ้องปีศาจทุกคนที่ร่วมต่อสู้มาด้วยกันนับหมื่นปี หรือกับคนที่จากไปตั้งแต่ยุคโบราณ ดิลุคที่จดจำชื่อของพวกเขาทุกคนได้จึงทำการสร้างอนุสรณ์ขึ้นมา เพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองหลงลืมชื่อของคนที่ถวายชีวิตให้กับเธอ

ชีวิตทั้งหมดหกชีวิตแจกจ่ายดอกไม้ให้กันและกัน ถือดอกไม้ไว้บนมือ โค้งคำนับให้กับอนุสรณ์ ก่อนจะวางดอกไม้เอาไว้ และเริ่มการปิคนิคพิเศษกัน

“พอมานึกๆ ดูแล้วเนี่ย” แอสโมเดียสพึมพำขึ้นมา “ไม่มีแมมม่อนมาคอยเจ้ากี้เจ้าการณ์ก็แอบเหงาเหมือนกันนะ”

ความโลภ แมมม่อน เสียชีวิตจากการมอบหัวใจให้แก่ เรเซอร์ ดราแคล์ เพราะตนไม่อยากจะทรยศจอมมารจากพันธสัญญากับเรน เขาเลยสละชีวิตของตัวเองไป …นี่คือเรื่องที่ทุกคนมารับรู้ภายหลัง

“เด็กอวดเก่งนั่นเจอดีบ้างก็ดี” ลิเวียธานบ่น

“ชอบมองพวกเราเหมือนเป็นพวกโง่ตลอดด้วยนะ เด็กคนนั้น” อังเฟกอร์บ่นตาม

เหล่าคนที่โดนแมมม่อนต่อว่าจนน้ำตาแทบตกทุกครั้ง ต่างพากันเรียกร้องในวันที่แมมม่อนเถียงกลับไม่ได้แล้ว

“ถึงอย่างไรแมมม่อนก็เป็นลูกน้องของท่านดิลุคที่แสนวิเศษ ถึงเขาจะกระทำการเสียมารยาทต่อท่านเบลลามีไปมากมาย แต่นั่นทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์”

ลูซิเฟอร์ออกความเห็นอย่างชาญฉลาด แต่นั่นกลับทำให้ทุกคนพากันมองค้อนใส่

“ไอตัวก่อเรื่องหลักอย่างนายไม่ต้องพูดเลย” แอสโมเดียสพูด

“ใช่วลีที่ว่าเปิดก่อนมักจะรอดรึเปล่าน้า?” อังเฟกอร์พูด

“แกร่วมมือกับเรนคนแรก แถมยังสร้างความเดือดร้อนตั้งแต่ต้นจนจบแท้ๆ” ลิเวียธานพูด

“ไม่โดนลากคอเข้าคุกก็บุญแล้ว ไอบ้า” ซาตานพูด

“ท่านเบลลากับท่านดิลุคก็ดีนะที่ให้จบแค่ทำงานในฟาร์มไปชั่วชีวิต” แอสโมเดียสพูอ

ลูซิเฟอร์ที่ถูกต่อว่าหัวเราะพึมพำ พลางหันไปมองดิลุค

“ข้าขอสัญญาว่าจะรับใช้ท่าน รวมถึงลูกหลานท่านไปชั่วชีวิตครับ”

นี่คือสิ่งที่ลูซิเฟอร์จะชดใช้—ดิลุคยิ้มรับ

“ได้ยินเช่นนั้นก็โล่งอก ถึงทั้งเราทั้งเบลลามีจะยังไม่ได้ให้กำเนิดชีวิตก็ตามที”

“ก็ควรจะอย่างนั้นแหละนะ ตอนนี้คนที่อายุยืนยาวที่สุดในหมู่พวกเราก็เป็น ‘ท่านทูตสวรรค์’ อย่างนายด้วย ถ้าไม่ซวยก็น่าจะอยู่ได้อีกเป็นพันๆปี” แอสโมเดียสพูด “แน่นอนว่าจะทิ้งฟาร์มของท่านดิลุคไม่ได้ด้วย ฟาร์มนี่ในอนาคตจะต้องติดท็อปสิบฟาร์มที่มีคุณภาพที่สุดในนิตยสารรายปีของอิกดราซิลให้ได้!”

“แอสโมเดียส เราไม่เคยพูดเลยนะ”

ก็แค่อยากจะทำฟาร์มแก้เบื่อไปวันๆ ตามฉบับมนุษย์ทั่วไปเอง

หลังจาก เรเซอร์ ดราแคล์ได้ทำลายกฏของพระเจ้าไป ก็ทำให้ปีศาจมหาบาป รวมถึงจอมมารกลับสู่อายุขัยดั้งเดิมที่ควรจะเป็น อย่าง ดิลุค แอสโมเดียส ก็มีสถานะไม่ต่างกับมนุษย์ปกติที่อยู่ระหว่าง 60 – 100 ปี ส่วนเผ่าพันธ์อายุยืนนาน อย่าง ลิเวียธาน เธอจะอยู่ได้อีกหลายร้อยปีทีเดียว อังเฟกอร์เองก็ด้วย และคนที่จะอยู่ได้ยาวนานที่สุดก็หนีไม่พ้นทูตสวรรค์อย่างลูซิเฟอร์ ที่อายุขัยอาจเข้าขั้นอนันต์

ด้วยเหตุนั้นเอง ตระกูลดราแคล์ที่มีความสัมพันธ์พิเศษกับจอมมารในอนาคต จะเสมือนกับมีเทพผู้ปกปักษ์รักษาอีกนานแสนนาน … แต่นั่นเป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยกันให้ดีอีกทีในอนาคต เพราะการก้าวก่ายสังคมมนุษย์มากเกินไป อาจไม่ใช่เรื่องดีอะไร

“ยังไงซะข้าก็เฝ้ารอลูกหลานของท่านดิลุคกับท่านเบลลามีอยู่ดีนะครับ”

“ “ “ “……” ” ” ”

………ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่ดิลุค ทางดิลุคก็จิบชาที่เตรียมมาอย่างเรียบเฉย ก่อนที่ไม่นานใบหน้าลามไปถึงใบหูก็แดงขึ้นมา

“มีอะไร?”

ดิลุคเป็นคนเงียบขรึม และสุขุม ดูเป็นคนกร้านโลก กระนั้นก็อ่อนไหวกับเรื่องรักๆใคร่ๆ ต่างกับเบลลามีที่ดูมึนๆ แต่เธอแทบไม่เขินกับอะไรเลย ต่อให้เขินก็ไม่ได้แสดงมันออกมา

“อืม ก็นะ …เร็วๆนี้น่าจะมีล่ะมั้ง ผู้ชายคนนั้นออกจะคึกด้วย” ลิเวียธานพึมพำ

“ลูกของท่านดิลุคคงจะมีผมสีขาว ตาสีแดง ลูกของท่านเบลลามีคงจะผมสีดำ ตาสีแดง รูปลักษณ์ที่ถอดแบบจากท่านทั้งสอง หากเป็นผู้หญิงคงจะสวย หากเป็นผู้ชายคงจะหล่อเหลา และคงจะงดงามกันทั้งคู่ไม่ผิดแน่” ซาตานพูดอย่างตื่นเต้น

“ถ้าลูกท่านจอมมารหล่อถูกใจ ฉันอาจจะลองเสี่ยงดวงจีบดู เผื่อว่าจะได้บอกลาชีวิตในฟาร์มสุดยากลำบาก แล้วพลันตัวเป็นมาดาม…” อังเฟกอร์พูดพลางน้ำลายยืดกับตัวเอง

ดิลุคจะมองว่านั่นเป็นการล้อเล่น แต่หากทำจริงขึ้นมาได้เจอเธอเล่นงานแน่ และไม่ใช่แค่เธอ ลูซิเฟอร์ ซาตาน รวมถึงลิเวียธานก็พร้อมใจกันเข้าชาร์จหากมันเกิดขึ้นจริง … 

แอสโมเดียสหลับตาจิตนาการดูคร่าวๆ เกี่ยวกับลูกของดิลุคและเบลลามี จอมมารทั้งสองที่เขาเคราพรัก

“อืมมมม …ถ้าเป็นพี่บิลเซบับ คงอยากจะบอกว่า ‘ตั้งตารอจะได้อุ้มหลานของท่านทั้งสองคนเลยล่ะค่ะ’ กระมังเนี่ย”

………

บิลเซบับ ตายจากไปจากการปกป้องตัวเธอเบลลามี แต่ถึงเธอจะจากไปแล้ว แต่คนที่เรียกสติดิลุคกลับมาได้ก็ยังคงเป็นบิลเซบับ เพื่อนคนแรกในชีวิตของเธอ …บางที ถ้าเธอมีลูกขึ้นมา บิลเซบับน่าจะเป็นคนที่ดีใจที่สุดในที่แห่งนี้ ยิ่งกว่าตัวของดิลุคเองด้วยซ้ำ

เพียงแค่ลองนึกภาพตาม เธอก็เห็นตัวของบิลเซบับวิ่งวนไปมารอบตัวเธออย่างกับหมาในฟาร์มได้แล้ว

“ถ้าทั้งแมมม่อน ทั้งบิลเซบับยังอยู่ ก็คงจะดีนะ”

สุดท้ายดิลุคก็โพล่งมาแบบนั้น

พูดตามตรง นี่ก็ใกล้เคียงกับภาพฝันที่เธอมโนไว้หลายต่อหลายครั้งอยู่ ใช้ชีวิตในที่ที่สงบ กับด้วยกันกับสหายรักทั้งหลาย มีคนรัก แต่ว่ามันก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบเสียทีเดียว

ปีศาจมหาบาป เพื่อนที่ดิลุครักที่สุดขาดไปถึงสองคน … ยังไงมันก็เป็นเรื่องน่าเศร้าอยู่ดี

“แต่เพื่อลำลึกถึงชีวิตที่จากไป พวกเราเลยมารวมตัวกันที่นี่อย่างน้อยปีล่ะครั้ง อย่าได้คิดมากไปเลย”

“ใช่ๆ บรรยากาศเศร้าหมองไม่เหมาะกับคณะตลกอย่างพวกคุณหรอกนะ”

“ว่าไง ‘เซเนีย’ เธอไม่เคยพลาดเลยนะ”

‘มหาภูต’ ‘เซเนีย’ โผล่ร่างออกมาจากมิติของปวงภูติ

“ก็แหม่ เพราะรู้ว่าพวกคุณน่าจะนำเหล้ารสเลิศมาด้วย ถ้าไม่ได้ร่วมวงด้วยก็คงจะน่าเสียดาย”

ดิลุคยอมให้เซเนียมากินฟรี โดยถือว่านี่เป็นค่าเช่าพื้นที่ในป่ามหาภูตประจำปี

“เซเนีย ทางๆนี้!” ซาตานโบกมือเรียกอย่างร่าเริง

“มาแล้วจ๊ะๆ ไหนๆ คราวนี้มีอะไรบ้าง …โห่ ของดีกว่าทุกทีนะเนี่ย”

ซาตานกลมกลืนไปกับผู้คนของเมืองๆ นี้เป็นพิเศษ ยิ่งกับฟัฟนิร์ที่แวะมาอาทิตย์ล่ะครั้ง หรือกับเซเนียที่ไปหามาสู่กันตลอดยิ่งสนิทเป็นพิเศษ และไม่ใช่แค่เซเนีย หลังจากรอไม่นาน—

“ไม่เจอกันนานนะ”

เบลลามีก็เดินมา พร้อมกับของฝากมากมายในกระเป๋าเดินทางของเธอ

“อ้าา ท่านเบลลามี!”

“กำลังรออยู่เลยล่ะท่าน”

“แงงงงงง ท่านเบลลามี ช่วยเตือนท่านดิลุคที่เอาแต่ใช้งานบริวารอย่างเลือดเย็นที”

แอสโมเดียส ลูซิเฟอร์ อังเฟกอร์ ยินดีกับการมาของเบลลามีเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอังเฟกอร์ที่มักจะฟ้องเรื่องที่โดนใช้งานหนัก ทั้งๆที่ เจ้าหล่อนทำงานสาย เลิกงานเร็ว ทำงานน้อยกว่าเพื่อนตลอด …เพราะเบลลามีใจดี และตามใจมากๆ ผลเลยเป็นแบบนั้น

“เป็นไงบ้างเหรอ ดิลุค”

“ก็ดี ช่วงนี้ฟาร์มกำลังไปได้สวยนั่นแหละ”

มองผิวเผินไม่ต่างกับแฝดที่สีผมต่างกันเลย เบลลามีวางกระเป๋าเดินทางลงที่เสื่อ จากนั้นก็หยิบเอานิตยสารแฟชั่นออกมายื่นให้ลิเวียธาน

“เชิญเลย”

“ขอบคุณมากค่ะ ท่านเบลลามี สำหรับทุกๆ ครั้งเลย”

คนที่ตั้งตารอของฝากจากอิกดราซิลที่สุดของลิเวียธาน ที่พักนี้ชอบตามพวกนิตยสารเสริมความงาม ต่อมาก็ซาตาน-

“ขอบพระคุณมากค่า!!”

“ด้วยความยินดี”

หลังแจกจ่ายของฝากไปรอบวน (เซเนียก็ได้) เบลลามีก็มานั่งจิบชาข้างๆ ดิลุค

“อ่านจดหมายที่ส่งไปเรื่องโซล่ารึยัง?”

“เรียบร้อยแล้ว …ตัวเราเบลลามีเนี่ยขยันหาเมียใหม่มาเข้าบ้างจริงๆ นะ เห็นใครสนิทกับเรเซอร์เป็นพิเศษหน่อยก็พาเข้าบ้านหมด รอบก่อนก็ ‘วิน’ ที่อ้ำๆอึ้งๆกัน โซเฟียที่แต่เดิมจะมาบรรจบกันตอนอายุสามสิบก็หาทางพามาก่อนถึงเวลา ไม่ตามใจเรเซอร์ไปหน่อยรึ?”

“ถ้าเป็นตัวเรา อย่างตัวเราดิลุค คงไม่รังเกียจใช่มั้ยล่ะ?”

“อย่าคิดว่าเราจะเห็นด้วยกับตัวเองไปหมดทุกเรื่องเชียวล่ะ”

“… นั่นสินะ สี่ปีมานี้ก็มีหลายอย่างเปลี่ยนแปลง”

“ใช่ เปลี่ยนแปลงหลายอย่างเลย แล้วเริ่มอยากจะมี ‘ลูก’ รึยังล่ะ” ดิลุคยิ้ม 

“…ลูกเหรอ …น่าจะต้องไว้หลังเรียนที่อิกดราซิลจบนะ ประมาณสามปี”

“เหมือนว่า ‘อันนา’ จะท้องแล้วนะหนึ่งเดือนแล้วนะ”

“… จริงเหรอ?”

“ใช่ แต่เธอบอกแค่เราคนเดียว ยังไม่ได้บอกผู้เป็นพ่อ เพราะเรเซอร์พึ่งออกไปทำงานแถวๆ อาณาจักรแซร์อิซ น่าจะอยู่สักพักเลย กว่าจะกลับก็ห้าเดือนเป็นอย่างต่ำ เธอบอกไม่อยากรบกวนเวลาทำงาน”

“ถ้าเรเซอร์รู้น่าจะรีบเคลียร์งานแล้วกลับมา”

“ถ้าเป็นเราจะบอกให้เรเซอร์กลับมาดูแลแบบไม่คิดอะไรเลยแท้ๆ”

ดิลุคพูดคล้ายจะตำหนิความคิดของอันนา ยังไงอันนาก็มีสถานะเป็นเมด ให้พูด ในสายตาคนนอกน่าจะมองเธออยู่ระดับล่างสุดของชนชั้นภรรยา แม้ว่ามันจะไม่มีชนชั้นอยู่ในหมู่ภรรยา แต่สังคมภายนอกคงไม่ได้คิดเช่นนั้น

ถ้าลูกในไส้คนแรกของ เรเซอร์ ดราแคล์ มาจากเมียเก็บ ภาพลักษณ์คงจะดูแย่

“ไร้สาระจริงๆ” ดิลุคพูดอย่างไม่แยแส

“นั่นเป็นการแสดงความรักรูปแบบหนึ่งของอันนานะ ไม่ควรจะขัดขวางเจตจำนงศ์ของเธอ”

“รู้อยู่แล้วเถอะ ช่างเรื่องชวนปวดหัววดีกว่า—-อีกสามปีสินะ”

“…?”

“ตัวเราเบลลามีคาดว่าอีกสามปีตัวเองจะท้อง”

“อือ ระหว่างนั้นก็ป้องกันไว้ก่อน แต่หลังสามปีก็ไม่รู้ว่าจะยังไงเหมือนกันนะ ถ้าโชคดีก็อาจจะสำเร็จเลย”

“อีกห้าปีเราจะท้อง”

ได้ยินอย่างนั้น เบลลามีก็หัวเราะพึมพำ

“ทำได้ด้วยเหรอ?”

“คิดว่าเราเป็นใครกัน?” ดิลุคเคาะหัวสมองตัวเองโชว์ “แค่จัดลำดับร่างกายให้เป็นไปตามต้องการ มันไม่ได้ยากเย็นอะไร เราก็ไม่อยากจะโอ้อวดนะ ทว่าแม้แต่เพศ หรือรูปลักษณ์ตั้งแต่เกิดจนถึงโต เราก็กำหนดให้ลูกตัวเองได้ตั้งแต่อยู่ในท้อง หากปรารถนา”

สมกับเป็นอดีตจอมมาร ผู้ถือครองปัญญาของพระเจ้า ทำได้ขนาดนั้นเชียว

“แต่ก็ไม่ทำเรื่องที่อย่างกับสร้างหุ่นยนต์พรรค์นั้นหรอก เราคงปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ยกเว้นเรื่องการตั้งครรภ์ที่จะต้องเป๊ะตามเราต้องการ”

“อือ แบบนั้นน่าจะดีกว่าเนอะ”

“จะว่าไป …เอเธอร์”

‘เอเธอร์’ พี่ชายสายเลือดโดยตรงของทั้งสองคนที่หลังจบสงครามก็หายสาบสูญอย่างไม่ทราบสาเหตุ เหลือทิ้งไว้เพียงแต่อดีตดาบแห่งผู้กล้าให้แก่เซียนเป็นผู้เก็บรักษาเอาไว้

“ยังหาไม่เจอเหมือนเดิม”

“ตายไปแล้วรึเปล่านะ”

“อย่าพูดแบบบนั้นสิ ตัวเราดิลุค”

“…หายไปตั้งนานขนาดนั้น คงจะโดนมองโกเลียแถวๆ แดนนรกกินคนเขมือบไปแล้วนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นคงโผล่หน้ามาหาพวกเราแล้ว”

“ตัวเราดิลุคแค่ไม่กล้าเจอหน้าเองนี่”

……

ดิลุคถอนหายใจ

“ไม่ได้เหรอ?”

“เจอหน้ากันตรงๆ อีกครั้งน่าจะดีกว่านะ …พูดตามตรง มันเป็นปัญหาระหว่างตัวเราดิลุคกับเอเธอร์ เราแทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยนะ”

“…ถ้าเจอล่ะก็”

ไม่สมกับเป็นตัวเราเลย เบลลามีคิดอย่างนั้นก็จริง แต่ว่า อย่างที่รู้กัน เบลลามีคือด้านที่แข็งแกร่งของดิลุค ด้านที่กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาดตรงๆ โดยไม่หนีหรือว่าทำลายทิ้ง แม้จะดูอ่อนแอ ด้อยปัญญากว่าหลายขุม แต่กลับมีแง่มุมที่น่าอิจฉาในมุมมองของดิลุค

“เราเองก็จะไปด้วย ไม่ทิ้งให้อยู่กันสองคนหรอก”

ถึงจะบอกว่าเป็นปัญหาของดิลุคกับเอเธอร์ แต่เบลลามีก็คือดิลุค ปล่อยให้จบกันแค่สองคนได้ที่ไหน

“… เข้าใจแล้ว” ดิลุคทิ้งตัวลงนอนกับเสื่อ “… ยังไงอีกฝ่ายก็เป็นถึง ‘พี่ชาย’ จะให้จบแค่นี้ไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ? ตัวเราเบลลามี”

“อือ เป็นพี่ชายคนสำคัญที่มีอยู่แค่หนึ่งเดียว—”

ดิลุคแหงนหน้ามองแสงอาทิตย์เล็กๆ ที่ส่องลงมาที่แห่งนี้ กลางป่าของป่ามหาภูต เธออมยิ้มกับตัวเอง พลางยื่นมือขึ้นไปสัมผัสพระอาทิตย์

“ตั้งตารอชีวิตต่อจากนี้จริงๆ เลยนะ”

ทั้งเรื่องการทำงาน เรื่องลูกน้อง เรื่องคนรัก เรื่องครอบครัวที่วาดฝันเอาไว้ เรื่องของพี่ชาย รวมถึงเรื่องของตัวเอง—แม้สงครามนับหมื่นปีจะจบลงแล้ว กฏของสวรรค์ถูกทำลายไปแล้ว สิ่งที่ดิลุคทุ่มเทเพื่อทำลายไม่มีอยู่อีกแล้วบนโลกใบนี้ก็ตาม แต่ชีวิตก็ยังไม่จบลง และจะเดินต่อไป ในเวลาอันแสนน้อยนิดเมื่อเทียบกับชีวิตที่ผ่านมาแล้วก็ตาม … แต่ว่า มันกลับเป็นกลิ่นอายของการเริ่มต้นใหม่

ชีวิตที่สองจริงๆ ของจอมมาร—ของอดีตจอมมมาร ชาวสวนที่พบเห็นได้ทั่วไป มนุษย์ทั่วๆ ไป

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด